Memoir
ฉบับนี้เป็นตอนต่อจากฉบับเมื่อวานซึ่งเป็นการทำ
peak
fitting กับพีค
O2
แต่ในคราวนี้จะเป็นการทำ
peak
fitting กับพีค
NO
เพื่อหาพื้นที่พีค
NO
ก่อนที่ผมจะเริ่มสอนนิสิตเรื่องการหาคำตอบระบบสมการคณิตศาสตร์แบบไม่เชิงเส้น
(non-linear)
นั้น
ผมจะบอกนิสิตก่อนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ
"ทำใจ"
เหตุที่ต้องบอกให้ต้อง
"ทำใจ"
ก่อนก็เพราะ
(ก)
ระบบสมการไม่เชิงเส้นดังกล่าวอาจจะ
"มี"
คำตอบหรือ
"ไม่มี"
คำตอบก็ได้
(ข)
ถ้าระบบสมการดังกล่าวมีคำตอบ
อาจมีชุดคำตอบที่ทำให้ระบบสมการนั้นเป็นจริง
"มากกว่า
๑ ชุดคำตอบ"
และ
(ค)
ในกรณีที่ระบบสมการดังกล่าวมีคำตอบที่ทำให้ระบบสมการนั้นเป็นจริงมากกว่า
๑ ชุดคำตอบ
เป็นหน้าที่ของผู้หาคำตอบว่าคำตอบใดเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ซึ่งอาจจะมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวหรือไม่มีเลย
หรือมีได้หลายคำตอบก็ได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
cubic
equation of state ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่า
P
(ความดัน)
V (ปริมาตร)
และ
T
(อุณหภูมิ)
ของแก๊ส
ในช่วงที่สารนั้นเป็นแก๊ส
ที่ค่า P
และ
T
ใด
ๆ สมการดังกล่าวจะให้คำตอบค่า
V
เพียงคำตอบเดียว
ซึ่งเป็นปริมาตรจำเพาะของแก๊ส
แต่ในช่วง
P
และ
T
ที่สารนั้นเป็นได้ทั้งแก๊สและของเหลว
สมการดังกล่าวจะมีค่า V
ที่ทำให้สมการเป็นจริงนั้น
3
ค่าด้วยกัน
แต่ค่าที่ใช้ได้นั้นมีเพียง
2
ค่าเท่านั้น
คือค่า V
ที่มากที่สุดจะแทนปริมาตรจำเพาะของเฟสแก๊ส
ค่า V
ที่น้อยที่สุดจะแทนปริมาตรจำเพาะของเฟสของเหลว
ส่วนค่า V
ที่อยู่ระหว่างสองค่าดังกล่าวแม้จะทำให้สมการเป็นจริง
แต่ก็เป็นค่าที่ไม่มึความหมายใด
ๆ ให้โยนทิ้งไป
ที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะการทำ
peak
fitting ของเรานั้นก็เป็นการหาคำตอบระบบสมการพีชคณิตไม่เชิงเส้นแบบหนึ่ง
คือการหาว่าควรใช้พีครูปร่างใด
จำนวนเท่าใด
จึงจะทำให้ค่าความแตกต่างของผลรวมของพีคเหล่านั้นกับข้อมูลที่ด้จากการวัดนั้นมีค่าน้อยที่สุด
ซึ่งจำนวนพีคที่ต้องใช้
รูปร่างและตำแหน่งของพีคแต่ละพีค
ขึ้นอยู่กับว่าเราเริ่มต้นวางตำแหน่งพีคแต่ละพีคอย่างไร
และเริ่มวางกี่ตำแหน่ง
ดังนั้นด้วยข้อมูลชุดเดียวกันแต่วิธีการทำต่างกันก็ทำให้ได้จำนวนพีค
รูปร่างและตำแหน่งของพีค
ที่เข้ากับข้อมูลจริงดีที่สุดนั้นแตกต่างกันไปได้
โครมาโทแกรมที่เอามาเป็นตัวอย่างนั้นได้มาจากการทดลองเมื่อวันศุกร์ที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยเราได้บรรจุ
TiO2
ไว้ใน
reactor
และใช้ส่วนผสมแก๊สเหมือนกับการทำปฏิกิริยาจริง
ทำการวัดพีค NO
จากอุณหภูมิ
120ºC
ไปจนถึง
450ºC
แต่ที่เอามาเป็นตัวอย่างนั้นเป็นพีคที่ได้จากการวัดที่อุณหภูมิ
120ºC
วิธีการเป็นอย่างไรนั้นไปดูที่รูปแต่ละรูปเลยดีกว่า
รูปที่
๑ โครมาโทแกรมหลังการสร้างส่วนหางของพีค
O2
แล้วด้วยวิธีการตาม
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๔๘๔ วันศุกร์ที่
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "GC-2014
ECD & PDD ตอนที่
๓๒ การสร้างส่วนหางพีค O2"
ในรูปที่
๑ นี้ใช้พีคจำนวน 6
พีคในการสร้างส่วนหางของพีค
O2
เมื่อได้ส่วนหางของพีค
O2
แล้วก็ให้ทำการตรึงพีคทั้ง
๖6พีคเหล่านั้นด้วยการไปเลือกพีคทีละพีค
(1)
แล้วไปกดปุ่มล็อคพารามิเตอร์ทั้ง
4
ของทุกพีคตรงสัญลักษณ์แม่กุญแจซึ่งจะเปลี่ยนรูปจากยังไม่ล็อค
(2)
ไปเป็นล็อค
(3)
การที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้พีคของ
O2
นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างการทำ
peak
fitting ของพีค
NO
จากนั้นก็เปลี่ยนให้จุดข้อมูลจากทางด้านขวาของพีค
O2
กลายเป็น
active
(ในรูปจะเป็นเส้นสีเขียว)
ในรูปที่
๑ นี้ผมตัดสินใจไม่นำจุดข้อมูลช่วงประมาณเวลา
16
นาที
(4)
มาใช้
เพราะดูเหมือนว่ามันทำท่าจะวกขึ้นไป
รูปที่
๒ การวางตำแหน่งพีคแรกสำหรับพีค
NO
การเลือกชนิดของพีคที่จะนำมาทำ
peak
fitting นั้นให้เลือกใช้พีคชนิด
"SplitGaussian"
(1) จากนั้นกดปุ่ม
"auto
add" เพื่อทำการวางพีค
ซึ่งในตัวอย่างนี้จะได้พีค
(3)
เส้นสีน้ำเงินคือเส้นผลรวมของพีคสีแดงทุกพีค
รูปที่
๓ การปรับตำแหน่งและรูปร่างของพีคที่วางลงไปเป็นพีคแรก
เนื่องจากการทำ
regression
นั้นจะให้ผลดีก็ต่อเมื่อจุดเริ่มต้นการคำนวณนั้นอยู่ใกล้กับคำตอบที่ต้องการ
จากตำแหน่งและรูปร่างของพีคแรกที่วางลงไปในรูปที่
๒ จะเห็นว่าเส้นผลรวมที่ได้
(เส้นสีน้ำเงิน)
มีความแตกต่างจากข้อมูลจริง
(เส้นสีเขียว)
อยู่มาก
ในกรณีนี้เราสามารถช่วยได้โดยการปรับแต่งพีคแรกที่วางลงไปโดยไปเปลี่ยนค่าต่าง
ๆ ตรงกรอบมุมล่างขวาของโปรแกรม
ซึ่งอาจทำโดยการเลื่อนปุ่ม
(1)
หรือป้อนตัวเลขเข้าไปโดยตรง
(2)
ตรงนี้ไม่ต้องพยายามทำถึงขั้นให้มันเข้ากันพอดี
เอาแค่เข้ากันใกล้ ๆ ก็พอ
ที่เหลือก็ปล่อยให้โปรแกรมมันจัดการเองบ้าง
รูปที่
๔ การวางพีคเพิ่มเติมและการทำ
peak
fitting
จากนั้นทำการวางพีคเพิ่มเติม
(ผมทำโดยใช้ปุ่ม
auto
add) จำนวนพีคที่จะวางลงไปนั้นให้พิจารณาเส้นข้อมูลประกอบด้วย
ถ้าเห็นว่ายังมีตำแหน่งว่างอยู่ก็ให้เพิ่มพีคลงไปที่ตำแหน่งนั้น
ถ้าโปรแกรมวางพีคให้ในตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
ก็ให้ทำการลบหรือย้ายพีคดังกล่าวไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้
ในกรณีของตัวอย่างนี้ผมพบว่าต้องวางพีคเพิ่มอึก
4
พีค
(1-4)
จึงจะครอบคลุมข้อมูลส่วนที่เหลือ
และหลังจากที่วางพีคเพิ่มอีก
4
พีคแล้วก็กดปุ่ม
"fitting"
ทำให้ได้ผลดังแสดงในรูป
การทำ
fitting
นั้นอาจจะไม่เข้ากันพอดีกับทุกตำแหน่ง
แต่ถ้าเห็นว่าส่วนที่เกินกับส่วนที่ขาดนั้นพอจะชดเชยกันได้ก็ให้ถือว่าใช้ได้
อย่างเช่นในรูปที่ ๔
นั้นมีปัญหาตรงยอดพีค NO
ซึ่งเข้ากันไม่พอดี
(5)
แต่เมื่อพิจารณาพื้นที่ส่วนเกินกับพื้นที่ส่วนขาดแล้วเห็นว่าพอ
ๆ กัน ก็เลยปล่อยเลยตามเลย
อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาคือลักษณะการลดคงของพีคนั้นควรจะเว้าลงแบบราบเรียบ
ไม่มีการโป่งนูน
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าพีคท้ายสุด
(4)
นั้นไม่น่าจะเป็นพีคของ
NO
ดังนั้นในการคิดพื้นที่พีค
NO
จึงไม่ควรนำเอาพื้นที่พีค
(4)
นี้มาคิดด้วย
รูปที่
๕ รูปร่างพีคหลังจากที่ลบพีคส่วนหางทิ้งไป
1
พีค
พื้นที่พีค
NO
หาได้จากการรวมพื้นที่พีค
4
พีคที่เหลือ
พื้นที่พีคแต่ละพีคดูจากคอลัมน์ทางด้านขวา
(1)
ซึ่งปรกติโปรแกรมมันจะไม่แสดงพื้นที่
ต้องไปตั้งคำสั่งให้มันแสดงพื้นที่ด้วย
รายละเอียดทั้งหมดของแต่ละพีคก็ดูได้จากกล่องที่อยู่ถัดลงมา
(2)
อยากรู้รายละเอียดของพีคไหนก็ไปกดเลือกจากปุ่มสี่เหลี่ยมแดง
ๆ ข้างบน รายละเอียดจะแสดงในกล่องข้างล่าง
อย่างเช่นในที่นี้พีคที่ใช้คำนวณพื้นที่คือพีคที่เวลา
9.451
นาที
(พื้นที่
4956.94)
เวลา
10.42
นาที
(พื้นที่
3085.47)
เวลา9.336
นาที
(พื้นที่
363.927)
และที่เวลา
11.77
นาที
(พื้นที่
1847.66)
ดังนั้นพื้นที่รวมของพีค
NO
= 4956.94 + 3085.47 + 363.927 + 1847.66 = 10253.997 หน่วย
อันที่จริงเราอาจตรวจสอบว่าผลรวมของพีคทั้ง
4
นั้นควรที่จะยอมรับได้หรือไม่โดยการไปลบพีค
O2
ทิ้งไปด้วย
เหลือเอาไว้เฉพาะส่วนของพีค
NO
จำนวน
4
พีค
แล้วก็ลองพิจารณาจากรูปร่างผลรวมของพีคทั้ง
4
นั้น
(รูปที่
๖)
ว่ามันเข้ากับรูปร่างของพีค
NO
ที่ควรจะเป็นหรือไม่
ส่วนรูปร่างที่ควรจะเป็นนั้นเป็นอย่างไรก็คงต้องไปเทียบกับพีคที่เราทำกันในเดือนมิถุนายนช่วงที่ทำการปรับ
GC
เพื่อหาตำแหน่งพีค
NO
รูปที่
6
รูปร่างเฉพาะของพีค
NO
เมื่อลบพีค
O2
ทิ้งไป
เดือนนี้เขียนแต่เรื่องวิชาการเฉพาะทางหนัก
ๆ ติดต่อกันตั้ง ๑๐ เรื่อง
หวังว่าฉบับถัดไปคงได้เขียนเรื่องอื่นบ้าง