วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

สถานีรถไฟราชบุรี MO Memoir : Saturday 31 July 2564

ก๋วยเตี๋ยวกล่องเส้นเล็กแห้ง กล่องละ ๑๐ บาท ที่สถานีนี้ก็อร่อยดี ไม่เสียทีที่แวะเข้าไปถ่ายรูปและซื้อติดมือออกมา

ราชบุรีก็เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีพรมแดนด้านตะวันตกติดประเทศพม่า แต่คนส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเสียมากกว่า ความเจริญในอดีตก็มีให้เห็นที่เมืองโบราณบ้านคูบัว

สะพานจุฬาลงกรณ์ที่เป็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลองก็เคยเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่ ๒ และผลกระทบหนึ่งที่ยังอยู่ ณ ปัจจุบันคือมีลูกระเบิดที่ด้านจมอยู่ในแม่น้ำบริเวณใต้สะพาน มันก็อยู่ตรงนั้นมานานแล้วแต่เพิ่งจะมีปัญหาก็เพราะการขยายทางรถไฟเป็นทางคู่ที่ต้องมีการสร้างสะพานเพิ่มเติม และดันไปพบระเบิดลูกนี้เข้า ในขณะที่ทางทหารกำลังหาทางกู้ระเบิดลูกนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้เมื่อใด ทางการรถไฟก็วางแผนเปลี่ยนรูปแบบสะพานโดยเลี่ยงการมีตอม่อกลางแม่น้ำแทน แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแม้ว่าการสร้างสะพานจะหลีกเลี่ยงการไปกระทบกระเทือนลูกระเบิดที่จมน้ำอยู่ แต่ถ้าการกู้ระเบิดเกิดมีความผิดพลาดขึ้นมา แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสะพานที่สร้างใหม่หรือไม่ (ของเดิมน่าจะโดนอยู่แล้วเพราะเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดเดิม)

ถึงแม้ว่ารูปแบบการเดินทางด้วยรถไฟจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง แต่ตามสถานีใหญ่ ๆ ในต่างจังหวัดบางสถานีก็ยังเหลือร่องรอยของความรุ่งเรืองของการเดินทางด้วยรถไฟในอดีต อย่างเช่นที่ราชบุรีนี้ ก็ยังคงมีร่องรอยสำหรับรถจักรไอน้ำหยุดเติมน้ำอยู่ให้เห็น บันทึกฉบับนี้ถือว่าเป็นการบันทึกภาพสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปก็แล้วกัน

รูปที่ ๑ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ธันวาคม ๒๔๗๘ สถานีรถไฟราชบุรีอยู่ตรงกลางด้านล่างสุดของภาพ

รูปที่ ๒ ป้ายบอกสถานีที่อยู่เคียงข้าง มุ่งหน้าลงใต้ก็ไปยังสถานีบ้านคูบัว มุ่งหน้าไปบ้านโป่งก็ไปสถานีบ้านกล้วย

รูปที่ ๓ ป้ายชื่อสถานีมองย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือ จะเห็นถังเก็บน้ำและจุดเติมน้ำให้กับหัวรถจักร

รูปที่ ๔ บริเวณที่นั่งพักรอรถไฟ

รูปที่ ๕ ป้ายชื่อสถานีที่ตัวอาคาร

รูปที่ ๖ บรรยากาศเก่า ๆ ของประตูไม้เก่า ๆ

รูปที่ ๗ ถังเก็บน้ำสำหรับหัวรถจักรไอน้ำ ริมทางรถไฟจะเห็นเส้นลวดของระบบอาณัติสัญญาณแบบเก่าอยู่

รูปที่ ๘ อีกมุมหนึ่งของถังเก็บน้ำ

รูปที่ ๙ เสาสำหรับเติมน้ำให้กับหัวรถจักร มีวาล์วอยู่ข้างล่าง

รูปที่ ๑๐ อีกมุมหนึ่งของเสาสำหรับเติมน้ำให้กับหัวรถจักร

รูปที่ ๑๑ ตุ้มถ่วงสำหรับดึงลวดให้ตึงสำหรับระบบประแจกลสายลวด

รูปที่ ๑๒ เสาสำหรับรับ-ส่งคืนห่วงทางสะดวก

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๘ Drawing อุปกรณ์ MO Memoir : Monday 26 July 2564

ตัวอย่างนี้น่าจะเป็นข้อถกเถียงได้ว่า ควรจะตีความตามตัวอักษร หรือควรจะตีความตามบริบท

ในความเป็นจริงเราคงต้องยอมรับว่า เราคงไม่สามารถเขียนกฎเกณฑ์ที่สามารถครอบคลุมข้อห้ามหรือข้อยกเว้นได้ทุกกรณี ดังนั้นในกรณีที่เกิดปัญหาว่ามันไม่ตรงกับกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้ แล้วเราจะทำอย่างไร ใครจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ

กรณีของตัวอย่างที่ ๘ นี้เป็นกรณีของ Drawing (แบบพิมพ์เขียว) สำหรับผลิตตัวเก็บประจุ (ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า condenser (และญี่ปุ่นก็เรียกแบบนี้) หรือ capacitor) ที่ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม (รูปที่ ๑ ข้างล่าง)

รูปที่ ๑ รายละเอียด Drawing สำหรับผลิตตัวเก็บประจุ (ที่เป็นสินค้าไม่เข้าข่าย) และข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทผู้ผลิตตัวเก็บประจุนี้ บริษัทนี้ผลิตตัวเก็บประจุทั้งที่เป็นสินค้าเข้าข่ายและไม่เข้าข่าย

ตัวอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นส่วนขยายของกรณีตัวอย่างที่ ๑ ตัวเก็บประจุก็ได้ กล่าวคือบริษัทแห่งหนึ่งผลิตตัวเก็บประจุทั้งชนิดที่เป็นสินค้าเข้าข่ายและไม่เข้าข่าย การส่งออกตัวเก็บประจุที่เป็นสินค้าไม่เข่ายไปยังต่างประเทศไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการไปตั้งโรงงานผลิตสินค้าที่ "ไม่เข้าข่าย" ในต่างประเทศ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องมีการส่งออก Drawing หรือแบบพิมพ์เขียวให้กับโรงงานที่จะสร้างขึ้นในต่างประเทศ ตรงนี้ถ้ามองกันตามตัวอักษรก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสิ่งที่จะส่งออกไปนั้นไม่ได้ใช้สำหรับผลิตสินค้าที่เข้าข่าย

แต่สิ่งที่วิทยากรชี้ให้เห็นก็คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตสินค้าไม่เข้าข่ายกับสินค้าเข้าข่ายนั้น เป็นเทคโนโลยีเดียวกันหรือไม่ ถ้าเป็นต่างเทคโนโลยีกัน (คือไม่สามารถใช้เทคโนโลยีของพิมพ์เขียวนั้นในการผลิตสินค้าเข้าข่ายได้) ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกัน ทำเพียงแค่การเปลี่ยนหรือดัดแปลงชิ้นส่วนบางชิ้นเท่านั้น (เช่นในตัวอ่างนี้คืออาจทำการเปลี่ยนสายไฟให้สั้นลงหรือเปลี่ยนชนิดสายไฟ) ก็ควรจัดว่าการส่งออกเทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องได้รับการควบคุม (รูปที่ ๒)

รูปที่ ๒ ผลการวินิจฉัยของบริษัท Mitsubishi Electric ที่มองว่าแม้ว่าแบบพิมพ์เขียวสำหรับผลิตตัวเก็บประจุที่ไม่ได้เป็นสินค้าเข้าข่าย จัดว่าเป็นการส่งออกเทคโนโลยีที่ต้องได้รับการควบคุม เนื่องจากสามารถนำไปดัดแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถผลิตสินค้าที่เข้าข่ายควบคุมได้

ในตัวอย่างนี้ การตัดสินว่าเทคโนโลยีที่จะส่งออกนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ "เข้าข่าย" หรือ "ไม่เข้าข่าย" ขึ้นอยู่ที่ตัวบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เพราะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว ว่าสิ่งที่ดูตามตัวอักษรแล้วมันไม่เข้าข่าย แต่ในความเป็นจริงนั้นสามารถใช้ผลิตสินค้าที่เข้าข่ายได้ด้วยการดัดแปลงบางสิ่งที่ปรากฏในแบบพิมพ์เขียวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตรงนี้การตรวจสอบของภาครัฐคงทำไม่ได้หรือยากที่จะทำ เพราะภาครัฐเองก็ไม่ได้มีคนที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีทุกเรื่องและทางบริษัทเองก็ยังสามารถอ้างได้ว่าแบบพิมพ์เขียวดังกล่าวเป็นความลับทางการค้าที่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ด้วยเหตุนี้ตอนที่ไปฝึกอบรม จึงได้รับคำถามจากทางญี่ปุ่นกลับมา ว่าประเทศไทยจะทำอย่างไร เพื่อให้เอกชนนั้นตระหนักถึงความสำคัญในการควบคุมสินค้าที่ใช้ได้สองทาง และเพื่อให้แต่ละหน่วยงานนั้นสามารถวินิจฉัยได้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นสามารถนำไปดัดแปลงเพื่อใช้ผลิตสินค้าที่เข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทางหรือไม่