ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนมุมมองจาก
"เก่ง-ไม่เก่ง"
เป็น
"ถนัด-ไม่ถนัด"
ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนมุมมองจาก
"ค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมด"
เป็น
"ความสามารถในแต่ละศาสตร์"
ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนมุมมองจาก
"การเรียนคือการต้องเรียนจากตำรา"
เป็น
"ทุกกิจกรรมที่กระทำต่างมีบทเรียนอยู่ในตัว"
ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนมุมมองจาก
"ผลลัพธ์ที่ต้องได้"
เป็น
"พัฒนาการที่เหมาะสม"
ถ้าผู้ใหญ่เปลี่ยนมุมมองจาก
"หมอหรือวิศว"
เป็น
"ทุกวิชาชีพต่างก็มีเกียรติและศักดิ์ศรีในตัวมันเอง"
ชีวิตการเรียนในโรงเรียนของเหล่าเด็ก
ๆ ทั้งหลายก็คงจะมีความสุขขึ้นมาก
ความคิดหนึ่งที่ฝังกันมาเนิ่นนานอยู่ในความคิดของผู้ปกครองและผู้เรียนคือ
เรียนอะไรกันตั้งมากมาย
ทำไมไม่เรียนเฉพาะวิชาที่สำคัญต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
และส่วนใหญ่ที่เรียนไปนั้นก็ไม่ได้ใช้
เคยมีคนมาถามคำถามกับผมเช่นนี้
ผมก็ถามเขากลับไปว่า
ถ้าคุณจะไปกินข้าวราดแกงเป็นอาหาร
ร้านที่หนึ่งมีกับข้าวให้เลือก
๕ อย่าง กับร้านที่สองที่มีกับข้าวให้เลือก
๒๐ อย่าง คุณจะเข้าร้านไหน
เขาก็ตอบผมว่าเข้าร้านที่สอง
ผมก็ถามต่อว่าด้วยเหตุผลใด
เขาก็ตอบว่าเพราะมีกับข้าวให้เลือกเยอะกว่า
ผมก็ถามเขาต่อว่าเวลาคุณกินข้าวราดแกง
คุณสั่งกับข้าวกี่อย่าง
เขาก็บอกว่า ๒ หรืออย่างมากก็
๓ อย่าง
ผมก็ถามเขาต่อว่าถ้าเช่นนั้นทำไปคุณไม่เลือกร้านที่หนึ่งล่ะ
เขามีกับข้าวให้เลือกตั้ง
๕ อย่าง มากกว่าที่คุณต้องการสั่งอีก
นั่นแสดงว่าคุณก็เห็นว่าการมีโอกาสได้เห็นตัวเลือกที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม
ผมมองว่าการเรียนหนังสือมันก็เป็นเช่นนั้นครับ
การที่มีโอกาสได้เห็น
และได้สัมผัสกับหลายสิ่งหลายอย่างก่อนตัดสินใจเลือกนั้น
มันทำให้มั่นใจได้ว่าตัวเลือกที่ได้เลือกมานั้นเหมาะสมแล้ว
ตอนที่ลูกผมเข้าโรงเรียนอนุบาลที่บางแสนนั้น
ครูโรงเรียนก็อธิบายให้เข้าใจก่อนว่าที่โรงเรียนนี้ไม่ได้เน้นการสอนไปที่ให้เด็กอ่านออกเขียนได้
แต่เน้นไปที่การพัฒนาร่างกาย
(กล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่)
และสติปัญญาของเด็กผ่านทางการทำกิจกรรมต่าง
ๆ ที่เปิดโอกาสให้เด็กมีจินตนาการ
และทำให้เด็กรู้สึกว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก
ผลก็คือตอนที่เข้าป.
๑
นั้นลูกผมยังอ่านหนังสือไม่ค่อยได้
อ่านเป็นคำ ๆ ได้เฉพาะคำง่าย
ๆ แถมบวกลบเลขยังไม่เป็น
แต่พอคัดลายมือได้
ในขณะที่เด็กรุ่นเดียวกันที่มาจากโรงเรียนอนุบาลที่มีชื่อเสียงเด่นดัง
ต่างสามารถอ่านหนังสือเป็นเล่มได้
แถมยังบวกเลขสองหลักได้
ตอนโรงเรียนจัดทดสอบความรู้ภาษาไทยและเลขก่อนเปิดเทอม
ลูกผมสอบได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
แต่ได้คะแนนในส่วนของความพร้อมสูงมาก
(ต้องขอขอบคุณคุณครูโรงเรียนอนุบาลแห่งนั้น)
แต่พอเรียนไปได้แค่เทอมเดียว
เขาก็ไล่ทันคนอื่น
ช่วงก่อนมาเรียนในกรุงเทพนั้น
วันหนึ่งระหว่างที่พาเขาไปนั่งระบายสีตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ที่ตลาดนัดกลางแจ้งหลังมหาวิทยาลัย
ก็มีผู้ปกครองเด็กอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ ถามว่าลูกผมอายุเท่าใดแล้ว
พอตอบเขาไปเขาก็บอกว่าเท่ากับลูกเขา
แต่เขาแปลกใจที่เห็นลูกผมระบายสีตุ๊กตาปูนได้ปราณีตมากกว่าลูกเขา
เขาก็ถามต่อว่าอ่านหนังสือออกหรือยัง
บวกเลขเป็นหรือยัง
ผมก็บอกว่ายังไม่เป็น
ส่วนลูกของเขานั้นสามารถทำได้แล้ว
แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าโรงเรียนประถมจำนวนไม่น้อยชอบที่จะรับเด็กจบอนุบาลที่อ่านออกเขียนได้
บวกเลขเป็นแล้ว
เพื่อที่คุณครูจะได้ทำงานสบายขึ้น
เคยมีรุ่นน้องคนหนึ่งที่ลูกเขาเรียนชั้นประถมโรงเรียนเดียวกับลูกผม
(แต่เด็กกว่า)
บ่นกับผมว่าเขาต้องส่งลูกไปเรียนพิเศษวิชาศิลป
เพราะลูกเขาระบายสีไม่ได้เรื่อง
ไม่สามารถระบายสีตามช่องต่าง
ๆ ได้ แต่ตอนที่เข้าป.
๑
นั้นลูกเขาอ่านหนังสือได้ดี
ตรงนี้ผมมองว่าเป็นเพราะโรงเรียนอนุบาลที่เขาส่งลูกไปเรียนนั้นจะเน้นไปที่วิชาการ
คือพยายามฝังความคิดว่าเด็กที่เก่งคือเด็กที่อ่านหนังสือได้เร็ว
ได้คล่อง คิดเลขเก่ง
แต่ร่างกายและระบบประสาทของเด็กนั้นยังพัฒนาไม่เต็มที่
การได้ทำงานศิลปหรือการทำกิจกรรมต่าง
ๆ ที่ต้องใช้การทำงานของมือประสานกับสายตา
(เช่นงานปั้นต่าง
ๆ)
เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถใช้เพื่อการฝึกฝนเด็กให้ประสานการทำงานระหว่างระบบสมองและกล้ามเนื้อเข้าด้วยกัน
หนังสือเด็กประเภทลากเส้นต่อจุด
ระบายสีในช่อง หรือแปะสติ๊กเกอร์
ที่ผู้ใหญ่อาจมองว่าไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนั้น
แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งมันเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักประสานการทำงานระหว่างประสาทตาและประสาทมือ
สิ่งที่ดูแล้วไม่มีอะไรเลยสำหรับผู้ใหญ่
แต่สำหรับเด็กแล้ว
บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับที่จะระบายสีให้อยู่ในกรอบรูป
หรือลากเส้น (จะตรงหรือโค้งก็ตามแต่)
เชื่อมจุดสองจุดโดยไม่คดงอ
ดูเหมือนว่าการขาดความสามารถในการใช้มือในการทำงานละเอียดนั้น
มันติดยาวมาจนถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย
เห็นได้จากการที่นิสิตส่วนใหญ่จะใช้นิ้วหัวแม่มือในการปิดปลายปิเปต เพราะไม่สามารถควบคุมการใช้นิ้วชี้ได้ดี
ตอนเข้าเรียนโรงเรียนประถมนั้น
ครูก็บอกว่าแนวทางการสอนของโรงเรียนนี้คือ
Fun
Find Focus คือ
๒ ปีแรกจะเป็นการทำให้เด็กนั้นสนุกสนานกับการเรียน
(Fun)
๒
ปีถัดมาเป็นการให้เด็กได้มีโอกาสสัมผัสกับสิ่งต่าง
ๆ เพื่อที่เขาจะได้ตอบตัวเองว่าเขาชอบสิ่งใด
(Find)
และ
๒ ปีสุดท้ายเขาจะมีโอกาสเลือกเรียนในสิ่งที่เขาชอบ
(Focus)
และขอให้ผู้ปกครองมองว่านักเรียนนั้นมีความ
"ถนัด"
ทางด้านใด
อย่าไปมองว่าลูกฉันต้องเก่งด้วยการได้เกรด
๔ ทุกวิชา ถ้าเห็นเขาทำคะแนนได้ดีในด้านใด
ก็ควรส่งเสริมให้เขาไปทางด้านนั้น
แต่ในความเป็นจริงนั้น
ชีวิตเด็กจำนวนไม่น้อยถูกผู้ปกครองกำหนดเอาไว้แล้ว
ว่าป.
๑
ต้องเข้าเรียนโรงเรียนนี้
พอขึ้นม.
๑
ก็ต้องไปเรียนโรงเรียนนั้น
และขึ้นม.
๔
ก็ต้องไปเข้าเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งให้ได้
เพื่อที่จะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ฉันต้องการ
ดังนั้นจึงเห็นผู้ปกครองจำนวนหนึ่งกังวลกับเกรดเฉลี่ยของลูกมาก
เห็นลูกได้คะแนนสอบไม่ดีก็ต้องไปขอตรวจสอบจากทางคุณครู
บ่อยครั้งที่นึกเห็นใจคุณครูอยู่ไม่น้อย
เพราะคิดว่าบางทีคุณครูก็พูดไม่ออกว่าสาเหตุที่เด็กคนนี้ทำคะแนนวิชาทางด้านนี้ไม่ดี
ก็เพราะเขาไม่ชอบ
เขาถนัดทางด้านอื่นมากกว่า
แต่โดนทางบ้านบังคับให้เรียน
ตอนเย็น ๆ
ที่ไปรับลูกยังมีโอกาสได้ยินได้เห็นผู้ปกครองเดินต่อว่าลูกไปตามทางเดินเมื่อเห็นคะแนนสอบลูกออกมาไม่ดี
โดยไม่สนใจว่าคนอื่นรอบข้างจะเห็นหรือได้ยินหรือไม่
โรงเรียนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการสอนพิเศษเนื้อหาวิชาเรียนที่เรียนกันในห้องเรียนในตอนเย็นหลังเลิกเรียน
การเรียนพิเศษตอนเย็นเป็นเพียงแค่กิจกรรมเสริมสำหรับเด็กที่ผู้ปกครองมารับช้า
(โรงเรียนเลิกบ่ายสองสี่สิบหรือไม่ก็บ่ายสาม
ยกเว้นบางวันนานทีมีกิจกรรมพิเศษก็อาจไปถึงบ่ายสามสี่สิบ)
เช่น
กีฬา ดนตรี ศิลป
ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยมองว่าการปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นในตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นการเสียเวลาการเรียนรู้
ดังนั้นแม้ว่าจะมารับลูกได้เร็ว
ก็เห็นยังมีการพาไปเรียนพิเศษวิชาการที่อื่นอีก
ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงนั้นการเล่นของเด็กก็เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นภายใต้กติกาที่กำหนด
(ของการละเล่นนั้น)
เป็นการฝึกทักษะและพัฒนาการด้านต่าง
ๆ กองทรายเป็นเหมือนแดนสวรรค์สำหรับพวกเขาที่จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้
(ไม่จำเป็นต้องใช้
SimCity)
พอเข้ามัธยมก็ต้องย้ายโรงเรียนมายังอีกฟากหนึ่ง
แม้ว่าในการบริหารจะเป็นคนละโรงเรียนกัน
แต่ทางฝั่งมัธยมเขาก็รับทุกคนที่ผ่านชั้นประถมมาได้
ในช่วงนี้ก็มีนักเรียนบางส่วนย้ายไปเรียนม.
๑
อีกโรงเรียนหนึ่งตามความต้องการของผู้ปกครอง
ส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังมีเรื่องให้ทางคุณครูมัธยมปวดหัวอีก
คือการที่ผู้ปกครองต้องการให้ลูกตัวเองนั้นเรียนในห้องเรียนเด็กเก่งพิเศษที่เรียกว่าห้องคิงส์
(คิดว่าคงไม่ใช่ห้องเฉพาะสำหรับเกย์คิงส์)
แต่ทางโรงเรียนก็บอกว่าไม่มีการจัดห้องเรียนแบบนั้น
ผู้ปกครองก็ไม่เชื่อ
จะยืนยันให้ทำให้ได้
โรงเรียนนี้มีการจัดห้องเรียนใหม่กันทุกปีครับ
ผู้ปกครองบางคนเชื่อว่าห้องคิงส์ของโรงเรียนคือห้อง
๑ และห้อง ๗ ตอนลูกขึ้นม.
๑
เห็นลูกได้เรียนห้องเหล่านี้ก็ดีใจ
พอขึ้นม.
๒
มีการเปลี่ยนแปลงห้อง
เด็กได้ย้ายไปเรียนห้องอื่นที่ไม่ใช่สองห้องนี้
ก็มาตีโพยตีพายในวันประฃุมครู-ผู้ปกครอง
ว่าโรงเรียนทำให้ลูกเขา
(หรือตัวเขาเองกันแน่)
เสียใจแค่ไหน
เทียบกับเด็กประถมแล้ว
เด็กมัธยมต้นจำนวนไม่น้อยนี่ก็ถูกกดดันจากทางครอบครัวหนักไม่เช่นเล่นเหมือนกัน
โดยเฉพาะความคิดที่ว่าลูกฉันต้องเรียน
"สายวิทย์"
ยิ่งเป็นโรงเรียนที่ไม่สามารถรับนักเรียนเข้าเรียนต่อสายวิทย์ทุกคนได้
(โรงเรียนนี้ก็เป็นเช่นนี้)
ก็เลยมีความพยายามกดดันลูกตัวเองในเรื่องคะแนนสอบต่าง
ๆ ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงนั้นเชื่อว่าทางโรงเรียนเองเขาก็พอมองเห็นแล้วเด็กที่เขารับมาจากโรงเรียนประถมนั้นมีความถนัดในด้านใดบ้าง
ในสัดส่วนเท่าใด
ยังดีที่โรงเรียนนี้เปิดโอกาสให้ย้ายสายการเรียนได้
(ทำนองว่าช่วยเด็กมากกว่า
คงเป็นเพราะเห็นแล้วว่ามีเด็กจำนวนหนึ่งที่ไม่ถนัดสายวิทย์
แต่โดนทางบ้านบังคับให้ต้องเรียนสายวิทย์
ตอนนั้นจะอธิบายอย่างไรให้พ่อแม่ฟังก็คงไม่สำเร็จ
ต้องรอให้เด็กเข้าเรียนเฉพาะทางก่อนแล้วเด็กแสดงว่าเรียนสายนี้ไม่ไหว
ผู้ปกครองถึงยอมให้ลูกตัวเองย้ายสายการเรียน)
นี่ยังไม่นับรวมพวกที่ทางบ้านมีแผนการณ์ว่าต้องไปต่อม.
๔
ที่โรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ให้ได้นะครับ
เด็กบางคนอยู่ในกลุ่มผู้ปกครองที่ส่งลูกเรียนพิเศษวันเสาร์-อาทิตย์เป็นประจำจนคิดว่าเด็กคนอื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด
พอทราบว่ามีเด็กที่สามารถนอนเล่นดูทีวีได้
หรือไปเที่ยวได้ในวันหยุด
เขาก็แปลกใจ
อันนี้ลูกผมเป็นคนเล่าให้ผมฟังเองว่าเพื่อนเขาบางคนก็เป็นเช่นนี้
เด็กนักเรียนรุ่นเดียวกันกับลูกผมรายหนึ่ง
เวลาเจอผมเขาชอบมาถามผมด้วยคำถามเดิม
ๆ ว่า เวลาลูกผมทำการบ้านไม่ค่อยได้
ทำคะแนนสอบได้ไม่ดี
ลูกผมโดนทำโทษไหม โดนดุไหม
ต้องไปเรียนพิเศษไหม
ปรากฏว่าคำตอบที่เขาได้รับนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขาประสบ
ส่วนที่เขาประสบกับอะไรมาบ้างนั้นผมก็ไม่ได้ถาม
แต่เชื่อว่าจากคำถามที่เขานำมาถามก็คงจะพอเดากันได้
คำถามนั้นเขาถามผมสมัยที่เขายังเป็น
"เด็กประถม"
นะครับ
รายนี้ผมรู้จักกับเขาก่อนเข้าป.
๑
จนขณะนี้เขาเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้ว
ผมจึงเห็นว่าเด็กไทยจำนวนไม่น้อยต้องเรียนหนังสือในระบบ
โดนบังคับ (Forced)
ให้ต้องเรียนในสิ่งที่ผู้ปกครองกำหนดเอาไว้
(Fixed)
เพื่อให้บรรลุความต้องการ
(Fullfilment)
ของผู้ปกครอง
โดยไม่สนว่าผู้เรียนจะเป็นอย่างไร
โดยส่วนตัวแลัวเห็นว่าปัญหาหลักของการศึกษาบ้านเรามันอยู่ที่วิธีการประเมิน
คือไปเน้นการประเมินที่
"ผลลัพธ์
หรือ output"
สุดท้ายที่ได้เป็นหลัก
โดยไม่สนใจ "กระบวนการหรือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ"
เป็นหลัก
ในขณะที่ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมนั้นเน้นไปที่การตรวจสอบการทำงานของกระบวนการ
แทนการดูที่ output
สุดท้าย
เพราะเขาเชื่อว่าถ้ากระบวนการมีความถูกต้อง
output
สุดท้ายที่ได้ก็จะออกมาดีเอง
และจะดีตลอด output
ที่นำมาประเมินนั้นเป็นเพียงแค่กลุ่มตัวอย่างส่วนน้อยของกระบวนการเท่านั้น
และที่สำคัญคือเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับ
"การพัฒนาการของผู้เรียน"
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่จะมีการใช้ช่องว่างของระบบเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับเฉพาะเด็ก
"เก่ง"
เข้ามาเรียน
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลงทุนในด้านการพัฒนาผู้เรียน
(ให้คนอื่นทำให้)
บางโรงเรียนที่มีการสอนต่อเนื่องจนถึงมัธยมปลาย
ก็ยังมีการตั้งเกณฑ์ว่าถ้าคะแนนเฉลี่ยมัธยมต้นสูงไม่พอ
ก็ให้ไปเรียนที่โรงเรียนอื่น
(เพื่อที่โรงเรียนจะได้คุยได้ว่าเด็กมัธยมปลายเขามีสัดส่วนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สูง)
ผมจึงเห็นว่าโรงเรียนที่น่าชื่นชมคือโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนไปที่การพัฒนาการของผู้เรียน
การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้มีความรู้ทุกระดับ
ไม่ใช่เฉพาะกับเด็ก "เก่ง"
เท่านั้น
ผมเองก็มีโอกาสสอนและสอบถามนิสิตที่ไปแข่งโอลิมปิควิชาการเคมีและได้เหรียญรางวัลกลับมาว่า
ถ้าให้ครูโรงเรียนที่เก่งที่สุดเป็นคนสอน
ฝึกปฏิบัติในโรงเรียนที่มีความพร้อมทางด้านแลปเคมีมากที่สุด
ก่อนจะไปแข่งขัน
จะได้เหรียญรางวัลกลับมาไหม
เขาก็ตอบว่าคงจะไม่ได้กลับมา
ที่ไปได้รางวัลกลับมาน่ะ
ผลงานของอาจารย์มหาวิทยาลัยในการติวและการฝึกภาคปฏิบัติในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น
สิ่งที่โรงเรียนทำก็คือรับเด็กที่เรียนวิชาการต่าง
ๆ ล่วงหน้ามาแล้ว
แล้วก็ส่งเด็กเหล่านั้นให้กับบุคลากรของมหาวิทยาลัยเป็นผู้ฝึกสอน
รวมทั้งใช้ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียน
(สังกัดอยู่คนละหน่วยงานด้วย)
พอได้รางวัลกลับมาโรงเรียนก็เอาไปคุยอวด
ทั้ง ๆ ที่ทางโรงเรียนเองแทบไม่ได้ทำอะไรเลย
ที่ถูกต้องแล้วเมื่อใดก็ตามที่ทางหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลการเรียนการสอนในระดับโรงเรียนสามารถฝึกฝนนักเรียนของตนเองไปแข่งแล้วได้รางวัลกลับมา
โดยไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานต่างสังกัด
(คือมหาวิทยาลัย)
เมื่อนั้นจึงจะสามารถเอามาโฆษณาหน้าโรงเรียนได้อย่างเต็มปากว่าเป็นผลงานของตนเอง
ไม่ใช่จ้างคนอื่นให้ทำผลงานให้
(แถมยังไม่เอ่ยขอบคุณมหาวิทยาลัยเหล่านั้นในการติวเด็กไปแข่งจนได้รางวัลด้วย)
เวลาสอนแลปเคมีผมจึงมักจะพูดเสมอว่า
สิ่งที่ต้องการในการทำการทดลองคืออยากให้ทุกคนได้มีประสบการณ์ในการทำการทดลอง
ไม่สนว่าผลจะออกมาถูกต้องหรือไม่
เพื่อนคุณก็จ่ายค่าเล่าเรียนเหมือนคุณ
ดังนั้นก็ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สัมผัสของจริงบ้าง
ที่ต้องกล่าวเช่นนี้ดักไว้ล่วงหน้าก็เพราะมักจะเห็นนิสิตพวกที่กลัวจะไม่ได้คะแนนดี
จะยึดการทดลองมาทำเอง
ทำนองว่าถ้าปล่อยให้เพื่อทำให้แล้วผลจะออกมาได้ไม่ดี
จะเสียคะแนน หรืออะไรทำนองนั้น
พวกนี้มักจะเป็นพวกที่ผ่านคอร์สติวพิเศษต่าง
ๆ ที่มีโอกาสได้ฝึกฝนภาคปฏิบัติ
ต่างจากพวกที่เรียนกันมาตามปรกติ
ซึ่งมักจะไม่ได้หรือแทบไม่ได้สัมผัสกับแลป
ทั้งนี้ก็เพราะโรงเรียนเขาคุยโอ้อวดกันด้วยจำนวนนิสิตที่สอบเข้ามหาวิยาลัยได้
และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
(สายวิทย์)
มันก็ไม่มีสอบภาคปฏิบัติ
ปัญหานี้ตอนนี้ไม่ได้มีเฉพาะในระดับโรงเรียน
แต่ลามเข้ามายังระดับมหาวิทยาลัย
คือมีการมองว่าการสอนในระดับปริญญาตรีนั้นเป็นภาระ
ไม่ใช่สิ่งทำชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัย
ไม่ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของอาจารย์
ซึ่งสองเรื่องหลังนี้ไปขึ้นอยู่กับผลงานตีพิมพ์ในระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า
จึงมีรายการแบบว่าเน้นการสอนป.ตรี
ไปทำไม ให้คนอื่นเป็นผู้ผลิตเด็กป.ตรี
เก่ง ๆ ให้ดีกว่า
แล้วค่อยดึงเด็กเหล่านั้นมาเป็นลูกมือทำวิจัยให้
แล้วผลเป็นอย่างไรหรือครับ
เอาแค่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเรานี่แหละ
ในหลายภาควิชาเลย
มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยออกมามาก
มีการเขียนบทความความรู้เฉพาะทางออกมาหลากหลาย
สัดส่วนอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ แต่วิชาพื้นฐานวิศวกรรมธรรมดา
ๆ ที่จำเป็นกับการทำงานในสายอาชีพ
กลับไม่มีอาจารย์คนไหนกล้าสอน
ต้องไปจ้างให้อาจารย์ที่เกษียณอายุไปแล้ว
(ที่มีตำแหน่งทางวิชาการธรรมดา
ๆ)
มาเป็นผู้สอนให้ต่อไป
เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
หลังเลิกงานตอน ๔ โมงเย็น
มีนิสิตรายหนึ่งมานั่งคุยเล่นกับผมถึงเรื่องทั่ว
ๆ ไป หลายหลายเรื่องราว
และหนึ่งในเรื่องนั้นคือระบบการศึกษาของไทย
ช่วงหนึ่งในระหว่างการสนทนานั้น
ผมก็บอกกับเขาว่า ในความเห็นของผมนั้น
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมเห็นว่า
คนเป็นครูที่สอนกันอยู่ตามโรงเรียนและคนเป็นอาจารย์ที่สอนกันในมหาวิทยาลัยนั้น
มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง
คือ
คนเป็นครูมักจะเล่าถึงความสำเร็จของลูกศิษย์
โดยไม่กล่าวถึงความเหนื่อยยากที่ตนเองได้ลงแรงให้กับนักเรียน
ส่วนคนเป็นอาจารย์นั้นมักจะเล่าถึงความสำเร็จของตนเอง
โดยไม่กล่าวถึงความเหนื่อยยากที่นิสิตได้ลงแรงให้
บทความนี้เป็นเพียงแค่การบันทึกเรื่องราวประสบการณ์ส่วนตัวในรอบ
๑๔ ปีที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น