หลังจากที่รอมาเกือบ
๓ เดือน ในที่สุดพอถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน
๒๕๓๒ ผมก็ได้รับแจ้งจากอาจารย์หัวหน้าภาควิชาในขณะนั้นว่า
วันพรุ่งนี้ (คือวันอังคาร)
ให้ไปทำวีซ่าสำหรับไปเรียนต่อที่อังกฤษ
และเดินทางคืนวันศุกร์
พอเช้าวันจันทร์ (ก็เข้าเดือนตุลาคม)
ก็เริ่มเรียนเลย
นักเรียนไทยที่ได้ทุน
Britich
Council ไปเรียนโท-เอกที่
Imperial
College ด้วยกันในคืนวันนั้นมี
๔ คน (รวมผมแล้ว)
เป็นวิศวไฟฟ้า
๒ คน วิศวเคมี ๒ คน ๒
คนเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปีคนนึงและสองปีคนนึง
ส่วนอีกคนเป็นรุ่นน้องผมปีนึง
ปัจจุบันคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ
คนหนึ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อปีที่แล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่งน่าจะได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
รูปที่
๑ ตั๋วรถใต้ดินเที่ยวเดียว
รายสัปดาห์ และรายเดือน
ของกรุงลอนดอน
วันแรกที่ไปถึงก็ยังเข้าที่พักของมหาวิทยาลัยไม่ได้
ต้องไปพักกันที่โรงแรมก่อน
(มีเจ้าหน้าที่
British
Council พาไป)
คืนนั้นก็เลยได้โอกาสออกมานั่งรถไฟในลอนดอนเที่ยวกันเป็นครั้งแรก
ที่แรกที่คิดจะไปกันก็คือ
Big
Ben จำได้ว่าพอโผล่ออกมาจากสถานี
Westminster
ก็มองไปรอบ
ๆ เพื่อหาหอนาฬิกา Big
Ben แต่ก็หาไม่เจอ
แต่พอเงยหน้าขึ้นฟ้าเท่านั้นก็เห็นเลย
รูปที่
๒ ตั๋วรถไฟของ British
Rail
ตั้งแต่ออกจากอังกฤษมาเมื่อกว่า
๒๐ ปีที่แล้วก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย
ได้ไปใกล้ที่สุดก็ตอนไปเยี่ยมนิสิตปริญญาเอกที่ไปทำวิจัยอยู่ที่เยอรมัน
แต่นั่นก็ร่วมสิบปีที่แล้ว
และก็ไม่ได้แวะไปประเทศไหนในยุโรปอีก
อังกฤษตอนที่ผมไปเรียนตอนนั้นเพิ่งจะเริ่มขุดอุโมงค์เชื่อมกับทางฝรั่งเศส
แต่ละประเทศก็มีสกุลเงินของตนเอง
นักเรียนไทยอย่างเราถ้าจะไปเที่ยวยุโรปก็ต้องทำเรื่องขอวีซ่ากันมั่วไปหมด
(ต้องขอวีซ่าของทุกประเทศที่จะแวะ)
แถมยังต้องแลกเงินกันตามจำนวนประเทศที่จะไปเยือนอีก
ยุโรปเองเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟกว้างขวาง
อาจเป็นเพราะแต่ก่อนนั้นใช้การเดินทางโดยรถไฟเป็นหลัก
สถานีรถไฟจึงตั้งอยู่กลางเมือง
เวลาไปเที่ยวเมืองไหนที่มีรถไฟผ่านก็ใช้วิธีการนั่งรถไฟไปลงที่เมืองนั้น
แล้วก็เดินเที่ยวกันทั้งวันได้รอบเมือง
(แทบไม่จำเป็นต้องนั่งรถเมล์
เว้นแต่เป็นสถานที่ที่อยู่นอกตัวเมือง
เช่นปราสาทต่าง ๆ)
ตกเย็นก็เดินวนกลับมาที่สถานีรถไฟ
ขึ้นรถไฟกลับบ้าน
ปีแรกที่ไปเรียนนั้นได้มีสิทธิเข้าพักในหอพักของมหาวิทยาลัย
เขาจัดให้ไปอยู่ที่หอพักใกล้กับห้าง
Harrods
(เรียกว่าเดินไม่ถึงร้อยเมตรก็ถึงห้างแล้ว)
ไปเรียนใหม่
ๆ ก็เรียนกันหนัก เช้าจรดเย็น
(ค่ำกลับมาทบทวนอีก)
จะมีเวลาไปเที่ยวบ้างก็วันเสาร์-อาทิตย์
แรก ๆ ก็เที่ยวในลอนดอนก่อน
จากนั้นก็ค่อยออกไปยังเมืองใกล้
ๆ
ระบบขนส่งมวลชนของลอนดอนในตอนนั้น
(ตอนนี้เป็นยังไงผมไม่รู้)
ใช้ระบบตั่วร่วม
คือมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่าง
ๆ โดยให้กลางเมืองเป็นโซนที่
๑ ปีแรกที่ผมไปถึงมีเพียงแค่
๓ โซน แต่ปีถัดมาเขามีการซอยย่อยเป็น
๕ โซน ค่าเดินทางในเขตพื้นที่โซน
๑ จะแพงกว่าเขตรอบนอก
ตั๋วรถไฟใต้ดินนั้นมีทั้งแบบเที่ยวเดียว
รายวัน รายเดือน และรายปี
และยังสามารถใช้ได้กับรถไฟและรถเมล์ด้วย
เช่นถ้าซื้อตั๋วเดือนที่ใช้ได้สำหรับการเดินทางในโซน
๑-๓
เราสามารถใช้ตั๋วใบนี้ขึ้นรถไฟใต้ดิน
รถไฟ หรือรถเมล์ ที่วิ่งอยู่ในโซน
๑-๓
ได้โดยไม่ต้องจ่ายตังค์อีก
แต่ถ้าจะเดินทางออกไปนอกโซน
๓ ก็ทำเพียงแค่แสดงตั๋วเดินทางโซน
๓ ให้เขาดู เขาจะคิดค่าโดยสารเฉพาะจากขอบโซน
๓ ออกไป เวลาเดินทางกลับก็ทำแบบเดียวกัน
เขาจะคิดเฉพาะค่าโดยสารมาจนถึงเขตโซน
๓ เท่านั้น
ตั๋วรถไฟตอนนั้นเป็นกระดาษหนา
มีแถบแม่เหล็กอยู่ข้างหลัง
ขนาดประมาณบัตรเอทีเอ็ม
ส่วนจะมีสีอะไรหรือลวดลายอะไรนั้นเขาก็เปลี่ยนไปได้เรื่อย
ๆ อย่างเช่นตั๋วรถไฟใต้ดินตอนปีแรก
ๆ ที่ผมไปถึงนั้นเป็นสีเหลือง
แต่ที่เอามาให้ดูในรูปที่
๑ (แถวบนสุดด้านซ้าย)
เป็นตั๋วปี
๑๙๙๔
เป็นเที่ยวที่ผมใช้เดินทางจากหอพักในลอนดอนเพื่อมาขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทยที่สนามบิน
Heathrow
เนื่องจากสำเร็จการศึกษาแล้ว
แถวบนสุดด้านขวาในรูปที่
๑ เป็นตั๋ววัน
ถ้าเป็นวันทำงานจะซื้อตั๋วนี้ได้หลังเวลา
๙.๓๐
หรือ ๑๐.๐๐
ผมก็จำไม่ได้
แต่ถ้าเป็นวันหยุดจะซื้อได้ตั้งแต่สถานีเปิดเลย
ตั๋วนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
เพราะในกลางกรุงลอนดอนนั้นเดินเล่นเที่ยวได้จนถึงเที่ยงคืน
ตั๋วนี้ไม่มีรูปติด
ดังนั้นพอใครซื้อมาแล้วถ้าไม่คิดจะใช้ไปในอีกในวันนั้นก็ให้คนอื่นเอาไปใช้ได้
แถวที่สองในรูปที่
๑ เป็นตั๋วเดือน ใช้ในเวลาใดก็ได้
รูปซ้ายเป็นด้านหน้า
รูปขวาเป็นด้านหลัง
แต่ถ้าจะซื้อตัวแบบนี้ต้องไปทำบัตรมีรูปติดก่อน
เพราะเป็นตั๋วเฉพาะตัว
มีการระบุบัตรผู้ใช้ไว้ที่มุมขวาบนของตั๋ว
(ในรูปคือ
F2892)
ผมมาใช้ตั๋วแบบนี้ตอนอยู่เป็นปีที่
๓ เพราะอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยออกมา
ต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินไปกลับทุกวัน
ส่วนแถวที่สามเป็นตั๋วรายสัปดาห์
ก็ต้องใช้บัตรซื้อเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีตั๋วรายปีอีก
แต่ราคาต่อใบมันแพงขึ้นไปอีก
(มันแพงกว่าเงินทุนที่ได้รับในแต่ละเดือน)
รถไฟอังกฤษนั้นเริ่มแรกจากเอกชนก่อสร้างและบริหารจัดการกันเอง
มีทั้งรถไฟสายยาวและรถไฟท้องถิ่น
ต่อมาภายหลังก็มีการยุบรวมเข้าด้วยกันเป็น
British
Rail ตั๋วรถไฟ
British
Rail มีหลายราคา
ขึ้นอยู่กับว่าจะเดินทางในช่วงเวลาไหน
ถ้าเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนจะเป็นราคามาตรฐาน
(Standard
- STD) แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาใกล้กับช่วงโมงเร่งด่วนก็จะถูกลงมาหน่อย
และถ้าเป็นช่วงเวลาห่างจากชั่วโมงเร่งด่วนก็จะถูกลงไปอีก
(เรียกว่าซื้อตั๋วไป-กลับสำหรับการเดินทางนอกเวลาชั่วโมงเร่งด่วน
ยังได้ราคาถูกว่าซื้อตั๋วชั่วโมงเร่งด่วนเพียงเที่ยวเดียว
รถไฟวิ่งเชื่อมเมืองใหญ่
ๆ นั้นเรียกว่าออกกันทุก ๆ
ครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง
(ลองนึกภาพรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่วิ่งกันวันละกว่า
๒๐ ขบวนดูก็ได้ครับ
ที่ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนออกทุกครึ่งชั่วโมง
ช่วงนอกเวลาเร่งด่วนก็ออกกันทุกชั่วโมง)
ถ้าเป็นตั๋วเดินทางไปกลับในวันเดียวกัน
(เดินทางนอกเวลาชั่วโมงเร่งด่วน)
ก็จะเป็นตั๋วที่เรียกว่า
Cheap
Day Return (CHEAPDY RTN) ที่เอามาให้ดูในแถวบนสุดรูปซ้ายของรูปที่
๒ แต่ถ้าจะเดินทางกลับในวันอื่นก็มีตั๋วที่เรียกว่า
Blue
Saver Return (แถวบนสุดใบขวาในรูปที่
๒)
ตรงนี้อาจมีคนสงสัยว่าทำไปต้องเรียกว่า
"Blue"
เหตุผลก็เพราะตารางเวลารถไฟที่เขาประกาศนั้น
ช่วงเวลาเร่งด่วนเขาจะพิมพ์บนพื้นสีชมพู
ช่วงเวลาติดกับชั่วโมงเร่งด่วนจะใช้พื้นสีขาว
(เรียกว่า
White
saver) และช่วงเวลาตั๋วราคาถูกจะใช้พื้นสีน้ำเงิน
(จึงเรียกว่า
Blue
saver)
แถวที่สองในซ้ายเป็นตั๋วรถไฟ
ส่วนใบฃวาเป็นตั๋วจองที่นั่งบนรถไฟ
ถ้าที่นั่งมีคนจองเอาไว้เขาก็จะมีพนักงานนำป้ายมาระบุไว้ว่ามีคนจองแล้ว
การจองที่นั่งมักกระทำกันถ้าเป็นการเดินทางในช่วงที่มีคนเดินทางเยอะ
แต่ถ้าเป็นนอกช่วงเวลาก็เรียกว่าไม่จำเป็น
หาที่นั่งกันเองได้ตามสบาย
รถไฟวิ่งระหว่างเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลกันเรียกว่า
Intercity
ตอนแรกที่ผมไปเขามี
Intercity
125 คือเป็นรถไฟความเร็วสูงวิ่งได้เร็ว
๑๒๕ ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ
๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
เป็นรถจักรดีเซล
ต่อมามีการพัฒนาเป็น Intercity
225 คือวิ่งได้เร็ว
๒๒๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เป็นรถจักรไฟฟ้า
แต่เขาก็ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วสูงตลอดเส้นทางนะครับ
จะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อสถานีหยุดรถถัดไปนั้นอยู่ห่างกันมากพอควร
เช่นระยะทางจากลอนดอนไปยังเมืองเอดินเบอระ
(เมืองหลวงของสกอตแลนด์)
ที่ประมาณกรุงเทพ-เชียงใหม่
ใช้เวลาเดินทาง ๔ ชั่วโมง
เพราะเส้นทางนั้นผ่านเมืองใหญ่หลายเมือง
รถไฟต้องต้องจอดรับส่งผู้โดยสารตามเมืองต่าง
ๆ เหล่านั้น
มีช่วงทำความเร็วสูงสุดได้เพียงช่วงสั้น
ๆ เมื่อเข้าใกล้สกอตแลนด์เท่านั้นเอง
ที่อังกฤษนี่ดีอย่างคือคิดค่ารถไฟตามระยะทางจากต้นทางไปยังปลายทาง
ไม่ได้คิดตามประเภทรถว่าเป็นรถหวานเย็นหรือรถความเร็วสูง
การสร้างรถไฟความเร็วสูงจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีผู้โดยสารเป็นประจำในจำนวนที่มากพอในแต่ละวัน
และก็ต้องวิ่งได้วันละหลาย
ๆ เที่ยว และแน่นอนว่าค่าโดยสารจะต้องแพงขึ้นไปด้วย
จุดเด่นของรถไฟความเร็วสูงในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศมันอยู่ตรงที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างกลางเมืองกับกลางเมือง
เช่นถ้าคิดเวลาเดินทางจากกลางกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษไปยังกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส
ถ้าไปรถไฟก็ทำเพียงแค่ไปขึ้นรถไฟที่กลางกรุงลอนดอน
เสียเวลาเดินทางหลายชั่วโมงหน่อยก็ไปโผล่ที่กลางกรุงปารีส
แต่ถ้าเดินทางโดยเครื่องบินก็ต้องเดินทางออกจากกลางกรุงลอนดอนไปยังสนามบินที่อยู่นอกเมือง
ต้องไปเช็คอินก่อนเวลา
เสียเวลาบินอีกหนึ่งชั่วโมง
เสียเวลาผ่านด่านที่สนามบิน
และเสียเวลาเดินทางจากสนามบินมายังกลางกรุงปารีสอีก
ในกรณีเช่นนี้ถ้าเวลาที่ใช้เดินทางโดยรถไฟมันสูสีกับเครื่องบิน
มันจะแข่งกันกันได้
เห็นคนจำนวนไม่น้อยในบ้านเราอยากให้บ้านเรามีรถไฟความเร็วสูงเหลือเกิน
ที่แน่ ๆ คือคนก่อสร้างได้กำไรจากการก่อสร้าง
แต่ก่อสร้างเสร็จแล้วจะมีจำนวนคนไปใช้
หรือมีเงินจ่ายค่าตั๋วมีจำนวนสักเท่าใด
คุ้มค่าหรือไม่
รู้หรือเปล่าว่าจังหวัดที่มีรถไฟความเร็วสูงผ่านก็ใช่ว่าจะได้ใช้
เพราะมันอาจไม่หยุดที่จังหวัดนั้น
(ถ้ามีคนใช้สถานีนั้นน้อย)
แต่ถ้าจะให้มันหยุดรับส่งทุกป้ายมันก็ทำความเร็วสูงไม่ได้
แล้วจะเอารถไฟความเร็วสูงมาทำไป
แถวที่สามในรูปที่
๒ เป็นตั๋วซื้อจากเครื่องขายอัตโนมัติ
สังเกตได้จากมันมีมุมเหลี่ยมเพราะเขาตัดตั๋วมาจากม้วนกระดาษ
และมีรูสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
เจาะอยู่ (ตรงมุมซ้ายบน)
ตัวย่อต่าง
ๆ ที่อยู่บนตั๋วถ้าเป็น Y-P
ก็คือ
Young
person railcard เป็นตั๋วราคาถูกสำหรับนักเรียน
(ต้องเอาบัตรนักเรียนไปทำบัตร
Young
person railcard เก็บเอาไว้ก่อน
จากนั้นจึงใช้บัตรดังกล่าวซื้อตั๋ว)
ส่วน
NSE
คือ
Network
southeast คือเครือข่ายรถไฟด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ
(มีลอนดอนเป็นศูนย์กลาง)
เครือข่ายรถไฟนี้เคยได้รับการจัดว่าเป็นเครือข่ายรถไฟที่หนาแน่นมากที่สุดในโลก
(ส่วนตอนนี้เป็นของใครก็ไม่รู้)
SGL คือตั๋วเที่ยวเดียว
OUT
กับ
RTN
คือตั๋วไปกลับ
OUT
คือออกจากสถานีที่ซื้อตัว
RTN
คือเดินทางกลับสถานีที่ซื้อตั๋วนั้น
ที่ผมเก็บตั๋วรถไฟเหล่านี้เอาไว้เพราะใช้เป็นเครื่องเตือนความจำว่าได้ไปเที่ยวที่ไหนเมื่อใดมาบ้าง
และขนาดมันก็กระทัดรัดดี
ไม่เกะกะอะไร
ตอนนี้เห็นสภาพมันโทรมลงก็เลยเอามาสแกนเก็บเอาไว้หน่อยก็แค่นั้นเอง
(อันที่จริงยังมีอีกหลายใบ)