แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำท่วมบางพลัด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำท่วมบางพลัด แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สถานีรถไฟชุมทางบางบำหรุ MO Memoir : Monday 6 July 2563

เขียนเรื่องไกลบ้านมาเยอะแล้ว วันนี้มาเขียนเรื่องใกล้บ้านตัวเองบ้าง ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน
 
แรก ๆ ที่ได้รู้จักสถานีนี้ (ก็เกือบสี่สิบปีแล้ว) ก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมมันถึงเป็นชุมทางและมันมีทางแยกไปไหน ทั้ง ๆ ที่สถานีที่อยู่ถัดไปทั้งสองด้านนั้นมันก็เป็นชุมทาง (คือตลิ่งชันที่แยกไปยังสถานีธนบุรี และบางซื่อที่เป็นจุดแยกลงใต้) แถมตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงไม่ง่ายอีก คืออยู่ในถนนดินเล็ก ๆ แยกออกมาจากถนนเทอดพระเกียรติ แต่เป็นสถานีใหญ่ตรงที่มีรางให้รถไฟจอดได้ตั้ง ๖ หรือ ๗ ราง มารู้เอาทีหลังว่าเดิมเป็นชุมทางสำหรับรถไฟขนถ่านหินไปป้อนที่โรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่เชิงสะพานพระราม ๖ ซึ่งก็คือโรงจักรพระนครเหนือในปัจจุบัน
 
รถไฟขนถ่านหินเลิกวิ่งไปเมื่อใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเลิกไปตอนที่เขาเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินมาเป็นน้ำมันเตา (ที่ขนมาทางเรือ - อันนี้คุณหน้าข้างบ้านที่เคยทำงานที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวเล่าให้ฟัง) และเปลี่ยนมาเป็นใช้แก๊สธรรมชาติที่เดินท่อมาตามแนวทางรถไฟสายใต้นี้แทนในปัจจุบัน
 
ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด สถานีบางบำหรุนี้ก็เป็นจุดตัดของรถไฟสายบางบัวทองของเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ที่แนวทางรถไฟสายนี้เดิมน่าจะเป็นแนว ซอยสิรินธร ๔ กับถนนเทอดพระเกียรติในปัจจุบัน เดิมสองฝั่งทางรถไฟสายใต้ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่คูน้ำหญ้าขึ้นรก จนกระทั่งเริ่มมีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าที่มาจากสถานีบางซื่อ (สร้างมาตั้งกว่า ๑๐ ปีแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดใช้เสียที) จากนั้นก็ตามด้วยการสร้างทางด่วนคร่อมทางรถไฟสายใต้ที่เริ่มวางแผนการก่อสร้างหลังน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ทางด่วนมาทีหลัง แต่สร้างเสร็จก่อน และเปิดให้ใช้บริการก่อนด้วย สถานีนี้เดิมรถไฟสายใต้ที่วิ่งทางไกลก็ไม่จอด เพิ่งจะเริ่มมาจอดก็น่าจะเป็นตอนที่มีการก่อสร้างถนนสิรินธรและบรมราชชนนี ทำให้การเดินทางเข้าถึงพื้นที่บริเวณนี้ทำได้ง่ายขึ้น (ซึ่งแต่ก่อนต้องใช้เส้นทางถนนบางกรวย-ไทรน้อย ก็ต้องเข้ามาทางถนนบางขุนนนท์ หรือซอยร่วมพัฒนา)
 
แนวทางรถไฟสายใต้ช่วงจากสะพานพระราม ๖ มาเรื่อย ๆ (อย่างน้อยก็มาจนจรดคลองบางกอกน้อย) เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างกรุงเทพและนนทบุรี ตัวทางรถไฟเองยังเป็นเสมือนคันกั้นน้ำให้กับทางฝั่งกรุงเทพเมื่อคราวน้ำท่วมปี ๒๕๓๘ ซึ่งตอนนั้นฝั่งทางด้านบางกรวยน้ำท่วมหนัก แต่ฝั่งทางด้านบางพลัดยังป้องกันได้อยู่ (อันที่จริงบางพลัดฝั่งริมแม่น้ำมาจนถึงเกาะกลางถนนจรัญสนิทวงศ์โดนน้ำท่วมหนัก เพราะเขาใช้เกาะกลางถนนเป็นคันกั้นน้ำ) จะมาประสบปัญหาก็เมื่อคราวน้ำท่วมปี ๒๕๕๔ ที่ตอนนั้นน้ำที่เอ่อล้นมาจากทางบางกรวยมีระดับที่สูงมากจนล้นข้ามทางรถไฟ สูงท่วมรางจนทำให้รถไฟสายใต้ไม่สามารถเดินได้ แต่พอระดับน้ำเริ่มลดลงต่ำกว่าระดับทางรถไฟ ทางฝั่งบางพลัดก็เริ่มทำการสูบน้ำออก ทำให้ทางฝั่งบางพลัดแห้งก่อนทางฝั่งบางกรวย

Memoir ฉบับนี้คงเป็นฉบับส่งท้ายปีที่ ๑๒ นับตั้งแต่เริ่มเขียนมา ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ ๑๘๒๕ แล้ว รวม ๘๕๑๔ หน้า เฉพาะส่วนปีที่ ๑๒ ที่ผ่านมาก็เขียนไปทั้งหมด ๑๐๙ เรื่อง รวม ๔๗๗ หน้า เรียกว่าทั้งจำนวนเรื่องและจำนวนหน้าลดลงกว่าปีที่แล้วมาก และคาดว่าปีที่ ๑๓ ก็คงจะมีแนวโน้มเช่นนี้ เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเรื่องราวสาระวิชาการต่าง ๆ ที่มีเก็บสะสมเอาไว้ก็ได้รีบเขียนออกไปจนหมดแล้ว ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เขียน ซึ่งเราก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด รู้แต่ว่าถ้ามีโอกาสได้ลงมือทำก็ให้ลงมือทำเลย อย่ารั้งรอ จะได้ไม่มาเสียใจภายหลัง และไม่ค่อยมีเวลาได้ไปเสาะหาเรื่องราวใหม่ ๆ มาเขียน

แล้วพบกันในฉบับถัดไปต้อนรับปีที่ ๑๓ ครับ :) :) :)
 

รูปที่ ๑ แผนที่แนบท้ายประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๔ ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๐๒ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๗๖ ตอนที่ ๑๒ ฉบับพิเศษหน้า ๑-๒ ตัวเลขที่ปรากฏในแผนที่คือที่ดินที่ถูกเวนคืนจากเจ้าของ
  
รูปที่ ๒ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิต เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า ๒๐-๒๑ เล่ม ๑๐๑ ตอนที่ ๑๙๔ วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๗ เป็นการเวนคืนเพื่อการก่อสร้างสะพานพระราม ๗ ในแผนที่นี้ปรากฏแนวเส้นทางรถไฟเข้าไปยังโรงไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันด้านนอกโรงไฟฟ้าไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว
  
รูปที่ ๓ รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๔๘ บนชานชาลาที่ ๓ เป็นรูปลูกสาวคนเล็กตอนอายุได้ ๒ ขวบเศษไปส่งคุณย่าที่สถานีบางบำหรุ เป็นรูปที่เห็นตัวอาคารสถานีเก่า
  
รูปที่ ๔ ถ่ายในวันเดียวกันกับรูปที่ ๓ เป็นการมองย้อนไปทางเส้นทางที่มาจากสะพานพระราม ๖ ในรูปนี้จะเห็นว่าตัวสถานีมีรางแยกให้รถไฟจอดได้ ๖ หรือ ๗ ราง

รูปที่ ๕ ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ จากสะพานข้ามทางรถไฟซอยจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ (ที่ถูกริ้อไปแล้ว) เป็นการมองย้อนกลับไปทางเส้นทางที่มาจากสะพานพระราม ๖ เป็นช่วงที่เริ่มก่อสร้างทางรถไฟฟ้าที่มาจากสถานีกลางบางซื่อ
  
รูปที่ ๖ ถ่ายไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ หลังจากที่น้ำลดระดับลงไปจากระดับสูงสุดประมาณ ๖๐ เซนติเมตร จากบริเวณเลยจุดกลับรถตัดทางรถไฟมาหน่อย เป็นภาพที่มองไปยังสถานีรถไฟบางบำหรุ
  
รูปที่ ๗ ภาพนี้ถ่ายจากสะพานลอยข้ามทางรถไฟ ที่เชื่อมระหว่างซอยจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ กับหมู่บ้านฝั่งบางกรวย เป็นการมองไปยังทิศทางสถานีรถไฟบางบำหรุ จะเห็นวัดเพลง (บางพลัด) อยู่ทางด้านซ้ายของรูป

รูปที่ ๘ ถ่ายในวันเดียวกับรูปที่ ๗ แต่เป็นการมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่มาจากสะพานพระราม ๖ ตอนนี้มีทางด่วนคร่อมทางรถไฟแล้ว

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่อน้ำท่วมจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ แยก ๓๘ ปี ๒๕๕๔ MO Memoir : Monday 6 November 2560

Facebook ขึ้นเตือนให้รำลึกความหลังของวันวานเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ตอนที่ต้องย้ายหนีน้ำท่วมบ้านในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ตอนนั้นต้องรีบออกมาก่อนที่จะเอารถออกมาไม่ได้ กว่าจะกลับเข้าไปดูบ้านได้อีกครั้งก็อีกร่วม ๒ สัปดาห์ถัดมา คือหลังจากที่น้ำท่วมสูงสุดและลดลงไปบ้างแล้ว
 
เขตบางพลัดด้านเหนือถูกกั้นไว้ด้วยแนวทางรถไฟสายใต้จากสะพานพระราม ๖ ที่ตีวงล้อมด้านตะวันตก โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออก ทางด้านทิศใต้ก็ถูกล้อมเอาไว้ด้วยแนวคลองบางบำหรุและคลองบางกอกน้อย ตอนน้ำท่วมปี ๒๕๓๘ นั้นทางด้านตะวันตกได้แนวทางรถไฟสายใต้เป็นคันกั้นน้ำ ส่วนทางด้านตะวันออกก็ได้เกาะกลางถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นแนวคันกั้นน้ำ คือฝั่งด้านตะวันตกของถนนนั้นน้ำไม่ท่วม แต่ฝั่งด้านตะวันออกไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยานั้นโดยน้ำท่วม แต่ถึงกระนั้นก็ตามผู้ที่อยู่ในซอยที่เป็นพื้นที่ต่ำกว่าถนน ก็ต้องคอยสูบน้ำออกจากบ้านช่วงเวลาน้ำขึ้น เวลาจะขับรถกลับบ้านก็ต้องดูจังหวะเวลาน้ำขึ้น-ลงด้วย เพราะช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำจะท่วมถนนทั้งสองฝั่งของสะพานกรุงธน
 
น้ำท่วมปี ๒๕๕๔ นั้นแตกต่างไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคันกั้นน้ำที่ท้ายซอยแห่งหนึ่งริมแม่น้ำพัง ทำให้น้ำไหลเข้ามาทางคลองบางพลัดและคลองมะนาว แต่ถึงคันกั้นน้ำนี้ไม่พังก็คงจะโดนท่วมอยู่ดี เพราะน้ำที่มาจากทางฝั่งบางกรวยนั้นสูงมากจนล้นข้ามทางรถไฟสายใต้มาได้


รูปที่ ๑ ฝูงเป็นสนุกกับการว่ายน้ำเล่นริมทางรถไฟสายใต้ช่วงก่อนถึงสถานีรถไฟบางบำหรุ
เรื่องเหตุการณ์วันนั้นเคยเล่าไว้แล้วในเรื่อง "เมื่อน้ำบุกมาหลังบ้าน" (Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๖๕ วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔) มาวันนี้ก็เป็นเพียงแค่เอารูปที่ถ่ายไว้ตอนลุยน้ำเข้าไปเยี่ยมบ้านเมื่อ ๖ ปีที่แล้วมาบันทึกไว้หน่อย


รูปที่ ๒ ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ (ซอยภาณุรังษี) แยก ๓๘ (สกุลชัยซอย ๙) หลังจากที่ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว (ระดับน้ำสูงสุดบนผิวถนนอยู่ที่ ๑ เมตร ตอนนี้ลดลงไปเหลือ ๖๐ เซนติเมตร)

รูปที่ ๓ รูปเหล่านี้ถ่ายไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน โดยเดินมาตามทางรถไฟจนถึงจุดกลับรถ (ต่อจากนี้ไปก็น้ำท่วมทางรถไฟแล้ว) จากนั้นก็เดินลุยน้ำต่อมาเรื่อย ๆ มาถึงปากซอยในรูปที่ ๒ ก็ลุกน้ำมาเกือบกิโลแล้ว จากนั้นก็เดินเลี้ยวเข้ามาในซอย ก็เห็นมีสภาพอย่างนี้

รูปที่ ๔ ผ่านหน้าบริเวณสถานีตำรวจ ลานหน้าสถานีตำรวจเดิมสูงกว่าถนน แต่พอทำถนนใหม่ ลานหน้าสถานีก็เลยต่ำกว่าถนน ระดับน้ำบริเวณหน้าสถานีขณะนั้นน่าจะยังคงอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งเมตร


รูปที่ ๕ องค์หลวงพ่อลอยน้ำที่ตั้งอยู่หน้าสถานีตำรวจ ระดับน้ำที่ท่วมนั้นต่ำกว่าระดับตั้งองค์หลวงพ่อ 

รูปที่ ๖ รถตำรวจที่ย้ายมาจอดบนถนนหน้าสถานี ก็ไม่วายโดนท่วมหนักเช่นกัน


รูปที่ ๗ กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยหลังสถานี คันนี้เป็นรถของกลางในคดีอะไรก็ไม่รู้ มาจอดทิ้งไว้อยู่หลายปี ตอนนี้หายไปแล้ว ส่วนรถเบนซ์อีกคันที่จอดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม ก็ยังคงจอดกีดขวางทางสัญจรอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครเอาไปไหนเสียที


รูปที่ ๘ ข้างขวาคืออาคารแฟลตที่พัก ห้องที่อยู่ชั้นล่างสุดของแฟลตโดนน้ำท่วมอยู่ไม่ได้ แต่ชั้นบนยังอยู่ได้ ปัญหาก็คือไม่มีการขนขยะออกจากแฟลต มันก็เลยมีการโยนทิ้งลงมาข้างล่างให้มันลอยน้ำเล่น (เดือดร้อนคนอื่นแทน)


รูปที่ ๙ ถ่ายจากบนบ้านชั้นสอง สารพัดขยะลอยมากองหน้าประตูบ้านที่อยู่สุดซอย


รูปที่ ๑๐ บ้านเก่าที่อยู่ข้างกันที่เป็นบ้านชั้นเดียว ระดับน้ำสูงถึงขอบล่างของวงกบหน้าต่าง บริเวณรอบบ้านนี้ตอนน้ำท่วมสูงสุดจะสูงประมาณเมตรครึ่ง (เพราะบ้านอยู่ต่ำกว่าถนน)

เรื่องราววันนี้ไม่มีสาระอะไร แค่เอาภาพความทรงจำมาบันทึกไว้พร้อมคำบรรยายเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อกันลืมเท่านั้นเอง

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อน้ำบุกมาหลังบ้าน MO Memoir : Saturday 29 October 2554



ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่ฝั่งธนมาตลอด แม่เล่าให้ฟังว่าตอนผมแรกเกิดนั้นยังเช่าบ้านอยู่ที่บางพลัด แต่ตอนผมจำความได้นั้นครอบครัวได้ย้ายมาเช่าบ้านอยู่ที่ ตรอกข้าวเม่า ตำบลบ้านช่างหล่อ ซึ่งอยู่ด้านสุดถนนอิสรภาพติดทางรถไฟของสถานีรถไฟธนบุรี เวลาไปเรียนโรงเรียนอนุบาลก็จะนั่งรถตุ๊ก ๆ ไปลงเรือที่ท่าวังหลัง เพื่อไปขึ้นที่ท่าช้าง จากนั้นจึงจะนั่งรถเมล์จากท่าช้างไปโรงเรียน ตอนนั้นยังไม่มีสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า บางทีก็จะกลับทางท่าพระจันทร์เพื่อข้ามเรือมายังท่ารถไฟ ท่ารถไฟนี้อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟธนบุรีและอยู่ใกล้กับปากคลองบางกอกน้อย ท่ารถไฟนี้เป็นท่าเรือที่เงียบสงบ ผมชอบท่านี้มากเพราะมันดูร่มรื่นดี ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน หน้าสถานีรถไฟธนบุรีจะมีสวนหย่อมเล็ก ๆ เป็นต้นทางของรถเมล์สาย ๘๓ ที่วิ่งระหว่างตลิ่งชันกับสถานีรถไฟธนบุรี ส่วนหนึ่งของชีวิตผมแถวนี้เคยเล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๒๔๗ วันศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง "ทำอย่างไรไม่ให้รางโก่ง"

เจอน้ำท่วมกรุงเทพมาก็ตั้งแต่เด็ก ได้เลื่อนเปิดเทอมเป็นประจำ ดีใจที่ได้อยู่บ้านนานขึ้น แต่สมัยนั้นไม่มีทีวีดูทั้งวันทั้งคืนเหมือนสมัยนี้ โทรทัศน์เริ่มออกอากาศก็ช่วงบ่ายไปจนดึก ยกเว้นช่วงโรงเรียนปิดเทอมจะมีการออกอากาศรายการพิเศษตอนกลางวันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ดูเหมือนจะชื่อ "โรงเรียนภาคฤดูร้อน" ซึ่งเป็นรายการสำหรับเด็ก ๆ ที่อยู่บ้านได้ดูกัน ส่วนเวลาที่เหลือในแต่ละวันก็ใช้ในการเล่นกับเพื่อนฝูงข้างบ้าน ทั้งที่โตกว่าและเด็กกว่า

ตอนปี ๒๕๒๑ ย้ายกลับมาอยู่ที่บางพลัดใหม่ คุณพ่อคุณแม่มาซื้อบ้านจัดสรรอยู่ใกล้ทางรถไฟสายใต้ เป็นบ้านชั้นเดียว ยกพื้นชั้นล่างสูงจากพื้นถนนประมาณ ๕๐ เซนติเมตร แต่ใต้พื้นชั้นล่างเป็นพื้นดินที่เป็นสวนเดิม ถ้าตรงกับตำแหน่งที่เป็นคูดินก็จะอยู่ห่างจากพื้นดินไม่มาก ถ้าเป็นตำแหน่งที่เป็นร่องสวนเดิมก็จะอยู่ห่างจากพื้นดินมา หลังจากสร้างบ้านเสร็จเขาก็ถมทรายรอบ ๆ บ้าน เพื่อให้บริเวณรอบ ๆ บ้านราบเรียบ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากกับที่นี่คือหิ่งห้อย ซึ่งเห็นกันตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ จนถึงปัจจุบันก็กว่า ๓๐ ปีแล้วก็ยังมีให้เห็นอีก ลูก ๆ ของผมก็โตมากับหิ่งห้อยที่บินวนเข้ามาในบ้าน หรือไม่ก็บินมาเกาะที่หน้าต่างมุ้งลวดของห้องนอน (มีอยู่ครั้งหนึ่งหิ่งห้อยตัวหนึ่งถูกจิ้งจกกินให้ดูต่อหน้าต่อตาผมและลูก ก็เลยได้เห็นท้องจิ้งจกมีแสงกระพริบได้ด้วย) เวลาที่ครูที่โรงเรียนถามเด็กนักเรียนว่ามีใครเคยเห็นหิ่งห้อยบ้าง ลูกผมก็เป็นเด็กเพียงไม่กี่คนในห้องที่มีโอกาสได้เห็น และก็เป็นการเห็นที่บ้าน ไม่เหมือนคนอื่นที่ต้องถ่อรถไปหาดูไกล ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ

นอกจากหิ่งห้อยแล้วก็ยังมีพวกนกสวนต่าง ๆ แต่ก่อนจะมีนกหัวขวาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นนานแล้ว ที่โผล่มาบ้างก็เป็นนกแซงแซว และก็มีพวกตุ๊กแก งูดิน งูทางมะพร้าว งูเขียวหางไหม้ และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีงูสามเหลี่ยมโผล่มาหน้าบ้าน พวกกระรอก พวกหนูนี่ก็วิ่งกันบนต้นไม้และหลังคาเป็นปรกติ ตอนหลังเริ่มมีตัวเหี้ยโผล่มาให้เห็นบ้างแล้ว

ด้วยว่าเป็นบ้านอยู่สุดซอย หลังบ้านเป็นที่สวนของคนอื่นเขา ทำให้บริเวณบ้านตอนกลางคืนจะเงียบและมืดมาก (ตอนนั้นยังไม่มีการติดไฟแสงสว่างตามเสาไฟฟ้าด้วย) เสียงที่ดังจึงมีแต่เสียงแมลงและเสียงร้องของสัตว์ต่าง ๆ ตามธรรมชาติ และเสียงหวูดไฟที่แล่นผ่านมาตามเวลา พอต้องไปนอนที่อื่นที่ใกล้กับถนนมีเสียงรถวิ่ง หรือมีแสงสว่างเข้ามาในห้องนอนมาก ผมจึงมักมีปัญหานอนไม่หลับหรือไม่ก็หลับไม่สนิท

ที่บ้านบางพลัดนี้เวลาที่น้ำท่วม น้ำจะโผล่มาจากทางสวนหลังบ้าน มุดรั้วที่ปิดกั้นระหว่างถนนกับสวนและท่อระบายน้ำออกมา เวลาที่น้ำท่วมนั้นเป็นการท่วมตามจังหวะเวลาของน้ำขึ้นน้ำลง ช่วงแรก ๆ ที่น้ำท่วมนั้นน้ำที่ไหลล้นออกมานั้นจะเป็นน้ำใส และมักมีปลาหมอว่ายตามน้ำออกมาด้วย ผมกับพี่น้องก็จะออกมาไล่จับปลาหมอกัน พอท่วมพื้นถนนจนมิดก็จะเล่นเตะฟุตบอลกัน เตะบอลในน้ำมันก็สนุกไปอีกแบบไม่เหมือนกับการเตะบอลในสนามที่แห้ง แต่พอน้ำท่วมหลายวันเข้าก็เริ่มเบื่อ เพราะน้ำเริ่มมีกลิ่นเหม็นและไม่สะอาด วัน ๆ ก็เลยได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน

ช่วงปี ๒๕๒๐-๒๕๓๐ กรุงเทพยังไม่มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำ เวลาที่น้ำท่วมทีก็ท่วมไปทุกแห่ง น้ำที่ท่วมที่บ้านผมนั้นก็ท่วมเฉพาะพื้นถนนหน้าบ้านที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินในบ้าน มีบางครั้งที่อาจจะสูงจนเข้ามาในรั้วบ้านได้ แต่ก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะท่วมสูงถึงพื้นตัวบ้านที่ใช้เป็นอยู่อาศัย เพราะถ้าสูงขนานนั้นก็คงไม่มีที่หลับนอนกัน เพราะบ้านที่อยู่นั้นเป็นบ้านชั้นเดียว

ช่วงประมาณปี ๒๕๓๖-๒๕๓๗ ก็ได้มีการปรับปรุงถนนในซอย คือมีการยกระดับถนนให้สูงในระดับเดียวกันกับถนนจรัญสนิทวงศ์ (อย่าแปลกใจนะว่าถ้าจะเห็นบางคนเขียนว่า จรัลสนิทวงศ์ คือสะกดด้วย "ล" ไม่ใช่ "ญ" เพราะแต่ก่อนมีการสะกดชื่อโดยใช้ "ล" ก่อนที่จะมีการแก้ไขใหม่ว่าให้สะกดด้วย "ญ") ซึ่งการยกระดับถนนดังกล่าวเสร็จสิ้นก่อนน้ำท่วมใหญ่อีกครั้งในปี ๒๕๓๘

รูปที่ ๑ แผนที่บริเวณที่เกิดเหตุกำแพงกั้นน้ำท่วม และเส้นทางที่คิดว่าน้ำจากแม่น้ำใช้ในการเดินทางมาถึงหลังบ้าน จะเห็นว่าน้ำที่ทะลักจากคันกั้นน้ำที่พังในซอยจรัญ ฯ ๗๔/๑ นั้นสามารถไหลตรงมายังริมทางรถไฟและสวนบริเวณหลังบ้านผมได้อย่างรวดเร็ว แนวทางรถไฟสายใต้นี้เป็นเส้นแบ่งระหว่าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ที่อยู่ทางฝั่งด้านทิศเหนือ และเขตบางพลัด จ.กรุงเทพ ที่อยู่ทางฝั่งด้านทิศใต้ บ้านผมอยู่ในบริเวณวงกลมแดงที่ด้านซ้ายของภาพ ลูกศรสีเขียวคือเส้นทางที่คาดว่าเป็นเส้นทางการไหลของน้ำที่บ่าเข้ามา

หลังการยกระดับถนนในซอยก็ทำให้ตัวพื้นถนนนั้นสูงกว่าตัวพื้นบ้านที่ใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่เล็กน้อย เรียกได้ว่าพื้นที่ที่เคยใช้เป็นที่หลับนอนจากเดิมที่เคยอยู่สูงกว่าถนนกลายเป็นอยู่ต่ำกว่าถนน ยังดีที่เขาวางท่อระบายน้ำเอาไว้ลึก จึงไม่ค่อยประสบปัญหาน้ำฝนไหลหลากจากถนนเข้าบ้านเวลาฝนตกหนัก

น้ำท่วมปี ๒๕๓๘ ก็ยังเป็นลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ ตามจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าวันไหนน้ำขึ้นสูงสุดตอนเวลากลับบ้านผมก็จะขนเสื้อผ้ามานอนยังที่ทำงาน (ก็มีห้องส่วนตัวนี่นา) จะได้ไม่ต้องขับรถลุยน้ำกลับบ้าน หรือต้องรอให้น้ำลงก่อนจึงจะกลับได้ เพราะเส้นทางกลับบ้านนั้นต้องผ่านสะพานกรุงธน ซึ่งบริเวณเชิงสะพานทั้งสองฝั่งจะมีน้ำท่วมเสมอเวลาที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูง เท่าที่จำได้ในปีนั้นน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทก็อยู่ในระดับกว่า ๔๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

รูปที่ ๒ ภาพถ่ายบริเวณเดียวกับแผนที่ในรูปที่ ๑ เป็นภาพซ้อนทับระหว่างภาพภูมิประเทศจริงของภาพถ่ายดาวเทียมกับแผนที่ จะเห็นว่าบริเวณระหว่างคลองบางพลัดและคลองมะนาวไปจนถึงแนวทางรถไฟและหลังบ้านผมยังมีสภาพเป็นสวนอยู่

เนื่องจากระดับถนนสูงกว่าตัวบ้านและพื้นที่สวนรอบ ๆ ดังนั้นในปี ๒๕๓๘ เมื่อน้ำในสวนเริ่มเอ่อล้น น้ำดังกล่าวจึงแทรกซึมผ่านรั้วบ้านซึ่งเป็นผนังอิฐบล็อกและซึมผ่านพื้นดินเข้ามาในบ้าน ในช่วงแรกน้ำดังกล่าวยังพอไหลลงระบบท่อระบายน้ำของถนนไปได้ แต่พอหลายวันเข้าระบบท่อระบายน้ำของถนนซึ่งนำน้ำนั้นไปออกคลองบางบำหรุก็เริ่มมีระดับสูงขึ้น เพราะคลองบางบำหรุซึ่งนำน้ำออกแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีระดับสูงขึ้น ทำให้เกิดน้ำไหลย้อนเข้ามาทางท่อระบายน้ำเข้าบ้าน จึงต้องใช้วิธีอุดท่อระบายน้ำระหว่างตัวบ้านกับถนน และสูบน้ำในบ้านลงท่อระบายน้ำของถนน ช่วงปี ๒๕๓๘ ก็รอดมาด้วยการสูบน้ำแบบนี้ ในส่วนของถนนจรัญสนิทวงศ์นั้นมีการสร้างคันกั้นน้ำที่บริเวณเกาะกลางถนน ก็เลยได้เห็นว่าถนนฝั่งด้านแม่น้ำเจ้าพระยา (ด้านขาเข้า) มีเรือวิ่ง ส่วนถนนอีกฝั่ง (ด้านขาออก) นั้นยังแห้งอยู่ แต่การสร้างคันกั้นน้ำดังกล่าวก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจให้กับชุมชนฝั่งที่โดนน้ำท่วม เพราะเป็นฝั่งที่ได้รับความเสียหาย ในขณะที่มองว่าอีกฝั่งนั้นไม่ได้รับผลกระทบอะไร

ในประเทศไทยนั้นบุคคลสามารถมีที่ดินติดริมแม่น้ำลำคลอง ทำให้มีที่ชายน้ำที่เป็นที่ส่วนตัวของตัวเองได้ แต่ไม่สามารถมีที่ชายหาดที่เป็นส่วนตัวของตัวเองได้ หาดส่วนตัวที่อ้างกันนั้นก็เกิดจากการที่ครอบครองที่ดินที่ปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าไปถึงได้ หรือทำให้ไม่มีถนนตัดผ่านระหว่างที่ของตัวเองกับชายหาดได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่หัวหิน ที่ที่มีการจับจองที่ดินติดชายทะเลเอาไว้ตลอดทั้งแนว แต่ชายหาดริมทะเลหลังที่เหล่านั้นใคร ๆ ก็สามารถไปทำกิจกรรมหรือเดินทางผ่านไปมาได้ตลอดเวลา

เมื่อมีโครงการสร้างกำแพงกั้นกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นทางกรุงเทพมหานครก็ต้องประสบกับปัญหาเจ้าของที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปก่อสร้าง เนื่องด้วยต้องการภูมิประเทศที่งดงาม (ในมุมมองของเขา) หรือด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามแต่ ทำให้แนวคันกั้นน้ำนั้นไม่สมบูรณ์ เป็นบริเวณที่เรียกว่า "ฟันหลอ" บริเวณเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาเป็นประจำเมื่อมีน้ำหลากมา เพราะเจ้าของที่เหล่านั้นก็ไม่ต้องการให้น้ำท่วมที่ตนเอง แต่ความแข็งแรงของกำแพงกั้นน้ำที่เขาสร้างขึ้นมานั้น (เผลอ ๆ อาจจะไม่ใช่กำแพงที่ออกแบบมากั้นน้ำ เป็นเพียงแค่กำแพงบ้านเท่านั้นเอง) ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของน้ำได้ จึงเกิดการพังทลายและทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมชุมชนอื่น ๆ ที่อยู่หลังแนวกำแพงนั้น

สาย ๆ ของวันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ผมขับรถไปสะพานพระราม ๗ โดยออกทางถนนสายบางกรวย-พระราม ๗ ก็ได้เริ่มเห็นน้ำทะลักจากฝั่งคลองสำโรงข้ามถนนมายังฝั่งทางด้านทางรถไฟ และในวันถัดมาก็ทราบว่าบริเวณระหว่างถนนและทางรถไฟถูกน้ำท่วมเอาไว้หมดแล้ว ช่วงนั้นทางรถไฟสายใต้ทำหน้าที่เป็นคันกั้นน้ำระหว่างเขตบางพลัดและอำเภอบางกรวย

แต่ระดับน้ำทางฝั่งบางกรวยที่สูงขึ้นทำให้น้ำล้นพ้นทางรถไฟ แต่มาติดที่กำแพงถนนเลียบทางรถไฟที่กำลังก่อสร้างอยู่ ถนนยังสร้างไม่เสร็จแต่เขาวางกำแพงคอนกรีตเอาไว้ก่อน น้ำที่ล้นมาจากทางฝั่งบางกรวยก็ถูกระบายลงคลองต่าง ๆ ทางฝั่งบางพลัดและสูบออกไป

ช่วงประมาณตี ๓ ของวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคมถูกปลุกขึ้นมาเนื่องจากคันกั้นน้ำปลายคลองบางบำหรุพังลง ทำให้น้ำจากฝั่งบางกรวยไหลเข้ามาได้รวดเร็ว แต่โชคยังดีที่ทางเจ้าหน้าที่เขตกับทหารได้เข้ามาซ่อมแซมเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นระดับน้ำทางฝั่งบางกรวยก็ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนท่วมทางรถไฟสายใต้เป็นช่วง ๆ สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือความแข็งแรงของกำแพงคอนกรีตที่ผู้ก่อสร้างถนนเอามาวางไว้ว่ามันจะล้มลงมาเนื่องจากแรงดันน้ำ ผมคิดว่ากำแพงดังกล่าวไม่ได้ถูกยึดเข้ากับพื้นถนนไว้อย่างแน่นหนา มันถูกนำมาวางบนพื้นถนนเอาไว้เฉย ๆ เพราะถนนดังกล่าวเป็นถนนลาดยางมะตอย ไม่ใช่ถนนคอนกรีตที่จะมีเหล็กเส้นยึดกำแพงเข้ากับพื้นถนน ในขณะเดียวกันน้ำก็ซึมผ่านชั้นราดยางมะตอยของผิวถนน มาผุดอยู่กลางถนนโดยเห็นได้ชัดว่าพื้นถนนมีการบวมตัวสูงขึ้น 
 
เหตุการณ์กำแพงคอนกรีตของถนนล้มลงแล้วทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็วนี้เคยเกิดที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บริเวณที่เกิดเหตุคือตำแหน่งที่ตั้งของห้างโรบินสันศรีราชาในปัจจุบัน (ตอนนั้นห้างนั้นยังไม่ได้ก่อสร้าง) น้ำที่ลงมาจากเนินเขามาสะสมอยู่อีกฟากของกำแพง ไม่สามารถระบายลงทะเลได้ทัน กำแพงคอนกรีตดังกล่าวพอรับแรงดันไม่ไหวก็ล้มพังลง เกิดเป็นกระแสน้ำพัดไหลรุนแรงพัดพาเอาข้าวของและบ้านเรือนเสียหายไปหลายหลัง หลังเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้เห็นทางเทศบาลทำการเปลี่ยนกำแพงบางช่วงให้กลายเป็นลูกกรงเหล็กแทน เพื่อให้น้ำที่หลากมาอย่างรวดเร็วระบายได้เร็วขึ้นไม่เกิดการสะสมทางด้านหนึ่งของกำแพง
บ่ายวันจันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคมหลังจากจัดงานวันเกิดเล็ก ๆ ให้กับลูกคนเล็ก ผมก็พาลูก ๆ ไปอยู่ที่ชลบุรีเนื่องด้วยไม่ไว้ใจสถานการณ์น้ำท่วม ตอนขับรถกลับตอนค่ำก็มีโทรศัพท์แจ้งว่ารั้วบ้านริมน้ำในซอยจรัญฯ ๗๔/๑ พังลง ทำให้ต้องปิดถนนจรัญสนิทวงศ์ช่วงแยกบางพลัดถึงสะพานพระราม ๗ ตอนที่กลับถึงบ้านนั้นพบว่าเริ่มมีน้ำเอ่อเข้ามาทางสวนหลังบ้านแล้ว แต่ยังไม่มากเท่าไรนัก เพราะยังสามารถระบายลงท่อน้ำของถนนเพื่อไปออกทางคลองบางบำหรุได้ รอดูอยู่จนเที่ยงคืนจึงเข้านอน มีโทรศัพท์ปลุกอีกครั้งตอนตี ๔ ของวันอังคารที่ ๒๕ ว่าน้ำไม่สามารถระบายออกทางคลองบางบำหรุได้แล้วและเริ่มสะสม จึงได้เริ่มทำการสูบน้ำออกจากบริเวณบ้านหลังเก่า และเริ่มขนย้ายสิ่งของจากบ้านเก่าขึ้นบ้านใหม่ที่เป็นบ้านสองชั้นและอยู่สูงกว่า ตอนบ่ายผมนำรถไปฝากไว้ที่บ้านน้องชายและนั่งรถกลับมากับเขา ตอนที่ผมขับรถออกไปและนั่งรถกลับเข้ามานั้นน้ำท่วมเฉพาะถนนบริเวณหน้าบ้านผม ส่วนบริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลบางพลัดและวัดเพลงนั้นระดับน้ำยังอยู่ต่ำกว่าถนน แต่จากระดับน้ำที่สูงขึ้นก็ทำให้เชื่อว่าน้ำที่ทะลักเข้ามานั้นมากกว่าน้ำที่สามารถระบายออกทางคลองบางบำหรุ เย็นวันนั้นจึงได้ตัดสินใจทิ้งบ้านหลังเก่าให้จมน้ำเพื่อย้ายเครื่องสูบน้ำไปป้องกันบ้านของพี่ชายและของพ่อแม่ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวเหมือนกันและได้ให้คุณพ่อคุณแม่ย้ายไปอยู่บ้านน้องชายก่อน ส่วนผมกับพี่ชายก็เฝ้าบ้านสี่หลังอยู่ด้วยกันสองคน 
 
คืนนั้นแม่น้ำจะยังไม่เข้าท่วมในชั้นล่างของบ้านสองชั้น แต่ระดับน้ำที่สูงรอบตัวบ้านทำให้ปั๊มน้ำลัดวงจร ทำงานไม่ได้ และถังบำบัดมีน้ำเต็ม ชักโครกกดไม่ลงทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ต้องทำการเจาะท่อน้ำทิ้งส่วนที่อยู่เหนือกว่าผิวน้ำเพื่อให้อากาศในถังบำบัดระบายออกได้ ชักโครกชั้นบนจึงใช้งานได้อีกครั้ง แต่ห้องน้ำชั้นล่างไม่สามารถใช้งานได้

ตลอดคืนวันอังคารต่อเช้าวันพุธน้ำยังมีทีท่าสูงขึ้นและเชื่อว่าบ้านสองชั้นที่อาศัยอยู่นั้นชั้นล่างคงไม่พ้นจากการโดนน้ำท่วมแน่ ๆ จึงตัดสินใจย้ายของจากชั้นล่างขั้นชั้นบนอีกครั้งและตัดสินใจปล่อยให้บ้านชั้นล่างจมน้ำไปโดยจะย้ายออกไปอยู่กับลูก ๆ แล้ว เพราะเขาเป็นห่วงมาก โทรศัพท์มาถามตลอดเวลา ข้าวของอะไรที่ยกขึ้นข้างบนไม่ได้ก็นำโต๊ะ เก้าอี้ มาหนุนให้สูงขึ้น หรือนำไปวางไว้บนชั้นที่สูงขึ้น ผมชวนให้พี่ชายผมออกมาด้วยแต่เขาก็ยังไม่ยอมออกมา คุณแม่ผมเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายผมในคืนนั้น โดยให้ผมขนข้าวของบางส่วนที่ต้องใช้ออกไปไว้บ้านน้องชายก่อน แล้วให้ผมเดินทางไปดูแลลูก ๆ ที่ชลบุรี ส่วนตัวคุณแม่เองนั้นบอกว่าขอเห็นกับตาตนเองดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลกับข่าวสารที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ 
 
พอเช้าวันพุธที่ ๒๖ คุณแม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่าตัดสินใจที่จะอพยพแล้ว เพราะน้ำมีแนวโน้มที่จะท่วมชั้นล่างของบ้านสองชั้นแล้ว และรอน้องชายเข้าไปรับออกมา

ระหว่างที่นั่งเล่น facebook อยู่ที่ชลบุรีก็มีนิสิตถามเข้ามาเรื่องการออกแบบเครื่องกรองน้ำบริสุทธิ์สำหรับดื่มให้กับผู้ประสบอุทกภัย ผมก็ได้ให้คำแนะนำและความเห็นกับเขาไป ส่วนตัวผมคิดว่าเพื่อให้การช่วยเหลือดำเนินไปได้ดีนั้นผู้ประสบอุทกภัยควรที่จะอพยพมาอยู่รวมกัน เจ้าหน้าที่จะได้จัดการความช่วยเหลือได้ง่าย จะได้มีกำลังเหลือไปจัดการกู้ภัยในด้านอื่น แทนที่จะเป็นการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปส่งเสบียง ผมว่าในหลาย ๆ พื้นที่ที่ทำได้น่าจะใช้วิธีการอพยพคนออกมาให้หมด ประกาศเป็นพื้นที่ห้ามบุคคลไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป แล้วใช้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินให้เอง เห็นใครแปลกปลอมเข้าไปในบริเวณนั้นก็ให้สัณนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ เจ้าของบ้านคนใดจะกลับไปยังบ้านตัวเองก็ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าวัน-เวลาและสถานที่ พอเหตุการณ์ดีขึ้นจึงค่อยอนุญาตให้อพยพกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านตนเองได้

ผมเห็นใจเจ้าหน้าที่เขตที่ถูกชาวบ้านที่ไม่ยอมอพยพออกมา (เนื่องด้วยห่วงทรัพย์สิน) ต่อว่าว่าไม่มีใครเข้าไปดูแลส่งถุงยังชีพให้กับผู้ที่อยู่ตามบ้านเรือน แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เขตเหล่านั้นก็ต้องทำการซ่อมแซมคันกั้นน้ำที่เสียหาย ณ บริเวณต่าง ๆ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงร่วมกับทหารหน่วยต่าง ๆ ที่ถูกส่งมาช่วย แม้ว่าบ้านของพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เดือดร้อนจากการถูกน้ำท่วมเช่นเดียวกัน และพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างอะไรเพิ่มเติมพิเศษ เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น ไม่ได้มีการออกข่าวสรรเสริญใด ๆ ทางสื่อต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นได้ช่วยเหลือชาวบ้านเป็นจำนวนมากกว่าสื่อบางสื่อที่โหมกระพือความช่วยเหลือของตัวเองเสียอีก กำลังใจที่พวกเขาได้รับจากชาวบ้านก็คือเงินบริจาคเพียงเล็กน้อย อาหารการกินส่วนหนึ่ง การโบกไม้โบกมือให้กำลังใจ รอยยิ้มของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ และคำขอบคุณที่อาจมาพร้อมกับน้ำตา

ท้ายนี้ผมขอกล่าวคำขอบคุณจากใจไปยังเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ทหาร และอาสาสมัคร ที่ได้เข้ามาร่วมกู้วิกฤตของประเทศโดยหวังเพียงแค่ขอคืนความสุขและการใช้ชีวิตตามปรกติให้กับประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เกิดเหตุจริง หรือผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลศูนย์ผู้อพยพ หรือเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่พยายามรักษาให้ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ยังคงใช้งานได้อย่างปลอดภัย เขาเหล่านั้นทำงานโดยไม่ได้ฉวยโอกาสดังกล่าวในการประชาสัมพันธ์ตนเองเพื่อหวังลาภ ยศ สรรเสริญ หรือผลประโยชน์ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไป สิ่งที่พวกเขาได้ไปคือความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาในการที่ได้นำความสุขกลับคืนมายังผู้ได้รับความเดือดร้อนเท่านั้นเอง