โครงสร้างโมเลกุลของเอทานอลนั้นมีทั้งส่วนที่มีขั้วที่แรงคือหมู่
-OH
และส่วนที่ไม่มีขั้วคือหมู่
-C2H5
ด้วย
ด้วยการที่ส่วนที่ไม่มีขั้วมีขนาดเล็กจึงทำให้เอทานอลละลายในน้ำได้ในทุกสัดส่วน
ที่มีปัญหามากกว่าน่าจะเป็นการละลายในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้วเช่นไฮโดรคาร์บอน
ในกรณีของพวก
"light
hydrocarbon" (พวกที่มีจุดเดือดต่ำ)
นั้นพบว่าเอทานอลที่ปราศจากน้ำ
(absolute ethanol
หรือ anhydrous
ethanol) สามารถละลายได้ในทุกสัดส่วน
แต่ในกรณีของเอทานอลที่มีน้ำผสมอยู่ด้วยนั้น
(เช่นเอทานอลที่เราใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอล์ที่มีน้ำผสมอยู่ได้ไม่เกิน
0.3 wt%
หรือถังเก็บน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่มีน้ำปนเปื้อน)
พบว่า การละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันระหว่าง
น้ำ + เอทานอล
+ ไฮโดรคาร์บอนนั้น
ยังขึ้นกับรูปร่างโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนด้วยว่าเป็นชนิดสายโซ่หรืออะโรมาติก
รูปที่ ๑
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ นอร์มัลเฮปเทน
(n-Heptane (C7H16)
นำมาจากบทความเรื่อง
"Vapour–liquid–liquid
and vapour–liquid equilibrium of the system water + ethanol +
heptane at 101.3 kPa", Vicente Gomis, Alicia Font, Maria Dolores
Saquete, Fluid Phase Equilibria, 248 (2006) 206-210.
หน่วยของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
mol%
รูปที่
๑ เป็นเฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ นอร์มัลเฮปเทน
ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลในการอ่านกราฟแบบนี้สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้กราฟแบบนี้มาก่อน
แกนนอนในรูปที่ ๑ ที่อยู่ระหว่างคำ
Water ทางด้านซ้าย
กับ n-Heptane
ทางด้านขวาคือสัดส่วนน้ำในสารละลาย
ตัวเลข 100
ที่อยู่ทางฝั่งคำ
"Water"
คือมีน้ำเพียงอย่างเดียว
(น้ำบริสุทธิ์)
ตัวเลข 0
ที่อยู่ทางฝั่งคำ
"n-Heptane"
คือสารละลายที่ไม่มีน้ำเลย
(มีแต่นอร์มัลเฮปเทน)
แกนทางด้านซ้าย (เริ่มจาก
0 ที่คำ
"Water' ไปจนถึง
100 ที่คำ
"Ethanol")
คือสัดส่วนเอทานอลในสาละลาย
และในทำนองเดียวกันแกนทางด้านขวา
(เริ่มจาก
0 ที่คำ
"Ethanol'
ไปจนถึง 100
ที่คำ "n-Heptane")
คือสัดส่วนนอร์มัลเฮปเทนในสารละลาย
ทุก ๆ
องค์ประกอบที่อยู่บนแกนทางด้านขวาคือสารละลายผสมระหว่างเอทานอลกับนอร์มัลเฮปเทนที่ไม่มีน้ำปนอยู่เลย
ส่วนที่เป็นโค้งรูปโดมอยู่ในรูปสามเหลี่ยมเป็นเส้นแบ่งระหว่างส่วนผสมที่ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
(ส่วนที่อยู่เหนือเส้นรูปโดม)
และส่วนผสมที่มีการแยกออกเป็นสองเฟส
(ส่วนที่อยู่ใต้เส้นรูปโดม)
เส้นตรงสีส้มที่ลากอยู่ใต้โค้งรูปโดมเรียกว่า
"Tie line"
เป็นเส้นที่เป็นตัวบอกว่าในกรณีของส่วนผสมที่มีการแยกเป็นสองเฟสนั้น
แต่ละเฟสจะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
โดยจุดทางด้านซ้ายองค์ประกอบหลักเป็นเฟสน้ำ
+ เอทานอล
โดยมีนอร์มัลเฮปเทนเป็นส่วนน้อย
ส่วนจุดทางด้านขวาองค์ประกอบหลักจะเป็น
เอทานอล +
นอร์มัลเฮปเทน
โดยมีน้ำเป็นส่วนน้อย
รูปที่ ๒
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ เฮกเซน
(Hexane C6H14)
รูปนี้นำมาจากบทความที่ปรากกฏอยู่ในรูปแล้ว
หน่วยของแต่ละแกนในรูปนี้คือmol
fraction หรือสัดส่วนโมล
ซึ่ง mole
fraction x 100 = mol%
รูปที่ ๓
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ เพนเทน
(Pentane C5H12)
สเกลของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
mol fraction
รูปนี้นำมาจากบทความเดียวกันกับรูปที่
๒
รูปที่ ๔
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ ไซโคลเฮกเซน
(Cyclohexane
C6H12)สเกลของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
mol fraction
รูปที่
๒ และ ๓ เป็นเฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ เฮกเซน/เพนเทน
ทั้งนอร์มัลเฮปเทน,
เฮกเซน และเพนเทน ต่างเป็น
aliphatic
hydrocarbon (ไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างแบบเส้น)
เหมือนกัน
ต่างกันที่จำนวนอะตอมคาร์บอน
พึงสังเกตตำแหน่งจุดสูงสุดของโค้งรูปโดม
จะเห็นว่าเมื่อโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนมีขนาดเล็กลง
จุดสูงสุดของโค้งรูปโดมจะลดต่ำลง
แสดงให้เห็นว่าช่วงสารละลายผสมที่ประกอบด้วย
น้ำ + เอทานอล
+ ไฮโดรคาร์บอน
ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นมีช่วงกว้างขึ้น
รูปที่
๔ เป็นเฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ ไซโคลเฮกเซน
ที่เป็นไฮโดรคาร์บอนรูปร่างโมเลกุลเป็นวงแหวนอิ่มตัว
(cycloaliphatic)
ถ้าเทียบกับกรณีของเฮกเซนแล้วจะเห็นว่าตำแหน่งความสูงของโค้งรูปโดมนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
(อนึ่ง
ความสูงของโค้งรูปโดมนั้นยังขึ้นกับอุณหภูมิที่ทำการทดลอง
กล่าวคือที่อุณหภูมิสูงขึ้นการละลายเข้าเป็นเฟสเดียวกันจะเกิดได้ดีขึ้น
ทำให้ความสูงของโค้งรูปโดมลดต่ำลง)
รูปที่
๕ เป็นเฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ โทลูอีน
(C6H5-CH3)
โครงสร้างโมเลกุลของโทลูอีนนั้นเป็นวงแหวนอะโรมาติกที่มีหมู่เมทิล
(-CH3)
เกาะหนึ่งหมู่
ในกรณีนี้พึงสังเกตว่าความสูงของโดมในวงแหวนลดต่ำลงไปอีก
นั่นแสดงว่าช่วงสัดส่วนที่สารทั้งสามสามารถละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นกว้างขึ้นไปอีก
รูปที่ ๕
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ โทลูอีน
นำมาจากบทความเรื่อง
"Homogeneity of
the water + ethanol + toluene azeotrope at 101.3 kPa", Vicente
Gomis, Alicia Font, Maria Dolores Saquete, Fluid Phase Equilibria,
266 (2008), 8-13. สเกลของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
mol%
แม้ว่าโครงสร้างอะโรมาติกของโทลูอีนและวงแหวนของไซโคลเฮกเซนนั้นจะมีจำนวนอะตอมคาร์บอน
6 อะตอมเหมือนกัน
แต่รูปร่างแตกต่างกัน
กล่าวคือโครงสร้างวงแหวนอะโรมาติกมีความแบนราบในขณะที่โครงสร้างของไซโคลเฮกเซนนั้นไม่ใช่
กราฟทั้งหมดที่แสดงมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่ารูปร่างโครงสร้างโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนนั้นส่งผลต่อการผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันของ
น้ำ + เอทานอล
+ ไฮโดรคาร์บอน
ดังนั้นการนำเอทานอลมาผสมกับไฮโดรคาร์บอนเพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์นั้นจึงต้องเลือกสัดส่วนผสมที่ทำให้สารละลายนั้นรวมเป็นเนื้อเดียวกันโดยไม่มีการแยกเฟส
น้ำมันเบนซิน
(หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
gasoline)
เป็นสารผสมที่ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนหลากหลายชนิด
สำหรับบ้านเรานั้นกำหนดให้มีสารประกอบอะโรมาติก
(ทุกชนิดรวมกัน)
ไม่เกิน 35
vol% (ร้อยละโดยปริมาตร)
และกำหนดจุดเดือดเอาไว้ว่า
90 vol%
ต้องระเหยที่อุณหภูมิไม่เกิน
170ºC
และจุดที่ระเหยจนหมดต้องไม่เกิน
200ºC
ในกรณีของน้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้นกำหนดส่วนผสมด้วยหน่วย
"vol%"
รูปที่ ๖
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ แก๊สโซลีน
นำมาจากบทความเรื่อง
"Bioethanol
fule quality and downstream marketting constraints" โดย
S. Gunawardena,
Proceeding of SAARC Regional Training on Biofuels, 22-26 September
2008. สเกลของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
wt%
รูปที่
๖ เป็นเฟสไดอะแกรมของ น้ำ
+ เอทานอล
+ น้ำมันเบนซิน
โดยหน่วยสัดส่วนผสมที่เขาใช้นั้นคือ
"wt%"
(หมายเหตุ :
เอทานอลมีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำมันเบนซินอยู่เล็กน้อย)
ถ้าดูตามรูปนี้ก็จะเห็นว่าเราสามารถผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซินด้วยสัดส่วนใดก็ได้
รูปที่
๗ เป็นเฟสไดอะแกรมของ น้ำ
+ เอทานอล
+ น้ำมันเบนซิน
ที่อุณหภูมิต่าง ๆ
(หน่วยสัดส่วนผสมที่ใช้ในกราฟนี้คือ
"vol%"
(คนละหน่วยกับรูปที่
๑-๕)
พึงสังเกตว่าเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง
บริเวณสัดส่วนผสมที่ยังทำให้สารละลายยังคงเป็นเนื้อเดียวกันนั้นจะแคบลง
ดังนั้นการเลือกสัดส่วนผสมจึงต้องคำนึงถึงช่วงอุณหภูมิอากาศที่นำน้ำมันไปใช้งานด้วย
รูปที่ ๗
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ น้ำมันเบนซิน
(แก๊สโซลีน)
ที่อุณหภูมิต่างกัน
นำมาจากบทความเรื่อง "Gasoline
made with hydrous ethanol", Orlando Volpato Filho, Conference
Paper, September 2008
(https://www.researchgate.net/publication/309564235)
สเกลของแต่ละแกนในรูปนี้คือ
vol%
เดคเคน
มีจุดเดือดอยู่ที่ประมาณ
174ºC
(อยู่ในช่วง 10%
สุดท้ายของน้ำมันเบนซิน)
เส้นสีเขียวในรูปที่
๘
เป็นเส้นแบ่งสัดส่วนความเข้มข้นที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันและแยกเป็นสองเฟสของสารผสม
น้ำ + เอทานอล
+ เดคเคน
(หน่วยเป็น
mol%)
พึงสังเกตว่าช่วงองค์ประกอบที่สารผลมสามารถละลายเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นจะแคบลงไปอีก
โดยเฉพาะแนวแกนด้านขวาที่เป็นส่วนผสมระหว่างเอทานอลกับเดคเคน
ที่โค้งรูปโดมนั้นแทบจะแนบไปกับแนวแกนดังกล่าว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้ามีน้ำผสมอยู่เพียงปริมาณเล็กน้อยก็จะเกิดปัญหาการแยกเฟสได้ทันที
(ต้องไม่ลืมว่าเอทานอลที่เอามาผสมกับน้ำมันเพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์นั้นจะมีน้ำปนอยู่เล็กน้อย
ยิ่งผสมเอทานอลมากขึ้น
สัดส่วนน้ำในสารผสมก็จะมากขึ้นไปด้วย)
รูปที่ ๘
เฟสไดอะแกรมของสารละลาย
น้ำ + เอทานอล
+ เดคเคน
(Decane C10H22)
/ออกทานอล (Octanol
C8H15-OH) (หน่วยเป็น
mol%)
ในรูปนี้มุมซ้ายล่างของสามเหลี่ยมคือจุด
เอทานอล 100%,
มุมขวาล่างคือ เดคเคน/ออกทานอล
100%
และมุมบนคือเอทานอล
100%
ปัญหาเรื่องการผสมเอทานอลเข้ากับไฮโดรคาร์บอนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกนั้นเห็นได้ชัดเมื่อมีความต้องการเอาเอทานอลไปผสมกับน้ำมันดีเซล
ซึ่งจำเป็นต้องมีการเติมสารลดแรงตึงผิว
(surfactant)
เพื่อให้ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกันและละลายได้มากขึ้น
ในขณะที่ในกรณีของน้ำมันเบนซินนั้นไม่จำเป็นต้องใช้
ข้อดีของการผสมเอทานอลในน้ำมันดีเซลคือทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้นเนื่องจากโมเลกุลเอทานอลมีขนาดเล็กและมีออกซิเจนอยู่ในตัว
แต่ก็มีช้อเสียคือไปทำให้เลขซีเทนของน้ำมันดีเซลลดต่ำลง
(รูปที่
๙)
รูปที่ ๙
เลขซีเทนของน้ำมันดีเซลเมื่อผสมเอทานอลด้วยอัตราส่วนต่าง
ๆ กัน
แม้เอทานอลจะมีเลขออกเทนที่สูงแต่มีพลังงานความร้อนที่ต่ำกว่าไฮโดรคาร์บอน
เพื่อที่จะดึงประโยชน์จากเลขออกเทนที่สูงของเอทานอลจึงควรต้องใช้เครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้น
แต่นั่นจะไปก่อให้เกิดปัญหาเมื่อต้องใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง
(เพราจะมันจะน็อคได้ง่ายขึ้น)
สำหรับรถยนต์ทั่วไปนั้นอัตราส่วนการอัดของเครื่องยนต์ที่ติดรถมานั้นจะคงที่
ดังนั้นอีกทางเลือกที่ทำได้คือการเปลี่ยนองศาการจุดระเบิด
ดังเช่นผลการทดลองในรูปที่
๑๐ ที่เปรียบเทียบระหว่างน้ำมันเบนซินที่จุดระเบิดที่
9 BTDC
แต่ถ้าใช้แก๊สโซฮอล์ที่มีสัดส่วนเอทานอลผสม
50%
จะต้องจุดระเบิดเร็วขึ้นที่
12-15 องศา
แต่เครื่องยนต์ที่บทความนี้ใช้เป็นเครื่องยนต์ทดสอบชนิดลูกสูบเดียว
รอบเครื่องยนต์ที่เห็นจึงจัดว่าสูงอยู่
รูปที่ ๑๐
แรงบิดและกำลังที่ได้จากการจุดระเบิดที่องศาการจุดระเบิดต่างกันระหว่างน้ำมันเบนซิน
(แก๊สโซลีน)
และแก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสม
50%
บทความได้ระบุว่าสัดส่วนผสมเป็นหน่วยใด
แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นโดยปริมาตร
BTDC ย่อมาจาก
Before Top Dead
Centre ที่แปลว่าก่อนถึงจุดศูนย์ตายบน
ลูกสูบเคลื่อนที่ลง-ขึ้นหนึ่งรอบเพลามีการหมุน
360 องศา
9 BTDC
ก็คือเพลาแล้ว 361
องศา ขาดอีก 9
องศาลูกสูบก็จะเคลื่อนที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด