อันที่จริงเรื่องนี้โพสเอาไว้ใน
facebook
เมื่อช่วงเช้าวันนี้แล้ว
แต่ขอเอามาบันทึกไว้ที่นี้หน่อย
กันลืม (มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากที่โพสไว้ใน
facebook
บ้างบางส่วน)
กว่า
๒๐
ปีที่ผ่านมาเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผู้สอบผ่านข้อเขียนเข้ามหาวิทยาลัยมาแทบจะปีเว้นปี
นับตั้งแต่สมัยมีเอนทรานซ์ที่มีการสอบสัมภาษณ์เพียงครั้งเดียว
มาจนถึงปัจจุบันที่มีการสอบสัมภาษณ์ถึง
๓ ครั้ง คือ นักเรียนโครงการพิเศษ
รับตรง และแอดมิดชัน
ปีนี้ไม่ได้เป็นกรรมการสอบ
ก็เลยอยากจะเล่าเรื่องประสบการณ์ให้ฟัง
(จากเฉพาะในหน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่)
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นจากการสอบสัมภาษณ์ก็คือ
"มีคนสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน"
ในกรณีของด้านวิชาการนั้นถือได้ว่าผู้สอบผ่านข้อเขียนได้ผ่านการทดสอบมาอย่างหลากหลายแล้ว
ดังนั้นจะมาถือว่าการตอบคำถามทางด้านวิชาการของกรรมการสอบสัมภาษณ์เพียงไม่กี่ข้อ
(ที่คำถามเอาแน่เอานอนไม่ได้
เพราะอาจารย์เองก็มาจากหลากหลายภาควิชา
มีความถนัดที่แตกต่างกัน)
มาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่านักเรียนผู้นั้นควรจะผ่านหรือไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์นั้นมันก็ไม่ถูก
แถมกรรมการสอบสัมภาษณ์ยังมีอีกตั้งหลายชุดที่หามาตรฐานใด
ๆ ก็ไม่ได้ (ก็มีผู้เข้าสอบตั้งหลายร้อย
แต่มีเวลาสอบสัมภาษณ์เพียงแค่
๓ ชั่วโมง
เรียกว่ากรรมการแต่ละชุดจะสัมภาษณ์เพียงแค่ประมาณ
๒๐ คนเท่านั้นเอง)
จะว่าไป
สิ่งที่ทางคณะเขาอยากให้กรรมการสอบสัมภาษณ์หาข้อมูลคือเรื่อง
สภาพจิต ความเดือดร้อนด้านการเงินของผู้สอบผ่าน
(เช่นต้องการทุนไหม)
นักเรียนที่มาจากต่างจังหวัดต้องการหอพักไหม
มีเพื่อนจากจังหวัดเดียวกันมาด้วยหรือเปล่า
(เพราะถ้ามาคนเดียวอาจมีปัญหาเรื่องเหงา
และคิดถึงบ้าน)
และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
(เช่น
การโอ้อวด การไม่รู้จักกาละเทศะ
เป็นต้น)
ทางคณะเขาไม่ได้ต้องการให้กรรมการสอบสัมภาษณ์คัดนักเรียนออก
เรื่องสภาพจิตนั้นก็ดูกันเพียงแค่พูดจากันรู้เรื่องหรือเปล่า
(คืออยู่ในสภาพที่เรียนหนังสือได้)
ถ้ากรรมการสอบสัมภาษณ์คิดว่านักเรียนผู้นั้นมีปัญหา
สิ่งที่กรรมการจะทำก็คือบอกให้นักเรียนผู้นั้นรอก่อน
แล้วส่งต่อให้กรรมการกลางของคณะ
ถ้ากรรมการกลางของคณะเห็นด้วยกับกรรมการสอบสัมภาษณ์
กรรมการกลางของคณะก็จะส่งต่อให้กับกรรมการของมหาวิทยาลัยพิจารณาอีกทีว่าเป็นจริงตามที่กรรมการสอบสัมภาษณ์แจ้งหรือไม่
(ตรงนั้นจะมีจิตแพทย์ตรวจสอบ)
ซึ่งจะเห็นว่าต้องผ่านกรรมการถึง
๓ ชุด โดยชุดสุดท้ายจะมีจิตแพทย์ตรวจ
และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีการส่งตัวดังกล่าว
แต่ถ้าถามว่าเคยเจอนักเรียนมีปัญหาเรื่องสภาพจิตไหมก็คงต้องบอกว่าเคยเจอ
แต่สิ่งที่ทำกันก็คือบันทึกส่งให้กับทางส่วนกลางว่าให้อาจารย์ที่ปรึกษาดูแลเป็นพิเศษ
อย่างเช่นกรณีที่หนักที่สุดคือ
พูดจากันรู้เรื่อง ถามอะไรตอบได้หมด
แต่พฤติกรรมการแสดงออกนั้นมีปัญหา
(เหม่อลอย
เวลาพูดจาไม่สบตาหรือมองคู่สนทนา
มองแต่เพดานห้อง)
รายนี้ดูประวัติแล้วพ่อแม่มีระดับการศึกษาสูง
พี่อีก ๒ คนของเขาก็เรียนเก่ง
ได้เป็นนักเรียนทุน
ในขณะที่นักเรียนผู้นี้ที่เป็นน้องคนสุดท้อง
ทำได้แค่สอบติด "วิศวจุฬา"
รายนี้พอสัมภาษณ์เสร็จ
อาจารย์ผู้ใหญ่ที่เป็นหัวหน้าทีมก็เขียนลงไปว่า
"อาจารย์ที่ปรึกษาควรให้การดูแลเป็นพิเศษ"
นักเรียนบางคนเครียดมาก
กลัวการสอบสัมภาษณ์มาก
กลัวจะสอบไม่ผ่าน
(ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกดดันตัวเองด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นผิดหวัง
หรือถูกกดดันมาจากทางบ้าน)
อาการเครียดแสดงออกทางกิริยาท่าทางและการพูดจาจนเห็นได้ชัด
นักเรียนเครียดมากจนกระทั่งกรรมการสอบต้องบอกว่า
"ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร
พวกผมไม่ได้มาคัดคุณออก
ถ้าผมบอกว่าสอบเสร็จแล้ว
คุณกลับไปได้ นั่นหมายความว่าคุณผ่านแล้ว
ไม่มีปัญหาอะไร
(เพราะถ้ามีปัญหาก็จะบอกให้รอก่อน
แล้วส่งให้ส่วนกลาง)"
เพียงเท่านี้นักเรียนผู้นั้นก็ถึงกับร้องไห้โฮออกมาในระหว่างการสอบ
อีกเรื่องหนึ่งที่มักมีคนสงสัยก็คือ
Portfolio
จำเป็นแค่ไหน
อันนี้จะว่าไปแล้วเอาแน่เอานอนไม่ได้
แต่ถ้าถามว่ามันเกี่ยวข้องกับการสอบสัมภาษณ์ผ่านหรือไม่ผ่าน
คำตอบก็คือมันไม่เกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุผลที่อธิบายไว้ข้างต้น
เพราะเกณฑ์การผ่านข้อเขียน
เขาดูวิชาการ ไม่ได้ดูกิจกรรม
เคยเจอเหมือนกันที่แทนที่จะถือแฟ้มมา
ถือคอมพิวเตอร์ Notebook
มาเลย
พอกรรมการสอบบอกให้แนะนำตัวให้ฟังหน่อยก็เปิดคอมพิวเตอร์โชว์ผลงาน
แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวในส่วนของกรรมการสอบชุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย
(กรรมการแต่ละชุดพฤติกรรมไม่เหมือนกันนะ)
คงต้องบอกว่าส่วนใหญ่จะ
"ไม่สน"
Portfolio จะนั่งคุยกันมากกว่า
ไม่ขอดูด้วยซ้ำ
(ดูแต่ใบประวัติที่นักเรียนกรอกมาให้
มันบอกอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง)
แต่กรรมการบางท่านอาจจะขอเอามาพลิกเปิดเล่น
ๆ เพื่อไม่ให้นักเรียนเสียกำลังใจ
เพราะเห็นนักเรียนอุตส่าห์เตรียมมาแล้ว
เคยเจอนักเรียนบางรายถึงกับถามกรรมการสอบกลับเลยว่า
"จะไม่ดู
Portfolio
ที่เขาทำมาเลยหรือ"
กรรมการสอบก็เลยเอามาเปิดดูพอเป็นพิธี
และถามคำถามย้อนกลับที่มักจะทำให้นักเรียนเหล่านี้อึ้งเป็นประจำก็คือ
"ถามจริง
ๆ เถอะ ถ้าทำแล้วไม่ได้ใบประกาศมาใส่แฟ้ม
จะทำไหม"
คำถามข้างบน
กรรมการสอบไม่ต้องการคำตอบ
เพียงแค่สังเกตอาการก็ทราบแล้วครับ
เคยสอบตั้งแต่สมัยที่กรรมการสอบแต่ละชุดประกอบด้วยอาจารย์
๓ คน จนปัจจุบันเหลือเพียง
๒ คน และโดยปรกติแล้วเวลาเขาจัดกรรมการสอบนั้น
ในชุดหนึ่งจะมีอาจารย์อาวุโส
(ทำงานมานาน)
อยู่ด้วย
๑ คน
จะไม่ให้กรรมการชุดใดชุดหนึ่งประกอบด้วยอาจารย์ที่เพิ่งบรรจุใหม่ทั้งชุด
ผมเองมาทำงานใหม่ ๆ
ก็ได้เรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ
กับนักเรียนรูปแบบต่าง ๆ
จากอาจารย์อาวุโสหลายท่านที่มีประสบการณ์
จากการสอบสัมภาษณ์นี้
จากประการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ถ้าเป็นการรับตรง
ก็มักเจอกับนักเรียนที่มาจากโรงเรียนใหญ่
ๆ ในกรุงเทพและต่างจังหวัดบางจังหวัด
แต่ถ้าเป็นช่วงแอดมิชันก็จะเจอนักเรียนที่มาจากโรงเรียนเล็ก
ๆ จากหลากหลายจังหวัด
ถ้าเป็นนักเรียนจากโรงเรียนใหญ่
ๆ มักจะพบว่าเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถผ่าด่านการรับตรงเข้ามาได้
พวกที่สมัยเป็นนักเรียนทำกิจกรรมซะหนัก
ก็จะเตือนให้ระวังเรื่องการแบ่งเวลา
(แทบจะไม่เจอ)
พวกที่สมัยเป็นนักเรียนก็เรียนอย่างเดียว
ก็จะบอกให้ทำกิจกรรมบ้าง
จะได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็น
(อันนี้เจอเยอะ)
นักเรียนที่มาจากต่างจังหวัด
โดยเฉพาะมาจากที่ไกลและทั้งจังหวัดมาเพียงคนเดียว
ก็ต้องสอบถามว่าเคยจากบ้านไปอยู่ไกล
ๆ เป็นเวลานานหรือเปล่า
ให้คำแนะนำเรื่องการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย
(เช่นแนะนำให้เข้าร่วมชมรม
เพื่อจะได้มีเพื่อนฝูงและกิจกรรมทำ
จะได้คลายเรื่องการคิดถึงบ้าน)
เรื่องการแต่งกาย
สำหรับผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนก็มักจะแต่งชุดนักเรียนมา
ถ้าเป็นนักเรียนหญิงก็ไม่เคยพบปัญหาอะไร
จะมีบ้างก็พวกนักเรียนชาย
(ประเภทจงใจให้ชายเสื้อหลุดรุ่ยออกมานอกกางเกงจะเจอได้ง่ายสุด)
กรรมการบางท่านก็จะว่ากล่าวตักเตือนเลยตั้งแต่ตอนสอบ
แต่ถ้ากรรมการเขาไม่ได้พูดว่าอะไรก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ว่าอะไรนะ
เขาอาจจะไม่พูด แต่เขาอาจ
"เขียน"
เพื่อเป็นข้อสังเกตให้กับทางคณะได้
(ว่าเป็นคนไม่รู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับกาลเทศะ)
ที่เล่ามาก็เป็นบันทึกความทรงจำของงานในหน้าที่ส่วนหนึ่งที่เคยปฏิบัติมา
:)
:) :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น