แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ sulphonation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ sulphonation แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ปฏิกิริยา Electrophilic substitution ของ m-Xylene MO Memoir : Saturday 31 December 2565

ในเรื่องการแทนที่อะตอม H ตัวที่ 2 ของวงแหวนเบนซีนนั้น ตำราเคมีอินทรีย์ต่างกล่าวไว้ว่า ถ้าหมู่แรกที่เข้ามาแทนที่เป็นหมู่ที่สามารถจ่ายอิเล็กตรอนให้กับวงแหวน การแทนที่ครั้งที่ 2 จะเกิดที่ตำแหน่ง ortho (o-) หรือ para (p-) เป็นหลัก ส่วนที่ว่าการแทนที่ครั้งที่สองจะเกิดได้ง่ายกว่าหรือยากกว่า (เมื่อเทียบกับการแทนที่อะตอม H ตัวแรก) ก็ขึ้นอยู่กับว่าผลของการดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวนและจ่ายอิเล็กตรอนให้กับวงแหวนของหมู่แรก ผลอันไหนแรงกว่ากัน เช่นหมู่ -NH2 และ -OH ที่อะตอม N และ O ต่างมีค่า electronegativity สูงกว่าของอะตอม C แต่ผลของการจ่ายอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวนั้นแรงกว่า จึงทำให้มันต่างเป็นหมู่ที่ทำให้การแทนที่ครั้งถัดไปเกิดได้ง่ายขึ้น (เป็น ring activating group) แต่ถ้าเป็นธาตุฮาโลเจนเช่น Cl และ Br ผลของการดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวนนั้นจะแรงกว่า จึงทำให้การแทนที่ครั้งถัดไปเกิดได้ยากขึ้น (เป็น ring deactivating group) ในกรณีของหมู่ alkyl นั้น มันไม่มีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวน แต่สามารถจ่ายอิเล็กตรอนให้กับวงแหวนได้ มันจึงเป็น ring activating group ที่ทำให้การแทนที่ครั้งที่สองเกิดที่ตำแหน่ง o- และ p- เป็นหลัก

ส่วนการแทนที่ครั้งที่สองจะเกิดที่ตำแหน่ง o- หรือ p- มากกว่ากันนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของหมู่แรกที่เข้ามาแทนที่และหมู่ที่สองที่จะเติมเข้ามา ถ้าทั้งสองหมู่มีขนาดเล็ก การแทนที่ครั้งที่สองจะเกิดที่ตำแหน่ง o- มากกว่า p- (เพราะตำแหน่ง o- มี 2 ตำแหน่ง) แต่ถ้าทั้งสองหมู่มีขนาดใหญ่และ/หรือมีกิ่งก้าน (โดยเฉพาะตรงอะตอมที่เกาะเข้ากับวงแหวน) การแทนที่ครั้งที่สองอาจเกิดที่ตำแหน่ง p- อย่างเดียวโดยไม่เกิดที่ตำแหน่ง o- เลยก็ได้ เพราะหมู่ที่สองจะไม่สามารถเข้าไปหาอะตอม C ของวงแหวนตัวที่อยู่เคียงข้างอะตอม C ตัวที่มีหมู่แรกเกาะอยู่ (เรียกว่า steric hindrance effect)

รูปที่ ๑ ปฏิกิริยา nitration (แถวบน) และ sulphonation ของ m-xylene ทั้งสองปฏิกิริยานี้จะได้ 1,2,3 isomer และ 1,3,4 isomer เป็นหลัก โดยแทบจะไม่เกิด 1,2,5 isomer เลย (อะตอม C ตัวที่ 1 คือตัวด้านบนที่มีหมู่ -CH2 เกาะอยู่ ตัวถัดไปนับในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)

ถ้าเป็นการแทนที่ตำแหน่งที่ 3 ความว่องไวในการแทนที่ (เมื่อเทียบกับครั้งที่สอง) และตำแหน่งที่จะเข้าแทนที่จะขึ้นอยู่กับสองหมู่แรกที่มาเกาะนั้นส่งผลอย่างไร ถ้าส่งผลในทิศทางเดียวกันการพิจารณาก็จะง่ายหน่อย แต่ถ้าส่งผลในทิศทางหักล้างกัน ก็ต้องไปดูว่าหมู่ไหนมีความแรงมากกว่ากัน ในกรณีของ m-xylene (หรือ 1,3-dimethylbenzene) หมู่ -CH3 เป็น ring activating group จึงทำให้การแทนที่ครั้งที่สามเกิดได้ง่ายขึ้น เวลาทำปฏิกิริยา nitration หรือ sulphonation ผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงเป็น 1,2,3 isomer และ 1,3,4 isomer โดยไม่มี 1,3,5 isomer

ในปฏิกิริยา nitration นั้น สารที่เข้าทำปฏิกิริยาคือ nitronium ion [NO2]+ ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง H2SO4 เข้มข้นกับ HNO3 เข้มข้น ส่วนปฏิกิริยา sulphonation นั้น สารที่เข้าทำปฏิกิริยาคือ SO3 ที่อาจเป็นแก๊ส SO3 ละลายอยู่ในกรดกำมะถันเข้มข้น (สารละลายนี้เรียกว่า oleum หรือ H2SO4.SO3) หรือ SO3 ที่เกิดจากการสลายตัวของกรดกำมะถันเมื่ออุณหภูมิสูงพอ ปรกติอะตอม N ก็มีค่า electronegativity สูงกว่าอะตอม C อยู่แล้ว พอมีอะตอม O มาเกาะอีก 2 อะตอมก็เลยทำให้มันมีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนแรงขึ้นไปอีก ส่วนอะตอม S มีค่า electronegativity สูงกว่าอะตอม C ไม่มาก แต่ด้วยการที่มันมีอะตอม O มาเกาะถึง 3 อะตอม ก็เลยทำให้มันมีความสามารถในการดึงอิเล็กตรอนสูงพอที่จะไปดึง pi electron ของวงแหวนเบนซีนมาสร้างพันธะได้

รูปที่ ๒ ผลการทดลองจากวารสาร Industrial and Engineering Chemistry, Vol. 46, No. 4 หน้า 728 ปีค.ศ. 1954

ในกรณีของปฏิกิริยา nitration และ sulphonation ของ m-xylene นั้น พบว่าการแทนที่ครั้งที่ 3 จะเข้าที่ตำแหน่ง 2 (เกิดเป็น 1,2,3 isomer) หรือตำแหน่ง 4 (เกิดเป็น 1,2,4 isomer) โดยไม่เกิดการแทนที่ที่ตำแหน่ง 5 (ที่ทำให้เกิด 1,3,5 isomer) (รูปที่ ๑-๓) หรือเกิดน้อยมาก (รูปที่ ๔) โดยตำแหน่ง 2 นั้นเป็นตำแหน่ง o- เมื่อเทียบกับหมู่ -CH3 ทั้งสอง ส่วนตำแหน่ง 4 นั้นเป็นตำแหน่ง o- เมื่อเทียบกับหมู่ -CH3 ที่ตำแหน่ง 1 และตำแหน่ง p- เมื่อเทียบกับหมู่ -CH3 ที่ตำแหน่ง 4 ซึ่งเห็นได้ว่าไม่มีความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งที่เข้าแทนที่ 

รูปที่ ๓ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ aromatic monosulfonic acid จะเห็นว่าในกรณีของ m-xylene นั้นไม่เกิด 1,3,5 isomer (คือเกิดเฉพาะ 1,3-xylene-2-sulfonic acid และ 1,3-xylene-4-sulfonic acid) ในที่นี้ 1,2-xylene คือ o-xylene, 1,3-xylene คือ m-xylene และ 1,4-xylene คือ p-xylene

รูปที่ ๔ บทความนี้เป็นปฏิกิริยา sulfonation ของ m-xylene ด้วยกรดกำมะถัน มีการตรวจพบการเกิด 1,3,5 isomer เล็กน้อย ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นก็มึความเป็นไปได้ ถ้าหากอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงเพียงพอ

ปฏิกิริยา alkylation หรือการเติมหมู่ alkyl ไปที่วงแหวนเบนซีนนั้นจะยุ่งยากกว่า เพราะต้องหาทางทำให้อะตอม C ของหมู่ alkyl ที่จะไปเกาะกับวงแหวนนั้นมีความเป็น (+) มากพอที่จะไปดึงอิเล็กตรอนของวงแหวนมาสร้างพันธะได้

โดยปรกติอะตอม C ที่มีอะตอมฮาโลเจน (เช่น Cl) เกาะอยู่ 1 อะตอม ก็มีความเป็น (+) มากพอที่จะไปดึงอิเล็กตรอนจากหมู่ที่มีอิเล็กตรอนมากได้หลายหมู่ (เช่นพันธะคู่ C=C) แต่ความเป็น (+) ก็ยังไม่แรงพอที่จะไปดึง pi electron ของวงแหวนเบนซีน แต่ถ้าทำให้เกิดเป็น carbocation ได้ (เช่นโดยการดึงอะตอมฮาโลเจนออกมาในรูปของ X- หรือหมู่ -OH ออกมาในรูปของ OH- หรือด้วยการเติม H+ เข้าไปที่พันธะคู่ C=C) carbocation ที่เกิดขึ้นก็สามารถไปดึงเอา pi electron ของวงแหวนเบนซีนมาสร้างพันธะได้

รูปที่ ๕ ตัวอย่างบทความที่กล่าวถึงการเข้าแทนที่ที่ตำแหน่งที่ไม่ปรกติ (คือเป็นตำแหน่ง m- เมื่อเทียบกับหมู่ -CH3 ทั้งสองหมู่ของ m-xylene)

แต่ที่แปลกก็คือ ในกรณีของปฏิกิริยา alkylation นั้น มีการตรวจพบการเกิด 1,3,5 isomer มาก (คือหมู่ alkyl เข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง m- เมื่อเทียบกับหมู่ -CH3 ที่เกาะอยู่ก่อนหน้า) หรือในบางกรณีนั้นพบว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่เกิดจะเป็น 1,3,5 isomer แทนที่จะเป็น 1,2,3 isomer หรือ 1,3,4 isomer (ดังตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๕) คำอธิบายหนึ่งที่มีการนำมาอธิบายคือ steric hindrance effect ที่เกิดจากรูปร่างโมเลกุลของหมู่ alkyl แต่คำอธิบายนี้ก็ไม่ตอบคำถามว่าทำไมหมู่ alkyl เดียวกัน จึงเข้าที่ตำแหน่งแตกต่างกันได้ ด้วยการปรับแต่งส่วนผสมตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้

สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาที่นำมาแสดงในรูปที่ ๖ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ในเอกสารนี้เป็นปฏิกิริยาการเติมโพรพิลีน (H3C-CH=CH2 หรือโพรพีน) ให้กับ m-xylene โดยใช้ AlCl3 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (AlCl3 เป็น Lewis acid ที่แรงตัวหนึ่ง สภาพปรกติจะเป็นของแข็งที่ละลายน้ำได้) ที่น่าสนใจก็คือเอกสารนี้รายงานว่า ในกรณีที่ใช้ AlCl3 ที่เป็นของแข็ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็น 1,3,5 isomer เกือบทั้งหมด (ตรง Test No. 1 ของ Table I ในรูปที่ ๖) ซึ่งเป็นตำแหน่ง m- ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขัดแย้งเมื่อเทียบหมู่ -CH3 ทั้งสองหมู่ที่มีอยู่เดิม แต่พอมีการเติมน้ำเข้าไปมากขึ้น การเกิด 1,3,5 isomer จะลดลง และเกิด 1,3,4 isomer เป็นหลักแทน ซึ่งเป็นการแทนที่ที่ไม่ขัดแย้งกับตำแหน่งหมู่ -CH3 ทั้งสองหมู่ที่มีอยู่เดิม สาเหตุหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่ทำให้ได้ผลออกมาแตกต่างกันคือรูปร่างของ carbocation ที่เกิดขึ้นนั้นไม่เหมือนกัน

รูปที่ ๖ สิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับปฏิกิริยาการเติมหมู่ isopropyl ให้กับ m-xylene การทำปฏิกิริยาใช้การปั่นกวน m-xylene กับ AlCl3 ก่อน (โดยอาจมีน้ำร่วม) จากนั้นถึงค่อยเติมโพรพิลีนลงไป ในเอกสารนี้นับอะตอม C ตัวที่มีหมู่ isopropyl เกาะเป็นตัวที่ 1 ดังนั้นถ้าเรียกชื่อแบบเดียวกับเอกสารในรูปที่ ๔ สาร 1,2,4-isopropyl xylene ในเอกสารนี้ก็จะเป็น 1,3-xylene-4-isopropyl ตามการเรียกชื่อของเอกสารในรูปที่ ๔)

ในสภาวะที่ไม่มีน้ำนั้น โพรพิลีนควรจะเกิดเป็น isopropyl carbocation ที่เกาะ (หรือถูกดูดซับ) อยู่บนผิว AlCl3 ที่เป็นของแข็ง แต่ในสภาวะที่มีน้ำนั้น โพรพิลีนจะเกิดเป็น isopropyl carbocation อิสระ (H3C-CH+-CH3) ก่อนเข้าทำปฏิกิริยากับ m-xylene โดย isopropyl carbocation ที่เกาะบนพื้นผิวของแข็งจะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงมากกว่า เพราะมีพื้นผิวของแข็งบดบังไว้ด้านหนึ่ง (รูปที่ ๗)

รูปที่ ๗ isopropyl carbocation (ซ้าย) เมื่อเกาะบน AlCl3 และ (ขวา) เมื่ออยู่อย่างอิสระในสารละลาย

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

การระเบิดหลังการเปิดใบพัดกวน (Sulphonation reaction) MO Memoir : Saturday 10 December 2565

ถึงแม้ว่าพันธะระหว่างอะตอม C ของวงแหวนเบนซีนจะมีอิเล็กตรอนอยู่หนาแน่นมากกว่าพันธะเดี่ยว C-C ทั่วไป แต่ด้วยการที่มันเกิด resonance จึงทำให้มันมีเสถียรภาพมากเป็นพิเศษ การเข้าแทนที่อะตอม H ที่เกาะอยู่กับอะตอม C ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างวงแหวนจึงทำได้ยาก ต้องใช้ electrophile (สารที่ชอบอิเล็กตรอน) ที่มีความแรงมากพอควร ตัวอย่างของ electrophile ที่สามารถเข้าแทนที่อะตอม H ของวงแหวนเบนซีนได้ง่ายได้แก่ SO3 (ในปฏิกิริยา sulphonation และ +NO2 (ในปฏิกิริยา nitration)

ปฏิกิริยา sulphonation (หรือ sulfonation) หรือการเติมหมู่ -SO3H เข้าไปที่วงแหวนเบนซีนทำได้ด้วยการทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถันเข้มข้น (H2SO4) ที่อุณหภูมิสูงพอ โดยกรดกำมะถันเข้มข้นจะมีการสลายตัวให้ SO3 ออกมา หรือใช้แก๊ส SO3 ที่ละลายอยู่ในกรดกำมะถันที่อุตสาหกรรมเรียกกรดชนิดนี้ว่า Oleum หรือ Fuming sulphuric acid (สัญญลักษณ์ทางเคมีคือ H2SO4.SO3) หรือถ้าเป็นแก๊ส SO3 ละลายอยู่ใน sulphonic acid (หรือ sulfonic acid) ก็จะเรียกกรดนั้นว่า fuming sulphonic acid แต่ในปัจจุบันโรงงานที่ต้องการใช้ SO3 ในปริมาณมากก็สามารถผลิตแก๊ส SO3 ขึ้นเองด้วยการเผากำมะถันกับอากาศเพื่อให้ได้ SO2 ก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการออกซิไดซ์ SO2 ที่ได้กับออกซิเจนในอากาศโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย ก็จะได้แก๊ส SO3 ที่สามารถส่งไปทำปฏิกิริยาต่อได้เลย

เรื่องที่นำมาเล่าวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "Explosion on restarting agitation during the sulfonation reaction of toluene" (ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.shippai.org/fkd/en/cfen/CC1000104.html) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๗๐ (พ.ศ. ๒๕๑๓) ในโรงงานที่ทำการผลิต m-benzenesulphonic acid และ p-toluenesulphonic acid ด้วยปฏิกิริยา sulphonation กับกรดกำมะถันและ fuming sulphonic acid (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ ปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากโทลูอีน (toluene หรือ methyl benzene C6H5-CH3) มีหมู่ methyl (-CH3) ที่เป็น ring activating group เกาะอยู่ที่วงแหวน จึงทำให้โทลูอีนมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยา sulphonation มากกว่าเบนซีน ดังนั้นการออกแบบกระบวนการจึงออกแบบให้เบนซีนทำปฏิกิริยาก่อน (รูปที่ ๒) ด้วยการค่อย ๆ เติมเบนซีนลงไปในกรดกำมะถันเข้มข้นที่อุณหภูมิสูงก่อน (กรดกำมะถันเข้มข้นมีอุณหภูมิจุดเดือดที่ประมาณ 330ºC) และเนื่องจากหมู่ -SO3H เป็น ring deactivating group ดังนั้นหลังจากที่แทนที่อะตอม H ที่วงแหวนด้วยหมู่ -SO3H หมู่แรกแล้ว การเข้าแทนที่หมู่ที่สองจะเกิดยากขึ้นอีก จึงจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิที่สูงเพื่อให้ปฏิกิริยาการแทนที่ครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นได้

รูปที่ ๒ ่ แผนผังกระบวนการผลิต จะเห็นว่าจะเริ่มจากการทำปฏิกิริยาของเบนซีนก่อน ทั้งนี้เป็นเพราะเบนซีนนั้นมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาต่ำกว่าโทลูอีน (โทลูอีนมีหมู่ -CH3 ที่เป็น ring activating group เกาะอยู่กับวงแหวน) ทำให้ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าในการทำปฏิกิริยา

คำบรรยายเหตุการณ์ในรูปที่ ๓ กล่าวไว้ว่า การเติมหมู่ -SO3 หมู่ที่สองให้กับ benzene sulphonic acid ทำด้วยการใข้ "sulphuric anhydride" สารตัวนี้คือ SO3 (sulphur trioxide) ที่มีจุดหลอมเหลวที่อุณหภูมิประมาณ 17ºC และอุณหภูมิจุดเดือดที่ประมาณ 45ºC หลังจากเสร็จปฏิกิริยา sulphonation ของเบนซีนแล้ว ก็จะลดอุณหภูมิระบบให้ต่ำลงมาอยู่ที่ระดับที่โทลูอีนสามารถเกิดปฏิกิริยาได้ (110ºC) โดยที่อุณหภูมินี้เบนซีนไม่ควรเกิดปฏิกิริยาอีก แล้วจึงค่อยทำปฏิกิริยา sulphonation ของโทลูอีน

รูปที่ ๓ คำบรรยายเหตุการณ์ที่เกิด

อุณหภูมิจุดเดือดของเบนซีนอยู่ประมาณที่ 80ºC ในขณะที่ของโทลูอีนอยู่ที่ประมาณ 110ºC จากรูปที่ ๒ จะเห็นว่าอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาในขั้นแรกนั้นจะสูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของเบนซีน และอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาในขั้นที่สองจะอยู่ที่ประมาณอุณหภูมิจุดเดิอดของโทลูอีน ดังนั้นความร้อนที่ปฏิกิริยาคายออกมา (จะว่าไปปฏิกิริยานี้ก็คายความร้อนมากอยู่แล้ว) จะสามารถทำให้โทลูเดือดกลายเป็นไอได้ง่าย

การค่อย ๆ เติมของเหลวชนิดที่สองลงไปผสมกับของเหลวชนิดที่หนึ่งที่ถูกปั่นกวนอยู่ในถังผสมอาจทำได้ด้วยการ (ก) หยดของเหลวชนิดที่สองลงไปเหนือผิวของเหลวชนิดที่หนึ่ง (คือให้ปลายท่อเติมของเหลวชนิดที่สองอยู่เหนือผิวของเหลวชนิดที่หนึ่ง) หรือ (ข) หยดของเหลวชนิดที่สองลงไปใต้ผิวของเหลวชนิดที่หนึ่ง (คือให้ปลายท่อเติมของเหลวชนิดที่สองจมอยู่ใต้ผิวของเหลวชนิดที่หนึ่ง) ในกรณีที่เกรงว่าจะเกิดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ การเติมแบบ (ข) จะดีกว่า (เพราะไม่มีการกระเด็นของของเหลวชนิดที่สอง) แต่การเติมแบบ (ข) ก็ต้องระวังให้ดีถ้าถังผสมนั้นมีความดันสูง เพราะความดันในถังอาจดันให้ของเหลวในถังไหลย้อนออกมาทางท่อที่ใช้เติมของเหลวชนิดที่สองได้ ดังนั้นการออกแบบจึงควรต้องคำนึงในเรื่องนี้ด้วย

เมื่ออุณหภูมิลดลงมาที่ระดับ 110ºC ก็จะเริ่มการเติมโทลูอีน (ปริมาณทั้งหมดที่ต้องเติมคือ 280 กิโลกรัม โดยเริ่มเติมเวลา ๑๔.๑๐ น ต่อมาเมื่อเวลา ๑๕.๓๐ น โอเปอเรเตอร์พบว่าใบพัดกวนหยุดทำงาน โดยมีการเติมโทลูอีนลงไปในถังโดยไม่มีการปั่นกวนนานประมาณ ๑ ชั่วโมง (บทความไม่ได้ให้รายละเอียดว่าตามกำหนดแล้วต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเติมโทลูอีน 280 กิโลกรัม และนับจากเวลาที่เริ่มเติมจนกระทั่งพบว่าใบพัดกวนไม่ทำงานนั้น มีการเติมโทลูอีนไปแล้วมากน้อยเท่าใด) สาเหตุที่ทำให้ใบพัดกวนหยุดทำงานคือฟิวส์ขาด จึงได้ทำการเปลี่ยนฟิวส์และเริ่มเดินเครื่องใบพัดกวนใหม่เมื่อเวลา ๑๕.๕๕ น (บทความไม่มีการระบุว่าช่วงเวลา ๒๕ นาทีนับจากพบว่าใบพัดกวนหยุดทำงานจนเริ่มเดินเครื่องได้ใหม่นั้น ยังมีการเติมโทลูอีนเข้าระบบหรือไม่)

ทันทีที่เริ่มเดินเครื่องใบพัดกวน ก็มีไอ (น่าจะเป็นโทลูอีน) ฉีดพุ่งออกมาทางหน้าแปลน (ว่าแต่ทำไมหน้าแปลนจึงปิดไม่สนิทหรือเปิดอยู่ก็ไม่รู้) โอเปอร์เรเตอร์จึงรีบตัดไฟที่จ่ายไปยังใบพัดกวน ก่อนที่จะเกิดการระเบิดในอีก ๗ นาทีต่อมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๑ รายและบาดเจ็บ ๖ ราย

เหตุการณ์ที่นำมาเล่าในวันนี้เกิดก่อนเหตุการณ์ที่เล่าไว้ในตอนที่แล้ว ๓ ปี (MOMemoir : Saturday 3 December 2565การระเบิดหลังการเปิดใบพัดกวน(o-Nitroanisole)) และสถานการณ์ที่เกิดก็เป็นแบบเดียวกัน คือปฏิกิริยาคายความร้อนสูงในถังปั่นกวนที่ใช้การค่อย ๆ เติมสารตั้งต้นตัวหนึ่งลงไปในสารตั้งต้นอีกตัวหนึ่งที่อยู่ในถังผสม ปัญหาจะไม่เกิดถ้าหากระหว่างการเติมนั้นมีการปั่นกวน เพราะสารตั้งต้นตัวที่สองที่เติมเข้าไปจะทำปฏิกิริยาทันที เป็นการเกิดความร้อนที่ละน้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่พอหยุดการปั่นกวนแต่ไม่หยุดการเติมสารตั้งต้นตัวที่สอง พอเริ่มทำการปั่นกวนใหม่จะทำให้เกิดการคายความร้อนออกมาในปริมาณมากในเวลาอันสั้น ความเสียหายรุนแรงจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง

ดังนั้นเมื่อมีการเกิดอุบัติเหตุ และรีบทำการสอบสวนหาสาเหตุให้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด (อย่าเพิ่งหาคนที่ต้องมารับผิด) และรีบเผยแพร่ออกไปให้เป็นที่ทราบทั่วไป การทำผิดแบบซ้ำเดิมโดยผู้อื่นก็คงจะลดลง

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จาก Aniline ไปเป็น Methyl orange MO Memoir : Thursday 15 November 2561

หมู่ p-quinone และหมู่ azo เป็นหมู่โครโมฟอร์ (chromophore หรือหมู่ทำให้เกิดสี) ที่แรง ส่วนหมู่ฟังก์ชันที่เป็นเบสพวก -NH2 -NHR -NR1R2 และหมู่ฟังก์ชันที่เป็นกรดเช่น -SO3H ต่างก็เป็นหมู่ออกโซโครม (auxochrome หรือหมู่เร่งสี) ที่แรงที่ช่วยให้สีที่เกิดจากหมู่โครโมฟอร์นั้นเข้มขึ้น ดังนั้นสารอินทรีย์ที่มีหมู่เหล่านี้อยู่ในโมเลกุลจึงเป็นที่ต้องการในวงการสีย้อมที่เป็นสารอินทรีย์ และสารตัวหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างโมเลกุลสารอินทรีย์ที่มีสีคือ Sulfanilic acid ที่ประกอบด้วยหมู่ -NH2 และ -SO3H ที่อยู่ในตำแหน่ง para ของวงแหวนเบนซีน (รูปที่ ๑)
 
สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จัก "หมู่ทำให้เกิดสี (chromophore)" และ "หมู่เร่งสี (auxochrome)" คืออะไร ขอแนะนำให้ย้อนอ่าน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๘๕ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "หมู่ทำให้เกิดสี (chromophore) และหมู่เร่งสี (auxochrome)" เพื่อเป็นการปูความรู้พื้นฐานเบื้องต้น


รูปที่ ๑ ตัวอย่างหมู่ทำให้เกิดสี (chromophore) และหมู่เร่งสี (auxochrome)

หมู่ -NH2 เป็น ring activating group ที่แรงตัวหนึ่ง (และยังเป็นหมู่ ortho และ para directing group ด้วย) ทำให้วงแหวนเบนซีนมีความว่องไวในการแทนที่ครั้งที่สองมากขึ้น แต่ด้วยความที่หมู่ -NH2 มีฤทธิ์เป็นเบส ด้วยเหตุนี้ในปฏิกิริยาที่มีกรดเข้าร่วมด้วยนั้น เช่นปฏิกิริยา sulphonation และ nitration กรดจะเข้าไปเกาะที่หมู่ -NH2 ก่อน ทำให้มันกลายเป็นหมู่ -NH3+ ที่เป็นหมู่ดึงอิเล็กตรอนออกจากวงแหวน ทำให้วงแหวนมีความว่องไวต่ำลงและยังเกิดการแทนที่ครั้งที่สองที่ตำแหน่ง meta แทน


รูปที่ ๒ บทความการทำปฏิกิริยา sulphonation ของ aniline ที่เผยแพร่ในวารสาร J. Chem. Soc., Perkin Trans. 2, 1977,0, 1008-1010
 
กรดไนตริก HNO3 เข้มข้นมีความเข้มข้นประมาณ 70% ในขณะที่กรดกำมะถัน H2SO4 เข้มข้นมีความเข้มข้น 98% และถ้าละลาย SO3 ลงไปในกรดกำมะถันเข้มข้นก็จะได้สารละลายที่เรียกว่า "Fuming sulphuric acid" หรือ "Oleum" ที่บางทีก็เขียนด้วยสูตรเคมีว่า H2SO4.SO3 หรือ H2S2O7 กรดกำมะถันที่ระดับความเข้มข้นสูงนี้มันไม่มีการแตกตัวให้ H+ เพราะมันไม่มีโมเลกุลอื่น (เช่น H2O) มารับโปรตอน มันก็เลยบรรจุในถังเหล็กได้โดยไม่กัดกร่อน
 
บทความที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ และ ๓ เป็นการทดลองการทำปฏิกิริยา sulfonation ของ aniline ด้วยสารละลายกรดกำมะถันเข้มข้น การทำปฏิกิริยาทำทั้งในกรดกำมะถันเข้มข้นและตัวทำลาย "aprotic solvent" (พวกที่ไม่มีอะตอม H ที่มีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นจึงไม่การสร้างพันธะไฮโดรเจน) โดยในกรณีของการทำปฏิกิริยาใน aprotic solvent ที่อุณหภูมิห้องพบว่าผลิตภัณฑ์หลักเกิดจากปฏิกิริยา N-sulphonation (กรดเข้าไปทำปฏิกิริยาที่อะตอม N ของหมู่ -NH2) แต่เมื่ออุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงขึ้นจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง ortho และ para
 
แต่พอเป็นการทำปฏิกิริยาด้วยกรดกำมะถัน oleum ที่อุณหภูมิ 25ºC พบว่าผลิตภัณฑ์หลักที่ได้เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง meta โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง para ในปริมาณที่ต่ำกว่าเล็กน้อย (Table 2 ในรูปที่ ๓) แต่พอเปลี่ยนเป็นการทำปฏิกิริยาด้วยกรดกำมะถันเข้มข้นที่อุณหภูมิสูงกลับพบว่าผลิตภัณฑ์หลักที่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง para (ซึ่งก็คือ sulfanilic acid) เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแทนที่ที่ตำแหน่ง ortho ในปริมาณที่ต่ำกว่ามาก (Table 3 ในรูปที่ ๓)

รูปที่ ๓ ผลการทดลองที่รายงานไว้ในบทความที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ จะเห็นว่าการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่ได้ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรด H2SO4 ที่ใช้และอุณหภูมิที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา Table 2 เป็นการทำปฏิกิริยาด้วย oleum (เห็นได้จากความเข้มข้นของกรดสูงเกินกว่า 100%) ส่วน Table 3 เป็นการทำปฏิกิริยาด้วยกรดกำมะถันเข้มข้น

Sulfanilic acid เป็นกรดที่เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญตัวหนึ่งในการสังเคราะห์สีอินทรีย์ และยังนำไปใช้ในการผลิตสารที่ทำให้เกิดการเรืองแสงสีขาว (ที่นำไปใช้กับกระดาษและสิ่งทอเพื่อให้ดูขาวขึ้น) ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามที่จะหาทางทำปฏิกิริยา sulphonation ของ aniline เพื่อให้ได้ sulfanilic acid ในสัดส่วนที่มากที่สุด (หรือทำให้เกิดการแทนที่ที่ตำแหน่ง ortho และ meta ให้ต่ำทึ่สุด) ตัวอย่างเช่นสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่ US 4,808,342 ชื่อ Production of Sulfonated Amines ได้นำเสนอวิธีการสังเคราะห์ sulfanilic acid ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับโรงงาน เช่นตัวอย่างในรูปที่ ๔ ที่แสดงวิธีการสังเคราะห์ sulfanilic acid ด้วยกระบวนการแบบต่อเนื่องในระดับห้องปฏิบัติการ แต่สิ่งหนึ่งที่บทความที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ และ ๓ และสิทธิบัตร US 4,808,342 มีความเหมือนกันก็คือใช้กรดกำมะถันในสัดส่วนที่สูงกว่า aniline ในการทำปฏิกิริยา

รูปที่ ๔ ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับการทำปฏิกิริยา sulphonation ของ aniline อย่างต่อเนื่อง ที่เผยแพร่ในเอกสารสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่ US 4,808,342 Production of Sulfonated Amines เมื่อ ๒๘ กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. ๑๙๘๙

กลไกการเกิด sulfanilic acid ที่มีการนำเสนอกันคือ H2SO4 เข้าเกาะที่หมู่ -NH2 ของ aniline ก่อน จากนั้นเมื่อได้รับความร้อนจึงเกิดการ "rearrangement" โดยหมู่ H2SO4 ย้ายมาเกาะที่ตำแหน่ง para (เมื่อเทียบกับหมู่ -NH2) พร้อมกับคายน้ำออก (รูปที่ ๕) คำว่า "rearrangement" หมายถึงการที่หมู่ใดหมู่หนึ่งมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งจากตำแหน่งเดิมในโมเลกุลไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง หรือมีการจัดการเรียงตัวรูปแบบใหม่ทำให้โครงสร้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ถ้าว่าการตามแบบจำลองนี้มันก็มีคำถามตามมาว่าการย้ายตำแหน่งนี้มันไม่ใช่การย้ายไปยังอะตอม C ข้าง ๆ (คือที่ตำแหน่ง ortho) ซึ่งเมื่อโมเลกุล H2SO4 หลุดออกมาก็จะได้หมู่ -NH2 ซึ่งเป็น ortho directing group กลับคืนมา และในช่วงที่โมเลกุล H2SO4 ย้ายตำแหน่งนั้น มันไม่มีโมเลกุล H2SO4 อีกหนึ่งเข้ามาเกาะที่หมู่ -NH2 ที่ว่างลงหรือ

รูปที่ ๕ กลไกการเกิดปฏิกิริยาที่มีการนำเสนอกันและสิทธิบัตร US 4,808,342 นำมากล่าวเอาไว้ ในกลไกนี้กล่าวถึงการเกิดการ rearrangement ของ H2SO4 ที่เดิมเกาะอยู่กับหมู่ -NH2 ว่ามีการย้ายมาเกิดปฏิกิริยายังตำแหน่ง para เมื่อทำการให้ความร้อนเพื่อไล่น้ำ (ขั้นตอน II) ซึ่งสิทธิบัตร US 4,808,342 กล่าวว่าปฏิกิริยาไม่น่าจะเกิด พึงสังเกตว่าการทำปฏิกิริยานี้กระทำในตัวกลางที่เฉื่อย มีจุดเดือดสูง และไม่ผสมรวมเข้ากับน้ำได้
 
ด้วยเหตุนี้จึงมีการมองกันว่าในเมื่อปฏิกิริยาเกิดในสารละลายกรดเข้มข้มที่มีกรดมากเกินพอ มันไม่ง่ายกว่าหรือถ้าจะมองว่ามี H2SO4 อีกโมเลกุลที่หนึ่งเข้าเกาะที่ตำแหน่ง para แล้วค่อยปล่อยโมเลกุล H2SO4 ที่เกาะที่ -NH2 ออกไป
 
แบบจำลองในรูปที่ ๖ นั้นโมเลกุล H2SO4 จะเข้าเกาะที่หมู่ -NH2 ก่อนกลายเป็น phenylsulfamic acid (ขั้นตอน III และ IV) พึงสังเกตว่าอะตอม N ของ phenylsulfamic acid นี้ยังคงมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวอยู่ ดังนั้นยังคงคุณสมบัติเป็น ortho และ para direction group อยู่ แต่ความเป็นเบสของอะตอม N ลดลงเนื่องจากมีหมู่ -SO3H ดึงอิเล็กตรอนออก จากนั้นโมเลกุล H2SO4 อีกโมเลกุลหนึ่งจึงเข้ามาเกาะกับวงแหวนที่ตำแหน่ง para (ขั้นตอน V) ตามด้วยการคายหมู่ H2SO4 ที่เกาะกับหมู่ -NH2 ออกไป ก็จะได้ sulfanilic acid เป็นผลิตภัณฑ์ (ขั้นตอน VI)

รูปที่ ๖ กลไกที่สิทธิบัตร US 4,808,342 กล่าวว่าน่าจะเกิดมากกว่าคือมีโมเลกุล H2SO4 อีกโมเลกุลหนึ่ง (คนละตัวกับที่เกาะอยู่กับหมู่ -NH2) ที่เข้าไปทำปฏิกิริยาที่ตำแหน่ง para

อันที่จริงการเปลี่ยนจาก phenylsulfamic acid ไปเป็น sulfanilic acid ได้อย่างไรนั้นก็เป็นหัวข้อที่ได้ครับความสนใจมานานแล้ว ดังเช่นบทความที่นำมาแสดงในรูปที่ ๗ ที่เป็นผลการศึกษาเอาไว้เมื่อกว่า ๖๐ ปีที่แล้วที่กล่าวว่าการจัดเรียงตัวใหม่ของ phenylsulfamic acid ไปเป็น sulfanilic acid นั้นมีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าชนิดของตัวทำละลายที่ใช้และอุณหภูมิที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาต่างมีบทบาทสำคัญทั้งคู่

รูปที่ ๗ บทความที่ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ที่ phenylsulfamic acid จะเกิดการเรียงตัวใหม่กลายเป็น sulfanilic acid (G. Illuminati, J. Am. Chem. Soc., 78, 2603-2606 (1956))
 
จากบทคัดย่อในรูปที่ ๗ นั้น รายงานกล่าวว่าการทดลองที่กระทำโดยใช้ "glacial acetic acid" ที่เย็นเป็นตัวทำละลายนั้นนั้นไม่แสดงให้เห็นถึงการเกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของ phenylsulfamic acid แต่การทดลองที่ใช้ "dioxane" ที่แห้ง (คือปราศจากน้ำ) ที่ 100ºC กลับพบว่าผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาคือ sulfanilic acid เป็นตัวหลัก สองการทดลองนี้ต่างกันตรงที่ glacial acetic acid (กรดอะซีติกที่ไม่มีน้ำ) เป็นตัวทำละลายชนิด "polar protic" คือมีขั้วและสร้างพันธะไฮโดรเจนได้ และตัวมันเองก็ยังสามารถแตกตัวให้โปรตอนโดยให้โมเลกุล CH3COOH อีกโมเลกุลหนึ่งเป็นตัวรับโปรตอนได้ แต่ในกรณีของการทดลองที่สองนั้นใช้ dioxane ที่เป็นตัวทำละลายชนิด "polar aprotic" คือมีขั้วแต่ไม่สามารถสร้างพันธะไฮโดรเจนได้ ดังนั้นกรด H2SO4 ในการทดลองที่สองนี้จึงไม่น่าจะมีการแตกตัวเหมือนในการทดลองแรก และด้วยการใช้อุณหภูมิในการทำปฏิกิริยาที่สูงกว่า ผลที่ได้จึงแตกต่างกัน
 
รูปที่ ๘ เป็นปฏิกิริยาการสังเคราะห์ methyl orange ที่ใช้เป็นอินดิเคเตอร์ตัวหนึ่งในการไทเทรต โดยเตรียมจากปฏิกิริยาระหว่าง sulfanilic acid กับ N,N-Dimethylaniline การเตรียมเริ่มด้วยการที่ sulfanilic acid ทำปฏิกิริยากับกรด HNO2 ก่อน เกิดเป็น diazonium ion ซึ่งจะทำปฏิกิริยา coupling กับ N,N-Dimethylaniline อีกที

รูปที่ ๘ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ methyl orange