แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สง่า อารัมภีร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สง่า อารัมภีร แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผีที่บางโทรัด เลียบทางลัดไปบ้านกาหลง MO Memoir : Sunday 22 July 2561

" ... วันรุ่งขึ้น บางคนนั่งเรือไปทางราชบุรี บางคนก็กลับรถไฟ โดยเอารถยนต์จอดไว้ที่มหาชัย สำหรับผมกลับรถไฟตามเดิม ก่อนจะถึงสถานีบ้นแหลมท่าฉลอมก็เจอสถานีบางโทรัดเข้า ก็หวนนึกถึง "ผีที่บางโทรัด" เมื่อหลายปีขึ้นมาได้ทันที ... " (จากเรื่อง "ผีที่บางโทรัด" ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" โดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙)


รูปที่ ๑ ป้ายชื่อสถานีริมทางรถไฟสาย บ้านแหลม - แม่กลอง ถ่ายในขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนที่เข้าสถานี

บ้านบางโทรัด อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร การเดินทางจากกรุงเทพนั้น ถ้าเป็นทางรถไฟก็ต้องไปขึ้นที่สถานีวงเวียนใหญ่ จับรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สุดทางที่สถานีมหาชัยก็ต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำท่าจีนเพื่อไปขึ้นรถไฟสายแม่กลองอีกขบวนที่สถานีบ้านแหลม แต่ถ้าเป็นทางรถยนต์ก็ใช้ถนนพระราม ๒ (หรือ ธนบุรี-ปากท่อ ตามชื่อเก่า) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ ๔๐ กว่า ๆ (เท่าไรจำไม่ได้) จะสังเกตเห็นโรงงานน้ำมันพืชโอลีนอยู่ทางด้านซ้าย ถัดไปหน่อยจะเห็น "วัดเกตุมดีศรีวราราม" อยู่ทางด้านซ้าย ถนนเข้าบ้านบางโทรัดก็อยู่ข้างวัดนั้น
 
ผมรู้จักชื่อนี้ครั้งแรกก็จากเรื่องเล่าที่ยกมาข้างต้น ขับผ่านถนนพระราม ๒ ก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสจะแวะเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่หนังสือกล่าวไว้ซักที วัดที่หนังสือกล่าวไว้นั้นชื่อ "วัดบางโทรัด" ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจุบันคือวัดไหน แต่เดาว่าน่าจะเป็น "วัดบัณฑูรสิงห์" เพราะเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟและอยู่ริมคลองสุนัขหอน (ตามชื่อทางการที่ทำให้มันดูสุภาพกว่าชื่อคลองหมาหอน) เพราะในเรื่องเล่านั้นมีการกล่าวถึงการจัดการแข่งเรือ (ย่อหน้าถัดไป)


รูปที่ ๒ สถานีรถไฟบางโทรัดอยู่ทางด้านขวา คลิปวิดิโอที่แนบมานั้นเป็นภาพจากกล้องหน้ารถในช่วงถนนเลียบทางรถไฟจากสถานีบางโทรัดมายังสถานีบ้านกาหลง ในวิดิโอจะมีสะพาน ๒ สะพานด้วยกัน สะพาน ๑ คือสะพานแรกที่ปรากฏที่ทางขึ้นลงค่อนข้างจะหักมุม รถท้องเตี้ยอาจเกิดปัญหาได้ ส่วนสะพาน ๒ อยู่ก่อนถึงสถานีกาหลง เป็นสะพานหลากสี วัดบัณฑูรสิงห์ก็อยู่ทางมุมขวาของภาพ โดยอยู่เยื้องออกมาทางด้านซ้ายของโรงเรียนสมุทรสาครติดกับสะพานข้ามคลองสุนัขหอน

" ... ทีนี้อนันต์เขาไปรับปากสมภารวัดบางโทรัดจะถ่ายหนังให้เวลาที่วัดมีงาน คราวนั้นดูเหมือนจะมีงานแข่งเรือ แล้วก็มีงานกุศลสร้างโบสถ์ เราไปกันทั้งชุดทางรถไฟ ขึ้นรถไฟที่ปากคลองสาน วิ่งแบบสโลว์ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง กว่าจะถึงบางโทรัดก็เย็นโข ไปไหว้ท่านสมภารแล้วมัคทายกก็นำพวกเราไปที่บ้านหลังวัดให้มารับทางอาหารเย็นเสียก่อนพอขึ้นไปบนบ้านก็ตกใจถอยหลังทีเดียว แม่โชงวางเรียงไว้ขวดใหญ่ถึง ๒๔ ขวด โซดา ๒ ลัง น้ำแข็ง ๒ กระติก ถ้วยแก้ว ๒ โหล คงจะมีเผื่อไว้เวลาแก้วแตกหรือสำรองไว้ให้เราเคี้ยวแก้วเล่น ... "

ผมโฉบผ่านบางโทรัดครั้งแรกเมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟจากบ้านแหลมไปแม่กลอง ก็เลยได้มีโอกาสถ่ายรูปป้ายสถานีรถไฟบางโทรัดตอนที่รถกำลังเคลื่อนที่เข้าสถานี (รูปที่ ๑) และจอดที่สถานี (รูปที่ ๓) รถไฟสายมหาชัยนั้นเดิมมีต้นทางที่สถานีคลองสานที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นสมัยก่อนการเดินทางจากมหาชัยมากรุงเทพก็สามารถนั่งรถไฟถึงคลองสาน แล้วก็ข้ามเรือมาขึ้นฝั่งที่ท่าสี่พระยาได้เลย แต่ภายหลังสถานีคลองสานถูกปิดไป รถไฟมาถึงเพียงแค่วงเวียนใหญ่ รถไฟจากวงเวียนใหญ่ไปมหาชัยนั้นใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ถ้าเลือกขบวนรถได้จังหวะก็จะมีเวลาประมาณครึ่งฃั่วโมงในการเดินและข้ามเรือจากสถานีมหาชัยไปต่อรถไฟที่สถานีบ้านแหลม จากบ้านแหลมไปยังแม่กลองก็ใช้เวลาอีก ๑ ชั่วโมง ดังนั้นถ้าเทียบกับการเดินทางในยุคก่อนนั้น (ยุคของหัวรถจักรไอน้ำ) ก็เรียกว่ารวดเร็วขึ้นมาก

" ... รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตีเท่าไรก็ไม่รู้เพราะผมไม่ได้ผูกนาฬิกา เงียบสงัดทีเดียว เสียงสัตว์กลางคืนร้องระงม ป่ารอบ ๆ วัดเป็นป่าแสม เสียงป่าแสมผิดกับเสียงป่าบนเขาใหญ่และบนเขาภูพานมาก เสียงมันวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ผมลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วก็มานอนนอกมุ้งฟังเสียงป่าคุยกันจนเพลิน พอลืมตามองไปทางหัวบันไดหน้าศาลาก็เจอเงาดำ ๆ ๒ เงานั่งยอง ๆ เอามือทั้ง ๒ พาดหัวเข่าคุยกันเบา ๆ แต่ผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ... "

รูปที่ ๓ ป้ายบอกชื่อสถานีบางโทรัดและสถานีที่อยู่ถัดไป

การเดินทางไปครั้งที่สองคือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งนี้ตั้งใจจะไปเป็นภาพบรรยกาศเส้นทางสองข้างทางรถไฟจากบางโทรัดไปบ้านกาหลง เพราะตอนที่ดูแผนที่จาก google map ก็เห็นว่ามันมีถนนเลียบทางรถไฟอยู่ จากถนนพระราม ๒ มาจนถึงสะพานข้ามคลองสุนัขหอนไม่มีสภาพเป็นป่าอะไรเหลือให้เห็น พอข้ามคลองสุนัขหอนก็จะเห็นวัดบัณฑูรสิงห์อยู่ทางขวามือตรงเชิงสะพานข้ามคลอง เลยวัดมาหน่อยก็เป็นโรงเรียน และถัดมาอีกนิดก็พบกับทางรถไฟสายแม่กลอง

"ทำไงล่ะ มีคนมานอนบนศาลาของเราเสียแล้ว"
"จะแหกอกไล่เขาไปดีไหม"
ผมได้ยินคำว่า "แหกอก" ก็นึกรู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่คนแน่ แต่ยังใจเย็นทนฟังต่อไปได้ โดยนอนตะแคงลืมตามองไปยังเขาทั้งสองนั้น เสียงกระซิบกันต่อไปอีก
"ปล่อยให้เขานอนต่อไปอีก เขามาช่วยงานวัดเรา ไปทำให้เขาตกอกตกใจ งานของหลวงพ่อจะเสีย"
"แล้วเราจะไปนอนที่ไหนดีล่ะ บนกุฏิ พระท่านก็ลงยันต์ไว้ทุกหน้าต่างทุกประตู มีแต่ศาลานี่เท่านั้นพอจะอาศัยได้"
"เขาคงค้างคืนเดียวเท่านั้น ให้เขานอนให้สบายเถิด เราไปพักกันในศาลากลางป่าแสมดีกว่า"
 
พอขับรถไปจนถึงเส้นทางรถไฟก็ชะงักไปเหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่ารถจะเข้าไปได้ตลอดทางหรือเปล่า เพราะแม้ว่ามันจะเป็นถนนลาดยางก็ตามแต่รถวิ่งสวนกันไม่ได้ บังเอิญในขณะที่จอดรถเพื่อตัดสินใจอยู่นั้น ก็มีรถอีกคันหนึ่งที่วิ่งแซงหน้าและเลี้ยวขวาวิ่งเลียบทางรถไฟไป ก็เลยอาศัยขับตามเขาไป รูปที่ ๔ ถึง ๑๒ นั้นเป็นภาพที่จับมาจากวิดิโอที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือที่ติดไว้หน้ารถ ความละเอียดและความชัดเจนของภาพก็เลยไม่สูงมาก


รูปที่ ๔ พอเลี้ยวขวาเขาถนนเลียบทางรถไฟมาหน่อยก็เจอสภาพถนนเช่นนี้


รูปที่ ๕ เหมือนกับว่าเดิมถนนมีสองเลน พอปรับปรุงทางรถไฟ ถนนบางช่วงก็เหลือเลนเดียว

รูปที่ ๖ เลยสถานีมาอีกหน่อยจะเป็นสะพานข้ามคลอง สะพานนี้คอสะพานหักมุมค่อนข้างมาก รถท้องต่ำมีปัญหาแน่ สะพานกว้างเพียงแค่รถวิ่งผ่านได้เพียงคันเดียว ตอนขึ้นก็ต้องระวังรถสวนด้วยเพราะสะพานงสูงจนมองไม่เห็นอีกฝั่งหนึ่ง


รูปที่ ๗ พอมาอยู่บนสะพาน (สะพาน ๑ ในรูปที่ ๒) ก็จะเห็นสภาพชุมชมอีกฟากเป็นดังนี้ ตอนลงสะพานก็ต้องลุ้นอีกรอบว่าท้องรถจะกระทบพื้นหรือเปล่า สะพานนี้ข้ามคลองที่เชื่อมระหว่างคลองสุนัขหอนที่อยู่ทางด้านขวาของถนน คือคลองบางกระลาบและคลองบางใหม่ (ดูชื่อคลองจาก google map) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของทางรถไฟ

ถนนเลียบทางรถไฟนี้ ถ้าไม่นับส่วนที่เป็นสะพานข้ามคลองแล้ว ดูเหมือนว่าเดิมจะเป็นถนนลาดยางสองช่องจราจร แต่พอมีการปรับปรุงทางรถไฟ (ดูแล้วน่าจะมีการยกสูงขึ้นด้วย) ทำให้ถนนบางช่วงนั้นเหลือเพียงช่องจราจรเดียว

รูปที่ ๘ ลงสะพานมาหน่อยก็จะผ่านชุมชนสองข้างทางรถไฟ จะเห็นว่าทางรถไฟมีการวางรางใหม่ มีการสร้างกำแพงข้างทางเพื่อยกแนวรางให้สูงขึ้น


รูปที่ ๙ ทางด้านซ้ายของทางรถไฟจะเป็นคลองบางใหม่ และมีถนนแยกซอยออกไปเป็นช่วง ๆ แต่มีเฉพาะบางเส้นที่รถยนต์สามารถข้ามไปได้ ส่วนใหญ่ดูแล้วถ้าไม่ใช่ทางคนเดินก็ไปได้แค่รถมอเตอร์ไซค์ ดูจากแผนที่แล้วคลองบางใหม่จะขนานทางรถไฟไปเป็นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหักเลี้ยวลงใต้ไหลออกสู่ทะเล วิดิโอกล้องหน้ารถนั้นตั้งให้มันเริ่มต้นไฟล์ใหม่ทุก ๒๐ ที บังเอิญว่าพอขับรถเลียบทางรถไฟได้พักหนึ่ง ไฟล์ก่อนหน้ามันก็ครบ ๒๐ นาทีแล้วก็ขึ้นไฟล์ใหม่ ภาพถนนช่วงนี้ก็เลยมีแยกอยู่สองไฟล์ (แต่ผมใช้โปรแกรมตัดมันให้เหลือเฉพาะช่วงที่ขับเลียบทางรถไฟ)

รูปที่ ๑๐ ก่อนถึงสถานีบ้านกาหลงก็จะมีสะพานข้ามคลองอีกสะพาน สะพานนี้ทางสีสวยหน่อย (สะพาน ๒ ในรูปที่ ๒) เป็นสะพานข้ามคลองที่เชื่อมระหว่างคลองสุนัขหอน (ที่อยู่ทางด้านซ้ายของถนน) กับคลองมรณะ (ใน google map มันบอกชื่อคลองไว้อย่างนี้) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของทางรถไฟ โดยที่คลองนี้จะเลียบทางรถไฟจากทางตะวันตกไปตะวันออกเป็นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหักเลี้ยวออกสู่ทะเล


รูปที่ ๑๑ สุดเส้นทางแล้ว ถนนจะพาข้ามทางรถไฟ ทางรถไฟนี้ไม่มีเครื่องกั้นและไม่มีสัญญาณใด ๆ ก่อนข้ามก็ต้องหยุดรถดูรถไฟให้ดี ถ้าเลี้ยวขวาตรงรถแท๊กซี่จอดก่อนข้ามทาง ก็จะเป็นสถานนีรถไฟบ้านกาหลง ถ้าข้ามทางรถไฟไปแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไปสู่ทะเลบ้านกาหลง ถ้าข้ามทางแล้วเลี้ยวขวาก็จะวิ่งผ่านฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ

รูปที่ ๑๒ ข้ามทางรถไฟมาแล้วเลี้ยวขวา จะเห็นป้ายสถานีรถไฟบ้านกาหลงอยู่ทางด้านซ้าย ถ้าขับต่อไปถนนจะพาข้ามทางรถไฟกลับไปทางด้านขวาอีก ซึ่งเป็นถนนพาออกไปถนนพระราม ๒ จากจุดนี้ถ้าตรงไปถนนพระราม ๒ จะใกล้กว่าการย้อนกลับทางบางโทรัด


รูปที่ ๑๓ ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟบ้านกาหลงยังมีการทำนาเกลือกันอยู่ รูปนี้ถ่ายจากรถไฟตอนนั่งรถไฟผ่านเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีคนไปเที่ยวสะพานปลาที่หมู่บ้านนี้ที่มีการทาสีจนมีคนเรียกสะพานสายรุ้ง เพื่อหาสถานที่ถ่ายรูปแห่งใหม่ เอาไว้ฉบับหน้าจะเล่าให้ฟังว่าที่ทะเลที่หมู่บ้านกาหลงเป็นอย่างไร ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน

รูปที่ ๑๔ แผนที่แนบท้ายกฎกระทรวงฉบับที่ ๑,๒๐๒ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องกำหนดแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ

" ... พูดจบ ร่างหนึ่งก็ลุกขึ้น ฉุดมืออีกร่างหนึ่งก้าวพรวดเดียวลงไปยืนที่พื้นดินเลย แล้วร่างที่เท่าคนธรรมดาก็ยืดสูงขึ้นจนเหนือต้นไม้ในวัด เขาก้าวขา ๒ ครั้งก็เห็นโย่ง ๆ ไปในป่าแสมแล้วก็หายลับตาไป ผมลุกขึ้นดูพรรคพวกว่าจะมีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง ก็เห็นเขากรนลั่นกันเป็นอย่างดีก็เลยนอนต่อจนรุ่งเช้า ...

วิดิโอตอนที่ ๑
 
วิดิโอตอนที่ ๒

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

แผนที่ทางหลวงประเทศไทย ๒๔๙๙ MO Memoir : Friday 20 July 2561

" ... รถไปวิ่งตั้งต้นตี ๒ ครึ่งที่สะพานพุทธยอดฟ้า ผ่านจังหวัดที่ต้องผ่านหัวหิน ประจวบฯ ศาลเจ้าพ่อเขาช้าง จุดประทัดกันแล้วก็ผ่านชุมพรไประนอง รถหยุดที่ด่าน มานีลุกเข้าห้องน้ำแล้วก็ไปกินข้าวกลางวันกันที่ระนอง จากนั้นก็ผ่านกระเปอร์ถึงตะกั่วป่าก็ ๑๕.๐๐ น. เห็นจะได้ เลี้ยวขึ้นเขาไปบ้านดอน ก่อนถึงพุนพินยางแตกเปลี่ยนยางแล้ววิ่งเข้าบ้านดอนเวลา ๑๘.๐๐ น. พอดิบพอดี ... " (จากเรื่อง "ผีหลอกที่บ้านดอน" ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" โดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙)
 
ข้อความข้างบนนั้นผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในปีพ.ศ. ใด แต่เดาว่าน่าจะหลังปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะดูจากเวลาที่รถเดินทางได้นั้นทำให้คาดเดาได้ว่าถนนช่วง ระนอง-ตะกั่วป่า และช่วงข้ามเขา ตะกั่วป่า-บ้านดอน นั้นสร้างเสร็จแล้ว เพราะแผนที่ทางหลวงประเทศไทยที่นำมาให้ดูกันในวันนี้ ไม่ได้ระบุว่าเป็นแผนที่ที่จัดทำในปีพ.ศ. ใด แต่ไปปรากฏอยู่ในหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา" ที่จัดพิมพ์ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ แสดงว่าตัวแผนที่นั้นต้องได้รับการจัดทำเอาไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ หรือก่อนหน้านั้น
  
รูปที่ ๑ แผนที่ที่นำมาแสดงมาจากหนังสือ ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับของสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ หน้าหลังของหนังสือมีตราประทับระบุไว้ว่า (นายเฉลิม พันธุ์ภักดี ผู้พิมพ์และผู้โฆษณา เลขที่ ๒๐ โทร 20715 พ.ศ. ๒๔๙๙ (หมายเลขโทรศัพท์สะกดด้วยเลขอารบิก นอกนั้นเป็นเลขไทย) โรงพิมพ์ภักดีประเสริฐ พ.ศ. ๒๔๘๐ ถนนหลังวังบูรพา พระนคร) ส่วนฉบับของจังหวัดฃลบุรีไม่ได้รายละเอียดปีที่พิมพ์ระบุไว้ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน

รูปที่ ๒ แผนที่ตอนบนของประเทศ

บทประพันธ์เก่า ๆ จำนวนไม่น้อย ถือได้ว่าเป็นบันทึกบรรยากาศของบ้านเราและการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยทั่วไปในอดีต อย่างเช่นการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ นั้นทำได้อย่างไร ใช้เวลาเท่าใด ได้พบเจอกับอะไรบ้าง อย่างเช่นในเรื่อง "อภินิหารเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพรฯ" ที่อยู่ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ สง่า อารัมภีร ได้บันทึกการเดินทางจากกรุงเทพไปยังชุมพรในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๓ เอาไว้ดังนี้
 
" ... ตอนแรกว่าจะไปรถไฟ แต่มนัสเขาบอกว่าไปรถ ร... ดีกว่า ทหารก็ครึ่งราคาเหมือนรถไฟ เย็น ๆ ก็ถึง ที่ประชุม ๔ คนจึงตกลงไปชุมพรด้วย ร... ด้วยความดีใจที่ได้เที่ยวไกล ๆ เรา ๔ คนจึงกินเหล้ากันจนดึกดื่น สันต์กินเสียจนเป็นไข้ พอขึ้นรถก็หลับเรื่อยไปทีเดียว รถสมัยก่อนไม่มีเบอร์ที่นั่ง เราไปช้าจึงต้องนั่งข้างหลัง รถกระแทกเสียจนสร่างเมาเชียวครับ ถนนสมัยโน้นดีแค่ถึงหัวหินเท่านั้นเอง ส่วนหัวหินไปประจวบฯ ยังเป็นลูกรัง ประจวบฯ ไปทับสะแกและบางสะพานเป็นหลานรัง คือแย่ยิ่งกว่าลูกรัง เมื่อถึงบางสะพานก็หยุดนาน ข้าวของบนหลังคาลงที่ทับสะแกเสียครึ่งหนึ่ง ลงที่บางสะพานหมดเลย คนโดยสารก็เหลือน้อยมาก .... "
" ... เรานอนไปได้จากบางสะพานถึงชุมพร เพราะรถทั้งคนมีคนโดยสารไม่ถึง ๑๐ คน ถึงชุมพรก็บ่ายโข ... "

รูปที่ ๓ แผนที่ตอนล่างของประเทศ

แผนการเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลกันด้วยการคมนาคมทางบกของไทยนั้น เดิมจะใช้เส้นทางรถไฟเป็นหลัก จากนั้นจึงค่อยใช้เส้นทางถนนแยกย่อยออกไปจากตัวสถานีรถไฟ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาถนนที่ปรากฏในแผนที่ กล่าวคือจะมีการพัฒนาถนนจากสถานีรถไฟหลักไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ไม่มีรถไฟผ่านก่อน เช่นทางเหนือก็จะมีถนนจากแพร่ไปยังน่าน ถนนจากลำปางไปเชียงราย และถนนจากเชียงใหม่ไปยังอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัด แต่ไม่ยักมีถนนเชื่อมระหว่าง แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ (รูปที่ ๔) การเดินทางไปภูเก็ตก็น่าจะเป็นนั่งรถไฟไปที่ตรังก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนขึ้นไปทางกระบี่ หรือไม่ก็คงลงเรือเพื่อเดินทางไปยังภูเก็ตเลย (รูปที่ ๖) ส่วนทางภาคอีสานก็ทำนองเดียวกัน เส้นทางถนนที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานก็จะเป็นทางด้านลพบุรี ชัยบาดาล ที่เชื่อมต่อไปยังชัยภูมิ (รูปที่ ๔) ซึ่งถ้าเทียบกับแผนที่ปัจจุบันก็น่าจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ การที่เลือกสร้างถนนเส้นนี้ก่อนก็น่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงที่ตัดผ่านภูเขาที่สั้นที่สุด และยังมีค่ายทหารอยู่ที่ลพบุรีด้วย ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นทางภาคอีสาน ก็สามารถที่จะเคลื่อนย้ายกำลังจากภาคกลางไปได้รวดเร็ว นอกเหนือไปจากเส้นทางรถไฟที่อาจถูกปิดกั้นได้ง่าย ดังที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่เรียกว่า "กบฎบวรเดช" ที่มีการต่อสู้กันตามทางรถไฟ โดยเฉพาะในช่วงสถานีหินลับ-ทับกวาง-ปากช่อง ที่มีการทำลายทั้งสะพานรถไฟและเส้นทาง

รูปที่ ๔ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง

รูปที่ ๕ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รูปที่ ๖ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้

รูปที่ ๗ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกตอนล่าง

รูปที่ ๘ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก

Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงแค่เอาข้อมูลที่พบในหนังสือเล่มหนึ่งที่ยืมมาจากห้องสมุดมาบันทึกไว้ เพื่อที่จะได้ใช้ทำความเข้าใจในการอ่านหนังสือเล่มอื่น