แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระสุนปืน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระสุนปืน แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

การค้นหากระสุนปืนพกที่ดีที่สุดสำหรับหยุดคน MO Memoir : Sunday 26 July 2563

วันที่ ๑๑ เดือนเมษายน ปีค.ศ. ๑๙๘๖ (พ.ศ. ๒๕๒๙) มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐจำนวน ๘ นาย กับคนร้ายปล้นธนาคารจำนวน ๒ คน ผลการยิงปะทะปรากฏว่าคนร้ายทั้ง ๒ คนเสียชีวิต ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่นั้นก็เสียชีวิต ๒ นายและบาดเจ็บอีก ๕ นาย รายละเอียดเรื่องนี้สามารถอ่านได้ใน wikipedia เรื่อง "1986 FBI Miami shootout" (https://en.wikipedia.org/wiki/1986_FBI_Miami_shootout) งานนี้เป็นการดวลกันระหว่างปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ (Ruger Mini-14) ของคนร้าย และปืนพกประจำกายของเจ้าหน้าที่ FBI
  
รูปที่ ๑ ชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ผู้นี้ถูกทหารสหรัฐที่เป็นผู้ปกครองเมืองขึ้นยิงด้วยกระสุนขนาดคาลิเบอร์ .38 ถึง ๔ นัดในระยะใกล้ในระหว่างการต่อสู้ประชิดตัว แต่ไม่สามารถหยุดได้ จนกระทั่งถูกตีด้วยพานท้ายปืนยาวที่หน้าผาก (ที่มาของรูปปรากฏอยู่ทางด้านบนของรูปแล้ว https://www.ammoland.com/2016/07/history-45-acp-cartridge/#axzz6T9p58YF9)
  
หลังเหตุการณ์นี้พบว่า คนร้ายแม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ยิงโดนหลายนัด แต่ยังสามารถยิงโต้ตอบกับเจ้าหน้าที่ได้จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายนาย ทำให้เกิดคำถามสำคัญคำถามหนึ่งขึ้นมาก็คืออาวุธที่หน่วยงานจัดให้เป็นอาวุธประจำกายเจ้าหน้าที่นั้น มีอำนาจหยุดยั้งคนร้ายเพียงพอหรือไม่ และถ้าไม่เพียงพอ (ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นเช่นนี้) เจ้าหน้าที่ควรได้รับการติดอาวุธอะไร คำถามเหล่านี้ได้นำไปสู่การออกแบบกระสุนชนิดใหม่คือ .40 S&W

แต่ก่อนอื่นเรามาลองทำความเข้าใจบางเรื่องกันก่อนดีกว่า

คำว่า "หยุด" ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตาย แต่หมายความว่า "ไม่สามารถตอบโต้ได้" ภาษาอังกฤษก็จะใช้คำว่า stopping power อย่างเช่นนักมวย อาจถูกชกเข้าที่ลำตัวอย่างแรงหลายครั้ง แต่ก็ยังปล่อยหมัดสวนได้ แต่ถ้าโดนจัง ๆ ที่ปลายคางเพียงหมัดเดียว ก็ลงไปนอนกองกับพื้นเวทีได้ทันที
  
ในการยิงต่อสู้นั้น จะสอนกันให้ยิงใส่ส่วนที่เป็นเป้าที่ใหญ่ที่สุด และมีการเคลื่อนไหวน้อยสุด ซึ่งก็คือส่วนลำตัว ดังนั้นกระสุนชนิดใดที่มีความสามารถในการหยุดการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม ก็จะประเมินกันที่เมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกยิงเข้าบริเวณส่วนลำตัว โดยไม่จำเป็นต้องโดนหัวใจ (เพราะถ้าโดนหัวใจ ไม่ว่ากระสุนเล็กหรือใหญ่ มันก็ตายคาทีทันที) และในที่นี้จะจำกัดเฉพาะปืนพก
  
กระสุนจะหยุดคนได้ดีแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถ่ายเทโมเมนตัม (ผลคูณระหว่างมวลกับความเร็ว) ให้กับคนได้มากแค่ไหน กระสุนที่มีพลังงานสูง แต่เจาะผ่านเป้าหมายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถถ่ายเทโมเมนตัมให้กับเป้าหมายได้มากพอ ก็จะไม่สามารถหยุดยั้งเป้าหมายได้ ดังนั้นในทางทฤษฎี กระสุนที่ยิงเข้าตัวคน และหยุดอยู่ในตัวคน ก็จะสามารถถ่ายเทโมเมนตัมให้กับเป้าหมายได้หมด แต่ในขณะเดียวกัน หัวกระสุนก็ต้องมีพลังงานมากพอที่จะยิงทะลุที่กำบังที่บังขวางเป้าหมายอยู่ หัวกระสุนที่มีหนักเท่ากันและมีพลังงานเท่ากัน หัวกระสุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า จะมีอำนาจเจาะทะลุทะลวงสูงกว่าหัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดใหญ่กว่า (หรือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่านั่นเอง)
  
กระสุนที่มีพลังงานสูง เมื่อยิงออกจากปืนก็จะมีแรงกระทำต่อผู้ยิงที่สูงตามไปด้วย (ที่เรียกว่าปืนจะสะบัดหรือมีแรง recoil มากขึ้นก็ได้) ทำให้ยากต่อการควบคุมปืน ผลที่ตามมาก็คือผู้ยิงบางคนอาจจะขยาดไม่อยากยิงปืนนั้น ไม่อยากที่จะฝึกซ้อม และจะเสียเวลาในการยิงซ้ำนัดที่สอง ซึ่งจำเป็นในกรณีที่นัดแรกไม่เข้าเป้าหมาย หรือเปลี่ยนเป้าหมาย หรือซ้ำเป้าหมายเดิม ปืนที่มีน้ำหนักมากจะมีแรงสบัดน้อยกว่าปืนที่เบากว่า แต่ก็พกพายากกว่า 
   
ขนาดของกระสุนปืนมักจะอิงจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำกล้อง ที่เรียกว่า "คาลิเบอร์ (calibre)" ซึ่งมีทั้งหน่วยนิ้วและมิลลิเมตร ในกรณีของหน่วยนิ้วนั้น จะบอกด้วยจุดทศนิยม (ไม่มีเลขศูนย์นำ) และตัวเลขต่อท้าย ถ้าเป็นหน่วยมิลลิเมตรก็จะบอกขนาดเป็นมิลลิเมตร ตัวอย่างเช่นกระสุนขนาด .22, .220, .222 และ .223 ต่างเป็นกระสุนขนาดคาลิเบอร์เดียวกันคือ .22 นิ้ว แต่ตัวเลขตัวที่สามที่ต่อท้ายก็มันทำเพื่อทำให้รู้ว่าเป็นกระสุนต่างชนิดกัน อย่างเช่นกระสุนขนาด .222 และ .223 เรมิงตัน ก็เป็นกระสุนที่ใช้หัวกระสุนแบบเดียวกันได้ เพียงแต่กระสุน .223 มีปลอกกระสุนที่ยาวกว่า กระสุนขนาด 5.56 mm หรือ 5.6 mm ก็เป็นกระสุนขนาดคาลิเบอร์เดียวกัน และเทียบเท่ากับขนาด .22 ในหน่วยนิ้ว

แปดสิบปีก่อนเหตุการณ์ที่ไมอามี ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันในฟิลิปินส์ ซึ่งเป็นช่วงที่ฟิลิปินส์ยังคงเป็นเมืองขึ้นของอเมริกา (และแน่นอนว่าชาวพื้นเมืองจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากการปกครองของอเมริกา) กล่าวคือในระหว่างการต่อสู้ประชิดตัว ชาวพื้นเมืองรายหนึ่งถูกยิงด้วยปืนพกประจำกายมาตรฐานของทหารถึง ๔ นัด แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการตอบโต้ได้ จนกระทั่งชาวพื้นเมืองผู้นั้นโดนฟาดด้วยพานท้ายปืนเข้าที่หน้าผาก (รูปที่ ๑)
  
การออกแบบอาวุธปืนให้สามารถยิงกระสุนที่มีพลังงานสูงได้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาโลหะให้สามารถรับแรงที่สูงได้ด้วย ซึ่งในยุคสมัยนั้นยังมีข้อจำกัดทางด้านนี้อยู่
  
หลังเหตุการณ์ที่ฟิลิปปินส์ในครั้งนั้น ทางกองทัพสหรัฐก็ได้ทำการศึกษาหาว่ากระสุนที่มีความสามารถสูงในการหยุดยั้งคู่ต่อสู้ควรมีคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งนำมาสู่การทดลองที่เรียกว่า Thompson–LaGarde Tests (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Thompson-LaGarde_Tests) ซึ่งมีทั้งการทดลองด้วยการยิงสัตว์และดูปฏิกิริยาที่เกิด และการทดลองยิงศพคน เพื่อดูว่ากระสุนสามารถถ่ายเทพลังงานให้กับเป้าหมายได้แค่ไหน
  
ยุคสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตรวจวัดความเร็วของหัวกระสุน การหาความเร็วของหัวกระสุนจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ballistic pendulum ที่ใช้การยิงกระสุนเข้าสู่เป้าหมายที่แขวนไว้ให้ลอยอย่างอิสระ เมื่อกระสุนฝังเข้าไปในเป้าหมาย (กระสุนต้องไม่ทะลุเป้าหมาย) พลังงานจลน์ของหัวกระสุนจะถูกถ่ายเทให้กับเป้าหมาย ทำให้เป้าหมายเกิดการเคลื่อนที่ถอยหลังพร้อมกับลอยตัวสูงขึ้น (พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์) จากน้ำหนักของ (เป้าหมาย + หัวกระสุน) และระยะที่ยกตัวลอยขึ้น ก็จะทำให้สามารถคำนวณหาพลังงานจลน์ก่อนเกิดการเคลื่อนที่ได้ ซึ่งจะคำนวณกลับไปเป็นความเร็วของหัวกระสุนที่เข้ามากระทบได้ ตรงนี้คงพอมองภาพบ้างแล้วนะครับ ว่าเวลาทดสอบกับศพน่าจะเป็นอย่างไร
ผลการทดสอบนี้นำมาซึ่งกระสุนขนาด .45 ACP หรือที่บ้านเราเรียก 11 มม.

ช่วงต้นปีค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) มีการทดลองหนึ่งที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน หรือแม้แต่มีข้อสงสัยว่ามีการทดลองจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่มีการเปิดเผยสถานที่ทำการทดลอง ผู้ให้ทุน และผู้ที่ทำการทดลอง เพราะเป็นการทดลองที่สำหรับผู้รักสัตว์แล้วก็ต้องถือว่าโหดไม่น้อย การทดลองนี้มีชื่อว่า "Strasbourg Tests" (รูปที่ ๒) ซึ่งเป็นการทดลองยิงสัตว์ทดลองด้วยกระสุนชนิดต่าง ๆ แล้ววัดดูว่ากระสุนชนิดใดสามารถทำให้สัตว์ทดลองหมดสภาพที่จะตอบโต้ได้เร็วที่สุด และที่สำคัญก็คือถ้าสัตว์ทดลองชนิดนั้นมีสรีระร่างกายใกล้เคียงกับมนุษย์ ผลการทดลองนี้ก็น่าจะเทียบเคียงกับการยิงคนจริงได้ และสัตว์ที่ถูกนำมาใช้เป็นเป้าทดสอบก็คือ "French Alpine Goat"
 
เหตุผลที่สัตว์ชนิดนี้ถูกเลือกก็เพราะ มันมีขนาดใกล้เคียงกับผู้ใหญ่โตเต็มวัย มีขนาดของหน้าอก (ก็ขนาดของปอด) ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่โตเต็มวัย ความแข็งแรงของกระดูกซี่โครงใกล้เคียงกับของมนุษย์ และขนตามร่างกายของมันก็สามารถจำลองเสื้อผ้าที่คนสวมใส่อยู่ได้ มีการติดตั้งอุปกรณ์วัดต่าง ๆ (เช่นอัตราการเต้นหัวใจ คลื่นสมอง) เข้ากับตัวสัตว์ก่อนทำการทดลอง ในรายงานการทดลองของ Phase 1 นั้น มีการยิงแพะดังกล่าวไปถึง ๖๑๑ ตัว (ส่วน Phase 2 มีการทดลองอย่างไรหรือไม่นั้น ไม่เห็นข้อมูล)
รูปที่ ๓ เป็นตัวอย่างผลการทดลองที่ได้จากการใช้กระสุนขนาดที่บ้านเราเรียกว่า 9 มม. พารา ซึ่งกระสุนปืนพกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันมากทั้งในทางพลเรือนและทางทหาร

รูปที่ ๒ บทเกริ่นนำของรายงานของการทดลองที่รู้จักกันในชื่อ Strasbourg Tests
  
รูปที่ ๓ ตัวอย่างผลการทดสอบด้วยกระสุนขนาด 9 mm Para ชนิดต่าง ๆ (คือรูปแบบหัวกระสุนและพลังง่าน) AIT คือเวลา (วินาที) ที่ทำให้สัตว์ทดลองหมดสติ

Strasbourg tests เป็นการทดลองหนึ่งที่คงยากที่จะมีการทำซ้ำอีกในอนาคต ซึ่งคณะผู้ทำการทดลองก็คงจะทราบเรื่องนี้ดี การทดลองดังกล่าวจึงถูกปกปิดเป็นความลับ และเพื่อให้ผลการทดลองนั้นสามารถใช้อ้างอิงได้ การออกแบบวิธีการทดลองและการเลือกตัวอย่างทดสอบจึงมีความสำคัญ เพราะถ้าพลาดไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาทำการทดลองแก้ไขก็คงไม่มีอีกแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Full metal jacket (๒) MO Memoir : Sunday 30 November 2557

ไม่เพียงแต่กีฬาที่มีกติกาในการเล่น การทำสงครามก็มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามเหมือนกัน
  
สงครามแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งในการกระทำของมนุษย์ ในแง่หนึ่งนั้นคือการหาวิธีการทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้ย่อยยับไป แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีการกำหนดกติกาข้อห้ามเพื่อไม่ให้การทำลายล้างนั้นรุนแรงเกินไป
  
ข้อตกลงระหว่างประเทศเรื่องกติกาการทำสงครามมีมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๘๙๙ (พ.ศ. ๒๔๔๒ หรือช่วงรัชกาลที่ ๕) โดยประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นได้มาประชุมตกลงเงื่อนไขและกติกาในการทำสงคราม ข้อตกลงนั้นเรียกว่า "Hague Convention 1899" (เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นที่กรุง Hague) การยอมรับกติกานั้นแต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องยอมรับทุกข้อ ประเทศไหนไม่ยอมรับกติกาข้อไหน เมื่อไปทำสงครามกับประเทศที่แม้ว่าจะยอมรับกติกาข้อนั้น ประเทศคู่สงครามนั้นก็มีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามกติกาข้อนั้น
  
ในขณะที่ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ในยุคนั้นที่มาประชุมตกลงกันนั้นต่างยอมรับกติกาต่าง ๆ ทุกข้อ จะมีเพียงแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยอมรับกติกาบางข้อ และไม่ยอมรับที่จะลงนามรับรองว่าจะปฏิบัติตามกติกาหลายข้อด้วยกัน
  
กติกาข้อหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ให้การรับรองคือข้อที่เรียกว่า "Declaration (IV,3)" ที่เกี่ยวข้องกับหัวกระสุนที่แผ่บานได้เมื่อกระทบเป้า (expanding bullet) ส่วนรายละเอียดเป็นยังไงนั้นดูได้ในรูปที่ ๑ ในหน้าถัดไป
  
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความรู้เรื่องโครงสร้างหัวกระสุนปืน ขอแนะนำให้ไปอ่าน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖๒ วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "FullMetal Jacket" ก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่จะเล่าต่อไปนั้นได้ง่ายขึ้น
  
อำนาจการทำลายล้างของหัวกระสุนต่อเป้าหมายที่เป็นบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับว่าหัวกระสุนสามารถ "ถ่ายทอด" พลังงานของตัวมันเองให้กับเป้าหมายได้มากน้อยเท่าใด ถ้าหัวกระสุนสามารถ่ายทอดพลังงานได้มาก อำนาจการทำลายล้างก็จะสูงตามไปด้วย พลังงานของหัวกระสุนเองขึ้นอยู่กับ "ความเร็ว" และ "มวล" (ก็คือพลังงานจลน์นั่นแหละ) แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการถ่ายทอดพลังงานนั้นขึ้นอยู่กับ "พื้นที่หน้าตัด" (คิดในแนวตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่) ที่ระดับพลังงานจลน์เท่ากัน หัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดที่ใหญ่กว่าจะถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายได้มากกว่า
  
ที่หัวกระสุนหนักเท่ากัน วิถีการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนที่หน้าตัดใหญ่กว่ามักจะโค้งมากหัวกระสุนที่มีพื้นที่หน้าตัดเล็กกว่า (เนื่องจากแรงต้านของอากาศ) โดยเฉพาะในระยะไกล ทำให้ยิงถูกเป้าหมายในระยะไกลได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาหัวกระสุนให้มีรูปทรงเรียว (หรือพื้นที่หน้าตัดเล็ก) เพื่อที่จะแหวกอากาศได้ดีขึ้น (รักษาพลังงานจลน์ในตัวมันเองเอาไว้ได้ดีขึ้น เพราะลดการสูญเสียเนื่องจากแรงต้านทานของอากาศ) แต่ให้หัวกระสุนนั้นบานขยายตัวออก (เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัด) เมื่อกระทบเป้า ซึ่งอาจทำได้ด้วยการใช้หัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มทองแดงเอาไว้ทั้งหมด โดยเปิดส่วนปลายยอดเอาไว้ (มีส่วนที่เป็นตะกั่วโผล่ให้เห็น) หรือไม่ก็มีรู (เจาะลึกลงมาตามแนวแกนยาว)
  
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาคืออำนาจ "ทะลุทะลวง" ซึ่งจะตรงข้ามกับความสามารถในการถ่ายทอดพลังงาน หัวกระสุนที่จะทะลุทะลวงเป้าหมายได้ลึกควรที่จะรักษาพื้นที่หน้าตัดของหัวกระสุนเอาไว้ได้ (ไม่บานขยายตัวออก) เพื่อให้แรงกระทำต่อหน่วยพื้นที่มีค่ามากที่สุด ซึ่งถ้าหัวกระสุนบานเร็วเกินไป ก็จะไม่สามารถเจาะลึกไปถึงเป้าหมายสำคัญ (เช่นอวัยวะภายในของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ หนังหนา หรือบุคคลที่อยู่หลังที่กำบัง) หัวกระสุนปืนสั้นขนาด 11 มม กับขนาด 9 มม ที่มีพลังงานเท่ากันและรูปแบบเดียวกัน กระสุนขนาด 11 มม จะถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายที่เป็นคนได้ดีกว่า แต่อำนาจเจาะทะลุทะลวงจะต่ำกว่า ถ้ายิงคนที่ไม่ได้อยู่ที่ในที่กำบังเรามีสิทธิเห็นอำนาจหยุดยั้งที่สูงกว่าของกระสุน 11 มม แต่ถ้ายิงคนที่อยู่หลังที่กำบัง เราอาจเห็นผลที่กลับกัน เพราะกระสุน 9 มม เจาะทะลุที่กำบังได้ดีกว่า

รูปที่ ๑ Declaration (IV,3) ของ Hague convention 1899 ซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบหัวกระสุนที่ใช้ในการรบ นำมาจากหน้าเว็บของ International Committee of the Red Cross (ICRC)

ยิ่งหัวกระสุนบานออกมาเท่าใด การถ่ายทอดพลังงานให้กับเป้าหมายก็จะมากขึ้น บาดแผลที่เกิดขึ้นกับเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิตก็จะรุนแรงตามไปด้วย ในกรณีของการล่าสัตว์นั้นผู้ล่ามีวัตถุประสงค์หลักคือการ "ฆ่า" และหัวกระสุนไม่ควรจะทะลุเป้าหมายออกไป หัวกระสุนล่าสัตว์จึงมักจะเน้นไปที่การบานออก ดังเช่นตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒

รูปที่ ๒ หัวกระสุนขนาด .223 Remington (ซ้าย) รุ่น Varmint X ที่ไม่มีการหุ้มทองแดงจนถึงปลายบนสุดของหัวกระสุน ส่วนปลายนั้นเป็นวัสดุพอลิเมอร์โดยมีแกนตะกั่วอยู่ข้างใน ตัวนี้เป็นหัวกระสุนน้ำหนักเบา ความเร็วสูง ออกแบบมาเพื่อการล่าสัตว์เล็ก (ที่เรียกว่า varmint) ที่เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว (กลาง) รุ่น Power max bonded เป็นหัวกระสุนแกนตะกั่วที่มีการเว้นการหุ้มทองแดงไว้ไม่ให้ปิดจนคลุมปลายหัวกระสุน (ขวา) รุ่น Power core ที่มีการทำรูไว้ที่ปลายหัวกระสุนแต่หัวกระสุนเป็นโลหะทองแดงทั้งหัว สองแบบหลังใช้กับการล่าสัตว์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องการการถ่ายทอดพลังงานสูงขึ้น จึงออกแบบให้หัวกระสุนบานออกเมื่อกระทบเป้า (รูปจาก http://www.winchester.com/)

แต่ในการทำสงครามนั้นมีการใส่มุมมองที่ว่าเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้าม "หมดสภาพที่จะทำการรบได้ต่อไป" ซึ่งหมายถึงการบาดเจ็บจนไม่สามารถสู้รบต่อไปได้ ดังนั้นจึงได้เกิดแนวความคิดขึ้นมาว่าหัวกระสุนที่ใช้ในการสงครามนั้นไม่ควรที่จะทำให้เกิดบาดแผลที่ฉกรรจ์เกินไปที่ยากแก่การรักษา (ถ้าผู้ถูกยิงยังมีชีวิตอยู่) โดยในยุคที่มีความคิดนี้เกิดขึ้น (คือเมื่อปลายศตวรรษที่ ๑๙ หรือกว่าเมื่อร้อยปีมาแล้ว) สิ่งที่มีให้เปรียบเทียบกันในยุคนั้นคือหัวกระสุนที่เคลือบทองแดงเอาไว้ทั้งหมด ที่เรียกว่า Full Metal Jacket กับหัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มทองแดงเอาไว้ทั้งหมด คือเปิดส่วนปลายยอดเอาไว้ หรือมีการบาก (หรือตัด) ร่องที่หัวกระสุน และเมื่อเปรียบเทียบบาดแผลที่ผู้ถูกยิงได้รับก็พบว่าหัวกระสุนแบบ Full Metal Jacket นั้นทำให้เกิดบาดแผลที่ฉกรรจ์น้อยกว่า (พูดให้ดีหน่อยก็คือดูแล้วมีมนุษยธรรมมากกว่า) ก็เลยมีการออกข้อตกลงห้ามใช้หัวกระสุนที่บานขยายตัว (expand) หรือแบนตัว (flatten) ได้ง่ายในร่างกายมนุษย์ โดยยกตัวอย่างหัวกระสุนที่ไม่ได้หุ้มเปลือกโลหะแข็งเอาไว้ทั้งหัว และ/หรือหัวกระสุนที่มีการบากหรือทำร่อง

กติกาเรื่องหัวกระสุนนี้ใช้กับการยิงกันระหว่างทหารกับทหารที่ทำการรบ ไม่ได้ครอบคลุมการใช้งานกับหน่วยงานภาคพลเรือนเช่นเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ไม่ลงนามรับรองข้อตกลงข้อนี้ แต่ก็บอกว่าจะปฏิบัติตาม (กันครหา) ซึ่งหลังจากข้อตกลงดังกล่าวบังคับใช้ก็ยังไม่มีปัญหาใด ๆ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น
  
ปัญหาหนึ่งของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือการส่งกำลังบำรุง โดยเฉพาะอาวุธปืนประจำกายทหาร เพราะสหรัฐอเมริก อังกฤษ (และประเทศในเครือจักรภพ) และฝรั่งเศส ต่างก็ใช้อาวุธประจำกายแตกต่างกันและใช้กระสุนที่แตกต่างกัน ดังนั้นหลังจากสงครามสิ้นสุดและมีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือที่เรียกว่านาโต้นั้น ก็ได้มีความพยายามที่จะให้สมาชิกทุกชาติใช้อาวุธปืนแบบเดียวกันและกระสุนแบบเดียวกัน จะได้ตัดปัญหาเรื่องการส่งกำลังบำรุง อเมริกาในฐานะหุ้นส่วนใหญ่คาดหวังว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะทั้งอาวุธปืนและกระสุนปืน ซึ่งจะทำให้ประเทศอื่นในยุโรปต้องมาซื้ออาวุธและกระสุนจากอเมริกา
  
ผลออกมาปรากฏว่าอเมริกาชนะเรื่องชนิดของกระสุน คือกำหนดให้กระสุนมาตรฐานคือ 7.62 x 51 mm NATO (ถ้าเป็นกระสุนเชิงพาณิชย์จะเรียก .308 Win ซึ่งคำว่า Win ย่อมาจาก Winchester ที่เป็นผู้ออกแบบ ตัวเลข 7.62 มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรคือเส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุน ส่วน 51 คือความยาวปลอกกระสุนซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรเช่นกัน) ซึ่งเป็นกระสุนที่มีอาณุภาพเทียบเท่ากับกระสุน .30-06 ที่อเมริกาใช้อยู่ แต่ในส่วนของอาวุธประจำกายนั้นปรากฏว่าเบลเยี่ยมเป็นฝ่ายชนะการออกแบบด้วยปืน FN FAL
  
ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปที่อยู่ในกลุ่มนาโต้ทำการกติกาคือรับเอาปืน FN FAL เข้าเป็นอาวุธประจำกาย อเมริกากลับเป็นเพียงประเทศเดียวที่ไม่ทำตามข้อตกลง พยายามหันไปพัฒนาอาวุธประจำกายสำหรับทหารตัวเองขึ้นมา จนในที่สุดก็ออกมาเป็นปืน M-14 ซึ่งก็ทันให้ทหารสหรัฐถือเข้าสู้รบในสงครามเวียดนามเพื่อไปพบกับคู่ปรับที่ทำให้สหรัฐต้องกลับมาทบทวนแนวความคิดเรื่องอาวุธประจำกายทหารราบใหม่ (จากเดิมที่เคยมีการกล่าวเตือนแล้วแต่ไม่สนใจ) และทำให้ต้องยุติการผลิตปืน M-14 หลังจากนำเข้าประจำการได้ไม่นาน คู่ปรับนั้นคือ AK-47 หรือที่เราเรียกว่าอาก้าที่เป็น "Assault rifle" (ปืน M-14 จัดว่าเป็น Battle rilfe)
  
คู่มือที่อเมริกานำมาต่อกรกับอาก้าคือปืน M-16 ที่เป็น Assault rifle เช่นเดียวกับอาก้า โดยเปิดตัวมาพร้อมกับกระสุนชนิดใหม่คือ .223 Remington (บริษัท Remington เป็นผู้ออกแบบกระสุนบางทีจะย่อว่า Rem) ซึ่งต่อมากระสุนนี้ได้กลายเป็นกระสุนมาตรฐานนาโต้ที่มีชื่อว่า 5.56 x 45 mm NATO (5.56 คือขนาดคาลิเบอร์ส่วน 45 คือความยาวปลอก ทั้งคู่มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร) และกระสุนตัวใหม่นี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหากับ Declaration (IV,3) ของ Hague Convention 1899


รูปที่ ๓ ผู้แต่งหนังสือที่ผมนำเอารูปมาประกอบ หนังสือเล่มนี้พิมพ์ที่โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๙ เล่มจริงอยู่ที่ชั้น ๔ หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
  
กระสุน .223 Rem ที่เปิดตัวมากับปืน M-16 เป็นหัวกระสุนแกนตะกั่วหุ้มทองแดงแบบ Full Metal Jacket (FMJ) หนัก 55 เกรน (ประมาณ 3.5 กรัม) วิ่งด้วยความเร็วที่ปากลำกล้องสูงถึงสามเท่าเสียง (ประมาณ 990 เมตรต่อวินาที) ด้วยลักษณะหัวกระสุนที่เล็ก และเมื่ออยู่ในระยะที่หัวกระสุนยังมีการแกว่งไปมาอยู่ในระหว่างการเคลื่อนที่นั้น (ที่เรียกว่า yaw) เมื่อหัวกระสุนกระทบกับเป้าหมายที่มีลักษณะอ่อนนุ่นเช่นเนื้อเยื่อคน หัวกระสุนจะเกิดการพลิกตีลังกา ทำให้พื้นที่หน้าตัดในทิศทางการเคลื่อนที่สูงขึ้น การถ่ายทอดพลังงานจึงสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ถ้าหากการพลิกตีลังกานั้นเกิดขึ้นในขณะที่หัวกระสุนยังมีความเร็วสูง (เช่นจากการยิงในระยะใกล้) หัวกระสุนจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย (ดูตัวอย่างการแตกออกเป็นชิ้นเล็กน้อยของหัวกระสุนได้ใน Memoir ฉบับที่ ๑๖๒ ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้) บาดแผลที่เกิดขึ้นจะฉกรรจ์มาก
  
รูปที่ ๔ และ ๕ เป็นรูปที่ผมนำมาจากตำรา "นิติเวชศาสตร์" เขียนเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๙ โดยนายแพทย์ทรงฉัตร และนายแพทย์ณรงค์ จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล (รูปที่ ๓) ที่แสดงให้เห็นลักษณะบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการยิงลำตัวในระยะห่างที่แตกต่างกัน (รูปที่ ๔) ซึ่งเป็นบาดแผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนที่ไม่ได้กระทบกับกระดูกก่อนเคลื่อนที่ลึกเข้าไปในร่างกาย และบาดแผลที่เกิดจากการยิงกระทบกระโหลกศีรษะ (รูปที่ ๕) ซึ่งเป็นบาดแผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของหัวกระสุนกระทบกับกระดูกก่อนที่จะเคลื่อนลึกเข้าไปในร่างกาย บาดแผลทางเข้าที่เกิดจากการยิงระยะใกล้นั้นจะมีผลของลำแก๊สร้อนความเร็วสูง (ที่เป็นตัวขับดันให้หัวกระสุนเคลื่อนที่) รวมอยู่กับบาดแผลที่เกิดจากการเจาะทะลุของหัวกระสุน



รูปที่ ๔ บาดแผลที่เกิดจากการทดลองยิงศพในส่วนลำตัวด้วยกระสุนไรเฟิลขนาด .223 (กระสุนปืน M-16)
  
บาดแผลในรูปที่ ๔ จะเห็นได้ชัดว่าในระยะห่างเพียงแค่ ๕ เมตร แม้ว่ารูทางเข้าจะเล็ก (คือขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวกระสุนคือประมาณ ๕-๖ มิลลิเมตร) เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากแก๊สร้อนที่พุ่งออกจากปากลำกล้อง แต่บาดแผลด้านทางออกนั้นจะมีขนาดใหญ่มาก (ในรูปมีขนาดประมาณ ๑๐ เซนติเมตร) ส่วนรูปที่ ๕ เป็นกรณีของการยิงเข้าศีรษะในระยะประชิดจากทางด้านหน้าไปด้านหลัง ในกรณีนี้หัวกระสุนจะกระทบเข้ากับกระโหลกศีรษะที่เป็นของแข็งก่อนที่จะเจาะลึกเข้าไปข้างใน ดังนั้นหัวกระสุนจึงมีโอกาสสูงที่จะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะทะลุลึกเข้าไปข้างใน ซึ่งแตกต่างจากกรณีของรูปที่ ๔ ที่หัวกระสุนมีโอกาสที่จะเจาะลึกเข้าไปในระดับหนึ่งก่อนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย




รูปที่ ๕ บาดแผลที่เกิดจากการทดลองยิงศพในส่วนศีรษะด้วยกระสุนไรเฟิลขนาด .223 (บน) บาดแผลทางเข้า (ล่าง) บาดแผลทางออก

อ่านมาถึงจุดนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Declaration (IV,3) ของ Hague Convention 1899 หรือเปล่าครับ ในข้อตกลงดังกล่าว "ระบุ" ถึงกระสุนที่ไม่ "expand" หรือ "flatten" ได้ง่าย ถ้าแปลเป็นไทยก็คงออกมาเป็น "สูญเสียรูปร่าง" แต่ความหมายของ "สูญเสียรูปร่าง" ในที่นี้หมายถึงยังคงเป็นชิ้นเดียวกันอยู่ และยังระบุถึงกระสุนที่ไม่ได้หุ้มเปลือกแข็งส่วนแกนเอาไว้ทั้งหมด (คือไม่มีหุ้มส่วนปลายแหลม) ในกรณีของกระสุน .233 Rem นี้ เป็นกระสุนที่มีการหุ้มเปลือกแข็งที่เรียกว่า Full Metal Jacket (FMJ) เอาไว้ทั้งหมด ดังนั้นมันจึงไม่ผิดข้อตกลง แต่กระสุนกลับมีพฤติกรรมที่ "disintegrate" หรือ "แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" ซึ่งก็ไม่มีการกล่าวถึงในข้อตกลง ดังนั้นถ้ามองตามตัวอักษรก็จะบอกว่าการใช้กระสุนชนิดนี้ไม่ผิดกติกา แต่ถ้าไปพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการมีข้อตกลงดังกล่าวที่ไม่ต้องการให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่รุนแรงเกินไป กระสุนชนิดนี้ก็น่าที่จะเข้าข่ายผิดกติกา แต่เอาเข้าจริง ๆ ใครถูกใครผิดขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นฝ่ายชนะมากกว่า

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หัวกระสุนจากฟากฟ้า MO Memoir : Monday 27 May 2556

เย็นวันวานคุณน้าบ้านติดกันเอาสิ่งของที่เก็บได้ตอนกวาดบ้านตอนเช้ามาให้ดู คือหัวกระสุนปืน ๒ หัวกับเศษกระเบื้องหลังคา
  
แกบอกว่าไปแจ้งความแล้ว ร้อยเวรบอกว่าบอกไม่ได้ว่าเป็นกระสุนขนาดใด เรียกตำรวจอีก ๒ คนมาช่วยดูก็บอกว่ายังบอกไม่ได้ว่าเป็นกระสุนขนาดใด
  
แต่พอผมเห็นหัวกระสุนที่แกเอามาให้ดูก็บอกได้ว่านัดหนึ่งนั้นน่าจะเป็น 9 มม. อีกนัดหนึ่งที่เล็กกว่านั้นน่าจะเป็นขนาด .32 (หรือ 7.65 มม) ผมก็ไปเอากระสุนที่มีอยู่มาเปรียบเทียบ ส่วนคุณน้าแกก็ไปเอาเวอร์เนีย์มาวัด ซึ่งก็สรุปได้ว่าเป็นไปตามที่คาด
 
รูปที่ ๑ (ซ้าย) หัวกระสุนขนาดคาลิเบอร์ 9 มม. ที่เก็บได้และเศษกระเบื้องหลังคา และหัวกระสุนขนาดคาลิเบอร์ .32 นิ้ว (หรือ 7.65 มม) ทั้งสองหัวเป็นชนิดตะกั่วล้วน แสดงว่าน่าจะยิงมาจากปืนพก ส่วนนัดกลางเป็นกระสุนขนาด9 มม. หัวตะกั่วล้วน (Lead Round Nose - LRN) ที่นำมาเปรียบเทียบ (ขวา) ในวงกลมเหลืองคือรอยที่ทะลุหลังคาลงมา

ที่แปลกใจคือการที่ตำรวจ ๓ นายที่โรงพักบอกว่าไม่สามารถระบุขนาดได้ ผมว่ามันแปลก เพราะกระสุนขนาด 9 มม. นี่ตำรวจก็ใช้กันเกลื่อน คนทั่วไปก็มีใช้กันเยอะ ถ้าตำรวจจะบอกว่าไม่เคยเห็นหัวกระสุนขนาด 9 มม. นี่ก็ไม่รู้ว่าจะว่ายังไงแล้ว (ผมว่ามันควรจะอยู่ในวิชาเรียนด้วยซ้ำ) หรือว่าเขารู้แต่ทำเป็นไม่รู้ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หัวกระสุนทั้งสองนัดนั้นมีรอยเกลียวลำกล้องชัดเจน
  
หัวกระสุน 9 มม. นั้นเขาเก็บได้เช้าวันวานตอนออกมาเดินกวาดโรงรถ ส่วนขนาด .32 นั้นเก็บได้ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ตรงกระเบื้องที่แตกนั้นเป็นตำแหน่งที่กระเบื้องซ้อนกันสองแผ่นด้วย ตำแหน่งรูกระเบื้องที่แตกและตำแหน่งที่หัวกระสุน 9 มม. ตกกระทบพื้นแสดงว่ากระสุนถูกยิงในมุมค่อนข้างเฉียง เป็นไปได้ว่าถูกยิงขึ้นฟ้ามาจากตำแหน่งที่ค่อนข้างไกล (เดาว่าอาจจะเกินกว่า ๑๐๐ เมตร เว้นแต่ว่าจะเป็นการยิงจากที่สูง) ผมเห็นความเสียหายแล้วเดาว่าถ้าลงศีรษะใครก็สามารถเจาะกระโหลกเข้าไปได้
  
บ้านคุณน้าหลังนี้เขาเจออย่างนี้มา ๕ ครั้งแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นตอนปีใหม่ ตอนนั้นผมก็นั่งคุยกับเขาอยู่ที่บ้านเขาในโรงรถ พอเที่ยงคืนก็มีเสียงปืนดังมาจากแฟลตตำรวจของโรงพัก (อยู่ใกล้ ๆ กัน ห่างไม่กี่สิบเมตร) รัวเป็นชุด ๆ ประมาณ ๖-๗ นัด สักพักหนึ่งก็มีเสียงดังปังที่หลังคาโรงรถห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งคุยกับเขาไม่กี่เมตร ปรากฏว่ามีหัวกระสุน 9 มม. ตกลงมาหนึ่งนัด ทะลุหลังคาตกลงมาบนกระโปรงหน้ารถที่จอดอยู่ ทำเอากระโปรงหน้ารถบุบเป็นรอยไป

พฤติกรรมยิงปืนขึ้นฟ้าเวลามีงานต่าง ๆ นี่รู้สึกว่าจะมีเป็นประจำในต่างจังหวัด จัดเป็นพฤติกรรมที่ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็มีเด็กเสียชีวิตจากกระสุนปืนที่เกิดจากการยิงขึ้นท้องฟ้าหลายราย แถวบ้านผมแม้จะอยู่ในกรุงเทพ แต่อาจเป็นเพราะไม่ได้มีบ้านคนอยู่หนาแน่นติดกันเป็นบริเวณกว้าง จึงอาจทำให้คนยิงคิดว่าโอกาสที่จะไปตกลงบ้านคนหรือถูกคนอื่นเข้าคงจะน้อย แต่จะว่าไปแล้วคนคิดที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าในเมือง แสดงว่าเขาไม่ได้สนใจว่าจะทำให้ใครเดือดร้อน

แถมตอนท้ายหน่อยเรื่องขนาดหัวกระสุน หัวกระสุนปืนนั้นจะบอกเป็นคาลิเบอร์ (calibre) ถ้าเป็นตัวเลขมีจุดทศนิยมข้างหน้าแสดงว่าหน่วยเป็นนิ้ว เช่น .380 ACP .32 ACP .45 ACP ถ้าเป็นตัวเลขที่มีตัวเลขนำหน้าจุดแสดงว่าหน่วยเป็นมิลลิเมตร เช่น 9 mm Luger 7.65 mm 11 mm ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวเลขขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุนที่แท้จริงเสมอไป เพราะเป็นเรื่องปรกติที่หัวกระสุนที่ยิงผ่านรูลำกล้องขนาดเดียวกันจะมีชื่อเรียกต่างกัน เช่นกระสุนขนาด .38 special .357 magnum .380 ACP และ 9 mm Luger ต่างใช้ลำกล้องที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน กระสุน .22LR .222 Remington .223 Remington 5.56 x 45 mm NATO ต่างใช้ลำกล้องที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน กระสุนขนาด .45 ไปจนถึง .458 ก็ใช้ลำกล้องขนาดเดียวกัน เหตุผลหนึ่งในการที่เขาเรียกกระสุนที่อยู่ในคาลิเบอร์เดียวกันด้วยตัวเลขที่แตกต่างกันนั้นก็เพื่อเป็นการระบุว่าเป็นกระสุนต่างชนิดกัน
  
โดยปรกติหัวกระสุนจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าลำกล้องเล็กน้อย เพื่อกันไม่ให้แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้ดินปืนนั้นรั่วไหลออกไปได้ จะได้มีแรงดันหัวกระสุนได้เต็มที่ ผิวของหัวกระสุนจึงต้องทำจากโลหะที่อ่อนกว่าลำกล้องปืน ส่วนใหญ่ก็เป็นตะกั่ว หรือไม่ก็หุ้มแกนตะกั่วไว้ด้วยเปลือก (jacket) ที่ทำจากโลหะทองแดงอีกที

ผมเล็งดูแนวจุดที่กระสุนตกกระทบพื้นและรูที่กระเบื้องมุงหลังคาแล้ว พบว่ามีความเป็นไปได้ว่ากระสุนดังกล่าวมาจากที่เดิมที่มันเคยมา

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

กระสุน Siamese type 66 (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๔) MO Memoir : Wednesday 16 January 2556

การให้หนังสือเพื่อเป็นของที่ระลึกในงานศพในบ้านเราจะมีมาตั้งแต่เมื่อไรผมก็ไม่รู้ เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือหลัก ๆ ก็จะเป็นคำไว้อาลัย และประวัติสั้น ๆ ของผู้เสียชีวิต หลายเล่มก็ยังมีเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มาร่วมงานที่ได้รับหนังสือไปนั้นเอาหนังสือเล่มนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ เนื้อหาที่เห็นกันทั่วไปก็มีเรื่องทางศาสนา สุขอนามัย ฯลฯ แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือประวัติและบันทึกการทำงานของผู้ที่เสียชีวิตที่เขียนโดยท่านเหล่านั้นเอง เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและบันทึกการทำงานที่บันทึกเรื่องราวของตัวเองก่อนเสียชีวิตเหล่านี้จัดว่าให้ภาพประวัติศาสตร์ของบ้านเราในมุมที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ในเอกสารราชการ เรื่องที่จะเอามาเล่าให้ฟังใน Memoir ฉบับนี้ก็เช่นเดียวกัน
  
หนังสือที่แจกเป็นที่ระลึกในงานศพเหล่านี้ไม่มีการลงเลข ISBN ดังนั้นคิดว่าคงไม่ถูกเก็บเอาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ คงมีอยู่เฉพาะกับผู้มาร่วมงานและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทางเจ้าภาพได้รับไปหรือมีผู้บริจาคให้ จึงน่าเป็นห่วงว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนังสือเหล่านี้อาจจะค่อย ๆ สูญหายไป จะมีก็เว้นแต่ที่เป็นหนังสือที่แจกในงานศพของบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเท่านั้นที่ผู้นิยมชมขอบหนังสือเก่าเก็บเป็นของสะสมและยังมีการซื้อขายกันอยู่ในท้องตลาด เล่มที่ผมไปพบมานี้ (รูปที่ ๑) ซุกอยู่ที่ซอกหนึ่งในชั้นหนังสือของห้องสมุดของมหาวิทยาลัย


รูปที่ ๑ (ซ้าย) ปกหน้าหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ (จำรัส เทพหัสดิน ณ อยุธยา) (ขวา) พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ สมัยที่เป็นนักเรียนทหารเยอรมัน (ยุคไกเซอร์)

พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ (จำรัส เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศเยอรมันในยุคไกเซอร์ (คือยุคที่เยอรมันปกครองด้วยกษัตริย์ไกเซอร์ วิลเฮล์ม หรือช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั่นเอง) ก่อนมารับหน้าที่ราชการในหน่วยงานต่าง ๆ ประวัติการทำงานของท่านที่ท่านบันทึกไว้นั้นมีเรื่องน่าสนใจอยู่หลายเรื่อง แต่ในที่นี้ขอเอาเรื่องแรกมาเล่าให้ฟังเพียงเรื่องเดียวก่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สมัยที่ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืน ท่านไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. ใด แต่ดูจากเนื้อหาเรื่องราวที่เขียนแล้วคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๔๖๐ เรื่องดังกล่าวคือการพัฒนากระสุนปืนไรเฟิลสำหรับใช้ในกองทัพไทย

รูปที่ ๒ (บน) กระสุนชนิด 8x50Rmm Siamese (Type 45) (ล่าง) กระสุนชนิด 8x52Rmm Siamese (Type 66) รูปสองรูปนี้ค้นได้จาก google บอกว่ามาจากหนังสือ Cartridges of the world 13th edition เลข 8 คือขนาด calibre ของหัวกระสุนในหน่วยมิลลิเมตร เลข 50 หรือ 52 คือความยาวปลอกกระสุน ส่วน R เป็นตัวบอกว่าเป็นกระสุนชนิดมีขอบจานท้าย

หัวกระสุนปืนไรเฟิลในยุคก่อนค.ศ. ๑๙๐๐ (ช่วงรัชกาลที่ ๕) มักจะมีลักษณะเป็นหัวทู่ ๆ มน ๆ ดังเช่นกระสุนชนิด 8x50Rmm Siamese (Type 45) ที่แสดงในรูปที่ ๒ (บน) ที่กองทัพไทยรับเข้าประจำการในปีพ.ศ. ๒๔๔๕ (จึงเป็นที่มาของชนิด ๔๕) ต่อมามีการค้นพบว่าถ้าทำให้หัวกระสุนเรียวขึ้น วิธีกระสุนจะราบเรียบขึ้น เป็นการเพิ่มความแม่นยำและทำให้ยิงได้ไกลขึ้น จึงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหัวกระสุนเป็นหัวเรียวแหลมแบบที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
  
ส่วนประเทศไทยเอง (ขณะนั้นเรียกตัวเองว่าสยาม) ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกระสุนจะได้ชนิดใหม่เข้าประจำการในปีพ.ศ. ๒๔๖๖ ที่เรียกว่ากระสุน 8x52Rmm Siamese (Type 66) ที่แสดงในรูปที่ ๒ (ล่าง)
  
ที่มาของการปรับปรุงนี้จะมีบันทึกเอาไว้ที่ใดบ้างผมก็ไม่ทราบ แต่ในประวัติของพลตรีพระยาอานุภาพไตรภพที่ท่านบันทึกไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๘๐ นั้นได้เล่าถึงการพัฒนากระสุนสำหรับกองทัพไทยในช่วงที่ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืนนั้นก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ลองอ่านดูจากที่ผมนำมาจากหนังสืออนุสรณ์ฯ ในหน้า ๕๑ และ ๕๒ ก่อนก็แล้วกัน



ท่านไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเหตุการณ์เรื่องการทดสอบกระสุนดังกล่าวเกิดขึ้นในปีพ.ศ.ใด แต่ในประวัติของท่านนั้นกล่าวว่าท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืนอยู่ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๕๗ - ๒๔๖๐ (หนังสือหน้า ๑๓๗) ทำให้น่าสันนิฐานว่าการทดลองที่กล่าวถึงเป็นการทดลองเพื่อหากระสุนชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่กระสุน 8x50Rmm Siamese (Type 45) และกระสุนที่ทำการพัฒนาที่ท่านกล่าวถึงนั้นต่อมาได้กลายเป็นกระสุน 8x52Rmm Siamese (Type 66) ที่กองทัพรับเข้าประจำการในปีพ.ศ. ๒๔๖๖

อีกเรื่องคือท่านได้ให้หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การดูถูกความสามารถของชาติเดียวกันเองนั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วในสังคมไทย (อย่างน้อยก็ร่วมร้อยปีแล้ว ข้อความตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดงในกรอบสีเขียว) และพฤติกรรมดังกล่าวก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่เห็นได้ชัดคือหน่วยงานบางแห่งเวลาใครขอทุนทำวิจัยนั้นถ้าไม่มีหลักฐานแสดงว่า "มีความร่วมมือ" กับต่างชาติแล้ว มักจะไม่ได้รับความสำคัญในการพิจารณา เรื่องเหล่านี้เคยมีเอกสารมาถามความเห็นผมเหมือนกัน ผมก็ตอบกลับไปว่า มองอีกมุมหนึ่งก็คือคนเหล่านี้ทำอะไรเองไม่เป็นสักที ถ้าเก่งจริงเขาก็ต้องสามารถผลิตผลงานที่เป็นชื่อคนไทยล้วน ๆ ได้ ไม่ใช่ไปยืมชื่ออาจารย์ต่างชาติเพื่อให้เขาตรวจเนื้อหาบทความให้หรือเพื่อให้ตีพิมพ์บทความได้ง่ายขึ้น คิดจะทำวิจัยอะไรสักอย่างก็ต้องอ้างต่างชาติเอาไว้ก่อนว่าเขาทำกันอย่างโน้นเขาทำกันอย่างนี้ โดยไม่ได้พิจารณาว่างานวิจัยของต่างชาติเหล่านั้นเขามีพื้นฐานความคิดอยู่บนเรื่องอะไร สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับความต้องการในประเทศได้หรือไม่

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับรถไฟอีก ๒ เรื่องในบันทึกของพลตรีพระยาอานุภาพไตรภพที่ผมคัดเลือกเอาไว้ แล้วมีเวลาเมื่อไรจะเอามาเล่าให้ฟัง

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เครื่องกระสุน MO Memoir : วันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑

เนื่องจากมีนิสิตหลายคนแสดงความสนใจอยากให้พาไปทำกิจกรรมที่สนามยิงปืน กรมการรักษาดินแดน ที่อยู่แถววัดโพธิ์ MO Memoir ฉบับนี้ก็เลยขอแนะนำให้รู้จักกับกระสุนปืนก่อน โดยจะจำกัดอยู่แค่กระสุนปืนพกและปืนยาวทั่วไปเท่านั้นกระสุนปืนใหญ่ไม่เกี่ยว รูปที่ 1 ข้างล่างแสดงส่วนประกอบของกระสุนปืนทั้งนัด ซึ่งมีส่วนประกอบหลัก ๆ อยู่ 5 ส่วนด้วยกันดังนี้


รูปที่ 1 รูปซ้ายแสดงส่วนประกอบของกระสุนปืนซึ่งประกอบด้วย (1) หัวกระสุน, (2) ปลอก, (3) ดินขับ, (4) ริม และ (5) แก๊ป ส่วนรูปซ้ายแสดงกระสุนขนาด 9 mm para โดยกระสุนนัดซ้ายมือคือชนิดหัวมน (jacketed round nose) และกระสุนนัดขวามือคือชนิดหัวรู (jacketed hollow point)

ส่วนที่ 1 คือส่วนหัวกระสุน (bullet หรือ projectile) เป็นส่วนที่พุ่งเข้ากระทบเป้าหมาย หัวกระสุนอาจเป็นโลหะชิ้นเดียวหรือเป็นโลหะเม็ดเล็ก ๆ หลายเม็ดอยู่รวมกันในเปลือกหุ้มอีกชั้น (ที่เรียกว่าลูกปราย) ซึ่งแบบหลังนี้จะนิยมใช้กับปืนลูกซองมากกว่า สำหรับปืนพกทั่วไปแล้วหัวกระสุนมักจะเป็นโลหะชิ้นเดียว

ส่วนหัวกระสุนจะทำจากโลหะที่มีน้ำหนักมาก (ส่วนใหญ่จะเป็นตะกั่ว) เพื่อให้เก็บพลังงานได้มาก และโลหะนั้นต้องมีความแข็งน้อยกว่าเหล็กที่ใช้ทำลำกล้องปืน (เพื่อป้องกันไม่ให้เกลียวลำกล้องสึกหรอเมื่อหัวกระสุนเคลื่อนที่ผ่าน) หัวกระสุนพื้นฐานที่มีราคาถูกสุดนั้นจะทำจากตะกั่วเพียงอย่างเดียว จะเห็นเป็นหัวโลหะสีเทา ๆ แต่ถ้าต้องการให้หัวกระสุนเคลื่อนที่ได้เร็วมากขึ้น หรือในกรณีที่ใช้แกนกลางหัวกระสุนที่เป็นเหล็ก (เพื่อหวังผลในการเจาะเกราะหรือที่กำบัง) จะมีการหุ้มหัวกระสุนไว้ด้วยโลหะอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมกันมากที่สุดคือทองแดง (ปลอกทองแดงที่หุ้มหัวกระสุนเรียกว่า jacket) หัวกระสุนพวกนี้จะเห็นเป็นหัวทองแดงหุ้มอยู่ ข้อดีของทองแดงคือมีความแข็งมากกว่าตะกั่ว ทำให้หัวกระสุนจับกับเกลียวลำกล้องและหมุนไปตามร่องเกลียวได้ และทองแดงก็ยังมีความแข็งน้อยกว่าเหล็กที่ใช้ทำลำกล้อง

น้ำหนักของหัวกระสุนจะใช้หน่วยเป็นเกรน (grain) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่ใช้และความยาวของหัวกระสุน กระสุนที่ใช้ตะกั่วล้วนจะหนักมากกว่ากระสุนที่มีเปลือกทองแดงหุ้ม และกระสุนที่มีความยาวหัวกระสุนมากกว่าก็จะหนักมากกว่าด้วย

รูปร่างของหัวกระสุนมีหลายแบบด้วยกันขึ้นอยู่กับการใช้งาน ที่แสดงในรูปที่ 1 เป็นกระสุนแบบหัวมน (round nose) ซึ่งจัดว่าเป็นรูปร่างมาตรฐานสำหรับกระสุนปืนพก (ถ้าเป็นปืนยาวหรือปืนไรเฟิลจะเป็นหัวเรียวแหลม เพื่อให้เคลื่อนที่ผ่านอากาศด้วยความเร็วสูงได้ดี) นอกจากนั้นก็มีแบบหัวรู (hollow point) ที่ออกแบบให้บานออกเป็นรูปดอกเห็ดเมื่อกระทบเป้า (บ้านเรามักเรียกว่าหัวระเบิด) เพื่อหัวกระสุนจะได้ถ่ายเทพลังงานจากหัวกระสุนให้กับเป้าหมายได้เต็มที่ หัวกระสุนชนิดนี้มักออกแบบมาเพื่อยิงคนหรือล่าสัตว์ แบบหัวตัด (wad-cutter) ที่ออกแบบมาเพื่อการยิงเป้า เพราะเมื่อเจาะเป้ากระดาษแล้วจะเห็นวงกระสุนเจาะได้ชัดเจน) เป็นต้น การเลือกชนิดหัวกระสุนนอกจากจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายแล้ว ยังขึ้นอยู่กับอาวุธปืนที่ใช้ด้วย ปืนพกที่เป็นปืนลูกโม่ (revolver) จะไม่มีปัญหาเรื่องการเลือกชนิดหัวกระสุนว่าจะใช้แบบไหน แต่ถ้าเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติ (บ้านเราจะเรียกว่าปืนออโต้ ทางอเมริกาจะเรียก pistol) แล้ว รูปร่างของจะส่งผลต่อการทำงานของปืนว่าสามารถป้อนกระสุนได้เรียบร้อย ไม่มีการติดขัดหรือไม่ ผู้ที่มีปืนออโต้จึงมักต้องทดลองเอากระสุนที่ต้องการใช้มายิงกับปืนดูว่ายิงได้ราบเรียบหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ายิงไปได้นัดเดียวแล้วปืนติดขัด

การระบุขนาด (caliber) ของกระสุนจะใช้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวกระสุนหรือของลำกล้องเป็นหลัก การระบุขนาดจะมีอยู่ 2 แบบคือแบบนิ้วและแบบมิลลิเมตร การระบุแบบนิ้วมักจะเป็นทางอเมริกา โดยจะบอกขนาดเป็น จุดทศนิยมและมีตัวเลขตามหลัง โดยละคำว่านิ้วเอาไว้ เช่น .22 (อ่านจุดสองสอง) .38 (อ่านจุดสามแปด) .357 (อ่านจุดสามห้าเจ็ด) .45 (อ่านจุดสี่ห้า) เป็นต้น ที่เห็นข่าวในบ้านเรามีการแปลผิดบ่อยคือคิดว่าหน่วยเป็นมิล เช่นกระสุน .22 ไปแปลว่าเป็นกระสุนขนาด .22 มิลลิเมตร การอ่านแบบมิลลิเมตรนั้นจะนิยมกันมากทางยุโรป โดยจะมีการระบุหน่วย mm เอาไว้ท้ายตัวเลขด้วย เช่น กระสุน 11 mm กระสุน 9 mm เป็นต้น

ส่วนที่ 2 คือส่วนปลอก (case) ซึ่งเป็นส่วนที่บรรจุดินขับและจับหัวกระสุนเอาไว้ ปลอกกระสุนปืนส่วนใหญ่จะมีลักษณะลำตัวเป็นทรงกระบอก (เช่นพวก .38 special (อ่านจุดสามแปดสเปเชี่ยล) .357 magnum (อ่านจุดสามห้าเจ็ดแมกนั่น) หรือ 11 มม) หรืออาจเรียวสอบเล็กน้อย (คือทางด้านที่จับหัวกระสุนเอาไว้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าอีกทางด้านหนึ่งเล็กน้อย เช่น 9 มม พารา) เพื่อให้การป้อนลูกกระสุนเข้าสู่รังเพลิงทำงานได้เรียบร้อย กระสุนปืนพกบางแบบและกระสุนปืนยาวส่วนใหญ่ ปลอกกระสุนจะมีลักษณะเป็นรูปคอขวด ที่จะมีส่วนลำตัวที่อ้วนกว่าส่วนที่จับหัวกระสุนเอาไว้ (เป็นแบบขวดน้ำนั่นแหละ) ทั้งนี้เพื่อให้บรรจุดินขับได้มากโดยที่กระสุนทั้งนัดไม่ยาวเกินไป (แต่อ้วนขึ้นแทน)

ส่วนที่ 3 คือดินขับ (propellant) ซึ่งเป็นส่วนที่จะเกิดการเผาไหม้ให้แก๊สร้อนปริมาณมากเพื่อขับดันหัวกระสุนให้เคลื่อนที่ออกไป ชนิดของดินขับและอัตราการเผาไหม้จะเป็นตัวกระหนดความเร็วของหัวกระสุน ดินขับที่ใช้กับปืนสั้นจะถูกออกแบบให้เผาไหม้ได้หมดก่อนที่กระสุนจะเคลื่อนที่พ้นปากลำกล้อง ส่วนดินขับสำหรับปืนยาวจะเผาไหม้ช้ากว่าเพราะกระสุนมีเวลาอยู่ในลำกล้องนานกว่า ดินขับนั้นจะไม่เกิดการระเบิดถ้าจุดติดด้วยเปลวไฟหรือจากการกระแทกที่ไม่รุนแรง (ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวกระสุนเอง) ต้องจุดระเบิดด้วยเชื้อประทุหรือแก๊ปที่ทำให้เกิดคลื่นกระแทก (shock wave) มาทำให้ดินขับระเบิด

ส่วนที่ 4 คือริมหรือขอบจานท้าย (rim) ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยในการบรรจุและคัดปลอกกระสุนออก กระสุนปืนลูกโม่นั้นมักจะมีขอบจานท้ายที่โผล่ยื่นล้ำออกมา (ดูตัวอย่างได้จากกระสุน .22 LR ที่จะกล่าวถึงในช่วงต่อไป) โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าส่วนปลอก ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกระสุนทั้งนัดจมลงไปในตัวช่องของลูกโม่ กระสุนพวกนี้เรียกว่าพวกมีริม ส่วนกระสุนปืนออกโต้ส่วนใหญ่แล้ว (เช่น 11 มม หรือ 9 มม) ส่วนริมหรือจานท้ายนั้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกันกับตัวปลอก (เช่นในรูปที่ 1 ข้างบน) คือถ้าเอากระสุนวางนอนราบไปกับพื้นก็จะเห็นทั้งปลอกและจานท้ายแนบพื้นตลอดทั้งนัด กระสุนพวกนี้เรียกว่าพวกไม่มีขอบจานท้าย (rimless) ซึ่งเหมาะกับการบรรจุกระสุนเรียงซ้อนกันในซองกระสุน (magazine) เพราะลดปัญหาการติดขัดในการป้อนกระสุน แต่กระสุนพวกนี้จะมีร่องเล็ก ๆ อยู่รอบ (ที่เห็นเป็นส่วนคอดเหนือส่วนริมในรูปที่ 1) เพื่อเอาไว้สำหรับให้ขอรั้งปลอกกระสุน (extractor) กระชากปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง

ส่วนที่ 5 คือแก๊ป (primer) ซึ่งเป็นส่วนที่บรรจุสารเคมีที่ว่องไวในการกระแทก ส่วนนี้จะทำจากโลหะบางที่มีความอ่อน เมื่อส่วนแก๊ปถูกกระแทกอย่างแรง (ด้วยแรงตอกของเข็มแทงชนวน) สารเคมีที่อยู่ในแก๊ปก็จะเกิดการระเบิดให้ความร้อนและคลื่นกระแทกวิ่งผ่านรูที่อยู่ท้ายปลอกกระสุนเข้าไปจุดระเบิดดินขับที่อยู่ในปลอกอีกทอดหนึ่ง ตำแหน่งที่อยู่ของแก๊ปก็ถูกนำมาใช้จำแนกประเภทกระสุน ถ้าอยู่ตรงกลางดังแสดงในรูปที่ 1 ก็จะเรียกว่ากระสุนชนวนกลาง (centre fire cartridge) แต่ถ้าบรรจุอยู่ที่ขอบจานท้าย (มีเฉพาะกับกระสุนชนิดมีขอบจานท้ายเท่านั้น) ก็จะเรียกว่ากระสุนชนวนริม (rim fire cartridge) กระสุนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นกระสุนชนวนกลางเกือบทั้งหมด ส่วนกระสุนชนวนริมจะใช้กับกระสุนขนาดเล็ก กระสุนชนวนริมที่ใช้กันมากที่สุดในบ้านเรา (และอาจทั้งโลก) คือกระสุนขนาด .22 LR (อ่านจุดสองสองแอลอาร์ โดย LR ย่อมาจาก Long Rifle) รองลงไปคือขนาด .22 Magnum

ถ้าไม่นับกระสุนปืนลมแล้ว กระสุน .22 LR ก็น่าจะเป็นกระสุนที่มีราคาถูกที่สุด และเหมาะกับผู้ที่หัดเริ่มยิงปืน เพราะเสียงไม่ค่อยดัง และกระสุนไม่มีแรงสะท้อนรุนแรง เด็กเล็ก ๆ ก็สามารถหัดยิงได้ ปืนที่ใช้กระสุนชนิดนี้มีทั้งปืนสั้นลูกโม่ ปืนสั้นออโต และปืนยาว ภาษาชาวบ้านทั่วไปจะเรียกกระสุนชนิดนี้ว่า "ลูกกรด" และเรียกปืนยาวที่ยิงกระสุนชนิดนี้ว่า "ปืนลูกกรด" ที่เคยพานิสิตไปฝึกหัดกันที่กรมการรักษาดินแดนก็เป็นปืนที่ใช้กระสุนชนิดนี้ กระสุนชนิดนี้ยังใช้ในการแข่งขัดปืนยาวมาตรฐานระยะยิง 50 เมตร (ทั้งท่า นอน นั่ง และยืนยิง) และพวกปืนสั้นยิงช้า 50 เมตรด้วย ปืนยาวที่เหล่าทัพต่าง ๆ นำมาให้เช่ายิงในงานการชาดสวนอัมพร ก็เป็นปืนที่ใช้กระสุนชนิดนี้

จริง ๆ แล้วกระสุนตระกูลนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดที่มีขนาดหน้าตัดเท่ากันและความยาวกระสุนทั้งนัดไม่เท่ากันคือ ขนาด .22 Short ซึ่งปัจจุบันยังพอหลงเหลืออยู่กับพวกนักกีฬาปืนสั้นยิงเร็ว ขนาด .22 Long ซึ่งมีปลอกยาวกว่า .22 Short และดูเหมือนว่าจะสูญพันธ์ไปแล้ว และ .22 LR ซึ่งมีความยาวกระสุนทั้งนัดมากที่สุดในกลุ่ม 3 ตัวนี้ ปืนที่ใช้ยิงกระสุน .22 LR ได้ก็สามารถนำกระสุน .22 Short และ .22 Long มายิงได้


รูปที่ 2 มิติและรูปร่างของกระสุนขนาด .22 LR

พึงสังเกตว่าจานท้ายของกระสุน .22 LR (รูปที่ 2) ไม่มีร่องเหมือนกับในรูปที่ 1 แต่จานท้ายมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง (.272 นิ้ว) ใหญ่กว่าปลอกกระสุน (.224 นิ้ว) นอกจากนี้กระสุน .22 LR ยังมีความพิเศษเฉพาะตัวอีกอย่างคือหัวกระสุนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกันกับปลอกกระสุน (.224 นิ้วเท่ากัน) ในขณะที่กระสุนปืนชนิดอื่นจะมีหัวกระสุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าปลอก (เส้นผ่านศูนย์กลางของปลอกเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวกระสุนบวกกับสองเท่าความหนาของปลอกกระสุน)

เวลาที่ดินขับเกิดการระเบิดในปลอกกระสุนนั้น ความดันและอุณหภูมิในปลอกกระสุนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก (เช่นอาจสูงถึงกว่า 30,000 psi สำหรับกระสุน 9 มม หรือกว่า 50,000 psi สำหรับกระสุนปืนไรเฟิลแรงสูง) ทำให้ตัวปลอกกระสุนบวมขยายตัวออก ตัวปลอกกระสุนเองนั้นจะไม่สามารถรับแรงดันขนาดนี้ได้ วิธีการแก้ปัญหาคือการทำให้รังเพลิง (Firing chamber - ช่องสำหรับบรรจุกระสุนก่อนที่จะทำการยิง) มีขนาดที่ใหญ่กว่าขนาดปลอกกระสุนเล็กน้อย ถ้าช่องว่างระหว่างปลอกกระสุนกับผนังรังเพลิงน้อยเกินไป ก็จะทำให้บรรจุกระสุนได้ลำบากและแรงดันที่เกิดขึ้นในปลอกกระสุนจะทำให้ปลอกกระสุนบวมคับติดรังเพลิง ไม่สามารถนำกระสุนออกมาจากรังเพลิงได้ (เดี๋ยวพอไปยิงปืนลูกกรดแล้วก็จะพบเอง) บางครั้งต้องหาอุปกรณ์ไปแงะหรือกระทุ้งเอาปลอกออก หรือรอให้ปลอกกระสุนเย็นลงจะได้หดตัวเล็กลง แต่ถ้าช่องว่าระหว่างกระสุนและผนังรังเพลิงมีมากเกินไป ก็จะทำให้ปลอกกระสุนที่ยิงแล้วบวมจนฉีกขาดได้ และแก๊สร้อนที่เกิดขึ้นแทนที่จะพุ่งออกจากทางปากลำกล้องก็จะพุ่งย้อนออกมาหาผู้ยิงได้ (ถ้าเป็นปืนลูกโม่นะ)

กระสุนคู่ที่มีปัญหาคือกระสุน .22 LR กับ .22 Magnum กระสุนทั้งสองชนิดใช้หัวกระสุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกัน ยิงลอดรูลำกล้องขนาดเดียวกัน แต่กระสุน .22 Magnum มีความยาวปลอกกระสุนมากกว่าและมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางปลอกกระสุนใหญ่กว่า (กล่าวคือหัวกระสุน .22 Magnum มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าปลอกกระสุน แต่ .22 LR มีขนาดเท่ากัน) รังเพลิงสำหรับกระสุน .22 Magnum จึงใส่กระสุน .22 LR ได้ แต่ช่องว่างระหว่างผนังรังเพลิงกับปลอกกระสุนจะมากเกินไป ถ้านำกระสุน .22 LR ไปยิงในปืน .22 Magnum จึงเสี่ยงที่ปลอกกระสุนจะฉีกขาดออก อันนี้ไม่เหมือนกับกรณี .22 Short .22 Long และ .22 LR (เส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุนเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางปลอกกระสุน) หรือระหว่าง .38 Special กับ .357 Magnum (เส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุนเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางปลอกกระสุน) ซึ่งต่างก็มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหัวกระสุนและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของปลอกกระสุนเท่ากัน แต่ความยาวกระสุนแตกต่างกัน จึงสามารถนำกระสุนที่สั้นกว่าไปใส่ในปืนที่ออกแบบมาเพื่อยิงกระสุนที่ยาวกว่าได้

เมื่อเทียบกับกระสุน .22 LR แล้ว กระสุน .22 Magnum หาซื้อยากกว่า ราคาแพงกว่าหลายเท่า และมีสนามยิงปืนไม่มากที่ยอมให้ยิงชนิดกระสุนนี้ได้ (สนามยิงปืนส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้ยิงกระสุน Magnum หรือต้องมีการขออนุญาตเป็นพิเศษ และมักไม่มีกระสุน Magnum ขาย) คนที่มีปืนชนิดนี้อยู่จึงหาทางประหยัดด้วยการเอากระสุน .22 LR มาซ้อมยิงแทน (บางสนามยิงปืน นายสนามเป็นคนแนะนำซะเอง) ซึ่งก็พบว่ามันยิงได้ เพราะปลอกกระสุนไม่ได้ระเบิดคารังเพลิงทุกนัด แล้วก็แนะนำต่อ ๆ กันมา แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ควรเสี่ยง เพราะถ้าเกิดปลอกกระสุนฉีกขาดขึ้นมา ความบาดเจ็บที่ได้รับจะไม่คุ้มกับค่ากระสุนที่ประหยัดได้

กระสุนปืน M16 หรือ HK33 (กระสุนขนาด 5.56 × 45 mm NATO - ขนาดหัวกระสุน 5.56 มิลลิเมตร ปลอกกระสุนยาว 45 มิลลิเมตร) นั้นก็เป็นกระสุนขนาดคาลิเบอร์ .22 เช่นเดียวกันกับกระสุน .22 LR แต่น้ำหนักและความเร็วแตกต่างกัน กระสุน .22 LR ทั่วไปจะมีหัวกระสุนหนัก 40 เกรน วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 1,000 ฟุตต่อวินาที (ต่ำกว่าความเร็วเสียงเล็กน้อย) มีพลังงานปากลำกล้องประมาณ 150 ฟุต-ปอนด์ ในขณะที่กระสุนปืน M16 (จะเรียกอย่างนี้ก็ได้เพราะกระสุนชนิดนี้มันเกิดขึ้นมาเพื่อใช้กับปืน M16 เป็นแบบแรก ก่อนที่จะมีผู้ผลิตปืนแบบอื่นที่ใช้กระสุนชนิดนี้) จะมีน้ำหนักอย่างต่ำ 55 เกรนและวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 3 เท่าเสียง พลังงานของหัวกระสุนปืน M16 จึงมากกว่าพลังงานของหัวกระสุน .22LR ประมาณ 10 เท่า (คือมีประมาณ 1,500 ฟุต-ปอนด์)

ปืน M16 และกระสุนปืน M16 นั้นถูกนำมาใช้ครั้งแรกในสงครามเวียดนาม (สหรัฐไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ในการรบได้ หรือได้ดีหรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีเอาไปให้ทหารเวียดนามใต้เอาไปใช้ในการรบจริง ได้ผลอย่างไรก็กลับมารายงานด้วย เรียกว่าใช้ทหารเวียดนามใต้เป็นหนูทดลอง) เรื่องของที่มาของปืนและขนาดของกระสุนจัดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง เพราะสงครามเวียดนามเป็นรูปแบบการรบที่กองทัพสหรัฐไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน นอกจากนั้นยังมีเรื่องการวิ่งเต้นทางการเมือง เรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกว่าสหรัฐอเมริกาเองเป็นคนแนะนำและชักชวนให้กลุ่ม NATO ทำอย่างหนึ่ง แต่ตัวเองเล่นหักหลังไปทำอีกอย่างหนึ่งแทนที่เคยบอกว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ งานนี้ประเทศหนึ่งที่ควรจะเจ็บใจมากที่สุดก็คืออังกฤษนั่นเอง (ปรับปรุงครั้งที่ 1 พุธ 29 เมษายน 2552)