วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เหตุเกิดขณะขับรถกลับจากตรวจฝึกงานระยอง MO Memoir : Saturday 18 May 2556

คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็ต้องลงมือเขียนจนได้ จะได้หมดเรื่องคาใจ

ผมต้องขับรถระหว่างชลบุรี-ระยองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ที่ได้ไปทำงานอยู่ที่ระยอง ตั้งแต่ตอนที่ถนนสาย ๓๖ จากแยกกระทิงลายไประยองยังเป็นถนนสองเลนให้รถวิ่งสวนกัน จะแซงกันได้ก็ตอนขึ้นเนินที่เขาจะทำช่องทางพิเศษให้รถที่วิ่งช้าหลบชิดซ้าย ให้รถที่วิ่งเร็วกว่าแซงขึ้นไปได้ ซึ่งตอนนี้ถนนเส้นนี้ได้กลายเป็นฝั่งด้านขาออกจากแยกกระทิงลายไประยอง ส่วนถนนฝั่งด้านขาเข้าจากระยองมาแยกกระทิงลายนั้นเป็นถนนที่ทำเพิ่มขึ้นมาใหม่ตอนที่เขาขยายสาย ๓๖ ขึ้นเป็นสี่ช่องทางจราจร ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าพบว่าถนนฝั่งจากกระทิงลายไประยองช่วงขึ้นเนินจะมีเลนซ้ายเพิ่มอีกหนึ่งเลน แต่พอช่วงลงเนินจะมีเลนขวาเพิ่มอีกหนึ่งเลน
 
ตอนนั้นถนนสาย ๓๖ นี้กลางคืนจะเปลี่ยวมาก มีโอกาสโดนปล้นได้ง่าย จำได้ว่าช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๒ มีข่าวการปล้นกัน โดยคนร้ายใช้วิธีขับรถขึ้นประกบรถที่ขับมาเดี่ยว ๆ แล้วใช้อาวุธปืนยิงคนขับให้เสียชีวิต พอรถตกลงข้างทางจึงค่อยไปเก็บทรัพย์สิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างโรงงานที่ระยอง มีวิศวกรไปทำงานที่นั่นกันเยอะ (พวกเงินเดือนสูง) แต่ที่ระยองเองไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยามค่ำคืน จึงมักมีคนขับรถมาเที่ยวที่พัทยาแทน อันที่จริงจากระยองมาพัทยายังมีเส้นทางถนนสุขุมวิทที่วิ่งเลียบทะเล 
 
ตอนนั้นสุขุมวิทเส้นนี้สถาพถนนยังไม่ดี ลาดยางเฉพาะผิวจราจรแค่พอรถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น ผิวจราจรสู้สาย ๓๖ ไม่ได้ ส่วนไหล่ทางนั้นยังเป็นหินคลุก เส้นนี้เป็นเส้นทางที่ผ่านชุมชนทำให้ไม่เปล่าเปลี่ยว แต่คนที่ชอบขับรถเร็วมักใช้เส้นทางสาย ๓๖ มากกว่าที่จะใช้เส้นสุขุมวิท
 
ถนนอีกเส้นที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนมีการปล้นกันบ่อยคือเส้น ๓๔๔ ที่เริ่มจากชลบุรี ผ่าน อ. บ้านบึง จ. ชลบุรี ไปสุดที่ อ. แกลง จ. ระยอง ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางสำหรับคนที่จะเดินทางไปจันทบุรีและตราด เพราะมันตัดตรงกว่าเส้นที่วิ่งเข้าระยอง ที่แต่ก่อนมีปล้นกันบ่อยก็เพราะพ่อค้าที่เดินทางไปซื้อพลอยที่จันทบุรีจะหอบเงินสดเดินทางโดยใช้ถนนเส้นนี้ ถนนสายนี้ยังเป็นจุดจบของผู้มีอิทธิพลในภาคตะวันออกหลายราย โดยเฉพาะที่อ. บ้านบึง ถึงกับมีสี่แยกหนึ่งที่เรียกกันว่า "แยกเอ็ม 16" (จุดตัดกับถนนสาย ๓๑๓๘ (ถนนสายบ้านบึง-บ้านค่าย)) ด้วยว่าสมัยหนึ่งมีการฆ่ากันที่แยกนี้ด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 เป็นประจำ เพราะเป็นถนนช่วงที่เปลี่ยว แต่ดันมีสัญญาณไฟจราจรให้รถหยุด

--------------------

กลับจากต่างประเทศพ.ศ. ๒๕๓๗ ก็ได้กลับมาใช้ถนนเส้นนี้อีกครั้ง คราวนี้มีการตัดถนนสาย ๗ เชื่อมระหว่างสายสุขุมวิทเลี่ยงระยอง (ช่วงบ้านสวน) มาบรรจบสาย ๓๖ บริเวณเขาไม้แก้วที่อยู่ระหว่างแยกกระทิงลายและจุดตัดระหว่างสาย ๓๖ กับสาย ๓๓๑ ตอนนั้นมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรียังไม่สร้าง) สาย ๓๖ อยู่ในระหว่างการขยาย ส่วนสาย ๓๓๑ ยังเป็นถนนสองเลน มาคราวหลังนี้เนื่องจากรู้จักเส้นทางมากขึ้น ทำให้รู้จักเส้นทางเลี่ยงคือเส้นจาก อ. ศรีราชา ตัดข้ามถนนสาย ๗ ไปออกสาย ๓๓๑ แถวบ้านหุบบอน จากนั้นตรงไปทางอ.ปลวกแดง ต่อไปยัง อ. บ้านค่าย และเข้าตัวจังหวัดระยอง เส้นทางช่วงถนนสาย ๓๓๑ ผ่านปลวกแดง บ้านค่าย ไปยังระยองนั้น เป็นทางหลวง ๓๑๓๘ ที่มีเลขหมายปรากฏในแผนที่ แต่เส้นช่วงสาย ๓๓๑ ไปยังศรีราชานั้นเป็นถนนท้องถิ่น มีบางช่วงที่ตัดอ้อมผ่านภูเขาเตี้ย ๆ ของชลบุรี เป็นเส้นทางที่แต่ก่อนมีเฉพาะคนท้องถิ่นและคนที่รู้จักเส้นทางเท่านั้นที่ใช้กัน เพราะมันไม่มีป้ายบอกว่ามันจะไปทางไหนและไปออกที่ใด
 
แม้ว่าช่วงหลังนี้ถนนสาย ๗ และสาย ๓๖ จะมีรถวิ่งกันมากขึ้นและวิ่งกันตลอดทั้งคืน แต่ก็ยังมีการจี้ปล้นกันอยู่ในช่วงกลางคืน วิธีการหนึ่งที่ใช้กันก็คือใช้วิธีขับรถเฉี่ยวชนให้เกิดอุบัติเหตุ จากนั้นก็หลบเข้าจอดข้างทางเพื่อดูว่าคู่กรณีจะจอดรถลงมาดูความเสียหายหรือไม่ ถ้าคู่กรณีเผลอลงมาจากรถเพื่อที่จะโวยวายหรือดูความเสียหายเมื่อไร คนร้ายที่อยู่ในรถกันหลายคนก็จะยกพวกลงมาปล้นเอารถไป แม้ว่าถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา แต่ในเวลากลางคืนก็ไม่มีใครคิดจะหยุดดูรถที่เข้าจอดข้างทางว่าเขาเข้าจอดทำไม คนที่เห็นเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนก็คงนึกว่าเป็นการลงไปตกลงเรื่องความเสียหาย ส่วนคนที่ขับผ่านมาทีหลังจะเห็นว่าตรงที่รถสองคันจอดอยู่นั้นมีคนยืนคุยกันอยู่หลายคน ทำให้หลงคิดได้ว่าคงเป็นพวกที่มาด้วยกันปรึกษาหารืออะไรกันอยู่
 
แต่ถ้าเป็นถนนเส้นรองที่กว้างพอแค่รถวิ่งสวนกันได้โดยรถเก๋งไม่สามารถลงไปวิ่งในไหล่ทางได้ ก็อาจใช้วิธีการปิดถนน คือให้มีรถนำหน้าคัน ตามหลังคัน พอได้โอกาสพอเหมาะคันหน้าก็จะจอดขวางทางเอาไว้ ส่วนคันหลังก็จะปิดทางไม่ให้ถอยรถหนีไปได้ แต่วิธีการนี้มันไม่ค่อยเนียนเท่าไร เพราะถ้ารถคันที่จะปล้นนั้นคนขับมีอาวุธมาด้วย เขาก็จะรู้ตัวว่ากำลังถูกปล้น คนร้ายก็มีสิทธิ์เจ็บตัวได้เหมือนกัน ไม่เหมือนกับการเฉี่ยวชนที่แม้ว่ารถคันเป้าหมายจะมีอาวุธมาด้วย แต่คนขับที่ลงมาดูความเสียหายรถตัวเองคงไม่ถืออาวุธลงมา และคงคิดว่าถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปตลอดเวลาคงไม่มีการปล้นกัน

--------------------

นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบแกล้งคนอื่นไปวัน ๆ พวกนี้ถ้าคิดจะแกล้งใครก็จะเร่งความเร็วแซงขึ้นมาอยู่ข้างหน้า จากนั้นก็จะลดความเร็วลงวิ่งช้า ๆ ขวางเอาไว้ ถ้ารถคันที่ถูกแซงพยายามที่จะแซงหน้าขึ้นไปมันก็จะเร่งเครื่องวิ่งขวางเอาไว้ไม่ให้แซง ที่เคยเจอก็เป็นพวกแก๊งค์มอเตอร์ไซค์วัยรุ่น แต่ถ้ามันเห็นเราขับช้า ๆ ตามมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดสนใจอะไร มันก็จะหลบไปเอง
 
พฤติกรรมแก๊งค์มอเตอร์ไซค์แบบนี้เคยมีคนมาบ่นกับผมว่าไปเจอมาตอนขับรถกลับช่วงกลางคืน เขามาปรารภกับผมว่าชักอยากจะซื้อปืนติดรถบ้างแล้ว ผมก็เตือนเขาไปว่าถ้าเป็นคนใจร้อนคุมสติไม่ได้อย่างนั้นอย่าคิดมีอาวุธปืนเลยดีกว่า แล้วผมก็ถามเขากลับไปว่าแล้วทำไมไม่ปิดไฟส่องสว่างแล้ววิ่งตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปล่ะ เขาก็ทำหน้างงแบบไม่เข้าใจ ผมก็เลยอธิบายต่อว่าจะได้มองไม่เห็นป้ายทะเบียนรถเรายังไง พอเข้าที่มืด ๆ ปลอดคนเห็นก็จัดการซะเลย รถเรามันใหญ่กว่ามอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว และรถคุณก็ประกันชั้นหนึ่งด้วย จะไปห่วงอะไร

--------------------
รูปที่ ๑ แผนที่บริเวณจังหวัดระยองและชลบุรีในปีพ.ศ. ๒๕๐๘

เรื่องที่อยากจะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดบนถนนเส้นรอง คือถนนที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างถนนเส้นหลัก (ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดหรืออำเภอต่าง ๆ) แต่ก่อนถนนเส้นรองนี้ก็ไม่ได้ลาดยางทั้งหมด เป็นลูกรังบ้าง เป็นหินคลุกบ้าง ถ้าเข้าเขตหมู่บ้านก็อาจเป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันคือมันมักไม่ค่อยมีเส้นตีแนวบนพื้นถนนหรือข้างทาง และก็ไม่มีป้ายบอกด้วยว่าทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร ไหล่ทางก็มักจะไม่มีจุดสังเกต และมักอยู่ต่ำกว่าถนนด้วย ถนนเส้นรองที่อยู่ระหว่างสาย ๓๓๑ และสาย ๗ ตัดผ่านบริเวณที่เป็นไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง และไร่สับปะรด มีการปลูกสนหรือยูคาบ้าง บางช่วงก็เป็นต้นไม้อยู่ข้างทาง 
  
คืนนั้นเสร็จจากอาหารเย็นกับนิสิตที่ไปตรวจเยี่ยมที่ระยองก็ค่ำแล้ว ผมเลือกที่จะขับรถกลับบางแสนโดยใช้เส้นทางผ่าน อ.บ้านค่าย ไปยัง อ. ปลวกแดง ตัดข้ามทางหลวงสาย ๓๓๑ เพื่อที่จะผ่านด้านหลังเขาเขียวไปโผล่ทางอ่างเก็บน้ำบางพระ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ตัดตรง แทนที่จะวิ่งอ้อมไปยัง อ. บ้านบึง ก่อนที่จะวกเข้าชลบุรีและลงมาบางแสนอีกที
 
พอข้ามทางหลวงสาย ๓๓๑ มาแล้วก็เป็นถนนรองเชื่อมระหว่างหมู่บ้านโดยตัวถนนเองนั้นไม่มีไฟส่องสว่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นรถเพียงคันเดียวที่ขับอยู่บนถนนเส้นนั้นในช่วงเวลานั้น อยู่ดี ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์จากไหนไม่รู้วิ่งแซงหน้าขึ้นมาแล้วก็มาขับช้า ๆ ขวางหน้า พอเจออย่างนี้เข้าผมก็ขับตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปเรื่อย ๆ สักพักพอถึงโค้ง ๆ หนึ่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็หลบไปข้างทางส่วนผมก็ขับแซงหน้าขึ้นไป
 
ขับไปสักพักจู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์โผล่ขึ้นมาจากข้างทางมืด ๆ มาขวางอยู่หน้ารถ ผมเดาว่ามันคงติดเครื่องแต่ปิดไฟหน้าเอาไว้ รอจังหวะให้ผมเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็โผล่พรวดขึ้นมา สังเกตดูพบว่าเป็นรถคันเดิมที่เข้ามาขวางหน้าก่อนหน้านี้ ผมเลยสงสัยว่ามันคงรู้ทางลัดเพราะมันเป็นรถเล็ก วิ่งในเส้นทางที่รถยนต์วิ่งไม่ได้ ก็เลยสามารถมาดักรอผมข้างหน้าได้อีก ทีนี้มันแกล้งหยุดรถกระทันหัน ทำให้ผมต้องหยุดรถกระทันหันไปด้วย พอรถผมเข้าใกล้ท้ายรถมัน มันก็เร่งเครื่องหนีไป มันทำอย่างนี้สักสามสี่ครั้งแล้วก็ดับไฟแล้วขับหายไปในความมืดข้างทาง
 
ตอนนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคืนนี้คงเจอดีเข้าให้แล้ว คิดว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นคงมาดูลาดเลาว่าในรถที่ผมขับมานั้นมีใครอยู่ด้วยหรือไม่ ถนนเล็ก ๆ ในที่เปลี่ยว ๆ เช่นนี้สำหรับรถเก๋งแล้วเจอท่อนไม้ขนาดท่อนแขน (พวกไม้สนหรือไม้ยูคาที่ใช้ทำน่งร้านหรือเสาเข็ม) วางขวางถนนก็เสร็จได้เหมือนกัน ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี ก็มีแสงไฟส่องสว่างจ้ามาจากทางด้านหลัง แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งแซงขวาปาดหน้ารถผมจากขวามาทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ผมตัดสินใจเปิดไฟสูงเร่งเครื่องเข้าจี้ท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นทันทีพร้อมที่จะเบียดออกขวาหรือซ้ายก็ได้เพื่อแซงขึ้นไป ในขณะที่รถผมวิ่งเข้าจี้ท้ายมอเตอร์ไซค์นั้น แสงจากไฟหน้ารถทำให้ผมเห็นว่าผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นต้องการอะไรจากผม เสี้ยววินาทีนั้นผมตัดสินใจ .....

--------------------

ผมขับรถต่อมาจนถึงสามแยกระหว่างทางเข้าหมู่บ้านหมู่สุดท้ายก่อนออกถนนใหญ่ โชคดีที่ตรงสามแยกนั้นมีโคมไฟส่องสว่างและมีตู้แดง (ตู้ที่สถานีตำรวจแขวนไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้สายตรวจไปลงชื่อว่าได้ผ่านจุดต่าง ๆ นั้นเมื่อเวลาใด) แขวนอยู่ตรงนั้น บังเอิญว่าตอนที่ผมไปถึง มีตำรวจนายหนึ่งกำลังเดินจากตู้แดงมายังรถปิ๊คอัพที่จอดอยู่ เพื่อจะเปิดประตูขึ้นรถ จากแสงไฟหน้ารถของผมทำให้เห็นว่านายตำรวจผู้นั้นชะงักมือเอาไว้ไม่เปิดประตู แต่จ้องมองดูรถผม ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะขับรถต่อไปยังทิศทางที่ผมขับมา
 
ผมลดความเร็วลดลง ขับรถชิดซ้ายเข้าจอดข้างทางเทียบรถตำรวจ นายตำรวจผู้นั้นก็หันมามองทางรถผม ผมเลยลดกระจกด้านคนขับลง
 
"คุณตำรวจครับ คือว่าเมื่อสักครู่นี้ .... " ผมบอกนายตำรวจ แต่ก็พูดได้แค่ประโยคสั้น ๆ เนื่องจากความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา 
  
"คุณเพิ่งจะขับรถผ่านมาจากทางด้านโน้นใช่ไหม" นายตำรวจผู้นั้นพูดกับผมก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อไป
"คุณโชคดีนะที่รอดมาได้"
 
นายตำรวจผู้นั้นกล่าวต่อ พร้อมกับเดินออกไปกลางถนน เดินย้อนไปในทิศทางที่ผมขับรถมา โดยไม่ถามผมต่อไปว่าผมกำลังจะบอกอะไรต่อไป ผมได้แต่มองตามหลังคุณตำรวจไปโดยอาศัยแสงจากไฟท้ายรถผม 
  
"ไอ้นี่มันออกมาก่อเรื่องกับคนที่ขับรถผ่านแถวนี้ตอนกลางคืนเป็นประจำ มีคนเจอมาหลายรายแล้ว" คุณตำรวจเล่าให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ใช่รายแรกที่เจอเหตุการณ์ดังกล่าว
 
"โค้งตรงนั้นมันมีเนินบังอยู่ แล้วก็หักศอกซ้ายเอาดื้อ ๆ ใครไม่ชำนาญทาง หรือไปหลงโมโหตามที่พวกมันยั่ว เสร็จพวกมันทุกที ขืนวิ่งตรงหรือแซงขวาได้แหกโค้งลงคูข้างทางเป็นประจำ"
 
"ผมเองก็มารอดักจับมันอยู่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ตัวมันสักที ปัญหาหลักก็คือเจ้าทุกข์ไม่กล้ามาชี้ตัว" คุณตำรวจกล่าวต่อไป 
  
"ครั้งนี้เขาทำอะไรกับคุณล่ะ สงสัยผมต้องไปร่วมวงกับมันสักหน่อยแล้ว" คุณตำรวจยังคงพูดต่อไปโดยยังคงยืนหันหลังให้ผม มองไปในทิศทางที่ผมขับรถมา แล้วถามผมว่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังนิ่มนวลขึ้นว่า
 
"เขาทำอย่างนี้กับคุณใช่ไหม"

--------------------

หลังเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจอดรถเพื่อแจ้งความอะไรให้กับตำรวจในตอนกลางคืนอีกเลย สิ่งที่นายตำรวจผู้นั้นทำกับผมในคืนนั้นทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้

แต่ตอนนี้ผมตอบคำถามของเขาได้แล้ว
 
คำตอบของผมสำหรับคำถามของนายตำรวจผู้นั้นในคืนนั้นคือ


รูปที่ ๒ แผนที่ทางหลวงบริเวณจังหวัดชลบุรีและระยองในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ (จากหนังสือ "ทางหลวงในประเทศไทย" จัดทำโดยกรมทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕

"ใช่ครับคุณตำรวจ เขาทำเหมือนกับที่คุณตำรวจแสดงให้ผมดูอยู่ตอนนี้แหละครับ
   
คือเขาหันหัวกลับมาข้างหลังได้ ๑๘๐ องศาโดยไม่ต้องหันตัว แล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา"

--------------------

ไม่มีความคิดเห็น: