เนื้อหาในบันทึกนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาการวัดปริมาณ
NH3
ด้วยเครื่อง
GC-2014
ECD & PDD ซึ่งผมได้เห็นจากผลการทดลองของสาวน้อยหน้าบานช่วงเช้าวันนี้
ดังนั้นจะขอสรุปปัญหาและแนวทางการทำการทดลองเป็นข้อ
ๆ ไป
ขอให้สาวน้อยจากเมืองริมทะเลอ่านและทำความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มทำการทดลองในวันพรุ่งนี้ด้วย
๑.
ในการสร้าง
calibration
curve ของ
NH3
นั้น
เราใช้วิธีปรับ "ปริมาณ"
NH3 ที่ฉีดเข้าคอลัมน์ด้วยการเปลี่ยนความเข้มข้นและขนาด
sampling
loop (0.5 ml และ
0.1
ml) ดังนั้นจุดข้อมูลที่เราได้นั้นจะเทียบเท่ากับการฉีด
NH3
ด้วย
sampling
loop ขนาด
0.5
ml ที่ความเข้มข้น
120
ppm 80 ppm 24 ppm และ
16
ppm
๒.
เมื่อนำพื้นที่พีคจากข้อ
๑.
มาเขียนเป็น
calibration
curve ถ้าทำ
linear
regression จะพบว่าเส้นกราฟไม่วิ่งเข้าจุดตัดแกน
ผมได้แก้ปัญหาใหม่โดยการบังคับให้เส้น
regression
ผ่านจุดตัดแกน
แต่ไม่ได้ทำ linear
regression ใช้ฟังก์ชันสมการ
polynomial
กำลังสอง
(y
= a1x + a2x2) แทน
ดังนั้นในการหาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่พีคและความเข้มข้น
NH3
ก็ขอให้ใช้สมการดังกล่าว
ที่ระดับความเข้มข้น 120
ppm พื้นที่พีคของ
NH3
จะอยู่ประมาณ
190000
๓.
ความเข้มข้นในข้อ
๑.
นั้นคิดจากอัตราการไหล
200
ml/min โดยที่ยังไม่มีการผสมน้ำและ
SO2
เข้าไป
ดังนั้นการทดลองที่มีการผสมน้ำและ
SO2
เข้าไป
ปริมาตรน้ำและ SO2
ที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้อัตราการไหลรวมสูงกว่า
200
ml/min เล็กน้อย
ดังนั้นถ้าอัตราการไหลผ่าน
mass
flow controller ของแก๊สตัวอื่น
(O2
N2 และ
NO)
ยังคงที่
ความเข้มข้นของ NH3
และ
NO
ก็จะลดต่ำลงกว่า
120
ppm เล็กน้อย
ที่ประมาณไว้คือจะตกลงมาเหลือประมาณ
105
ppm
๔.
โดยปรกติแล้วตัวเร่งปฏิกิริยาของเราจะดูดซับ
NH3
เอาไว้ได้ในปริมาณหนึ่ง
และจะดูดซับได้มากที่อุณหภูมิต่ำ
ดังนั้นเมื่อเราเริ่มป้อน
NH3
ผ่าน
reactor
นั้น
เราจะเห็น NH3
ออกมาน้อย
แต่ปริมาณที่ออกมาจะค่อย
ๆ เพิ่มสูงขึ้น และถ้าไม่มีการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation ในที่สุดเราก็จะเห็นปริมาณ
NH3
ที่ออกมาจาก
reactor
เท่ากับปริมาณที่ป้อนเข้าไป
๕.
จากการคำนวณคร่าว
ๆ โดยใข้ข้อมูลเก่าของสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์และความเข้มข้นและอัตราการไหลของ
NH3
ที่ป้อนเข้าไป
ทำให้เราประมาณได้ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาต้องใช้เวลาอย่างน้อย
1
ชั่วโมงในการดูดซับ
NH3
จนอิ่มตัว
๖.
ในทางกลับกันเมื่อเราเพิ่มอุณหภูมิ
reactor
ให้สูงขึ้น
ในช่วงแรกเราจะมี NH3
คายซับออกมาจากตัวเร่งปฏิกิริยา
ดังนั้นเราจะเห็นความเข้มข้นของ
NH3
ในแก๊สขาออกจาก
reactor
เพิ่มขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
แต่สุดท้ายเมื่อระบบเข้าสู่ค่าสมดุลค่าใหม่
เราก็จะเห็นปริมาณ NH3
ที่ออกมาจาก
reactor
คงที่
๗.
จากข้อมูลเก่าของสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์นั้นพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถดูดซับ
NH3
ได้จนถึงอุณหภูมิในช่วง
350-450ºC
๘.
การทดลองวัดการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation ในภาวะที่มีน้ำและ
SO2
ที่ทำโดยสาวน้อยหน้าบานนั้นพบว่า
ในช่วงอุณหภูมิต่ำ (100-150ºC)
เกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation น้อยมาก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดการควบแน่นของน้ำทางด้านขาออกของ
reactor
ซึ่งถ้าเกิดการควบแน่นดังกล่าวผมคิดว่าอาจทำให้
NH3
ละลายเข้าไปในน้ำที่ควบแน่นในระบบท่อ
ทำให้เห็น NH3
(ที่วัดจาก
GC)
ได้ลดลง
๙.
แต่ผลการทดลองของสาวน้อยหน้าบานที่ทำการทดลองต่อจากข้อ
๘.
โดยทำเพียงแค่เปิดวาล์วป้อน
NO
เข้าสู่ระบบ
กลับพบว่าในช่วงอุณหภูมิต่ำ
(100-150ºC)
NH3 ที่ออกมาจาก
reactor
หายไปประมาณ
50%
ซึ่งจัดว่าแปลกมาก
ทำให้ผมสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่าอาจเกิดการควบแน่นของน้ำทางด้านขาออกของ
reactor
แต่มันก็ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมตอนที่วัดการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation มันไม่เกิดการควบแน่น
แต่ดันมาเกิดตอนทำปฏิกิริยา
DeNOx
๑๐.
ดังนั้นเพื่อตัดข้อสงสัยดังกล่าว
ผมจึงเสนอให้นำ heating
tape มาพันเข้ากับท่อทางด้านขาออกของ
reactor
ด้วย
(เห็น
heating
tape ที่เรามีอยู่นั้นเมื่อเอาไปพันท่อทางด้านขาออกจาก
saturator
แล้วยังเหลืออีกเยอะ
ดังนั้นก็น่าจะเอามาพันทางด้านขาออกของ
reactor
ด้วย)
๑๑.
สำหรับการทดลองของสาวน้อยจากเมืองริมทะเลในวันพรุ่งนี้
คิดว่าคุณคงเริ่มด้วยการวัดการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation ดังนั้นเมื่อเริ่มการทดลอง
ควรที่จะวัดความเข้มข้น
NH3
ในแก๊สขาออกจาก
reactor
ที่อุณหภูมิเริ่มต้น
(100ºC)
ให้คงที่เสียก่อน
ซึ่งควรจะอยู่ในระดับเดียวกับความเข้มข้นด้านขาเข้า
(คือผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation ที่อุณหภูมินี้
หรือถึงจะเกิดก็ควรที่จะเกิดน้อยมาก)
จากนั้นจึงค่อย
ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นเป็นขั้น
ๆ ไป
๑๒.
หลังจากวัดการเกิดปฏิกิริยา
NH3
oxidation เสร็จแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการทำปฏิกิริยา
DeNOx
ดังนั้นผมคิดว่าก่อนที่จะเปิด
NO
เข้าระบบนั้น
เมื่อลดอุณหภูมิจาก 450ºC
ลงมาเหลือ
100ºC
แล้ว
ก็ควรที่จะทดลองวัดความเข้มข้น
NH3
อีกครั้ง
ซึ่งความเข้มข้น NH3
ที่วัดได้ควรที่จะเท่ากับความเข้มข้นเมื่อเริ่มวัดปฏิกิริยา
NH3
oxidation (ข้อ
๑๑.)
ซึ่งเมื่อได้ค่าความเข้มข้นดังกล่าวแล้วจึงเปิดวาล์วป้อน
NO
เข้าระบบ
รอจนระบบเข้าที่แล้วจึงค่อยวัดความเข้มข้น
NH3
๑๓.
ในระหว่างการทดลองนั้น
เมื่อได้โครมาโทแกรมมาแล้วก็ขอให้ทำการคำนวณพื้นที่พีคและปริมาณ
NH3
ที่ทำปฏิกิริยาไปทันที
จะได้เห็นว่าการทดลองดำเนินการไปอย่างไร
ถ้ามีปัญหาใด ๆ ก็จะได้แก้ไขได้ทัน
เพราะถ้าใช้วิธีเก็บรวบรวมโคามาโทแกรมมาก่อนแล้วค่อยแปลผลทีหลัง
ถ้าพบว่าผลการทดลองมีความผิดพลาดก็แสดงว่าที่ทำมาทั้งหมดต้องโยนทิ้งไป
เสียเวลาไปเปล่า ๆ สองวันเต็ม
ๆ
๑๔.
ในการวัดปริมาณ
NH3
ทางด้านขาออกนั้น
ควรต้องทำการวัดอย่างน้อยสองครั้ง
ถ้าพบว่าค่าพีค NH3
ที่เห็นในโครมาโทแกรมที่ได้จากการวัดสองครั้งนั้นทับกันหรือใกล้เคียงกันมากก็สามารถเพิ่มอุณหภูมิไปยังค่าต่อไปได้เลย
อย่าไปเสียเวลารอจนพีคอากาศออกมาจนหมดก่อนจึงค่อยเพิ่มอุณหภูมิ
แต่ถ้าพบว่ายังต่างกันอยู่มากก็ขอให้ทำการวัดครั้งที่สาม
(หรือมากกว่า)
เพิ่มเติม
ในช่วงสองวันนี้ถ้ามีปัญหาใด
ๆ ให้โทรมาถามผมได้
หรือไม่ผมก็จะโทรไปสอบถามทางคุณเองเป็นระยะ