คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า
แต่ในที่สุดก็ต้องลงมือเขียนจนได้
จะได้หมดเรื่องคาใจ
ผมต้องขับรถระหว่างชลบุรี-ระยองมาตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๓๑
ที่ได้ไปทำงานอยู่ที่ระยอง
ตั้งแต่ตอนที่ถนนสาย ๓๖
จากแยกกระทิงลายไประยองยังเป็นถนนสองเลนให้รถวิ่งสวนกัน
จะแซงกันได้ก็ตอนขึ้นเนินที่เขาจะทำช่องทางพิเศษให้รถที่วิ่งช้าหลบชิดซ้าย
ให้รถที่วิ่งเร็วกว่าแซงขึ้นไปได้
ซึ่งตอนนี้ถนนเส้นนี้ได้กลายเป็นฝั่งด้านขาออกจากแยกกระทิงลายไประยอง
ส่วนถนนฝั่งด้านขาเข้าจากระยองมาแยกกระทิงลายนั้นเป็นถนนที่ทำเพิ่มขึ้นมาใหม่ตอนที่เขาขยายสาย
๓๖ ขึ้นเป็นสี่ช่องทางจราจร
ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าพบว่าถนนฝั่งจากกระทิงลายไประยองช่วงขึ้นเนินจะมีเลนซ้ายเพิ่มอีกหนึ่งเลน
แต่พอช่วงลงเนินจะมีเลนขวาเพิ่มอีกหนึ่งเลน
ตอนนั้นถนนสาย
๓๖ นี้กลางคืนจะเปลี่ยวมาก
มีโอกาสโดนปล้นได้ง่าย
จำได้ว่าช่วงปีพ.ศ.
๒๕๓๒
มีข่าวการปล้นกัน
โดยคนร้ายใช้วิธีขับรถขึ้นประกบรถที่ขับมาเดี่ยว
ๆ แล้วใช้อาวุธปืนยิงคนขับให้เสียชีวิต
พอรถตกลงข้างทางจึงค่อยไปเก็บทรัพย์สิน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างโรงงานที่ระยอง
มีวิศวกรไปทำงานที่นั่นกันเยอะ
(พวกเงินเดือนสูง)
แต่ที่ระยองเองไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยามค่ำคืน
จึงมักมีคนขับรถมาเที่ยวที่พัทยาแทน
อันที่จริงจากระยองมาพัทยายังมีเส้นทางถนนสุขุมวิทที่วิ่งเลียบทะเล
ตอนนั้นสุขุมวิทเส้นนี้สถาพถนนยังไม่ดี ลาดยางเฉพาะผิวจราจรแค่พอรถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น ผิวจราจรสู้สาย ๓๖ ไม่ได้ ส่วนไหล่ทางนั้นยังเป็นหินคลุก เส้นนี้เป็นเส้นทางที่ผ่านชุมชนทำให้ไม่เปล่าเปลี่ยว แต่คนที่ชอบขับรถเร็วมักใช้เส้นทางสาย ๓๖ มากกว่าที่จะใช้เส้นสุขุมวิท
ตอนนั้นสุขุมวิทเส้นนี้สถาพถนนยังไม่ดี ลาดยางเฉพาะผิวจราจรแค่พอรถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น ผิวจราจรสู้สาย ๓๖ ไม่ได้ ส่วนไหล่ทางนั้นยังเป็นหินคลุก เส้นนี้เป็นเส้นทางที่ผ่านชุมชนทำให้ไม่เปล่าเปลี่ยว แต่คนที่ชอบขับรถเร็วมักใช้เส้นทางสาย ๓๖ มากกว่าที่จะใช้เส้นสุขุมวิท
ถนนอีกเส้นที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนมีการปล้นกันบ่อยคือเส้น
๓๔๔ ที่เริ่มจากชลบุรี ผ่าน
อ.
บ้านบึง
จ.
ชลบุรี
ไปสุดที่ อ.
แกลง
จ.
ระยอง
ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางสำหรับคนที่จะเดินทางไปจันทบุรีและตราด
เพราะมันตัดตรงกว่าเส้นที่วิ่งเข้าระยอง
ที่แต่ก่อนมีปล้นกันบ่อยก็เพราะพ่อค้าที่เดินทางไปซื้อพลอยที่จันทบุรีจะหอบเงินสดเดินทางโดยใช้ถนนเส้นนี้
ถนนสายนี้ยังเป็นจุดจบของผู้มีอิทธิพลในภาคตะวันออกหลายราย
โดยเฉพาะที่อ.
บ้านบึง
ถึงกับมีสี่แยกหนึ่งที่เรียกกันว่า
"แยกเอ็ม
16"
(จุดตัดกับถนนสาย
๓๑๓๘ (ถนนสายบ้านบึง-บ้านค่าย))
ด้วยว่าสมัยหนึ่งมีการฆ่ากันที่แยกนี้ด้วยอาวุธปืนเอ็ม
16
เป็นประจำ
เพราะเป็นถนนช่วงที่เปลี่ยว
แต่ดันมีสัญญาณไฟจราจรให้รถหยุด
--------------------
กลับจากต่างประเทศพ.ศ.
๒๕๓๗
ก็ได้กลับมาใช้ถนนเส้นนี้อีกครั้ง
คราวนี้มีการตัดถนนสาย ๗
เชื่อมระหว่างสายสุขุมวิทเลี่ยงระยอง
(ช่วงบ้านสวน)
มาบรรจบสาย
๓๖ บริเวณเขาไม้แก้วที่อยู่ระหว่างแยกกระทิงลายและจุดตัดระหว่างสาย
๓๖ กับสาย ๓๓๑
ตอนนั้นมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรียังไม่สร้าง)
สาย
๓๖ อยู่ในระหว่างการขยาย
ส่วนสาย ๓๓๑ ยังเป็นถนนสองเลน
มาคราวหลังนี้เนื่องจากรู้จักเส้นทางมากขึ้น
ทำให้รู้จักเส้นทางเลี่ยงคือเส้นจาก
อ.
ศรีราชา
ตัดข้ามถนนสาย ๗ ไปออกสาย
๓๓๑ แถวบ้านหุบบอน
จากนั้นตรงไปทางอ.ปลวกแดง
ต่อไปยัง อ.
บ้านค่าย
และเข้าตัวจังหวัดระยอง
เส้นทางช่วงถนนสาย ๓๓๑
ผ่านปลวกแดง บ้านค่าย
ไปยังระยองนั้น เป็นทางหลวง
๓๑๓๘ ที่มีเลขหมายปรากฏในแผนที่
แต่เส้นช่วงสาย ๓๓๑
ไปยังศรีราชานั้นเป็นถนนท้องถิ่น
มีบางช่วงที่ตัดอ้อมผ่านภูเขาเตี้ย
ๆ ของชลบุรี
เป็นเส้นทางที่แต่ก่อนมีเฉพาะคนท้องถิ่นและคนที่รู้จักเส้นทางเท่านั้นที่ใช้กัน
เพราะมันไม่มีป้ายบอกว่ามันจะไปทางไหนและไปออกที่ใด
แม้ว่าช่วงหลังนี้ถนนสาย
๗ และสาย ๓๖
จะมีรถวิ่งกันมากขึ้นและวิ่งกันตลอดทั้งคืน
แต่ก็ยังมีการจี้ปล้นกันอยู่ในช่วงกลางคืน
วิธีการหนึ่งที่ใช้กันก็คือใช้วิธีขับรถเฉี่ยวชนให้เกิดอุบัติเหตุ
จากนั้นก็หลบเข้าจอดข้างทางเพื่อดูว่าคู่กรณีจะจอดรถลงมาดูความเสียหายหรือไม่
ถ้าคู่กรณีเผลอลงมาจากรถเพื่อที่จะโวยวายหรือดูความเสียหายเมื่อไร
คนร้ายที่อยู่ในรถกันหลายคนก็จะยกพวกลงมาปล้นเอารถไป
แม้ว่าถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา
แต่ในเวลากลางคืนก็ไม่มีใครคิดจะหยุดดูรถที่เข้าจอดข้างทางว่าเขาเข้าจอดทำไม
คนที่เห็นเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนก็คงนึกว่าเป็นการลงไปตกลงเรื่องความเสียหาย
ส่วนคนที่ขับผ่านมาทีหลังจะเห็นว่าตรงที่รถสองคันจอดอยู่นั้นมีคนยืนคุยกันอยู่หลายคน
ทำให้หลงคิดได้ว่าคงเป็นพวกที่มาด้วยกันปรึกษาหารืออะไรกันอยู่
แต่ถ้าเป็นถนนเส้นรองที่กว้างพอแค่รถวิ่งสวนกันได้โดยรถเก๋งไม่สามารถลงไปวิ่งในไหล่ทางได้
ก็อาจใช้วิธีการปิดถนน
คือให้มีรถนำหน้าคัน ตามหลังคัน
พอได้โอกาสพอเหมาะคันหน้าก็จะจอดขวางทางเอาไว้
ส่วนคันหลังก็จะปิดทางไม่ให้ถอยรถหนีไปได้
แต่วิธีการนี้มันไม่ค่อยเนียนเท่าไร
เพราะถ้ารถคันที่จะปล้นนั้นคนขับมีอาวุธมาด้วย
เขาก็จะรู้ตัวว่ากำลังถูกปล้น
คนร้ายก็มีสิทธิ์เจ็บตัวได้เหมือนกัน
ไม่เหมือนกับการเฉี่ยวชนที่แม้ว่ารถคันเป้าหมายจะมีอาวุธมาด้วย
แต่คนขับที่ลงมาดูความเสียหายรถตัวเองคงไม่ถืออาวุธลงมา
และคงคิดว่าถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปตลอดเวลาคงไม่มีการปล้นกัน
--------------------
นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบแกล้งคนอื่นไปวัน
ๆ พวกนี้ถ้าคิดจะแกล้งใครก็จะเร่งความเร็วแซงขึ้นมาอยู่ข้างหน้า
จากนั้นก็จะลดความเร็วลงวิ่งช้า
ๆ ขวางเอาไว้
ถ้ารถคันที่ถูกแซงพยายามที่จะแซงหน้าขึ้นไปมันก็จะเร่งเครื่องวิ่งขวางเอาไว้ไม่ให้แซง
ที่เคยเจอก็เป็นพวกแก๊งค์มอเตอร์ไซค์วัยรุ่น
แต่ถ้ามันเห็นเราขับช้า ๆ
ตามมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดสนใจอะไร
มันก็จะหลบไปเอง
พฤติกรรมแก๊งค์มอเตอร์ไซค์แบบนี้เคยมีคนมาบ่นกับผมว่าไปเจอมาตอนขับรถกลับช่วงกลางคืน
เขามาปรารภกับผมว่าชักอยากจะซื้อปืนติดรถบ้างแล้ว
ผมก็เตือนเขาไปว่าถ้าเป็นคนใจร้อนคุมสติไม่ได้อย่างนั้นอย่าคิดมีอาวุธปืนเลยดีกว่า
แล้วผมก็ถามเขากลับไปว่าแล้วทำไมไม่ปิดไฟส่องสว่างแล้ววิ่งตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปล่ะ
เขาก็ทำหน้างงแบบไม่เข้าใจ
ผมก็เลยอธิบายต่อว่าจะได้มองไม่เห็นป้ายทะเบียนรถเรายังไง
พอเข้าที่มืด ๆ ปลอดคนเห็นก็จัดการซะเลย
รถเรามันใหญ่กว่ามอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว
และรถคุณก็ประกันชั้นหนึ่งด้วย
จะไปห่วงอะไร
--------------------
รูปที่
๑ แผนที่บริเวณจังหวัดระยองและชลบุรีในปีพ.ศ.
๒๕๐๘
เรื่องที่อยากจะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดบนถนนเส้นรอง
คือถนนที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่าง
ๆ ที่อยู่ระหว่างถนนเส้นหลัก
(ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดหรืออำเภอต่าง
ๆ)
แต่ก่อนถนนเส้นรองนี้ก็ไม่ได้ลาดยางทั้งหมด
เป็นลูกรังบ้าง เป็นหินคลุกบ้าง
ถ้าเข้าเขตหมู่บ้านก็อาจเป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ
กันคือมันมักไม่ค่อยมีเส้นตีแนวบนพื้นถนนหรือข้างทาง
และก็ไม่มีป้ายบอกด้วยว่าทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร
ไหล่ทางก็มักจะไม่มีจุดสังเกต
และมักอยู่ต่ำกว่าถนนด้วย
ถนนเส้นรองที่อยู่ระหว่างสาย
๓๓๑ และสาย ๗ ตัดผ่านบริเวณที่เป็นไร่อ้อย
ไร่มันสำปะหลัง และไร่สับปะรด
มีการปลูกสนหรือยูคาบ้าง
บางช่วงก็เป็นต้นไม้อยู่ข้างทาง
คืนนั้นเสร็จจากอาหารเย็นกับนิสิตที่ไปตรวจเยี่ยมที่ระยองก็ค่ำแล้ว
ผมเลือกที่จะขับรถกลับบางแสนโดยใช้เส้นทางผ่าน
อ.บ้านค่าย
ไปยัง อ.
ปลวกแดง
ตัดข้ามทางหลวงสาย ๓๓๑
เพื่อที่จะผ่านด้านหลังเขาเขียวไปโผล่ทางอ่างเก็บน้ำบางพระ
ซึ่งเป็นเส้นทางที่ตัดตรง
แทนที่จะวิ่งอ้อมไปยัง อ.
บ้านบึง
ก่อนที่จะวกเข้าชลบุรีและลงมาบางแสนอีกที
พอข้ามทางหลวงสาย
๓๓๑
มาแล้วก็เป็นถนนรองเชื่อมระหว่างหมู่บ้านโดยตัวถนนเองนั้นไม่มีไฟส่องสว่าง
ดูเหมือนว่าจะเป็นรถเพียงคันเดียวที่ขับอยู่บนถนนเส้นนั้นในช่วงเวลานั้น
อยู่ดี ๆ
ก็มีรถมอเตอร์ไซค์จากไหนไม่รู้วิ่งแซงหน้าขึ้นมาแล้วก็มาขับช้า
ๆ ขวางหน้า
พอเจออย่างนี้เข้าผมก็ขับตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปเรื่อย
ๆ สักพักพอถึงโค้ง ๆ
หนึ่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็หลบไปข้างทางส่วนผมก็ขับแซงหน้าขึ้นไป
ขับไปสักพักจู่
ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์โผล่ขึ้นมาจากข้างทางมืด
ๆ มาขวางอยู่หน้ารถ
ผมเดาว่ามันคงติดเครื่องแต่ปิดไฟหน้าเอาไว้
รอจังหวะให้ผมเข้ามาใกล้
ๆ แล้วก็โผล่พรวดขึ้นมา
สังเกตดูพบว่าเป็นรถคันเดิมที่เข้ามาขวางหน้าก่อนหน้านี้
ผมเลยสงสัยว่ามันคงรู้ทางลัดเพราะมันเป็นรถเล็ก
วิ่งในเส้นทางที่รถยนต์วิ่งไม่ได้
ก็เลยสามารถมาดักรอผมข้างหน้าได้อีก
ทีนี้มันแกล้งหยุดรถกระทันหัน
ทำให้ผมต้องหยุดรถกระทันหันไปด้วย
พอรถผมเข้าใกล้ท้ายรถมัน
มันก็เร่งเครื่องหนีไป
มันทำอย่างนี้สักสามสี่ครั้งแล้วก็ดับไฟแล้วขับหายไปในความมืดข้างทาง
ตอนนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคืนนี้คงเจอดีเข้าให้แล้ว
คิดว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นคงมาดูลาดเลาว่าในรถที่ผมขับมานั้นมีใครอยู่ด้วยหรือไม่
ถนนเล็ก ๆ ในที่เปลี่ยว ๆ
เช่นนี้สำหรับรถเก๋งแล้วเจอท่อนไม้ขนาดท่อนแขน
(พวกไม้สนหรือไม้ยูคาที่ใช้ทำน่งร้านหรือเสาเข็ม)
วางขวางถนนก็เสร็จได้เหมือนกัน
ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี
ก็มีแสงไฟส่องสว่างจ้ามาจากทางด้านหลัง
แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งแซงขวาปาดหน้ารถผมจากขวามาทางซ้ายอย่างรวดเร็ว
ผมตัดสินใจเปิดไฟสูงเร่งเครื่องเข้าจี้ท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นทันทีพร้อมที่จะเบียดออกขวาหรือซ้ายก็ได้เพื่อแซงขึ้นไป
ในขณะที่รถผมวิ่งเข้าจี้ท้ายมอเตอร์ไซค์นั้น
แสงจากไฟหน้ารถทำให้ผมเห็นว่าผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นต้องการอะไรจากผม
เสี้ยววินาทีนั้นผมตัดสินใจ
.....
--------------------
ผมขับรถต่อมาจนถึงสามแยกระหว่างทางเข้าหมู่บ้านหมู่สุดท้ายก่อนออกถนนใหญ่
โชคดีที่ตรงสามแยกนั้นมีโคมไฟส่องสว่างและมีตู้แดง
(ตู้ที่สถานีตำรวจแขวนไว้ตามจุดต่าง
ๆ เพื่อให้สายตรวจไปลงชื่อว่าได้ผ่านจุดต่าง
ๆ นั้นเมื่อเวลาใด)
แขวนอยู่ตรงนั้น
บังเอิญว่าตอนที่ผมไปถึง
มีตำรวจนายหนึ่งกำลังเดินจากตู้แดงมายังรถปิ๊คอัพที่จอดอยู่
เพื่อจะเปิดประตูขึ้นรถ
จากแสงไฟหน้ารถของผมทำให้เห็นว่านายตำรวจผู้นั้นชะงักมือเอาไว้ไม่เปิดประตู
แต่จ้องมองดูรถผม
ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะขับรถต่อไปยังทิศทางที่ผมขับมา
ผมลดความเร็วลดลง
ขับรถชิดซ้ายเข้าจอดข้างทางเทียบรถตำรวจ
นายตำรวจผู้นั้นก็หันมามองทางรถผม
ผมเลยลดกระจกด้านคนขับลง
"คุณตำรวจครับ
คือว่าเมื่อสักครู่นี้ ....
" ผมบอกนายตำรวจ
แต่ก็พูดได้แค่ประโยคสั้น
ๆ เนื่องจากความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา
"คุณเพิ่งจะขับรถผ่านมาจากทางด้านโน้นใช่ไหม"
นายตำรวจผู้นั้นพูดกับผมก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อไป
"คุณโชคดีนะที่รอดมาได้"
นายตำรวจผู้นั้นกล่าวต่อ
พร้อมกับเดินออกไปกลางถนน
เดินย้อนไปในทิศทางที่ผมขับรถมา
โดยไม่ถามผมต่อไปว่าผมกำลังจะบอกอะไรต่อไป
ผมได้แต่มองตามหลังคุณตำรวจไปโดยอาศัยแสงจากไฟท้ายรถผม
"ไอ้นี่มันออกมาก่อเรื่องกับคนที่ขับรถผ่านแถวนี้ตอนกลางคืนเป็นประจำ
มีคนเจอมาหลายรายแล้ว"
คุณตำรวจเล่าให้ผมฟัง
ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ใช่รายแรกที่เจอเหตุการณ์ดังกล่าว
"โค้งตรงนั้นมันมีเนินบังอยู่
แล้วก็หักศอกซ้ายเอาดื้อ
ๆ ใครไม่ชำนาญทาง
หรือไปหลงโมโหตามที่พวกมันยั่ว
เสร็จพวกมันทุกที
ขืนวิ่งตรงหรือแซงขวาได้แหกโค้งลงคูข้างทางเป็นประจำ"
"ผมเองก็มารอดักจับมันอยู่ตั้งนานแล้ว
แต่ไม่ได้ตัวมันสักที
ปัญหาหลักก็คือเจ้าทุกข์ไม่กล้ามาชี้ตัว"
คุณตำรวจกล่าวต่อไป
"ครั้งนี้เขาทำอะไรกับคุณล่ะ
สงสัยผมต้องไปร่วมวงกับมันสักหน่อยแล้ว"
คุณตำรวจยังคงพูดต่อไปโดยยังคงยืนหันหลังให้ผม
มองไปในทิศทางที่ผมขับรถมา
แล้วถามผมว่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังนิ่มนวลขึ้นว่า
"เขาทำอย่างนี้กับคุณใช่ไหม"
--------------------
หลังเหตุการณ์วันนั้น
ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจอดรถเพื่อแจ้งความอะไรให้กับตำรวจในตอนกลางคืนอีกเลย
สิ่งที่นายตำรวจผู้นั้นทำกับผมในคืนนั้นทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้
แต่ตอนนี้ผมตอบคำถามของเขาได้แล้ว
คำตอบของผมสำหรับคำถามของนายตำรวจผู้นั้นในคืนนั้นคือ
รูปที่
๒ แผนที่ทางหลวงบริเวณจังหวัดชลบุรีและระยองในปีพ.ศ.
๒๕๓๕
(จากหนังสือ
"ทางหลวงในประเทศไทย"
จัดทำโดยกรมทางหลวง
พ.ศ.
๒๕๓๕
"ใช่ครับคุณตำรวจ
เขาทำเหมือนกับที่คุณตำรวจแสดงให้ผมดูอยู่ตอนนี้แหละครับ
คือเขาหันหัวกลับมาข้างหลังได้
๑๘๐ องศาโดยไม่ต้องหันตัว
แล้วยิ้มให้ผม
ก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา"
--------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น