เพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังการสอบซีเนียร์โปรเจค
นิสิตหญิงปี
๔ คนหนึ่งของภาควิชาก็ทำเซอร์ไพรส์ทั้งเพื่อนฝูงและอาจารย์ทั้งภาควิชา
ด้วยการประกาศข่าวงานแต่งงานของเธอที่จะจัดขึ้นในปลายปีนั้น
กับ
อาจารย์หนุ่มจุฬา
ดีกรีดอกเตอร์จากเมืองนอก
--------------------
เขาย้ายมาจากภาควิชาอื่นครับ
แม้ว่าจะเป็นรุ่นพี่
ก็เลยต้องมาเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานกับน้อง
ๆ ปี ๒ ใหม่
เจอหน้ากันครั้งแรกตอนเรียนแลปเคมี
ผมเกือบจะไล่ออกนอกห้องแลปแล้ว
ด้วยเหตุผลที่ว่า
"เป็นนิสิตชาย
ทำไมแต่งเครื่องแบบนิสิตหญิงมาเรียน"
ก็แหม
หน้าตาของรายนี้เนี่ย
ต้องขอยืมข้อความของโรสลาเลนที่เขียนไว้ในนิยายเรื่อง
"รอยอินทร์"
มาดัดแปลงหน่อยว่า
"ถ้าตัดแต่หัวมาตั้ง
ใครเห็นเข้าก็ต้องนึกว่าเป็นผู้ชาย"
ไม่เหมือนตอนนี้นะครับ
ถ้าไม่เห็นบัตรนิสิตหรือบัตรประชาชน
ก็บอกไม่ได้หรอกครับว่าเป็นชายหรือหญิง
--------------------
ตอนนี้ถ้าจะให้บรรยายลักษณะของเขาที่ผมจำได้หรือครับ
ก็เห็นแต่ภาพนิสิตหญิงที่ไม่มีการแต่งหน้าใด
ๆ ดูเหมือนจะมีไรหนวดนิด
ๆ ด้วย ไว้ผมบ๊อบสั้นฟู ๆ
ยุ่ง ๆ (ไม่มีการติดกิ๊ฟ
คาดผม หรือรัดผม ใด ๆ ทั้งสิ้น
ดูไม่ออกเหมือนกันว่าเคยหวีบ้างหรือเปล่า)
ใส่เสื้อนิสิตหลวม
ๆ กระโปรงจีบรอบตัวยาวคลุมเข่า
สวมรองเท้าผ้าใบ เวลาเดินก็เดินเร็ว
ๆ แบบจ้ำเอา ๆ
กิริยาท่าทางแคล่วคล่องครับ
พูดเก่ง ท่าทางเหมือนกับไม่กลัวใคร
(คือมีความกล้าหาญนั่นเอง)
เป็นที่รู้จักของอาจารย์ทั้งภาควิชา
และสิ่งสำคัญที่เจ้าตัวยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานก็คือ
"งานบ้านไม่เป็นสักอย่าง"
แต่เรื่องทำอาหารไม่เป็นเนี่ยไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าตัวหรอกครับ
นิสิตปี ๒ เกือบทั้งภาคก็เป็นเช่นนั้น
เพราะตอนนั้นเรายังมีการทำแลปทอดไข่เจียวในวิชาเคมีอินทรีย์
เพื่อพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า
"ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู"
จริงหรือเท็จ
ก็เห็นเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ทำไข่เจียวเป็น
--------------------
ผมเคยเอ่ยปาก "ชม" เขาว่า คนอย่างคุณเนี่ย ใครได้ไปเป็นคู่ชีวิตเดินอยู่เคียงข้าง หรือเป็นเพื่อนนั่งเคียงข้างเวลากินข้าวด้วย ถือว่าผู้นั้นโชคดีมาก
ปรากฏว่าเขาตอบสวนผมกลับมาว่า
"อาจารย์กำลังจะบอกว่า
ถ้าเขาเดินสวนกับหนู
พอเห็นหน้าหนูก็คงจะกลับหลังหันวิ่งหนี
หรือไม่ก็ถ้านั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
จะกินข้าวไม่ลงใช่ไหมคะ"
เออ
....
รู้ทันซะด้วย
--------------------
ในพักหลัง
ๆ นี้ภาควิชาเราจะสอบการนำเสนอซีเนียร์โปรเจคเป็นวิชาสุดท้ายครับ
และมักจะจัดกันในช่วงวันสุดท้ายของการส่งเกรด
เรียกว่าสอบเสร็จกันในบ่ายวันนั้นและส่งเกรดกันก่อนเส้นตายในเย็นวันนั้นเลย
วันรุ่งขึ้น
(ถ้าจำไม่ผิด)
ก็มีโทรศัพท์จากเขาโทรมาหาผม
ถามว่าผมอยู่ที่ไหน
มีเรื่องอยากจะขอพบ
ผมก็ตอบกลับไปว่าตอนนี้อยู่ที่แลป
(ตึก
๕ ชั้น ๕)
แวะมาหาได้เลย
สักพักเขาก็แวะมาหาครับ
ตอนนั้นผมนั่งคุยอยู่กับนิสิตบัณฑิตศึกษา
อยู่ตรงหัวมุมทางแยกที่แยกออกมากจากทางเดินหลัก
พอเขาโผล่พ้นหัวมุมมาเห็นผม
เขาก็บอกกับผมว่า "อาจารย์
หนูมีอะไรจะบอก หนูจะแต่งงานแล้วนะ
ปลายปีนี้ นี่แฟนหนู"
แล้วเขาก็ชี้ให้ดูผู้ชายที่เดินตามมาข้างหลัง
แล้วก็กล่าวต่อว่า
"นี่หนูบอกอาจารย์เป็นคนแรกเลยนะ
อยากจะเห็นว่าอาจารย์จะทำหน้าอย่างไร
เห็นอาจารย์ชอบว่าหนูนักว่าจะหาแฟนได้เหรอ"
--------------------
และผมทำหน้าอย่างไรเหรอครับ
ไม่รู้เหมือนกันครับ
เพราะไม่มีกระจกส่องดูหน้าตัวเองในตอนนั้น
แต่ที่จำได้แน่
ๆ คือ จะเรียกว่าช็อคแบบคาดไม่ถึงก็ได้ครับ
เมื่อรับรู้ว่า ...
ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาบอกว่าเขาจะแต่งงานนะครับ
แต่เป็น "ใครคือว่าที่เจ้าบ่าว"
ต่างหาก
เพราะบังเอิญผมก็รู้จักกับ
"ว่าที่เจ้าบ่าว"
เขาซะด้วย
และทันทีที่ข่าวนี้ทราบไปถึงหูอาจารย์ในภาควิชา
ปฏิบัติการ Mission
Impossible (ที่ไม่ประสบความสำเร็จสมชื่อ)
ของอาจารย์ในภาควิชาจึงบังเกิดขึ้น
เพื่อหาทางให้อาจารย์หนุ่มคนดังกล่าวเปลี่ยนใจให้ได้
--------------------
ผมไปเรียนต่อโท-เอกที่อังกฤษตอนปีพ.ศ.
๒๕๓๒
ปี ๒๕๓๓
ก็เริ่มมีนักเรียนทุนกระทรวงวิทย์ที่คัดเอานักเรียนม.
๖
ไปเรียนต่อ ตรี-เอก
เพื่อกลับมาทำงานใช้ทุน
หนึ่งในนักเรียนเหล่านั้นที่ผมได้รู้จักก็คือว่าที่เจ้าบ่าวผู้นั้น
ช่วงนั้นเป็นช่วงปีสุดท้ายที่ผมเรียน
กำลังจะสำเร็จการศึกษาและกลับมาทำงานใช้ทุน
ว่าที่เจ้าบ่าวผู้นั้นเพิ่งจะเริ่มเรียนในระดับปริญญาตรี
(คนละสาขาวิชากับผม)
น้องเขาเป็นคนสุภาพกิริยามารยาทเรียบร้อยครับ
มาเจอกันอีกทีตอนที่เขาเรียนจบกลับมาทำงานใช้ทุน
ก็ยังเห็นเขาเป็นคนสุภาพมีกิริยามารยาทเรียบร้อยเหมือนเดิมครับ
--------------------
บางคนเขาบอกว่า
คนที่เป็นคู่ชีวิตกันควรที่จะต้องมีอะไรต่อมิอะไรที่เหมือนกัน
เมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกัน
จะได้ไม่ขัดแย้งกัน
แต่บางคนก็บอกว่า
คนที่เป็นคู่ชีวิตกัน
ควรที่จะต้องมีอะไรที่มันแตกต่างกัน
ต่างคนจะได้เติมเต็มส่วนที่อีกคนหนึ่งขาดหายไป
คู่นี้ก็น่าจะเข้าข่ายกรณีหลังมั้งครับ
--------------------
ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่ช็อคกับข่าวดังกล่าว
อาจารย์ทั้งภาคพอทราบข่าวก็ออกอาการเดียวกัน
(อาจารย์ผู้หญิงคงตกใจด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมสเป็กอย่างนั้นจึงหาแฟนหนุ่มหล่อนักเรียนนอกได้
ส่วนฉันไม่มีใครมาจีบสักที
ส่วนอาจารย์ผู้ชายก็คงจะตกใจด้วยเหตุผลที่ว่า
"ไสยศาสตร์มีจริง"
ข้อความในย่อหน้านี้ผมคิดเองเออเองนะครับ)
หลังจากข่าวงานแต่งงานเผยแพร่ออกไป
ได้ยินมาว่าอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถึงกับเชื้อเชิญ
"ว่าที่เจ้าบ่าว"
ไปรับประทานข้าวกลางวันด้วยพร้อมกับเอ่ยปากว่า
"ผมรู้จักอาจารย์จุฬาคนอื่นที่ดีกว่านี้นะ
สนใจไหม จะแนะนำให้รู้จัก"
ข้อมูลตรงส่วนนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
แต่ได้ยินมาจากอาจารย์รุ่นน้องอีกที
แต่ที่แน่
ๆ คือ ความพยายามใด ๆ ที่จะเปลี่ยนใจ
"ว่าที่เจ้าบ่าว"
นั้น
ไม่ประสบความสำเร็จ
--------------------
ผมเชื่อว่าเราแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ดีงามอยู่ในตัวเอง
เพึยงแต่ว่าตัวเองจะรู้หรือไม่
หรือเลือกที่จะไม่แสดงออกให้คนอื่นเห็น
หรือเลือกที่จะแสดงออกให้กับใครเพียงบางคนได้เห็น
หรือเฉพาะกับคนที่ตาถึงเท่านั้นที่มองเห็น
สำหรับคู่นี้ผมว่าน่าจะเป็นในสองกรณีหลังครับ
:)
:) :)
ก็ขนาดฝ่ายหญิงเล่าให้ผมฟังเองว่า
ตอนฝ่ายชายไปสู่ขอ
ทางบ้านฝ่ายหญิงก็บอกแล้วนะครับว่ารายนี้ทำงานบ้านอะไรไม่เป็นสักอย่าง
และงานนี้ไม่รับคืน
แต่ทางฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวก็ยังยืนยันความเชื่อมั่นในตัวเอง
--------------------
ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นเนี่ย ไม่ได้เป็นการเอาความลับอะไรมาเปิดเผยนะครับ และก็ไม่ได้เป็นการเล่าครั้งแรกด้วย แต่เป็นการรวบรวมเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้ขึ้นไปกล่าวบนเวทีในงานแต่งงานของเขามาเขียนบันทึกเอาไว้เท่านั้นเอง ด้วยทางฝ่ายเจ้าสาวเองนั้นขอให้ช่วยขึ้นกล่าวอะไรก็ได้เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขาหน่อย
เมื่อขอมาก็จัดให้
จัดให้แบบเต็ม ๆ ด้วย
ซึ่งคนที่อยู่ในงานวันนั้นคงทราบดี
เพราะเห็นหัวเราะกันทั่วไปหมด
เรื่องต่าง
ๆ ที่เล่ามานี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อ
๑๐ ปีที่แล้วครับ
ความทรงจำและเรื่องราวดี
ๆ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคเรา
จะปล่อยให้สูญหายไปกับกาลเวลาก็กระไรอยู่ใช่ไหมครับ
--------------------
ตอนที่เขาทั้งคู่เอาการ์ดแต่งงานมาให้
ผมยังถามเลยว่าตกลงว่าใครจะแต่งชุดเจ้าสาว
หรือว่าจะแต่งชุดเจ้าบ่าวทั้งสองคน
แต่จะว่าไปผู้หญิงที่ท่าทางออกทอมนิด
ๆ นี่ ถ้ารูปร่างเพรียวด้วยล่ะก็
เวลาสวมชุดเจ้าสาวที่สวยน่าดูนะครับ
วิศวรุ่นผมก็มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลักษณะที่เพื่อนผู้ชายร่วมรุ่นมองว่าค่อนข้างจะออกเป็นทอมนิดนึง
แต่พอวันที่เขาแต่งงาน
เพื่อนวิศวร่วมรุ่นที่เห็นเขาในชุดเจ้าสาวถึงกับอุทานว่า
"ถ้ารู้ว่าสวยอย่างนี้
รู้งี้จีบไปนานแล้ว"
และรายนี้เมื่ออยู่ในชุดเจ้าสาวแล้วก็ต้องขอยอมรับเลยว่า
เจ้าบ่าวนั้น "ตาถึง"
จริง
ๆ ครับ
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่วายอดแหย่เล่นไม่ได้ว่า
ตกลงว่าคุณเป็นผู้หญิงจริงหรือ
เอาไว้ให้มีลูกก่อนแล้วจะเชื่อ
:)
:) :)
พอถึงตอนเจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ให้แย่งกันปรากฏว่า
มีอาจารย์ของภาควิชาไปร่วมแจมด้วยครับ
--------------------
หลังงานแต่งงานผ่านไป
ผมก็ได้รับรูปถ่าย
(น่าจะเป็นรูปที่ถ่ายในช่วง
pre-wedding)
ขยายใหญ่เป็นของที่ระลึกจากคู่บ่าวสาวมาหนึ่งรูป
พร้อมกับข้อความที่ฝ่ายหญิงเขียนไว้หลังรูปนั้นว่า
....
(ที่เบลอเอาไว้คือชื่อเขาครับ
ขอเบลอเอาไว้หน่อยเพื่อความเป็นส่วนตัว)
--------------------
ฝ่ายหญิงได้งานบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติครับ ท่าทางจะเงินเดือนสูง แต่ก็งานหนัก เท่านั้นยังไม่พอ ยังเจียดเวลามาเรียนต่อระดับปริญญาโทภาคนอกเวลาราชการอีก (แต่ไม่ใช่ที่ภาควิชาเรา) ต้องมาเรียนตอนเย็น ๆ กว่าจะเลิกก็มืดค่ำ ทำให้ผมยังมีโอกาสพบเจอเขาอีกหลายครั้งหลังแต่งงาน (คือผมกำลังจะกลับบ้านส่วนเขากำลังมาเข้าเรียน)
ส่วนฝ่ายชายเหรอครับ
เห็นฝ่ายหญิงโพสโชว์ลง
facebook
ถึงชีวิตลั้นลาในแต่ละวันของฝ่ายชาย
มีทั้งเวลาเล่นเกมส์
และอ่านการ์ตูน
ท่าทางบ้านนี้ฝ่ายหญิงจะไม่ได้เป็นช้างเท้าหน้า
น่าจะอยู่ในระดับเป็นควาญช้างซะมากกว่า
--------------------
เย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา
หกโมงเย็นแล้ว ผมกำลังเดินออกจากตึกทำงาน
ก็สวนกับเขาตรงทางเข้าพอดี
เขามากับรุ่นน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
(ที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตอนเขาเรียนป.ตรี)
ต่างมากันในชุดทำงาน
พอสวัสดีทักทายกันเสร็จเอาก็เอามือลูบพุงแล้วบอกผมว่า
"๕
เดือนแล้วนะคะอาจารย์"
ผมชำเลืองดูแล้วก็ถามกลับด้วยความไม่แน่ใจว่า
"ท้องจริงเหรอ
ไม่ใช่ลงพุงนะ"
ที่ถามไปอย่างนั้นก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
ก็มีอย่างที่ไหนล่ะ คนท้อง
๕ เดือนดูผอมและหุ่นดีกว่าคนไม่ท้องที่เดินมาคู่กันอีก
เขียนอย่างนี้เนี่ย
ลูกศิษย์ที่เดินมาด้วยกับเขาในวันนั้น
จะส่งคนมาดักตีหัวอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาไหมเนี่ย
--------------------
ท้ายสุดนี้ก็คงต้องขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่นะครับ
ที่กำลังจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในเร็ววันแล้ว
ซึ่งเชื่อว่าทั้งคู่
(และญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย)
ต่างตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นอยู่
ส่วนตัวผมเองหรือครับ
คงต้องขออนุญาตกัดส่งท้ายสักนิดหน่อยนะครับว่า
นึกภาพไม่ออกเลยว่า
อีก ๔ เดือนข้างหน้า
โลกจะเป็นอย่างไร :)
:) :)
--------------------