แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ chemisorption แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ chemisorption แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๒๒) MO Memoir : Tuesday 28 January 2557

เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ NH3-TPD ที่ผมคุยกับสาวน้อยจากบ้านสวนเมื่อเย็นวานนี้

๑. ในการวิเคราะห์ NH3-TPD นั้น หลังจากที่เราทำการไล่น้ำออกแล้ว เราจะผ่านแก๊สผสม He + NH3 ที่ความเข้มข้นหนึ่งไปบนตัวอย่าง ณ อุณหภูมิหนึ่ง เป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง
 
อุณหภูมิที่ทำการดูดซับนั้นขึ้นอยู่กับว่าตัวอย่างของเรามีความเป็นกรด "แรง - strength" แค่ไหน ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นต่ำมาก ก็ต้องใช้อุณหภูมิในการดูดซับที่ต่ำ แต่ถ้าตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นมีความแรงสูง ก็สามารถใช้การดูดซับที่อุณหภูมิที่สูงได้ แต่ปรกติที่ทำกันก็คือไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง
 
ส่วนระยะเวลานานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่ผิวและความเป็นรูพรุนของตัวเร่งปฏิกิริยา สำหรับรูพรุนขนาดเล็กและพื้นที่ผิวสูง ก็จะใช้เวลามากหน่อยกว่าจะอิ่มตัว (ต้องรอให้โมเลกุล NH3 แพร่เข้าไปข้างในได้ทั่วถึง)

๒. ปรกติแล้วหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการดูดซับ เราจะทำการไล่โมเลกุล NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับแบบ chemisorption ออก (คือพวกที่ค้างอยู่ในเฟสแก๊สในรูพรุน ส่วนพวกที่เป็น physisorption นั้นไม่ควรจะมีเพราะการเกิด physorption นั้นจะไม่เกิดที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของสาร และอุณหภูมิที่เราใช้กันนั้นก็สูงกว่าอุณหภูมิจุดเดือดของ NH3 ด้วย) ด้วยการแทนที่แก๊สผสม He + NH3 ด้วย He และให้ไหลผ่านตัวอย่างของเราเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง
 
ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเราทำการดูดซับ NH3 ที่อุณหภูมิ 100ºC ตำแหน่งที่เป็นกรดที่จะจับโมเลกุล NH3 ได้นั้นจะต้องเป็นตำแหน่งที่จะคายโมเลกุล NH3 ออกที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 100ºC และถ้าเราทำการไล่โมเลกุล NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับที่ 100ºC ออกได้หมด เมื่อเราเริ่มขั้นตอนการคายซับที่อุณหภูมิใด ๆ ก็ตามที่อุณหภูมิที่ "ต่ำกว่า" 100ºC เราไม่ควรจะเห็นพึคการคายซับ NH3 ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100ºC
แต่การที่มีบางรายเห็นพีคที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100ºC นั่นอาจเป็นเพราะ
 
(ก) การแปลผลผิดพลาด เช่นแปลสัญญาณ base line drift เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิว่าเป็นพีค
 
(ข) ตัวเร่งปฏิกิริยามีอุณหภูมิลดลงในขณะที่ยังไล่ NH3 ออกไปไม่หมด ทำให้ NH3 ที่ค้างอยู่ในเฟสแก๊สในรูพรุนนั้นดูดซับลงบนตำแหน่งที่เป็น weak acid site ที่ไม่สามารถจับโมเลกุล NH3 ที่อุณหภูมิ 100ºC เอาไว้ได้ พอเริ่มไล่ NH3 ออกจากพื้นผิวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100ºC ก็เลยทำให้เห็นพีค NH3 ปรากฏที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 100ºC ได้

๓. ในระหว่างการดูดซับ NH3 นั้น ความเข้มข้น NH3 ใน bulk fluid ที่อยู่นอกรูพรุนจะสูงกว่าความเข้มข้น NH3 ในรูพรุน โมเลกุล NH3 จะแพร่เข้าไปในรูพรุน ส่วนหนึ่งจะเกิดการดูดซับแบบ chemisorption โดยส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนที่ค้างอยู่ในเฟสแก๊ส
 
ในขั้นตอนการไล่ NH3 ส่วนเกินนั้น พอเราเปลี่ยนแก๊สจากแก๊สผสม He + NH3 เป็น He บริสุทธิ์ ความเข้มข้นของ NH3 ภายในรูพรุนจะสูงกว่าภายนอกรูพรุน โมเลกุล NH3 จะค่อย ๆ แพร่ออกมาจากรูพรุน ดังนั้นในช่วงเวลาไล่ NH3 ส่วนเกินนี้จนหมดถ้าอุณหภูมิตัวอย่างของเรานั้นยังคงอยู่ที่อุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับ (เช่น 100ºC) จะไม่มีการดูดซับ NH3 เพิ่มบนพื้นผิว และแม้ว่าจะเริ่มการคายซับที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับ เราก็จะไม่เห็นพีค NH3 ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับ
 
แต่ถ้าในระหว่างที่ไล่ NH3 ส่วนเกินออกไปยังไม่หมด อุณหภูมิตัวอย่างเราเกิดลดต่ำกว่าอุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับ (เช่นไล่ NH3 ส่วนเกินออกพร้อมกับลดอุณหภูมิตัวอย่าง) ก็จะทำให้มีการดูดซับ NH3 บนพื้นผิวตัวอย่างเพิ่มขึ้นอีกได้ และพอมาเริ่มไล่ NH3 ออก เราก็จะเห็นพีค NH3 ปรากฏที่อุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับได้

๔. ส่วนเวลาที่ต้องใช้ในการไล่ NH3 ส่วนเกินนั้นควรเป็นเท่าไร คงต้องหาจากการทดลอง แต่โดยหลักก็คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีรูพรุนขนาดเล็กจะใช้เวลาในการไล่นานกว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีรูพรุนขนาดใหญ่กว่า
หรือไม่ก็ต้องดูจากสัญญาณ TCD ด้านขาออกว่านิ่งแล้วหรือยัง (ถ้าเครื่องทำได้)
 
ที่ผ่านมาตอนที่กลุ่มเราทำ pyridine adsorption และใช้ FT-IR วัดนั้น จะใช้การตรวจวัดสัญญาณการดูดกลืน IR ของ pyridine ในเฟสแก๊ส สัญญาณนี้หายไปเมื่อใดก็จะเริ่มเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างได้

๕. ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้องกว่าก็คือถ้าเราดูดซับ NH3 ที่อุณหภูมิเท่าใด ก็ให้ไล่ NH3 ส่วนเกินที่อุณหภูมิที่ทำการดูดซับนั้น และเมื่อไล่ NH3 ส่วนเกินเรียบร้อยแล้วก็ให้เริ่มทำการคายซับที่อุณหภูมินั้นเลย ไม่จำเป็นต้องลดอุณหภูมิตัวอย่างให้ลดต่ำลง

๖. การแปลผล NH3-TPD ต้องระวัง เพราะเครื่องที่เราใช้นั้นมักทำให้เกิดสัญญาณสองสัญญาณซ้อนกันอยู่ คือ
 
(ก) สัญญาณที่เกิดจาก base line drift เนื่องจากอุณหภูมิระบบเปลี่ยน และ
 
(ข) สัญญาณที่เกิดจาก NH3 หลุดออกจากพื้นผิว
 
สัญญาณจาก base line drift นั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ เวลาทำการทดลองซ้ำจึงมักทำให้ได้รูปร่างกราฟที่ไม่ซ้ำเดิม แต่ควรจะได้ตำแหน่งพีค NH3 ที่หลุดออกมานั้นคงเดิม
 
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเราจึงทำการวัดปริมาณ NH3 หรือ pyridine ที่พื้นผิวตัวอย่างดูดซับเอาไว้ได้ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณพื้นที่พีคที่ได้จากการคายซับว่าเป็นเท่าใด โดยพื้นที่พีคที่คำนวณได้จากการคายซับจะต้องไม่มากกว่าพื้นที่พีคที่ได้จากการดูดซับ
 
ตรงนี้ขอให้ดู Memoir ๓ เรื่องต่อไปนี้ประกอบ (รวมทั้งที่ถูกกล่าวถึงใน Memoir ๓ ฉบับนี้ด้วย) คือ
 
ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๐๓ วันพุธที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง "การวัดปริมาณ-ความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว"
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๖๗ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่อง "NH3-TPD - การลาก base line"
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๓๖ วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง "ความเข้มข้นของแก๊สที่ใช้ในการดูดซับ"

ส่วนการวัดความสามารถในการดูดซับ pyridine ของตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อหาปริมาณทั้งหมดของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวด้วยเครื่อง GC ควรทำอย่างไรนั้น ให้มาปรึกษาผมอีกที เพราะมันมีสิ่งที่ต้องคำนึงในการทดลองอยู่เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๕ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ Temkin MO Memoir : Saturday 21 April 2555


เราเริ่มจากแนะนำให้รู้จักไอโซเทอมการดูดซับของนักวิทยาศาสตร์จากเยอรมันในยุคไกเซอร์ ตามด้วยของนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาในยุคที่ยังคงใช้ลัทธิมอนโร คราวนี้ก็ถึงทีของนักวิทยาศาสตร์จากรัสเซียในยุคของสตาลินบ้าง

ในขณะนี้เรายังพิจารณาการดูดซับของแก๊สบนพื้นผิวของแข็ง โดยยังคงเป็นการดูดซับที่ไม่เกินชั้นโมเลกุลเดียว

อัตราการดูดซับ (adsorption rate) บนพื้นผิวจะขึ้นอยู่กับ
- ความดันของแก๊ส (P) เหนือผิวของแข็งนั้น ถ้า P มีค่ามาก อัตราการดูดซับก็จะมากตามไปด้วย
- สัดส่วนพื้นที่ผิวของของแข็งที่ยังว่างอยู่ (พื้นที่ที่ยังไม่มีโมเลกุลแก๊สลงไปเกาะ) ซึ่งเท่ากับ (1 - θ) และ
- พลังงานกระตุ้นของการดูดซับ ซึ่งแปรผันตามอุณหภูมิ (kadsexp(-Eads/RT))

กล่าวคือ (1)

อัตราการคายซับ (desorption rate) บนพื้นผิวจะขึ้นอยู่กับ
- สัดส่วนพื้นที่ผิวของของแข็งที่มีโมเลกุลแก๊สปกคลุมอยู่ (θ) และ
- ค่าคงที่ของการคายซับ ซึ่งแปรผันตามอุณหภูมิ (kdesexp(-Eads/RT))

กล่าวคือ (2)

ที่ภาวะสมดุลนั้นอัตราการดูดซับเท่ากับอัตราการคายซับ หรือ สมการ (1) = สมการ (2)


(3)





จัดรูปแบบสมการที่ (3) ใหม่

   (4)



   (5)




สมการที่ (10) ก็คือแบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ Langmuir นั่นเอง

ในกรณีที่ค่า θ มีค่าต่ำนั้นพบว่าค่า ΔHads ค่อนข้างคงที่ แต่เมื่อ θ เพิ่มขึ้นมีการสังเกตว่า ΔHads มีแนวโน้มที่จะลดลง การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการที่ตำแหน่งดูดซับบนพื้นผิวนั้นมีความแตกต่างกันอยู่และเกิดจากการมีแรงกระทำกันระหว่างโมเลกุลที่ถูกดูดซับอยู่บนพื้นผิวและโมเลกุลที่กำลังจะถูกดูดซับบนพื้นผิว (ตอนที่ Langmuir นำเสนอไอโซเทอมการดูดซับของเขาในปีค.. ๑๙๑๖ นั้น ภาพโครงสร้างอะตอมยังไม่มีความชัดเจน กลศาสตร์ควันตัมยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา)


ที่อุณหภูมิคงที่จะเห็นว่าพจน์แรกทางด้านขวาของสมการที่ (14) นั้นไม่ขึ้นกับค่า θ และถือได้ว่าเป็นค่าคงที่ และค่า ln ของพจน์ที่สองนั้นเปลี่ยนจาก -1.39 (ที่ค่า θ = 0.2) ไปเป็น 1.39 (ที่ค่า θ = 0.8) ซึ่งพอจะประมาณได้ว่าเปลี่ยนแปลงไม่มาก ทำให้สามารถยุบรวมพจน์แรกและพจน์ที่สองเข้าด้วยกันและถือว่าเป็นค่าคงที่ และค่าในวงเล็บของพจน์ที่สามทางด้านขวานั้นก็เป็นค่าคงที่เช่นกัน

สมการที่ (18) คือไอโซเทอมการดูดซับของ Temkin นั่นเอง
ถ้าพิจารณาเทียบกับไอโซเทอม
ไอโซเทอมการดูดซับของ Temkin นั้นสามารถนำไปใช้ได้กับการดูดซับทางเคมี (chemisorption) เนื่องจากในสมการนั้นมีการพิจาณาถึงพลังงานกระตุ้นของการดูดซับด้วย

เอกสารประกอบ
http://www.sussex.ac.uk/Users/kaf18/SurfSci2.pdf
http://web.abo.fi/fak/tkf/tek/Temkin_100%20years.pdf
M. Albert Vannice, "Kinetics of catalytic reactions", Springer Science + Business Media, Inc., 2005.

รูปที่ ๑ Mikhail Temkin รูปซ้ายเป็นปีค.. ๑๙๓๒ ส่วนรูปขวาไม่มีการระบุปีค..ที่ถ่ายรูป (เกิด ๑๖ กันยายน ค.. ๑๙๐๘ ถึงแก่กรรม ๑ ตุลาคม ค.. ๑๙๙๑) รูปภาพจาก http://web.abo.fi/fak/tkf/tek/Temkin_100%20years.pdf

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๑ Volcano principle MO Memoir : Saturday 7 January 2555


ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าพวกเราบางคน (หรือทุกคน) จะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกลไกการเกิดปฏิกิริยา ทำให้เกิดความกังวลในการสอบ ดังนั้นจึงคิดว่าควรต้องมีการทบทวนความรู้พื้นฐานในบางเรื่องกันใหม่ โดยจะทยอยนำเอกสารที่ใช้ในการสอนวิชาพื้นฐานวิศวกรรมปฏิกิริยาที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้สำหรับสอนนิสิตวิศวกรรมเคมีมาย่อยเป็นตอนสั้น ๆ ให้อ่านง่ายขึ้น โดยจะเริ่มจากเรื่องในชุดแรกคือ "จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิพันธ์"

ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่มีการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์นั้น สารตั้งต้นอย่างน้อยหนึ่งชนิด (ในกรณีที่มีโมเลกุลเกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งชนิด) ต้องเกิดการดูดซับทางเคมี (chemisorption) บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา การดูดซับทางเคมีในที่นี้คือการสร้างพันธะทางเคมีระหว่างโมเลกุลสารตั้งต้นกับตำแหน่ง active site บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา

จากการทดลองเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่มีสารตั้งต้นเพียงโมเลกุลเดียว(1) ได้มีการพบว่า ความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของการเกิดการดูดซับทางเคมีของสารตั้งต้นบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา กล่าวคือ ถ้าความแข็งแรงของการเกิดการดูดซับทางเคมีของสารตั้งต้นต่ำ (ช่วง () ในรูปที่ ๑) สารตั้งต้นก็จะเกิดการดูดซับทางเคมีได้น้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือปริมาณสารตั้งต้นบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยามีน้อย (หรือจำนวน active site ที่มีสารตั้งต้นเกาะอยู่มีจำนวนน้อย) ดังนั้นปฏิกิริยาก็จะเกิดได้น้อยตามไปด้วย

รูปที่ ๑ ความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแรงของการดูดซับทางเคมีกับปริมาณสารตั้งต้นที่สามารถลงไปเกาะบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา (หรือกล่าวให้เฉพาะเจาะจงก็คือตำแหน่ง active site) และความว่องไวในการทำปฏิกิริยา หลังการนี้มีชื่อเรียกว่า "Volcano principle"

แต่เมื่อความแข็งแรงของการเกิดการดูดซับทางเคมีของสารตั้งต้นมีมากขึ้น ปริมาณสารตั้งต้นบนพื้นผิวก็จะมีมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่จะสูงไปได้ถึงระดับหนึ่งเท่านั้น คือระดับที่สารตั้งต้นเริ่มปกคลุมพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาเอาไว้หมด (กล่าวคือเกิดการดูดซับบน active site เต็มทุกตำแหน่ง - ช่วง (ข) ในรูปที่ ๑) ถ้าความแข็งแรงของการเกิดการดูดซับทางเคมีสูงขึ้นไปอีก จะพบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะสารตั้งต้นพบใจที่จะเกาะอยู่บนพื้นผิวมากกว่าจะเกิดไปเป็นผลิตภัณฑ์ (ช่วง (ค) ในรูปที่ ๑) 
 
ดังนั้นถ้าพิจารณาดูกราฟความว่องไวในการทำปฏิกิริยาแล้วจะเห็นว่ากราฟดังกล่าวมีลักษณะที่เพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด จากนั้นจะลดลง จึงมีการตั้งชื่อพฤติกรรมความว่องในการทำปฏิกิริยากับความแข็งแรงในการดูดซับสารตั้งต้นว่า "Volcano principle" 
 
กล่าวโดยสรุปคือ ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยานั้นสูงนั้นต้องมีความแข็งแรงของการดูดซับสารตั้งต้นที่เหมาะสม ต้องไม่อ่อนเกินไปและต้องไม่สูงเกินไป

หมายเหตุ
(1) ปฏิกิริยาA --> P เมื่อ A คือสารตั้งต้นและ P คือผลิตภัณฑ์ (ซึ่งอาจมีเพียงโมเลกุลเดียวหรือหลายโมเลกุล) ตัวอย่างของปฏิกิริยาเช่นนี้ปฏิกิริยาการสลายตัวของโมเลกุลสารตั้งต้นจากสารตั้งต้น 1 โมเลกุลกลายไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลงแต่มีจำนวนโมเลกุลเพิ่มขึ้น หรือปฏิกิริยาที่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของสารตั้งต้น เช่น isomerisation