กรุงเทพฯ
๔
มีนาคม ค.ศ.
๑๙๑๗
สหรัฐอเมริกาได้ตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศเยอรมันนีและบีบบังคับให้ประเทศที่ยังเป็นกลางกระทำเช่นนั้นด้วย ทุกคนที่นี่จึงรู้สึกตึงเครียดเพราะไม่ทราบว่าประเทศสยามจะมีท่าทีตอบโต้อย่างไร ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อหน่วยข่าวของรอยเตอร์ได้โทรเลขแจ้งมาว่า ประเทศจีนได้ตัดสินใจปฏิบัติตามสหรัฐอเมริกา ส่วนข่าวของที่นี่ไม่ได้เอ่ยถึงท่าทีของสยามที่มีต่อทิศทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และไม่มีสัญญาณใด ๆ เช่นเดียวกันที่จะบ่งบอกว่าประเทศสยามจะละทิ้งความเป็นกลางที่ยึดถืออย่างเหนียวแน่นมาตลอดเวลานั้น ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกพึงพอใจ
ย่อหน้าข้างบนนำมาจากหน้า
๒๕๕ ในหนังสือ "กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย"
ที่เป็นการแปลบันทึกของ
ลูอิส ไวเลอร์
ชาวเยอรมันผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมรถไฟของสยามในเวลานั้น
การสร้างเส้นทางรถไฟของไทยนั้นเริ่มจากให้บริษัทอังกฤษเป็นผู้สำรวจ
พอจะสร้างเส้นทางสายไปโคราชปรากฏว่าทางเยอรมันประมูลได้
ทางอังกฤษก็โวยวายหาว่าไม่เป็นธรรม
สุดท้ายทางรัฐบาลไทยจึงต้องยอมให้อังกฤษเป็นคนก่อสร้าง
แต่การควบคุมงานให้เป็นหน้าที่ของวิศวกรเยอรมัน
ทำให้เจ้ากรมรถไฟสามคนแรกของไทยนั้นเป็นชาวเยอรมัน
แต่พอเป็นเส้นทางสายใต้
ที่อังกฤษถือว่าฝั่งตะวันตกของสยามนั้นเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษ
ประกอบกับรัฐบาลสยามมีปัญหาเรื่องเงินที่จะใช้ในการก่อสร้าง
(ตอนนั้นการก่อสร้างเส้นทางสายเหนือและสายอีสานก็ยังไม่เรียบร้อย)
จึงต้องยอมยกรัฐในคาบสมุทรมลายาให้กับอังกฤษและให้อังกฤษเป็นคนก่อสร้าง
เพื่อแลกกับเงินกู้
ทำให้ตอนนั้นสยามมีหน่วยงานกำกับดูแลรถไฟสองหน่วยงานด้วยกัน
โดยหน่วยงานแรกนั้นดูแลเส้นทางสายเหนือและอีสาน
(ที่ใช้รางขนาด
standard
gauge) และหน่วยงานที่สองที่ดูแลเส้นทางสายใต้
(ที่ใช้รางขนาด
metre
gauge)
วันที่
๕ มิถุนายน ปีพ.ศ.
๒๔๖๐
(ค.ศ.
๑๙๑๗)
รัชกาลที่
๖ ได้ยุบรวมหน่วยงานกำกับดูแลเส้นทางรถไฟทั้งสองเส้นทางเข้าด้วยกัน
โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้าน้องยาเธอ
พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร
กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน
(พระอิสรยศในขณะนั้น)
โดยให้ลูอิส
ไวเลอร์ เป็นหัวหน้าวิศวกร
และนาย เอช กิตตินส์
เป็นที่ปรึกษากรมรถไฟ
และในเดือนถัดมาในวันที่
๒๒ กรกฎาคม สยามก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน
ส่งผลให้วิศวกรเยอรมันที่ทำงานก่อสร้างและกำกับดูแลการรถไฟต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งและควบคุมตัวไว้ในค่ายเชลยศึก
การที่สยามต้องประกาศสงครามกับเยอรมันโดยเลือกไปอยู่ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสนั้นจะเรียกว่าทำความเสียใจให้กับคนไทยจำนวนไม่น้อย
เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้นต่างก็ได้รับรู้การกระทำที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสกระทำต่อสยาม
ในขณะที่ทางเยอรมันนั้นไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว
การที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
และแรงกดดันจากมหาอำนาจ
ทำให้สยามที่เป็นประเทศที่ไม่มีกำลังทหารจะไปต่อรองกับใครต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่
๑ แม้สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศของสยามเริ่มดีขึ้น
แต่ตามความหวาดระแวงก็ยังคงมีอยู่
ปัญหานี้นำมาซึ่งการโต้เถียงเรื่องการขยายเส้นทางรถไฟและการปรับเปลี่ยนขนาดรางรถไฟ
ในขณะนั้นเส้นทางสายใต้
(ที่ใช้รางขนาด
meter
gauge) นั้นเรียกได้ว่าสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
(รูปที่
๒)
แต่การเชื่อมต่อไปยังเส้นทางสายเหนือและอีสานยังเป็นปัญหาอยู่
เนื่องจากยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ
และการที่ใช้รางที่มึความกว้างที่แตกต่างกัน
(สายเหนือใช้รางขนาด
standard
gauge)
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรมีการปรับรางให้เป็นขนาด
standard
gauge เพื่อป้องกันไม่ให้มหาอำนาจเข้ามาใช้เส้นทางรถไฟของสยามได้
เพราะในขณะนั้นเส้นทางรถไฟของอังกฤษและฝรั่งเศสที่สร้างในภูมิภาคนี้ต่างก็ใช้รางขนาด
metre
gauge
แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าสยามควรมีการพัฒนาด้วยการเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถไฟในภูมิภาคนี้
ดังนั้นควรต้องใช้รางขนาด
metre
gauge เพื่อที่จะได้สามารถเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟใน
พม่า คาบสมุทรมลายา เขมร
และเวียดนาม เข้าด้วยกันได้
ในบทที่
๒ หัวข้อ ๒.๒
หน้าที่ ๕๐ ของหนังสือ "Rails
of the Kingkon : The History of Thai Railways" ผู้แต่งคือ
Ichiro
Kakizaki ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
"ในการเลี้ยงอาหารค่ำ
ณ สโมสรโรตารี กรุงเทพ ในปีค.ศ.
๑๙๒๖
กรมพระกำแพงเพชรแสดงความตั้งใจที่ชัดแจ้งว่าต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยได้อธิบายด้วยการใช้มือแทนเครือข่ายรถไฟในสยามโดย
นิ้วหัวแม่มือแทนเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อไปยังพม่า
นิ้วชี้แทนเส้นทางรถไฟสายเหนือ
นิ้วกลางแทนเส้นทงารถไฟสายขอนแก่น
นิ้วนางแทนเส้นทางรถไฟสายอุบลราชธานี
นิ้วก้อยแทนเส้นทางรถไฟสายตะวันออก
และแขนแทนเส้นทางรถไฟสายใต้"
แต่ก่อนที่จะไปถึงเวลานั้น
สยามต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าจะเลือกใช้รางกว้างขนาดเท่าใด
รูปที่
๑
รูปนี้ถ่ายจากภาพที่แขวนไว้ในตู้รถไฟที่ใช้เป็นห้องสมุดรถไฟนพวงศ์
เป็นภาพหัวรถจักรไอน้ำที่สถานีหัวลำโพง
เดิมนั้นเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นรางกว้างขนาด
standard
gauge (ลูกศรสีเหลือง)
พอจะให้รถไฟที่ใช้รางขนาด
meter
gauge วิ่งได้ก็ต้องทำการวางรางเพิ่มอีกเส้นหนึ่ง
(ลูกศรสีเขียว)
แสดงว่าภาพนี้ถ่ายไว้ในช่วงที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนขนาดรางเพื่อให้รถไฟที่ใช้รางขนาดความกว้างแตกต่างกันนั้นวิ่งบนเส้นทางเดียวกันได้
รูปที่
๒ แผนการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อไปยังประเทศต่าง
ๆ ของไทยในปีค.ศ.
๑๙๒๕
ที่ประมวลโดย Ichiro
Kakizaki
รูปที่
๓ "ฉัตรชยานุสสรณ
๒๔๘๐"
บรรจุพระสรีรางคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร
กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน
ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่ ๒๗
พฤศจิกายน ๒๕๕๖
รูปที่
๔ "ฉัตรชยานุสสรณ
๒๔๘๐"
ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
รูปที่
๕ "ฉัตรชยานุสสรณ
๒๔๘๐"
ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น