เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
มีศิษย์เก่าภาควิชาคนหนึ่งติดต่อผมมาตอนเที่ยงวันอังคาร
ขอให้ไปร่วมเสวนาเรื่องโรงงานระเบิดหน่อย
ผมก็ตอบไปว่ามันไม่มีข้อมูลอะไรที่ชัดเจนเลย
จะให้พูดอะไรได้
เขาก็บอกมาว่างั้นขอให้อาจารย์พูดเรื่องความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงสำหรับโรงงานหน่อยก็แล้วกัน
เนื่องจากในงานเสวนานี้มีคนพูดหลายคน
(วิทยากร
๘ + พิธีกร
๑ ในเวลา ๖๐ นาที)
ก็ถือว่าช่วย ๆ เขาไป
เรื่องพูดศัพท์เทคนิคที่ดูดีแต่เผลอ
ๆ ทั้งคนพูดคนฟังต่างไม่รู้ว่าพูดอะไรออกมาเนี่ยเจอมาเยอะครับ
ยิ่งวันนั้นมีคนฟังหลากหลาย
ให้เวลาพูดแค่ ๔ นาทีก็เลยจัดตัวอย่างง่าย
ๆ ให้ คือรูปที่ ๑ (ซ้าย)
ข้างล่าง สมมุติว่าเดิมถนนจากเมือง
A ไปเมื่อง
B ระยะแค่
๕ กิโลเมตรแต่มีทางโค้งอันตรายหลายโค้ง
(ลูกศรสีดำ
อันอาจเป็นผลจากลักษณะภูมิประเทศ)
และก็มีรถแหกโค้งประจำ
ก็เลยมีเสนอใหม่ให้ตัดถนนเป็นแนวตรงเลย
(ลูกศรสีชมพู)
ปัญหารถแหกโค้งก็หมดไป
ดังนั้นเราจะสรุปได้ไหมครับว่าทางตรงปลอดภัยกว่าทางโค้ง
รูปที่ ๑
(ซ้าย)
ระยะทางจาก A
ไป B
เดิมเป็นทางโค้ง
มีรถแหกโค้งเป็นประจำ
เลยตัดใหม่เป็นทางตรงยาว
๕ กิโลเมตร
ซึ่งทางตรงลดความเสี่ยงจากการที่รถจะแหกโค้งได้
คำถามก็คือระยะทางจาก C
ไป D
ถ้าตัดถนนเป็นทางตรงยาว
๒๕ กิโลเมตร
จะยังคงมีความปลอดภัยในระดับเดียวกันกับทางตรงจาก
A ไป
B ไหม
(ขวา)
ทางสามแยกรูปตัว T
เดิมมีพุ่มไม้บังมุมมอง
ทำให้คนขับที่ขับในแนวตรงมองไม่เห็นรถที่มาจากถนนที่เข้ามาบรรจบ
ถ้าตัดพุ่มไม้ออกไปเพื่อให้คนขับรถทั้งจากแนวตรงและแนวบรรจบต่างมองเห็นอีกฝ่ายได้
จะทำให้แยกนี้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไหม
ถนนที่ตรงนั้นจัดการความเสี่ยงเนื่องจากรถจะแหกโค้งได้
เพราะมันไม่มีโค้งให้แหก
แต่ถนนที่ตรงยาวนั้นมันมีความเสี่ยงอันใหม่เพิ่มเข้ามาเมื่อเทียบกับถนนที่โค้งไปมาเป็นระยะทางยาวคือ
มัน "หลับใน"
ง่ายกว่า
เราหนีความเสี่ยงหนึ่งเพื่อไปสร้างอันใหม่อีกอันหนึ่งขึ้นมา
การมองเห็นความเสี่ยงตรงนี้มันมีเรื่อง
"ประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง"
เข้ามาเกี่ยวข้อง"
อีกตัวอย่างหนึ่งเห็นในรายการโทรทัศน์ของอังกฤษตอนเรียนอยู่ที่โน่น
(รูปที่
๑ (ขวา)
ซึ่งก็กว่า ๓๐ ปีแล้ว
เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวในงานเสวนา
คือมีการศึกษาว่าเมื่อเราทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับรถ
ความเสียหายจากอุบัติเหตุจะลดลงหรือไม่
คือเรื่องมุมมองที่สามแยกที่มีต้นไม้บัง
เขาคิดว่าทัศนวิสัยไม่ดี
คนขับรถมองไม่เห็นรถที่วิ่งในเส้นทางตั้งฉากกับรถของตัวเอง
ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันที่สามแยก
ก็เลยตัดต้นไม้ออกเพื่อให้คนขับรถเห็นรถที่มาจากถนนด้านที่ตั้งฉากกับรถของตัวเองได้แต่ไกล
(แทนที่จะมาเห็นตอนเข้าสามแยกแล้ว)
แต่ปรากฏว่าอุบัติเหตุยังเกิดเหมือนเดิมและรุนแรงกว่าเดิม
เพราะพอคนขับเห็นว่ามองเห็นได้ไกลขึ้นก็เลยไม่ลดความเร็วเมื่อรถเข้าสู่สามแยก
อีกกรณีหนึ่งที่กล่าวถึงในรายการโทรทัศน์เดียวกันคือ
การพบว่าสำหรับรถเก๋ง
การบังคับให้คนนั่งหน้ารัดเข็มขัดกลับไม่ได้ช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุอย่างที่ควรเป็น
พอทำการศึกษาก็พบว่าพอให้คนขับรัดเข็มขัดนิรถัย
คนขับเลยรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นก็เลยขับรถเร็วขึ้น
(เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ)
ส่วนคนนั่งเบาะหลังกฎหมายไม่บังคับ
เวลาเกิดอุบัติเหตุรถชน
คนนั่งหลังก็เลยปลิวอัดเบาะคนนั่งหน้าพับเข้าหาคอนโซล
(ไม่ก็พุ่งทะลุกระจกหน้าออกไป)
คนขับก็กระแทกพวงมาลัยตายอยู่ดีแม้รัดเข็มขัด
ตอนหลังอังกฤษก็เลยต้องแก้กฎหมายด้วยการบังคับให้รัดเข็มขัดทั้งคนนั่งหน้านั่งหลัง
ถุงลมนิรภัยติดรถยนต์ก็เป็นอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่กล่าวอ้างว่าช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุได้
ซึ่งการทดลองเพื่อการออกแบบก็ใช้ผู้ชายฝรั่งโตเต็มวัยเป็นแบบ
แต่เอาเข้าจริงผู้หญิงขับรถก็มีไม่น้อย
และผู้หญิงมักตัวเล็กกว่าผู้ชาย
เวลาขับรถจึงมักนั่งใกล้พวงมาลัยมากกว่าผู้ชาย
สิ่งที่เกิดคือพอถุงลมนิรภัยพองออก
ผู้หญิงได้รับแรงกระแทกสูงกว่าผู้ชาย
จนมีบางรายเสียชีวิต
ก็เลยต้องมีการปรับขนาดกันใหม่
ด้วยเหตุนี้รถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยไว้ให้กับคนนั่งหน้า
จึงห้ามเด็กนั่งหน้า
หรือกรณีของระบบเบรค
ABS
ที่บอกว่าช่วยลดความเสี่ยงจากการชนท้ายเวลารถคันหน้าหยุดกระทันหัน
ด้วยการทำให้ล้อไม่ล็อกตายและหักหลบได้
แต่อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า
เพื่อนคนหนึ่งของอาจารย์ได้รับบาดเจ็บหนักเพราะรถมีระบบ
ABS
กล่าวคือรถคันหน้าเกิดอุบัติเหตุหยุดกระทันหัน
ก็เลยหักขวาหลบ
รถที่วิ่งตามมาข้างหลังด้านขวาก็เลยชนเข้าเต็ม
ๆ ตรงประตูคนขับ ถ้าชนท้ายตรง
ๆ เต็มหน้า
หน้ารถจะรับแรงกระแทกและมีการยุบตัวเพื่อดูดซับแรง
และเข็มขัดนิรภัยที่ออกแบบมาโดยตรงเพื่อไม่ให้คนขับปลิวไปข้างหน้า
แต่พอมาโดนชนด้านข้างที่มีเพียงแค่ประตูบานเดียวคั่นระหว่างคนขับกับรถที่มาชน
ก็เลยเจ็บหนัก
รูปที่ ๒
ถ้าเกิดอุบัติเหตุมีรถยนต์ปีนขึ้นทางเท้าชนคนรอรถเมล์ที่ป้าย
เราควรสร้างกำแพงป้องกันไว้ที่ขอบทางเท้าหรือไม่
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นกระแสในสัปดาห์ที่แล้วและมีบางคนบอกผมว่าช่วยหน่อย
คือช่วยให้ย้ายโรงงานออกไปจากแหล่งชุมชน
แต่โรงงานตั้งอยู่ตรงนั้นมาก่อนสมัยที่ตรงนั้นยังเป็นที่รกร้าง
เป็นที่เขาจัดให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม
พวกบ้านที่พักอาศัยเพิ่งจะมาอยู่ภายหลัง
สิ่งที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นตรงนี้คือ
การที่เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย
พอเกิดเรื่องทีเนี่ยจะเปลี่ยนแปลงกันล้างบางเลยหรือ
เราเอาอะไรมาเป็นตัวพิจารณา
ป้ายรถเมล์ในรูปที่
๒ นี้คนเรียนจุฬาคงรู้จัก
เพราะเป็นป้ายรถเมล์ที่หน้าประตูใหญ่
แต่ก่อนทางเท้าตรงนี้เป็นอย่างไร
ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น
เป็นมีมานานแล้ว
แต่ที่ป้ายนี้เคยเกิดอุบัติเหตุรถเก๋งปีนขึ้นทางเท้า
ชนนิสิตที่รอรถเมล์อยู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและพิการ
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าทางเท้านี้ไม่ปลอดภัย
ที่ควรต้องมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถปีนทางเท้าชนคนได้อีก
ก็ปล่อยมันไว้เหมือนเดิม
เหมือนกับป้ายรถเมล์ต่าง
ๆ ที่มีอยู่
ประเด็นที่น่านำมาพิจารณาคือ
เรามีเกณฑ์อะไรในการกำหนดว่า
สิ่งที่อยู่มานานโดยไม่เคยเกิดเรื่องอะไร
พอเกิดเรื่องทีก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงกันแบบล้างบาง
ในขณะที่บางสิ่งนั้นเรากลับรู้สึกเฉย
ๆ โดยมองว่าเป็นเรื่องโชคร้ายครั้งคราว
แล้วก็อยู่กันแบบเดิม ๆ
อย่างเช่นในกรณีที่โรงงานและชุมชนอยู่ใกล้กัน
แล้วโรงงานเกิดอุบัติเหตุที่เกิดผลกระทบกับชุมชน
เราจะป้องกันไม่ให้เกิด
"เหตุการณ์ทำนองนี้"
ได้อย่างไรบ้าง
โดยมุมมองส่วนตัว
เรามีแนวทางให้เลือกอยู่
๓ แนวทางด้วยกันคือ
(ก)
ย้ายโรงงานออกไปให้ห่างจากชุมชน
(ข)
ย้ายชุมชนออกไปให้ห่างจากโรงงาน
และ
(ค)
โรงงานและชุมชนยังคงอยู่ร่วมกัน
แต่หาทางป้องกันไม่ให้โรงงานเกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำอีก
การไม่ต้องการให้มีโรงงานอยู่ใกล้กับชุมชนที่พักนั้นเป็นการไม่ยอมรับความเสี่ยงใด
ๆ ก็มองได้ว่าเป็นความต้องการที่สุดขั้วฟากหนึ่ง
ตัวอย่างป้ายรถเมล์ที่รถปีนขึ้นทางเช้าชนคนรอป้ายรถเมล์อยู่ก็คงเป็นการยอมรับความเสี่ยงสุดขั้วอีกฟากหนึ่ง
คือการยอมรับที่จะอยู่แบบเดิมโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร
ยังมีคำตามต่าง
ๆ ตามมาอีกไม่ว่าจะเลือกแนวทางไหน
เช่นถ้าเลือก (ก)
หรือ (ข)
การปฏิบัตินั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะกับพื้นที่ที่เกิดเรื่อง
หรือครอบคลุมไปยังพื้นที่แบบเดียวกันที่ยังไม่เกิดเรื่องบ้าง
แต่ไม่ว่าจะเลือกแนวทางไหน
สิ่งสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาคือ
การให้ "ผู้มีส่วนได้/ส่วนเสีย"
กับการมี/ไม่มีสิ่งนั้นอยู่
ให้เป็นผู้ร่วมพิจารณา
คำถามก็คือใครคือ
"ผู้มีส่วนได้/ส่วนเสีย"
ในกรณีของโรงงาน
กลุ่มคนที่เป็นผู้มีส่วนได้/ส่วนเสีย
(เท่าที่คิดออกขณะนี้)
น่าจะมีอยู่สองกลุ่มคือ
กลุ่มแรกคือผู้ที่มีที่พักอาศัยใกล้กับโรงงานแต่ไม่ได้มีส่วนได้ใด
ๆ โดยตรงกับโรงงานนั้น
กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสได้รับความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุที่เกิดในโรงงาน
กลุ่มที่สองคือผู้ที่เกี่ยวข้องกันการที่โรงงานมีการทำงาน
เป็นกลุ่มที่มีส่วนได้โดยตรงกับการมีโรงงานนั้นอยู่
ตัวอย่างคนกลุ่มนี้เช่น
ผู้ที่ประกอบอาชีพที่โรงงานนั้น
ร้านค้า หอพัก รถรับส่ง ฯลฯ
ที่ให้บริการคนทำงานที่โรงงานนั้น
ซึ่งการที่โรงงานหายไปก็แน่นอนว่าส่งผลถึงการประกอบอาชีพของคนเหล่านี้
และถ้าผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้เช่น
ร้านค้า รถรับส่งหายไป
ก็อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อคนกลุ่มแรก
ในกรณีของการควรมีหรือไม่มีรั้วกั้นทางเท้านั้น
ผู้มีส่วนได้/ส่วนเสียคงได้แก่ทุกคนที่ใช้รถประจำทาง
รถยนต์นั่ง
รวมไปทั้งร้านค้าที่ตั้งอยู่บริเวณป้ายรถเมล์
ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่ป้ายรถเมล์ที่เกิดเรื่อง
แต่จะครอบคลุมไปยังป้ายรถเมล์ใด
ๆ ด้วยที่ตั้งอยู่ริมถนนหลักเหมือนกัน
ซึ่งการพิจารณาว่าควรมีหรือไม่มีกำแพงกั้น
ก็อาจมีการพิจารณาถึงปัจจัยต่าง
ๆ เช่น ความสะดวกในการขึ้นลงรถตรงตำแหน่งใดก็ได้ของถนน
ความสะดวกในการจอดรถข้างทางที่ไหนก็ได้
ความไม่สะดวกในการเอารถมาจอดบนทางเท้า
ความรู้สึกว่าไม่ได้ถูกกักขังด้วยรั้ว
(ลองนึกภาพสมมุติว่าบ้านคุณอยู่ในซอยหรือถนนเล็ก
ๆ แล้วฝั่งตรงข้ามเป็นรั้วโปร่งกับรั้วสูงทึบ)
ฯลฯ
เราอาจมองว่า
การมีบ้านอยู่ใกล้โรงงานมันก็ต้องเสี่ยงทุกวัน
แต่การมายืนรอรถเมล์ที่ป้ายเพื่อไปทำงานก็มองได้ว่าต้องเสี่ยงทุกวันเหมือนกัน
การหาจุดสมดุลของแต่ละเหตุการณ์จึงควรต้องมีการพิจารณาให้รอบด้านและให้เหตุผลได้
ว่าทำไมจึงตัดสินใจเลือกแนวทางแบบนี้
ไม่เช่นนั้นจะเจอปัญหาว่าทำไมกรณีนั้นทำแบบหนึ่ง
แต่กรณีนี้กลับทำอีกแบบหนึ่ง
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกัน