เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับความเป็นมาของงานที่กำลังกระทำอยู่
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันสำหรับผู้ที่กำลังจะทำการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ในปีหน้า
(อันที่จริงก็สัปดาห์หน้านั่นแหละ)
และขอให้นิสิตรหัส
๕๔ ศึกษาทำความเข้าใจเอาไว้ด้วย
เพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ต้องรับช่วงงานต่อแล้ว
เนื้อหาในเอกสารนี้นำลง
blog
เพียงบางส่วน
๑.
การกำจัด
NOx
ด้วยปฏิกิริยา
NH3
SCR
ผมจะเริ่มจากการปูพื้นฐานทั่วไปก่อนนะ
แล้วค่อยให้รายละเอียดว่างานของแต่ละคนนั้นมีจุดที่แตกต่างกันตรงไหน
พร้อมกันนี้ผมได้แนบไฟล์ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
เรื่อง
(ก)
"กำหนดมาตรฐานการควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้า"
ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเดือนมกราคม
พ.ศ.
๒๕๓๙
และ
(ข)
"กำหนดมาตรฐานการควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่"
ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเดือนมกราคม
พ.ศ.
๒๕๕๓
มาให้ด้วยเพื่อที่พวกคุณจะได้มองเห็นภาพของงานที่เรากำลังทำอยู่ได้ชัดเจนขึ้น
ปัจจุบันประกาศทั้ง ๒
ฉบับนี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่
ผม download
มาจาก
http://www.pcd.go.th/download/regulation.cfm?task=s2)
ขอเริ่มเป็นข้อ
ๆ ไปก็แล้วกัน
๑.๑
องค์ประกอบของแก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้นั้นขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงที่ใช้
(ถ่านหิน
น้ำมัน และแก๊ส)
ถ่านหินจัดว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วนไฮโดรเจนต่ำสุด
ในขณะที่แก๊สธรรมชาติจัดว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วนไฮโดรเจนสูงสุด
ดังนั้นถ้าพิจารณากันตามนี้
แก๊สที่เกิดจากการเผาถ่านหินก็ควรที่จะมีปริมาณไอน้ำต่ำสุด
ในขณะที่แก๊สที่เกิดจากการเผาแก๊สธรรมชาติควรจะมีปริมาณไอน้ำสูงสุด
๑.๒
ในทางทฤษฎีนั้น
เพื่อให้การเผาไหม้มีประสิทธิภาพสูงสุด
(อุณหภูมิแก๊สร้อนที่ได้จากการเผาไหม้สูงที่สุด)
ปริมาณอากาศที่ใช้ต้องอยู่ที่
stoichiometric
ratio ซึ่งการเผาไหม้ในสภาวะนี้จะเรียกว่า
stoichiometric
combustion แต่ในทางปฏิบัตินั้นเพื่อให้การเผาไหม้เกิดได้สมบูรณ์
จะต้องใช้อากาศที่ "มากเกินพอ"
อยู่เล็กน้อย
๑.๓
ในภาวะที่มีอากาศมากเกินพอนั้น
แก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้จึงถือได้ว่าปราศจาก
CO
และเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมด
๑.๔
เช่นเดียวกัน ในทางทฤษฎีนั้น
ประสิทธิภาพของวัฏจักรกำลังต่าง
ๆ
จะขึ้นอยู่กับผลต่างระหว่างอุณหภูมิของแหล่งให้ความร้อนและอุณหภูมิของแหล่งรับความร้อน
ยิ่งผลต่างนี้มีค่ามากเท่าใด
ประสิทธิภาพก็จะสูงขึ้น
แต่เนื่องจากแหล่งรับความร้อนมักจะเป็นน้ำระบายความร้อน
และอุณหภูมิของน้ำระบายความร้อนที่ใช้กันจะมีอุณหภูมิประมาณอุณหภูมิห้อง
ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพจึงต้องไปที่การทำให้อุณหภูมิของแหล่งให้ความร้อนมีค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
๑.๕
แต่ปฏิกิริยาการเกิด NOx
ก็จะสูงมากตามอุณหภูมิด้วย
ดังนั้นยิ่งแก๊สที่เผาไหมม้มีอุณหภูมิสูงมากเท่าใด
ปริมาณ NOx
ที่เกิดขึ้นก็มากตามไปด้วย
๑.๖
NOx
ที่กล่าวถึงในข้อ
๑.๕
นั้นเป็นตัวที่เกิดจาก N2
กับ
O2
ในอากาศ
แต่ยังมี NOx
อีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากสารประกอบไนโตรเจนที่มีอยู่ในเชื้อเพลิง
ซึ่งสารประกอบพวกนี้มักจะมีอยู่แล้วในถ่านหินและน้ำมันเตา
ปริมาณที่มีอยู่จะขึ้นอยู่กับชนิดของถ่านหินและน้ำมันที่เอามาเผาไหม้
ดังนั้นถ้าเราไปดูมาตรฐาน
NOx
สูงสุดที่อนุญาตให้ปล่อยทิ้งได้
จะพบว่าของถ่านหินและน้ำมันเตาจะสูงกว่าของแก๊สธรรมชาติ
๑.๗
อีกแนวทางในการลดการเกิด
NOx
ได้แก่การลดอุณหภูมิแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ให้ต่ำลง
ซึ่งอาจทำโดยการใช้อากาศมากเกินพอ
หรือโดยการฉีดไอน้ำเข้าไป
แต่การทำดังกล่าวก็จะทำให้ประสิทธิภาพการเผาไหม้ลดลงไปด้วย
๑.๘
องค์ประกอบในแก๊สร้อนที่ออกจากเตาเผา
และองค์ประกอบในแก๊สปล่อยทิ้งสู่บรรยากาศทางปล่องนั้น
"ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน"
เพราะในระหว่างทางนั้นอาจมีการผสมอากาศหรือแก๊สอื่น
(เช่นไอน้ำ)
เข้าไป
เพื่อทำให้ความเข้มข้นของสารพิษต่าง
ๆ ในแก๊สนั้นลดลง แต่ปริมาณไม่ได้ลดลงนะ
เพราะปริมาตรแก๊สปล่อยทิ้งจะมากขึ้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันการโกงดังกล่าว
ในมาตรฐานจึงต้องกำหนดไว้ว่าการวัดนั้นต้องทำที่
"สภาวะแห้ง"
และ
"ปริมาตรอากาศส่วนเกินในการเผาไหม้"
หรือ
"ปริมาตรออกซิเจนส่วนเกินในการเผาไหม้"
เอาไว้ด้วย
๑.๙
ในภาวะที่มีออกซิเจนมากเกินพอในแก๊สปล่อยทิ้งนั้น
เราไม่สามารถนำตัวเร่งปฏิกิริยา
3-way
catalyst ที่ใช้กับรถยนต์
(เครื่องยนต์เบนซิน)
มาใช้ได้
เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาพวกนั้นจะทำงานได้กับไอเสียที่ได้จากการเผาไหม้ในภาวะที่มีออกซิเจน
"พอดี"
กับการเผาไหม้เท่านั้น
เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวใช้ไฮโดรคาร์บอนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ในการรีดิวซ์
NOx
ที่เกิดขึ้น
แต่ในภาวะที่มีออกซิเจนและ
NOx
อยู่ร่วมกันนั้น
ตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรคาร์บอนกับออกซิเจนก่อน
โดยที่ NOx
ไม่สามารถเข้าร่วมทำปฏิกิริยาได้จนกว่าออกซิเจนจะหมด
ดังนั้นถ้านำเอามาใช้กับแก๊สปล่อยทิ้งจากโรงไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นออกซิเจนหลาย
%
(เช่น
15%
ในกรณีของเรา)
ในขณะที่มี
NOx
ต่ำมาก
(แค่ระดับ
ppm
ดังเช่นกรณีของเรา)
๑.๑๐
ตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการกำจัด
NOx
จากไอเสียดังกล่าวที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในยุคแรกคือ
V2O5
บนตัวรองรับต่าง
ๆ โดยใช้ NH3
เป็นสารรีดิวซ์
๑.๑๑
Alumina
เป็นตัวรองรับที่มีพื้นที่ผิวสูงและทนอุณหภูมิสูง
แต่ไม่ทนต่อ SO2
ในแก๊ส
ส่วน TiO2
(anatase) แม้ว่าจะมีพื้นที่ผิวต่ำกว่าและทนอุณหภูมิได้ต่ำกว่า
แต่สามารถทนต่อ SO2
ในแก๊ส
ดังนั้นการที่จะเลือกใช้ตัวรองรับเป็นตัวใดนั้นจึงต้องดูองค์ประกอบของแก๊สด้วย
๑.๑๒
แต่ในขณะเดียวกัน V2O5
ก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในการผลิตกรดกำมะถัน
โดยสามารถออกซิไดซ์ SO2
ให้กลายเป็น
SO2
ได้
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนถูกควบคุมด้วยสมดุลเคมี
ดังนั้นถ้าพิจารณาจากแง่สมดุลเคมีแล้วปฏิกิริยานี้จะไปข้างหน้าได้มากที่อุณหภูมิต่ำ
แต่ที่อุณหภูมิต่ำนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาก็จะต่ำลงไปด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นว่าจะเกิดการออกซิไดซ์
SO2
ไปเป็น
SO2
ได้มากที่อุณหภูมิต่ำ
๑.๑๓
V2O5
จัดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำงานได้ดีในช่วงอุณหภูมิปานกลาง
(เอาเป็นว่าไม่เกิน
500ºC
ก็แล้วกัน)
ในช่วงอุณหภูมิสูงพวก
WO3
จะทำงานได้ดีกว่า
ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไมในช่วงหลังจึงมีการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้
WO3
เกิดขึ้น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
WO3
ดีกว่า
V2O5
แต่เป็นเพราะมีการออกแบบโรงไฟฟ้าที่แก๊สปล่อยทิ้งมีอุณหภูมิสูงมาก
(พวกมีแต่กังหันแก๊สโดยที่ยังไม่มีระบบกังหันไอน้ำร่วม)
เพราะถ้าเอา
WO3
มาใช้ในช่วงอุณหภูมิปานกลาง
มันก็ทำงานสู้ V2O5
ไม่ได้
๑.๑๔
ในทำนองเดียวกัน MoO3
ก็เป็นตัวที่ทำงานได้ดีกว่า
V2O5
ในช่วงอุณหภูมิต่ำ
(เอาเป็นว่าไม่เกิน
250ºC
ก็แล้วกัน)
แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นก็ทำงานสู้
V2O5
ไม่ได้
๑.๑๕
ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5-
WO3 สำหรับการทำงานในช่วงอุณหภูมิปานกลางถึงสูง
(ถ้าเป็นช่วงอุณหภูมิสูงจะไม่มี
V2O5
หรือมีอยู่น้อยมาก)
และตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5-
MoO3 สำหรับการทำงานในช่วงอุณหภูมิต่ำถึงปานกลาง
๑.๑๖
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้คิดที่จะลองนำโลหะออกไซด์ทั้ง
๓ ชนิดมารวมกัน
เพื่อที่จะดูว่าช่วงความสามารถในการทำปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยาตัวใหม่นี้จะเป็นอย่างไร
๑.๑๗
เป็นที่ทราบกันมานานแล้ว
(อย่างน้อยก็กว่า
๒๐ ปีแล้ว)
ว่า
V2O5
ที่เคลือบลงไปบนพื้นผิว
TiO2
(anatase) จะแตกต่างไปจากบนพื้นผิวอื่น
โดยบนพื้นผิว TiO2
(anatase) V2O5 จะกระจายตัวออกเป็นชั้นบาง
ๆ ที่เรียกว่า monolayer
(มีเพียงชั้นเดียว)
ก่อน
จนกว่าพื้นผิวจะถูกปกคลุมเอาไว้ทั้งหมด
จากนั้นจึงค่อยก่อตัวเป็นผลึก
แต่ถ้าเป็นบนพื้นผิวอื่นจะเกาะรวมตัวกันเป็นผลึกได้ตั้งแต่แรก
๑.๑๘
และมีรายงานด้วยว่า V2O5
และ
MoO3
สามารถรวมตัวกันเป็นออกไซด์ผสมตัวใหม่
โดยการเกิดออกไซด์ผสมตัวใหม่นี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
ถ้าใช้อุณหภูมิสูงก็จะเกิดได้ดีขึ้น
๑.๑๙
ส่วนออกไซด์ผสมระหว่าง V2O5
และ
WO3
หรือ
WO3
และ
MoO3
นั้นผมเองยังไม่เคยค้นดู
ขอให้พวกคุณลองไปดูกันหน่อยแล้วกันว่ามันเกิดได้หรือเปล่า
ข้อ
๑.๑
ถึง ๑.๑๙
ที่กล่าวมาข้างบนนั้นเป็นการปูพื้นฐานเผื่อต้องใช้ในการบรรยายให้กรรมการสอบได้เห็นภาพที่มาที่ไปของงานที่เรากำลังทำวิจัยอยู่
๑.๒๐
๑.๒๑
๑.๒๒
๑.๒๓
๑.๒๕
๑.๒๖
ปัญหาที่ทั้งสองคนมีร่วมกันก็คือจะวิเคราะห์ได้อย่างไรว่ามีสารประกอบโลหะออกไซด์ตัวใหม่เกิดขึ้น
หรือผลการทำปฏิกิริยาที่แตกต่างกันนั้น
(ถ้ามันแตกต่างกัน)
เกิดจากอะไร
วิธีการวิเคราะห์ที่ผมเห็นว่าควรต้องเตรียมทำก็มี
XRD
FT-IR และ
H2-TPR
๑.๒๗
ในกรณีของ XRD
นั้นผมยังสงสัยอยู่ว่าถ้าหากเกิดออกไซด์ผสมตัวใหม่ขึ้นจริง
จะมองเห็นพีคหรือไม่
และถ้าหากเรามองเห็นพีค
เราจะสามารถระบุได้หรือไม่ว่าเป็นพีคของอะไร
ดังนั้นในขณะนี้ผมจึงยังไม่คาดหวังอะไรจากเทคนิคนี้มากนั้น
๑.๒๘
ในกรณีของ FT-IR
นั้นผมคิดว่ามีโอกาสสูงกว่าที่จะเห็นความแตกต่าง
เพราะจากประสบการณ์เท่าที่ผ่านมานั้นพบว่าในกรณีของออกไซด์ที่ไม่ก่อโครงสร้างเป็นผลึกเช่นกรณีของ
V2O5
บน
TiO2
ที่
V2O5
ก่อตัวเป็นชั้น
monolayer
บน
TiO2
นั้น
XRD
ไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของ
V2O5
ได้
แต่ FT-IR
สามารถตรวจจับได้
๑.๒๙
ส่วน H2-TPR
นั้น
(งานส่วนนี้ยังไม่ต้องกล่าวถึงในการสอบโครงร่าง)
เป็นตัวบอกว่าออกไซด์ของเรานั้นถูกรีดิวซ์ได้ง่ายหรือยาก
ซึ่งการวิเคราะห์ความยากง่ายในการหลุดออกของ
O2-
นั้นจะให้ข้อมูลที่ดีถ้าหากปฏิกิริยาของเรานั้น
สารตั้งต้นต้องมีการมาดึงเอาออกซิเจนออกจากโครงร่างผลึกของตัวเร่งปฏิกิริยาโดยผ่านทางแบบจำลอง
REDOX
แต่ที่ผ่านมานั้นมีผู้เสนอว่าปฏิกิริยา
SCR
นี้มันผ่านทางแบบจำลอง
Rideal
ซึ่งเป็นปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุลที่ถูกดูดซับบนพื้นผิวกับโมเลกุลในเฟสแก๊สที่วิ่งเข้ามาชน
ซึ่งพิจารณาเพียงแค่แง่มุมนี้การวัด
H2-TPR
ก็ไม่น่าจะให้ข้อมูลสำคัญใด
ๆ
๑.๓๐
แต่ถ้ามองจากมุมมองที่ว่า
NH3
ต้องลงไปเกาะบนพื้นผิวก่อน
ตำแหน่งที่ NH3
ลงไปเกาะนั้นจะมีส่วนที่เป็น
Lewis
acid site หรือตำแหน่งที่เป็นไอออนบวกของโลหะ
ความยากง่ายในการรีดิวซ์ออกไซด์ของโลหะบนพื้นผิวจะทำให้เลขออกซิเดชันของไอออนบวกของโลหะ
V
Mo และ
W
แตกต่างกันไป
ซึ่งอาจทำให้ความสามารถของตัวเร่งปฏิกิริยาในการดูดซับ
NH3
แตกต่างกันไปด้วย
และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยามีความว่องไวที่แตกต่างกันได้
ในส่วนของกลุ่ม
DeNOx
นั้นของฝากเอาไว้แค่
๓๐ ข้อนี้ก่อน
๒.
ปฏิกิริยา
Hydroxylation
ผมขอเริ่มด้วยการปูพื้นฐานทั่วไปซ้ำอีกครั้ง
เพราะอันที่จริงเรื่องนี้ก็ได้กล่าวไปเยอะแล้วใน
Memoir
ฉบับที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ของนิสิตรหัส
๕๒ (ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นพวกคุณสนใจอ่านกันแค่ไหน)
๒.๑
เป็นที่ทราบว่าพื้นผิวของ
TS-1
นั้นเป็นพื้นผิวที่ชอบโมเลกุลไม่มีขั้ว
แต่ในการทำปฏิกิริยาของเรานั้นสารตั้งต้นของเราเป็นโมเลกุลที่มีเฉพาะโครงสร้างที่ไม่มีขั้ว
(ไฮโดรคาร์บอน)
และโมเลกุลที่มีเฉพาะโครงสร้างที่มีขั้ว
(H2O2)
๒.๒
ดังนั้นถ้าตัวเร่งปฏิกิริยาของเราสัมผัสกับไฮโดรคาร์บอนมากเกินไป
ปฏิกิริยาจะไม่สามารถเกิดได้
เพราะ H2O2
จะไม่สามารถเข้าไปถึงพื้นผิวได้
๒.๓
แต่พอเรามาแก้ปัญหาด้วยการใช้น้ำเป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยา
(จากเหตุผลด้าน
ความปลอดภัย ความสะดวกในการปั่นกวน
ตัดปัญหาเรื่องการแยกตัวทำละลายประสานเฟส
เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ฯลฯ)
ก็เกิดปัญหาที่ตรงข้ามกันคือเรามีแต่
H2O2
บนพื้นผิว
โดยมีไฮโดรคาร์บอนอยู่น้อยมาก
ทั้งนี้เป็นเพราะไฮโดรคาร์บอนละลายน้ำได้น้อยมาก
๒.๔
แต่จากงานของศราวดีเราพบว่าถ้าเราสามารถเพิ่มปริมาณ
(ปริมาณ
=
ความเข้มข้น
x
ปริมาตรน้ำ)
ของไฮโดรคาร์บอนที่ละลายอยู่ในเฟสน้ำได้
ปฏิกิริยาจะดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
๒.๕
ที่ผ่านมานั้นเราพบว่าการเพิ่มปริมาณทำได้โดยการเพิ่มปริมาตรน้ำที่ใช้เป็นตัวกลาง
(ในกรณีนี้ความเข้มข้นคงที่)
และ/หรือโดยการเพิ่มอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา
(ในกรณีนี้ความเข้มข้นเพิ่มสูงขึ้น)
เพราะที่อุณหภูมิสูงขึ้นไฮโดรคาร์บอนจะละลายน้ำได้มากขึ้น
๒.๖
ต่อมาเราพบว่าการที่น้ำนั้นมีสารประกอบไอออนิกบางชนิดละลายอยู่
อัตราเร็วในการละลายของไฮโดรคาร์บอนเข้าไปในเฟสน้ำ
และความความข้นอิ่มตัวของไฮโดรคาร์บอนในเฟสน้ำจะเปลี่ยนไป
จึงทำให้เราเกิดแนวความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราละลายสารประกอบไอออนิกบางตัวเข้าไปในเฟสน้ำ
จะส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาอย่างไร
๒.๗
แต่ทั้งนี้ในขณะนี้เรายังไม่มีข้อมูลว่าสารประกอบไอออนิกที่ละลายนั้นจะไปทำอะไรบ้างกับพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา
และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่เราเห็นนั้นเป็นผลจากพฤติกรรมการละลายที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือเกิดจากพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีไอออนบางตัวลงไปเกาะเพิ่มขึ้น
๒.๘
๒.๙
๒.๑๐
๒.๑๑
๒.๑๒
๒.๑๓
๒.๑๔
๒.๑๕
๒.๑๖
๒.๑๗
๒.๑๘
๒.๑๙
๒.๒๐
อีกสมมุติฐานหนึ่งที่ทั้งสองคนควรพิจาณาคือ
เป็นไปได้ไหมว่าไอออนที่เราละลายเข้าไปในน้ำนั้น
เข้าไปเกาะบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา
ทำให้พื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถดูดซับH2O2
ได้ดีขึ้น
จึงทำให้ปฏิกิริยาเกิดไปข้างหน้าได้ดีขึ้น
๒.๒๑
งานของพวกคุณทั้งสองคนเป็นการศึกษาผลของไอออน
ดังนั้นสิ่งที่เราทำการปรับเปลี่ยนในการทำการทดลองคือชนิดของสารประกอบไอออนิกที่เรานำมาละลายน้ำ
และอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา
โดยที่จะไม่ปรับเปลี่ยนชนิดตัวเร่งปฏิกิริยาหรือสัดส่วนสารตั้งต้นที่ใช้
๒.๒๒
โดยส่วนตัวผมคิดว่าในงานของพวกคุณ
การวิเคราะห์ NH3-TPD
คงไม่จำเป็น
เพราะเราทำปฏิกิริยาในเฟสของเหลว
พื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยามีน้ำปกคลุม
แต่การวัด NH3-TPD
นั้นเป็นการวัดในเฟสแก๊สและที่อุณหภูมิที่สูงกว่าที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา
ดั้งนั้นข้อมูลสภาพพื้นผิวที่ได้จากการวัด
NH3-TPD
อาจไม่สะท้อนภาพที่แท้จริงของพื้นผิวเมื่อมีของเหลวปกคลุมอยู่
ปี
๒๕๕๔ นี้ผมของปิดท้ายด้วย
Memoir
ฉบับนี้
หวังว่าพวกคุณทุกคนคงเที่ยวและพักผ่อนกันเต็มที่
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบในสัปดาห์หน้า
ขอให้สุขสันต์วันปีใหม่กันทุกคน