บ่ายวันนี้แม่นางถังแก๊ส
(ที่เพิ่งจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ย่านางประจำแลปไปเมื่อไม่นานนี้
-
ขอแสดงความยินดีย้อนหลังด้วยคร๊าบ)
นึกยังไงก็ไม่รู้
อยู่ดี ๆ ก็ถามผมว่า
"ทำไมเติมเอทานอลแล้วได้พอลิเมอร์เพิ่มขึ้น"
คือเรื่องมันเริ่มจากการที่เขาอ่านบทความเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์โพรพิลีนใน
slurry
phase ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ก็จะทำการเติมเอทานอล
(ethanol)
เข้าไปใน
reactor
เพื่อทำลายตัวเร่งปฏิกิริยา
จากนั้นก็จะแยกเอาผงพอลิเมอร์ที่เป็นของแข็งแขวนลอยอยู่นั้นออกมาจากตัวทำละลาย
ผงพอลิเมอร์ที่ได้มานี้จะเป็นชนิด
isotactic
(คือหมู่
-CH3
มีการจัดเรียงในสายโซ่พอลิเมอร์มีการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในทิศทางเดียวกัน)
จากนั้นก็จะเติมเอทานอลในปริมาณที่มากเกินพอลงไปในตัวทำละลายที่เหลือ
ก็จะได้พอลิเมอร์ที่เป็น
atactic
( คือหมู่
-CH3
มีการเรียงตัวแบบไม่เป็นระเบียบ)
แยกตัวเป็นของแข็งออกมาจากตัวทำละลาย
ประเด็นคำถามของเขาก็อยู่ตรงการเติมครั้งที่สองนี่แหละครับ
ว่าทำไมมันได้พอลิเมอร์เพิ่มขึ้น
แต่ก่อนอื่นผมก็ถามเขากลับไปก่อนว่านึกยังไงถึงมาถามคำถามนี้กับผม
ในเมื่อผมเองไม่เคยทำวิจัยหรือการทดลองใด
ๆ ทางด้านการพอลิเมอร์ไรซ์พอลิโอเลฟินส์ด้วยตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
เลย
แต่ถ้าจะให้ผมตอบ
ผมก็จะขอตอบแบบอิงตำราเคมีอินทรีย์
ไม่ขอใช้คำตอบแบบ paper
เขาว่ามา
ผมตอบเขาไปว่าการที่พอลิเมอร์จะละลายได้ในตัวทำละลายนั้น
โมเลกุลตัวทำละลายจะต้องสามารถแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ได้
พอลิเมอร์ (ตระกูลเดียวกัน)
ที่มีความหนาแน่นต่ำจะมีระยะห่างระหว่างสายโซ่มากกว่าพอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นสูงกว่า
ดังนั้นพอลิเมอร์ที่มีความหนาแน่นต่ำกว่าจะละลายได้ง่ายกว่า
เช่นในกรณีของพอลิโพรพิลีนนั้น
ชนิด isotactic
มีความหนาแน่นสูงกว่า
ช่องว่างระหว่างสายโซ่นั้นแคบ
ทำให้โมเลกุลตัวทำละลายไม่สามารถแทรกเข้าไปแยกสายโซ่พอลิเมอร์ออกจากกันได้
ดังนั้น ณ อุณหภูมิของการทำปฏิกิริยา
พอลิโพรพิลีนชนิด isotactic
จึงแยกตัวเป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในตัวทำละลาย
ส่วนพอลิโพรพิลีนชนิด
atactic
นั้นมีระยะห่างระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์มากกว่า
ตัวทำละลายจึงแทรกเข้าไประหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ได้ง่าย
ณ อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาจึงทำให้พอลิโพรพิลีนชนิด
atactic
นั้นละลายอยู่ในตัวทำละลาย
ในการวัดความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยาเปรียบเทียบกันนั้น
การทำการทดลองจะใช้สภาวะต่าง
ๆ ที่เหมือนกันหมด
แตกต่างเพียงแค่ชนิดตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้
และเมื่อปล่อยให้ปฏิกิริยาดำเนินไปจนถึงเวลาที่กำหนด
ก็จะหยุดปฏิกิริยาด้วยการเติมเอทานอล
(หรือสารอื่นใดก็ได้ที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยา)
เข้าไปในระบบเพื่อไปทำลายตัวเร่งปฏิกิริยา
(ปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์โพรพิลีนนี้จำเป็นต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาจึงจะเกิดได้)
จากนั้นก็แยกเอาพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นออกมาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกัน
ในมุมมองของผม
ผมบอกเขาไปว่าสาเหตุที่การเติมเอทานอลในปริมาณมากเกินพอลงไปในตัวทำละลาย
แล้วทำให้พอลิโพรพิลีนชนิด
atactic
นั้นแยกตัวออกมาจากตัวทำละลายก็เพราะเอทานอลไปดึงเอาโมเลกุลตัวทำละลายที่แทรกอยู่ระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ออกมา
เอทานอลนั้นเป็นโมเลกุลที่มีทั้งส่วนมีขั้วและไม่มีขั้ว
มันจึงสามารถละลายได้ทั้งโมเลกุลมีขั้วและโมเลกุลไม่มีขั้ว
แต่ส่วนที่มีขั้วจะมีความแรงมากกว่า
ทำให้มันละลายโมเลกุลมีขั้ว
(เช่นน้ำ)
ได้ดีกว่าโมเลกุลไม่มีขั้ว
(เช่นไฮโดรคาร์บอน)
และตัวเอทานอลเองก็ไม่สามารถละลายพอลิโพรพิลีนได้
(เพราะสายโซ่พอลิโพรพิลีนเป็นสายโซ่ที่ไม่มีขั้ว)
ดังนั้นพอเติมเอทานอลเข้าไปในตัวทำละลาย
(ที่เป็นไฮโดรคาร์บอน)
ที่มีพอลิเมอร์ละลายอยู่ในปริมาณที่มากพอ
ไม่เพียงแต่เอทานอลจะไปดึงเอาไฮโดรคาร์บอนส่วนเกินมาละลายอยู่ในเฟสของมัน
เอทานอลเองก็จะไปดึงเอาโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนที่แทรกอยู่ระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ออกมาด้วย
ทำให้สายโซ่พอลิเมอร์จับตัวกันกลายเป็นของแข็ง
พอถึงตรงนี้มันก็มีคำถามขึ้นมาว่าถ้าเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ตัวอื่นเช่นเมทานอลหรือโพรพานอลล่ะ
จะได้ผลอย่างไร
ความเห็นของผมก็คือถ้าเป็นแอลกอฮอล์โมเลกุลเล็กเช่นเมทานอล
มันละลายไฮโดรคาร์บอนได้ไม่ดีเพราะส่วนที่ไม่มีขั้วของโมเลกุลมันเล็ก
ดังนั้นมันอาจจะไม่สามารถดึงเอาไฮโดรคาร์บอนออกจากช่องว่างระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ได้
แต่ถ้าใช้แอลกอฮอล์โมเลกุลใหญ่เกินไป
มันจะแสดงคุณสมบัติเช่นเดียวกับโมเลกุลไม่มีขั้ว
คือเผลอ ๆ
มันจะเข้าไปร่วมแทรกอยู่ระหว่างสายโซ่พอลิเมอร์ร่วมกับไฮโดรคาร์บอนด้วย
ดังนั้นแอลกอฮอล์ที่ใช้ได้จะต้องมีขนาดของหมู่อัลคิล
(ส่วนที่ไม่มีขั้วของโมเลกุล)
ที่ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป
หลังจากที่ผมถามเขาเสร็จ
ผมก็ถามเขากลับไปบ้างว่า
"แน่ใจหรือว่าสิ่งที่ได้ออกมาครั้งที่สองนั้นเป็น
"polymer"
เพียงอย่างเดียวโดยไม่มี
"oligomer"
รวมอยู่ด้วย"
ก็ได้แต่เพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบกลับมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น