ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับสมาชิกที่สำเร็จการศึกษาไปเมื่อภาคการศึกษาต้นและภาคการศึกษาปลายปีการศึกษา
๒๕๕๔ ทั้ง ๖
คนที่เข้ารับพระราชทานปริญญามหาบัณฑิตในช่วงบ่ายของวันนี้
ก็ขอให้ทุกคนประสบแต่ความสุขความสำเร็จในชีวิต
ได้มีครอบครัวที่มีแต่ความสุข
(ผมไม่ได้เอ่ยถึงหน้าที่การงานนะ
เพราะบางทีความสุขความสำเร็จในชีวิตก็ไม่ต้องอยู่ที่การได้งานทำที่มีรายได้สูง
ตำแหน่งหน้าที่สูง
แต่กลับไม่มีเวลาให้กับตัวเองหรือครอบครัว
การมีสามีดี ๆ ทำงานหาเงินให้ใช้สบาย
ๆ ผมว่าพวกคุณก็มีความสุขในชีวิตได้เช่นเดียวกัน)
และเช่นเคย
เมื่อพวกคุณเข้ามาร่วมกลุ่มผมก็ได้จัดส่ง
Memoir
ฉบับแรกให้กับพวกคุณทางอีเมล์
และเมื่อพวกคุณเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรก็จะจัดส่งฉบับสุดท้ายให้
ดังนั้น Memoir
ฉบับนี้จึงเป็นฉบับสุดท้ายที่ส่งให้ทางอีเมล์กับผู้ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันนี้
ส่วนคนอื่นที่อยากรู้ว่า
๖
คนนั้นเป็นใครและรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็ดูเอาเองในรูปข้างล่างก็แล้วกัน
รูปที่
๑ สมาชิกที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันนี้
จากซ้ายไปขวา สาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์
สาวน้อยจากเมืองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
สาวน้อยผมหยิกจากนครศรีธรรมราช
สาวน้อยหน้าบาน
(สี่คนแรกนี้มีแฟนมาเป็นช่างภาพถ่ายรูปให้)
สาวน้อยผมยาวจากชายแดนใต้
(คนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่มีแฟน
คงเป็นเพราะสเป็กสูงและเลือกมาก)
และสาวน้อยนักแสดง
(ที่รับปริญญาพร้อมกับแฟนในบ่ายวันเดียวกัน)
ทีนี้ก็ได้เวลากลับมายังเรื่องการแก้ปัญหา
GC-2014
ECD & PDD ของเราต่อ
จากประสบการณ์การทำงานกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเคมีนั้นพบว่า
บ่อยครั้งที่ปัญหาของการวัดด้วยเครื่องมือวิเคราะห์นั้น
มันไม่ได้อยู่ที่ตัวเครื่องมือ
แต่มันอยู่ที่ระบบเก็บตัวอย่าง
หรือวิธีการเตรียมสารตัวอย่าง
ทำให้ผลการวิเคราะห์ที่ได้นั้นมัน
"ไม่ออกมาอย่างที่เราต้องการ"
แต่ผลที่ได้นั้นมัน
"ถูกต้อง"
กรณีของการทดลองเก็บตัวอย่างแก๊ส
NO
ที่ไหลผ่าน
fixed-bed
ที่อุณหภูมิสูงที่บรรจุ
inert
packing เอาไว้
ที่เราประสบปัญหามาตลอด
คือ mass
flow controller แสดงให้เห็นว่ามีแก๊สไหลเข้าระบบตลอดเวลา
แต่พอเก็บตัวอย่างด้านขาออกกลับไม่พบ
NO
ในแก๊สตัวอย่าง
ทั้ง ๆ
ที่เมื่อเก็บตัวอย่างจากระบบเดียวกันที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่า
เรากลับตรวจพบ NO
ได้อย่างชัดเจนในปริมาณที่สม่ำเสมอ
เมื่อวานได้ปรับแต่งระบบอุปกรณ์ใหม่อีกครั้ง
โดยให้นำเอา saturator
ที่เราใช้สำหรับผสมน้ำเข้าระบบออก
แล้วต่อท่อตรงแทน
(ท่อด้านนี้เป็นด้านการไหลของ
O2)
ส่วนอีกท่อหนึ่งที่เป็นท่อแก๊ส
N2
ที่นำพาแก๊ส
NH3
SO2 และ
NO
มานั้นก็ทดลองต่อท่อชั่วคราวขึ้นมาใหม่
จากเดิมที่ต้องไหลไปยังวาล์วสามทางเพื่อเลือกจะไปยัง
reactor
หรือจะ
bypass
ไปยังด้านขาออกเลยนั้น
ให้กลายมาเป็นตรงไปยัง
reactor
เลยโดยไม่ต้องเข้าวาล์วสามทาง
อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ทำก็คือทำการเพิ่มอัตราการไหลของ
NO
จากเดิมที่ตั้ง
mass
flow controller ไว้ที่
1.48
(หรือ
0.95
ml/min) ให้กลายเป็น
5.00
(หรือ
2.94
ml/minที่ความดันด้านขาเข้า
2
kg/cm2) โดยที่คงอัตราการไหลของแก๊สตัวอื่น
(N2
NH3 O2 และ
SO2)
ไว้ที่อัตราการไหลเดียวกันกับที่ใช้ในการทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา
เหตุผลที่ได้ให้เพิ่มอัตราการไหล
NO
ให้สูงขึ้นก่อนก็เพราะต้องการตัดปัญหาเรื่องความดันย้อนกลับที่อาจส่งผลต่ออัตราการไหลของ
NO
(มันมีหรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่เลือกทำการทดลองที่อัตราการไหลที่คิดว่ามันไม่ส่งผลก่อน)
และเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงพีค
NO
ที่ชัดเจนขึ้น
(ในกรณีที่ถ้าหากมันจะหายไป)
การทดลองเริ่มจากอุณหภูมิ
300ºC
ก่อนในช่วงบ่าย
ถ้าเห็นพีค NO
ก็จะค่อย
ๆ ไต่อุณหภูมิขึ้นทีละ 20
หรือ
30ºC
ไปจนถึง
450ºC
ซึ่งกว่าจะไปถึง
450ºC
ก็พอดีดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ซึ่งในระหว่างนี้ก็มีน้องนกเพนกวิน
(นิสิตป.ตรี)มาช่วยร่วมลุ้นและเป็นกำลังให้กับพวกพี่
ๆ (นิสิตป.โท)
ที่ทำการทดลอง
ปรากฏว่าคราวนี้เห็นพีค
NO
ได้ค่อนข้างคงเส้นคงวาไปจนถึงอุณหภูมิ
450ºC
(ดูรูปที่
๑)
ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบผลของความดันย้อนกลับ
โดยทำการปรับลด mass
flow controller ของ
NO
จากระดับ
5.00
(หรือ
2.94
ml/min) ลงมาเหลือ
3.00
(หรือ
1.81
ml/min) ก่อน
ถ้ายังเห็นพีค NO
ก็จะลดต่อลงมาที่ระดับ
1.48
(หรือ
0.95
ml/min) ซึ่งก็ปรากฏว่าได้พีคดังแสดงในรูปที่
๓ ซึ่งกว่าจะเสร็จทั้งสาวน้อยหน้าบาน
(คนใหม่)
และสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์
(คนใหม่)
ก็ต้องอยู่ทำแลปถึงสองทุ่ม
ทำเอาวันนี้ตื่นสายมาแทบไม่ทันถ่ายรูปร่วมกับผู้ที่รับปริญญา
อันที่จริงพีค
NO
ในรูปที่
๓ มันก็ไม่ได้เท่ากันซะทีเดียว
มันมีขนาดเล็กลงเล็กน้อยเมื่อปรับลดอัตราการไหลของ
NO
(แต่คิดว่าคงจะยังไม่เข้าที่เท่าไรนัก)
จากการทดลองที่ผ่านมาเราพบว่าถ้าหากความเข้มข้น
NO
ในแก๊สลดลง
พีค NO
จะออกมาช้าลง
ซึ่งถ้าเอาโครมาโทแกรมในรูปที่
๓ มาซ้อนทับเอาโดยเอาจุดเริ่มต้นเกิดพีค
O2
เป็นหลักดังแสดงในรูปที่
๔ เราก็จะเห็นได้ว่าเมื่อลดอัตราการไหลผ่าน
mass
flow controller จาก
5.00
ลงเหลือ
3.00
และเหลือ
1.48
นั้น
พีค NO
ที่ออกมาจะออกมาช้าลงเป็นลำดับ
(ตรงที่ลูกศรสีแดงชี้ในรูปที่
๔)
ส่วนเรื่องที่ว่าเราแก้ปัญหาอย่างไรนั้นจึงทำให้เห็นพีค
NO
ได้ต้องขอเก็บไว้ก่อน
เพราะต้องขอตรวจสอบในเรื่องผลของน้ำที่มีต่อการเกิดพีค
NO
ก่อน
จากนั้นจึงค่อยว่ากันอีกที
วันนี้หยุดทำการทดลอง
๑ วันเพื่อพักผ่อน
งานต่อไปที่จะทำต่อในวันพรุ่งนี้
(ศุกร์
๒๐)
คือการต่อ
saturator
กลับคืนและเพิ่มไอน้ำเข้าไปในระบบ
ซึ่งคิดว่าคงจะเริ่มเหมือนกับเมื่อวาน
คือเริ่มที่อุณหภูมิ 300ºC
และตั้ง
mass
flow controller ของ
NO
ไว้ที่
5.00
ก่อน
งานนี้ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป
จากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาว่าจะหาทางคำนวณพื้นที่พีค
NO
ที่ซ้อนทับอยู่บนหางของพีค
O2
ด้วยวิธีการไหนดี
จึงจะได้พื้นที่พีคที่คงเส้นคงวาและอธิบายได้
รูปที่
๒ ผลการวัดความเข้มข้นของ
NO
ในแก๊สด้านขาออกจาก
reactor
ที่บรรจุ
TiO2
(anatase) เอาไว้
ที่อุณหภูมิต่าง ๆ
GC-2014
FPD และ
GC-2014
ECD & PDD
ทั้งสองเครื่องนี้เราได้รับมาในสมัยสาวน้อยหน้าใสใส่แว่นยิ้มได้ทั้งวัน
ซึ่งตอนนั้นเป็นแค่การตรวจรับแต่ยังไม่ได้นำมาใช้งาน
ปีถัดมาเป็นคราวของสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์ที่ทำหน้าที่ปรับแต่งการทำงานของ
GC-2014
FPD จนเราสามารถตรวจวัด
SO2
ได้
ตามด้วยยุคของสาวน้อยหน้าบานและสาวน้อยจากเมืองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกที่ข่วยกันจนกระทั่งสามารถใช้
PDD
ตรวจวัด
NH3
ได้
และคงปิดท้ายด้วยเวลาของสาวน้อยหน้าบาน
(คนใหม่)
และสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์
(คนใหม่)
ที่จะทำให้เราสามารถใช้
ECD
วัด
NO
ได้
รูปที่
๓ โครมาโทแกรมที่ได้จากการเก็บแก๊สตัวอย่างที่อุณหภูมิ
450ºC
ที่ความเข้มข้น
NO
ที่แตกต่างกัน
โดยตั้งค่า Mass
flow controller ไว้ดังนี้
เส้นสีดำ 5.00
เส้นสีม่วง
3.00
และเส้นสีน้ำเงิน
1.48
รูปที่
๔ ลูกศรสีแดงแสดงจุดเริ่มต้นเกิดพีคของ
NO
ที่ผ่านมานั้นเราพบว่าเมื่อความเข้มข้น
NO
ในแก๊สตัวอย่างลดลง
พีค NO
จะออกมาล่าช้าลง
โครมาโทแกรมทั้งสามเส้นเป็นเส้นเดียวกับที่แสดงในรูปที่
๒
แต่นำมาซ้อนกันเพื่อต้องการเปรียบเทียบให้เห็นตำแหน่งของการเริ่มเกิดพีค
และขนาดของพีคที่แตกต่างกันอยู่
โดยตั้งค่า Mass
flow controller ไว้ดังนี้
เส้นสีดำ
5.00
เส้นสีม่วง
3.00
และเส้นสีน้ำเงิน
1.48