กระดาษแผ่นเล็ก
ๆ แผ่นนั้นอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้
ที่พวกคุณเอามาเหน็บไว้หน้าห้องผมก่อนน้ำท่วม
เพื่อให้ผมเขียนอะไรก็ได้เป็นที่ระลึกก่อนจบการศึกษา
แต่จวบจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้เขียนสักที
แต่จะว่าไปก็ไม่ได้คิดจะเขียนลงกระดาษแผ่นนั้นอยู่แล้ว
เพราะคิดว่าที่มันไม่พอ
ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหลายคนจะโดนผมทักว่า
"เป็นไง
ชีวิตนิสิตใช้คุ้มค่าหรือยัง
สิทธิพิเศษที่เขามีให้เฉพาะนิสิตก็รีบ
ๆ ใช้ซะนะ"
หรือถ้าผมเห็นนิสิตหญิงที่แต่งชุดธรรมดามามหาวิทยาลัย
ผมก็จะถามว่า "ไม่แต่งชุดนิสิตมาเหรอ
เวลาที่จะแต่งได้เหลือน้อยแล้วนะ
พอหมดโอกาสแล้วจะรู้สึกคิดถึงขึ้นมา"
ตอนเรียนมัธยมปลายนั้นพวกคุณก็คงเน้นไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียว
เพื่อให้ได้เข้าเรียนในคณะที่ได้เลือกเอาไว้
แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วผมคิดว่าช่วงชีวิต
๔
ปีในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ดีมากที่พวกคุณมีได้โอกาสมองเห็นและได้ทำในสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากการเรียน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลถึงความคิดและการดำรงชีวิตของพวกคุณเมื่อจบการศึกษาไปแล้ว
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมในช่วงที่คุณเรียนด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถ้าเป็นช่วงหลังพ.ศ.
๒๕๐๐
ผมคิดว่ามีนิสิต-นักศึกษาในมหาวิทาลัยอยู่
๒
รุ่นที่มีโอกาสได้เห็นและ/หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในช่วง
๔ ปีที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย
รุ่นแรกคือรุ่นปีการศึกษา
๒๕๑๖ ที่เริ่มจากได้เห็นเหตุการณ์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ตอนเข้าเรียนปี
๑ การสิ้นสุดของสงครามในเวียดนาม
ลาว และกัมพูชาในปีพ.ศ.
๒๕๑๘
ซึ่งนำมาสู่ความหวาดหวั่นว่าประเทศไทยจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีโดมิโน
ซึ่งต่อเนื่องและเกี่ยวพันกับการเกิดเหตุการณ์
๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตอนอยู่ปี ๔
นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในยุคนั้น
หลายหลาย (ที่เรียกกันว่าคนเดือนตุลา)
ต่างมามีบทบาททางการเมืองในปัจจุบันนี้
รุ่นที่สองคือรุ่นปีการศึกษา
๒๕๕๑
ตอนเกิดรัฐประหารปีพ.ศ.
๒๕๓๕
นั้นพวกคุณคงยังเป็นเด็กเล็กอยู่
และเมื่อเริ่มรู้ความก็เป็นช่วงที่เหตุการณ์ทางการเมืองสงบเงียบต่อเนื่อง
จนกระทั่งเกิดการชุมนุมในช่วงปีพ.ศ.
๒๕๔๙
ซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้งในปีพ.ศ.
๒๕๔๙
และการลงประชามติรับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.
๒๕๕๐
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับเดียวของประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด
เพราะประชาชนทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์เลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงยอมรับหรือคัดค้าน
แต่ตอนนั้นคิดว่าพวกคุณคงจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันอยู่
และอายุคงยังไม่ถึงเกณฑ์เลือกตั้ง
พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มจากการได้เห็นเหตุการณ์การชุมนุมประท้วง
ยึดทำเนียบรัฐบาล
สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ
ในปีพ.ศ.
๒๕๕๑
การชุมนุมปิดถนนราชดำเนินในปีพ.ศ.
๒๕๕๒
เหตุการณ์ยึดถนนราชดำเนินและแยกราชประสงค์ในปีพ.ศ.
๒๕๕๓
รวมทั้งการบุกโรงพยาบาลจุฬา
ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุจาก
สนามหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์ ถนนราชดำเนิน
ลานพระบรมรูปทรงม้า
มาเป็นบริเวณใกล้มหาวิทยาลัยของเรา
และเป็นครั้งแรกที่รอบ ๆ
มหาวิทยาลัยของเราอยู่ในเขตใช้กระสุนจริง
และปิดท้ายด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ.
๒๕๕๔
ที่ทำให้พวกคุณมีการปิดเทอมกลางยาวถึง
๓ เดือน และยังต้องมานั่งเรียนหนังสือกันจนถึงวันนี้
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พวกคุณหมดโอกาสที่จะได้ร่วมงานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยเป็นปีสุดท้าย
และที่สำคัญคืองานวิชาการที่พวกคุณได้เตรียมการณ์กันมาต้องเลื่อนออกไปอีก
๑ ปี นั่นหมายถึงการที่ต้องส่งมอบงานให้รุ่นน้องทำแทน
(หรือว่าพวกคุณคิดจะอยู่ทำกันต่อล่ะ)
มหาวิทยาลัยของเราโชคดีที่ไม่โดนน้ำเหลือหลากเข้ามาท่วม
แต่เราโชคดีที่มี "น้ำใจ"
ของพวกคุณทั้งหลายที่หลากเข้ามาท่วมมหาวิทยาลัยของเรา
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องประสบอุทกภัย
ซึ่งผมเห็นว่าการได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง
ๆ ที่มหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยนั้น
เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่ากว่าการได้จัดงานวิชาการเสียอีก
และยังมีอีกหลายคนที่ได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครตามที่ต่าง
ๆ ในการช่วยเหลือสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการไปช่วยกรอกและเรียงกระสอบทราย
หรือการไปช่วยบรรจุและแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์ต่าง
ๆ
งานช่วยเหลือสังคมที่พวกคุณทำไปนั้นมันไม่มีใบประกาศให้เอาไปใส่แฟ้มเอาไว้ไปโชว์ตอนไปสอบสัมภาษณ์ต่าง
ๆ หรือเอาไปขอรางวัลเยาวชนดีเด่น
ไม่ได้มีเงินหรือเหรียญรางวัลตอบแทน
ไม่ได้ทำให้คุณได้เป็นดาราได้ออกรายการโทรทัศน์
ไม่ได้ทำให้คุณเป็นนิสิตดีเด่นของมหาวิทยาลัย
แต่มันทำให้คุณได้มีความทรงจำดี
ๆ เล็ก ๆ ซุกเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ว่าในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตการเรียน
คุณได้สละแรงกายเพื่อทำประโยชน์อะไรไว้ให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทน
มากไปกว่าแววตาที่สดใสและรอยยิ้มของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ
เปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระ
ที่สำคัญคือพวกคุณได้ทำตามพระบรมราโชวาท
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ตรัสไว้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์
ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ความว่า
“…การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ
แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ไม่น่าวิตก
เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักพยานที่มั่นคง
ที่พูดเช่นนี้เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ
การปิดทองหลังพระนั้นเมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…”
หวังว่าความทรงจำดังกล่าวจะเป็นกำลังใจให้พวกคุณ
ยามที่พวกคุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้
ว่าตัวคุณเองนั้นยังสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับผู้อื่นและสังคมได้
จำได้ไหมเมื่อตอนที่คุณเข้ามาเรียนที่ภาคและแรกเจอกับผมนั้น
ผมได้บอกกับพวกคุณว่า
"หน้าที่ของผมคือบอกให้พวกคุณทราบว่า
chem
eng นั้นต้องเรียนรู้อะไรบ้าง
เพื่อนำไปใช้ทำอะไรบ้าง
ในแง่มุมต่าง ๆ ที่ผมรู้
และเมื่อคุณรับรู้ไปหมดแล้ว
คุณจะเลือกดำเนินชีวิตเป็น
chem
eng หรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเอง"
โดยฝากคำถามที่ถามย้ำเป็นประจำเพื่อให้ไปหาคำตอบหลังจากที่ได้เข้ามาเรียนที่ภาคนี้คือ
"ตอบตัวเองให้ได้ว่าต้องการอะไร"
และเมื่อพวกคุณใกล้เรียนจบ
หลายคนที่ผมพบก็จะโดนผมถามว่า
"ตอบตัวเองได้หรือยังว่าต้องการอะไร"
หลายคนเมื่อใกล้จบก็มักมาถามผมว่า
"จะเรียนต่อด้านไหนดี"
ผมก็จะตอบกลับไปว่า
"อยากเรียนอะไรก็เรียนไปซิ"
บางรายก็ตอบกลับมาว่า "ไม่อยากเรียนต่อด้านวิศว
แต่ถ้าไม่เรียนต่อด้านนี้ก็เสียดายเวลาที่เรียนมาตั้ง
๔ ปี"
ผมก็ถามกลับไปว่า
"แล้วคุณไม่เสียดายเวลาของชีวิตที่เหลือเหรอ
ถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ"
ที่สำคัญคือก่อนที่จะตอบตัวเองว่า
"ชอบ"อะไรนั้น
คุณได้มี "ตัวเลือก"
มากพอหรือยัง
คำพูดหนึ่งที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เป็นประจำก็คือ
"ส่วนใหญ่ที่เรียนไป
ไม่ได้ใช้"
ซึ่งผู้พูดมักจะให้ความหมายในแง่ลบ
แต่ผมกลับมองว่านั่นเป็นโชคดีของชีวิต
เพราะนั่นแสดงว่าคุณมีโอกาสได้เรียนรู้
มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสิ่งต่าง
ๆ มากมาย คุณจะรู้ว่าคุณชอบสิ่งใดและไม่ชอบสิ่งใด
แต่เนื่องจากคุณไม่มีโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ชอบได้ทุกอย่าง
คุณจึงต้องเลือกทำได้แค่เฉพาะบางอย่าง
นั่นแสดงว่า "ส่วนใหญ่ที่เรียนไป
ไม่ได้ใช้"
แต่ไม่ได้หมายความว่า
"ไม่มีโอกาสได้ใช้"
บางสิ่งคุณอาจเรียนโดยที่คุณไม่รู้ตัว
อย่างเช่นการทำแลป
พวกคุณส่วนใหญ่เมื่อจบไปแล้วคงไม่ได้ไปอยู่ห้องแลปหรือทำแลปที่อื่น
ดังนั้นเนื้อหาในวิชาแลปที่พวกคุณเรียนไปนั้นมันไม่ถูกเอาไปใช้
แต่จำได้ไหมตอนที่เข้าภาค
เทอมแรกผมทำการแบ่งกลุ่มให้พวกคุณ
ไม่ให้พวกคุณมีโอกาสได้เลือกเพื่อนร่วมกลุ่ม
พร้อมทั้งบอกว่าพอเทอมที่สองจะให้จับกลุ่มกันเอง
เพื่อที่จะได้รู้ว่าใครเป็น
"บุคคลพิเศษ"
ที่เพื่อนไม่อยากให้ร่วมกลุ่ม
สิ่งสำคัญที่ผมต้องการให้พวกคุณเรียนรู้จากการทำแลปก็คือ
"การทำงานร่วมกับผู้อื่น"
และ
"การทำตัวให้ผู้อื่นยอมรับ"
นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ผมอยากให้คุณได้เรียนรู้ในการทำแลปมากกว่าผลแลป
เพราะประสบการณ์สอนผมว่า
ให้พวกคุณทำการทดลองเดียวกัน
๑๘ กลุ่มก็ได้ผลมา ๑๘
ผลที่ไม่ซ้ำกันเลย (บวกของผมอีก
๑ ก็เป็น ๑๙)
ก็เลยบอกไม่ได้ว่าผลแลปใครถูกผลแลปใครผิด
หลายปีมาแล้วก่อนเริ่มสอนแลปเคมีวิเคราะห์
มีนิสิตหญิงคนหนึ่งมานั่งคุยและนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องแลป
ช่วงนั้นเป็นช่วงจัดกิจกรรมรับน้อง
เขาได้เข้ามาปรึกษาผมเรื่องการที่ไม่ค่อย
ๆ มีเพื่อน ๆ เข้าช่วยทำงาน
ผมก็ตอบเขาไปว่า
งานกิจกรรมนั้นเป็นงานอาสา
ไม่มีการบังคับว่าใครต้องมาทำ
และคนที่ทำก็ต้องไม่คิดว่าฉันดีกว่าคนที่ไม่มาทำ
การที่เขาไม่มาร่วมงานกับเรานั้น
เราก็ต้องกลับไปพิจารณาด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นเขาเห็นชอบหรือไม่
การที่เขาไม่มาร่วมงานนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสม
เขาอยากเปลี่ยนแปลง
แต่ทำไม่ได้ก็เลยไม่เข้ามาร่วม
อย่าด่วนคิดว่าคนที่ไม่มาร่วมทำนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว
การที่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วมงานก็ต้องกลับมาพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสมหรือไม่
ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร
แล้วเขาเห็นด้วยหรือไม่
ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีจุดประสงค์ที่ดี
แต่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วม
เราก็ต้องหาทางชักชวนให้เขามาร่วม
นั่นหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน
รูปแบบเดิมนั้นอาจใช้ได้ดีในสมัยหนึ่ง
ในสภาพสังคมหนึ่ง
แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเราก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ
โดยที่ยังคงสามารถบรรจุจุดประสงค์ที่ตั้งเอาไว้
แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นมีจุดประสงค์ที่เลื่อนลอย
ก็ควรพิจารณาว่าจะจัดต่อไปหรือไม่
ผมบอกเขาต่อว่า
ถ้าคุณเหนื่อยมากก็ถอนตัวออกไปซิ
งานจะล้มก็ช่างหัวมัน
ดูจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้ามาร่วมก็แปลได้ว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วนี่
ดังนั้นถ้างานนี้มันไม่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะว่าอะไรอยู่แล้ว
ก่อนจบการสนทนาผมถามเขากลับไปว่า
"ตอนนี้รู้หรือยังว่าเพื่อนคนไหนพึ่งได้"
เขาตอบกลับมาว่า
"รู้แล้ว"
ผมก็ตอบกลับไปว่า
"คุณได้ไปเยอะแล้วนี่
แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ"
แล้วผมก็บอกต่อว่า
"สมัยที่ผมเรียนหนังสือน่ะ
เพื่อนคนหนึ่งมันกล่าวเลยว่า
"ถ้าไม่เคยเจออะไรเหี้ย
ๆ มาด้วยกัน มันไม่รู้หรอกว่าใครคนไหนพึ่งได้"
โทษทีนะที่ต้องใช้คำอย่างนี้
เพราะมันตรงความหมายตามคำพูดมากที่สุด
ผมเห็นมาหลายรายแล้ว
แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกันมาหลายปี
เที่ยวเล่นมาด้วยกันก็มาก
แต่มารู้น้ำใจกันตอนที่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยนี่แหละ
เพิ่งจะเจอหน้ากันในมหาวิทยาลัยได้แค่ปีสองปี
ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่พึ่งพากันได้ในยามเดือดร้อนมากกว่าเพื่อนสมัยโรงเรียนที่คบกันมานานเสียอีก"
ยังจำได้ไหมตอนที่พวกคุณเข้ามาเรียนแลปกันในสัปดาห์แรก
ๆ ผมเอากล้องมาถ่ายรูปพวกคุณแต่ละกลุ่มเอาไว้
และก็บอกด้วยว่า "พอเรียนจบปี
๔ เมื่อไรค่อยมาดูรูปเหล่านี้นะ
จะได้เห็นว่าภาควิชาได้ทำอะไรกับพวกคุณเอาไว้"
ใครที่ยังไม่เคยดูหรือเคยดูแล้วแต่ก็ลืมไปแล้วก็ไปดูได้ใน
facebook
ของผม
ในอัลบัมแลปเคมีอินทรีย์
๕๒
ดูแล้วก็ลองเปรียบเทียบหน้าตาตัวเองในปัจจุบันนี้กับตอนเข้าภาควิชามาใหม่
ๆ ซิ แล้วจะเห็นว่าตอนที่พวกคุณถามผมเล่น
ๆ ว่าทำไมไม่ไปสอนวิชาปี ๔
บ้าง แล้วผมตอบกลับไปว่า
"ไม่อยากไปสอนคนแก่หน้าตาทรุดโทรม"
น่ะมันจริงไหม :-)
ขอให้โชคดีและมีความสุขในชีวิตทุกคน
สวัสดี
อาจารย์