รูปที่
๒๔ ข้างล่างเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดค่า
flammabililty
limit ที่แสดงในเอกสารของ
Coward
และ
Jones
รูปที่
๒๔ อุปกรณ์สำหรับใช้วัดค่า
flammability
limit ที่แสดงในหน้า
๑๐ ในเอกสารของ Coward
และ
Jones
อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นท่อแก้วสูง
150
cm จุดระเบิดด้วยประกายไฟฟ้าทางด้านล่าง
(y)
ส่วนปัจจุบันอุปกรณ์จะมีความสลับซับซ้อนหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากแค่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
พลังงานที่ได้จากการเผาไหม้นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อเพลิงที่มีอยู่
สมมุติว่าคุณมีแก๊สผสมที่ประกอบด้วยเชื้อเพลิง
10
ส่วนและอากาศอีก
90
ส่วน
(ที่แยกออกได้เป็น
O2
18.9 ส่วนและ
N2
71.1 ส่วนและสมมุติว่ามีปริมาณออกซิเจนเพียงพอต่อการเผาไหม้สมบูรณ์)
กับแก๊สผสมอีกตัวหนึ่งที่ประกอบด้วยเชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน
10
ส่วนและ
O2
บริสุทธิ์
90
ส่วน
เมื่อคุณทำการจุดระเบิดแก๊สผสมทั้งสองชนิดและให้เชื้อเพลิงเผาไหม้สมบูรณ์
คุณจะได้พลังงานออกมาเท่ากัน
แต่การเผาไหม้ใน O2
บริสุทธิ์จะเกิดขึ้นรุนแรงกว่าเนื่องจากมี
"อัตราการคายพลังงาน"
ที่สูงกว่าการเผาไหม้ในอากาศมาก
แต่เราก็พอจะควบคุมการเผาไหม้ในออกซิเจนได้
ด้วยการใช้ออกซิเจนในปริมาณที่พอดีในการทำปฏิกิริยา
(คืออย่าใส่ให้มากเกิน)
เมื่อเทียบกันต่อหน่วยน้ำหนักแล้ว
วัตถุระเบิดจะมีพลังงานในตัวที่ต่ำกว่าเชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอนอยู่มาก
แต่การที่วัตถุระเบิดมีอำนาจการทำลายล้างสูงกว่าก็เพราะมันมีอัตราการคายพลังงานออกจากตัวมันเองที่สูงกว่าปฏิกิริยาการเผาไหม้ไฮโดรคาร์บอนมาก
ดังนั้นเชื้อเพลิงใด ๆ
ก็ตามที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีอันตรายเท่าใดนักเมื่อทำการเผากับอากาศ
แต่ถ้าทำการผสมเข้ากับออกซิเจนบริสุทธิ์
จากปฏิกิริยาการเผาไหม้ธรรมดาก็อาจะเปลี่ยนเป็นการระเบิดได้โดยง่าย
รูปที่
๒๕ ผลของขนาดและวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์ทดสอบ
และทิศทางการจุดระเบิด
ที่มีต่อค่า lower
limit ของเอทานอลในอากาศ
(จากหน้า
๘๕ ในบทความของ Coward
และ
Jones)
คำย่อ
"do"
ในที่นี้คือ
"ditto"
หรือเหมือนข้างบน
Coward
และ
Jones
กล่าวเอาไว้ว่าผลของการใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์แทนการใช้อากาศที่มีต่อค่า
flammability
limit นั้นไม่ได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย
ข้อมูลที่บทความนำมาแสดงมีค่อนข้างจำกัด
แต่โดยภาพรวมก็คือค่า lower
limit ไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก
แต่ค่า upper
limit นั้นเพิ่มสูงขึ้นมาก
(ดูตัวอย่างในรูปที่
๒๗)
รูปที่
๒๖ ส่วนหนึ่งของข้อความจากบทความของ
Coward
และ
Jones
ในส่วนผลของการเผาไหม้ในบรรยากาศออกซิเจน
ในกรณีของเอทานอล
(ตัวที่เป็นต้นเรื่องของอุบัติเหตุที่นำมาสู่บทความชุดนี้)
ในส่วนผลของอุณหภูมิ
บทความของ Coward
และ
Jone
กล่าวถึงการทดลองในภาชนะปิดขนาด
2.5
ลิตร
โดยใช้ส่วนผสมระหว่างเอทานอลกับอากาศและทำการจุดระเบิดโดยให้เปลวไฟวิ่งจากบนลงล่างเอาไว้ว่า
ค่า lower
limit ลดลงจาก
3.80%
เหลือ
2.75%
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นจาก
50ºC
เป็น
225ºC
แต่เพิ่มกลับขึ้นไปเป็น
3.05%
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มต่อไปเป็น
250ºC
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาการใช้งานค่า
lower
limit
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการผสมเอทานอลกับอากาศและให้ทำปฏิกิริยากันที่อุณหภูมิสูง
เพราะข้อมูล lower
limit ที่เผยแพร่ทั่วไปนั้นมักจะเป็นข้อมูลที่อุณหภูมิห้อง
แต่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยานั้นสูงกว่าอุณหภูมิห้อง
ตรงประเด็นนี้ก็อาจมีการแย้งว่าใน
reactor
นั้นมันไม่มีเปลวไฟหรือประกายไฟอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าส่วนผสมมันมีอุณหภูมิไม่ถึงอุณหภูมิที่สามารถจุดระเบิดได้ด้วยตนเองหรือ
auto
ignition temperature (จะเป็นเรื่องในตอนต่อไป)
มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่จะว่าไปแล้วใน reactor
ก็มีสิ่งหนึ่งที่อาจทำหน้าที่เป็นตัวจุดระเบิดได้
สิ่งนั้นก็คือ "ตัวเร่งปฏิกิริยา"
ที่ทำหน้าที่เร่งการทำปฏิกิริยาระหว่างเอทานอลกับออกซิเจน
ซึ่งอาจนำไปสู่การคายความร้อนอย่างรวดเร็วจนเกิดการระเบิดได้
รูปที่
๒๗ ค่า flammabilitiy
limit ของสารบางตัว
(จากหน้า
๑๓๑ ในบทความของ Coward
และ
Jones)
ตัวเลขที่เป็นตัวหนาได้จากการวัดในท่อขนาดใหญ่
ปลายเปิด จุดไฟจากด้านล่างให้เปลวไฟวิ่งขึ้นบน
ส่วนตัวเลขที่เป็นตัวอักษรปรกติได้มาจากการทดลองในภาชนะปิดหรือขนาดเล็ก
ข้อมูลในตารางแสดงให้เห็นว่าเมื่อเปลี่ยนจากอากาศเป็นออกซิเจน
ค่า lower
limit ไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าใดนัก
แต่ค่า upper
limit เพิ่มขึ้นไปมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น