แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันปาล์ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันปาล์ม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ฝึกงานภาคฤดูฝน ๒๕๖๔ (๓) เชื้อเพลิงสีเขียว (Green Fuel) MO Memoir : Tuesday 15 June 2564

กระแส Life Cycle Assessment (LCA) เคยมาแรงอยู่ช่วงหนึ่งในบ้านเรา ก่อนจะเห็นเงียบหายไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความต้องการเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า "Green" หรือเปล่า เลยไม่อยากเอาLCA มาพูด เพราะว่าถ้าเอา LCA มาใช้แล้ว อาจจะเห็นว่าสิ่งที่เป็นจริงนั้นอาจไม่ใช่ดังที่ใครต่อใครเขาอ้างกัน

เทคนิค LCA เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ เรียกว่าตั้งแต่เกิด (ผลิต) จนตาย (กำจัด) ทำให้บางทีเขาก็เรียกเทคนนิคนี้ว่า cradle-to-grave หรือจากเปลไปจนถึงหลุมฝังศพ แต่การวิเคราะห์เทคนิคนี้จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในแต่ละท้องที่นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ อย่างเช่นมลพิษที่เกิดจากพลังงานไฟฟ้าที่ต้องนำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นแต่ละประเทศใช้ไม่เหมือนกันอยู่ และตัวเลขตัวนี้มันก็ปรับแต่งกันได้ จะใช้การไปหยิบเอาข้อมูลของประเทศอื่นที่มีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงไม่เหมือนกันนั้นมาใช้ก็ไม่น่าจะถูกต้อง นอกจากนี้บางผลิตภัณฑ์มันก็พูดยากว่ามันมีอายุการใช้งานเท่าใด เช่นพวกบรรจุภัณฑ์ที่ล้างทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (เช่น เครื่องดื่มบรรจุขวดแก้วที่ต้องส่งคือผู้ผลิตเพื่อนำไปล้างและใช้งานใหม่ ภาชนะพลาสติกที่สามารถนำไป recycle ได้)

การนำเอาแหล่งพลังงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้งานนั้น มันจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อ พลังงานของแหล่งพลังงานนั้น เมื่อหักลบเอาพลังงานส่วนที่ต้องใช้ในการแปรรูปพลังงานนั้นให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานได้แล้ว ต้องมีพลังงานเหลือ ตรงนี้ลองดูตัวอย่างพลังงานจากปิโตรเลียมในรูปที่ ๑ ข้างล่าง

การนำปิโตรเลียมที่อยู่ใต้พิภพมาใช้งาน จะต้องมีการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต (E3) ที่เริ่มจากการขุดเจาะ, การเก็บรักษาน้ำมันดิบที่ได้, การขนส่ง, การกลั่น และการเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้ (ที่มีพลังงาน E1) ถ้าพลังงานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสุดท้าย E1 นั้น มีค่ามากกว่าพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตทุกขึ้นตอน E3 (สมมุติว่าพลังงาน E3 นี้ต่างก็ได้มาจากปิโตรเลียมทั้งหมด) ก็จะมีพลังงาน E2 เหลือป้อนตลาด มันก็จะคุ้มค่าที่จะนำมาใช้ กล่าวคือสมมุติว่าน้ำมันดิบ 100 ลิตรผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ได้ 100 ลิตร แต่พลังงานที่ต้องใช้ผลิตนั้นเทียบเท่ากับน้ำมัน 20 ลิตร ดังนั้นก็จะเหลือน้ำมันป้อนออกสู่ตลาด 80 ลิตร ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็คุ้มค่าที่จะนำเอาน้ำมันดิบมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน

นอกจากนี้ในบางครั้งพลังงานที่ต้องใช้ในการเก็บรักษาก็เข้ามามีบทบาทด้วย เชื้อเพลิงปิโตรเลียมเหลวนั้นสามารถเก็บในถังธรรมดาที่ความดันบรรยากาศได้ ในขณะที่แก๊สหุงต้มต้องมีการใช้คอมเพรสเซอร์ (ใช้พลังงาน) เพื่อเพิ่มความดันให้เป็นของเหลวภายใต้ความดันที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่การผลิตแก๊สธรรมชาติเหลวต้องมีทั้งการใช้ความดันและระบบทำความเย็น เพื่อทำให้แก๊สมีเทนเป็นของเหลวที่ความดันบรรยากาศ

รูปที่ ๑ พลังงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเชื้อเพลิงปิโตรเลียมจากน้ำมันดิบ

ในกรณีของเชื้อเพลิงที่ได้จากพืชนั้นมีความยุ่งยากในการคำนวณมากกว่า เพราะเชื้อเพลิงที่ได้จากพืชนั้นมันแตกต่างไปจากเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในการแปรรูปพืชนั้นให้เป็นเชื้อเพลิง อย่างเช่นเราผลิตเอทานอลเพื่อมาทดแทนน้ำมันเบนซิน แต่เราใช้น้ำมันดีเซลในการขนส่งวัตถุดิบและใช้ถ่านหินในการผลิตไอน้ำเพื่อการกลั่น มันก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าเชื้อเพลิงเอทานอลนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งมันจะเป็นมิตรก็ต่อเมื่อพลังงานที่ได้จากเอทานอลที่ผลิตได้นั้น ต้องมากกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการผลิตเอทานอล (ซึ่งดูเหมือนว่าในความเป็นจริงจะไม่ใช่เช่นนั้น)

รูปที่ ๒ ข้างล่างเป็นแผนผังสมดุลพลังงาน (วาดขึ้นมาเอง) สำหรับการผลิตเชื้อเพลิงเหลวจากพืช เพื่อใช้แทนน้ำมันปิโตรเลียม (เช่นผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล)

รูปที่ ๒ พลังงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเชื้อเพลิงจากพืชเพื่อทดแทนการใช้ปิโตรเลียม

ถ้าดูในแง่ของสมดุล CO2 แล้ว พลังงานจากปิโตรเลียมนั้นถือว่าผลิต CO2 เพียงอย่างเดียว ในขณะที่พลังงานจากพืชนั้นจะมีทั้งส่วนที่ดักจับ CO2 (คือการเจริญเติบโตของพืช) และส่วนที่ผลิต CO2 (คือการนำเอาเชื้อเพลิงที่ได้ไปใช้งาน) เชื้อเพลิงจากพืชจะช่วยลดอัตราการเพิ่ม CO2 ในบรรยากาศ (เมื่อเทียบกับพลังงานปิโตรเลียม) ก็ต่อเมื่อ CO2 ที่เกิดจากพลังงานที่ป้อนตลาด (E2) + พลังงานที่ต้องใช้ในการผลิต (E3) + พลังงานที่ต้องใช้ในการผลิตเคมีภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่นปุ๋ยเคมี, ยาปราบศัตรูพืช, เมทานอลที่ในการผลิตไบโอดีเซล (E4) เมื่อหักลบเอาปริมาณ CO2 ที่พืชดึงออกจากบรรยากาศออกไปแล้ว มีค่าน้อยกว่า CO2 ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงปิโตรเลียมเพื่อให้ได้พลังงานเท่ากัน

โดยหลักการแล้ว ถ้าพื้นที่ไหนปลูกเพื่อเพื่อการบริโภคเป็นอาหารได้ ก็ไม่ควรนำมาใช้ในการปลูกพืชเพื่อเป็นเชื้อเพลิง พื้นที่ที่ควรนำมาใช้ปลูกพืชเพื่อนำมาเป็นพลังงานควรเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหาร เช่นในดินไม่ค่อยมีธาตุอาหารสำหรับพืช หรือดินปนเปื้อนสารพิษ ถ้าเป็นแบบหลังนี้ การหาปริมาณพลังงานที่ต้องใช้ในการเพาะปลูก (เช่น พลังงานที่ต้องใช้ในการรดน้ำ ดูแลการเจริญเติบโต และพลังงานที่ต้องใช้ในการผลิตเคมีเพื่อการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช) ก็จะทำได้ง่าย แต่ถ้าผลิตผลทางการเกษตรที่นำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงเหลวนั้นเป็นของเหลือจากการผลิตอาหาร (เช่นกากน้ำตาลที่ได้จากโรงงานผลิตน้ำตาลที่นำมาผลิตเอทานอล) ตรงนี้ก็อาจถือว่าไม่จำเป็นต้องคิดพลังงานที่ต้องใช้ในส่วนนี้ เพราะถือว่าเป็นการนำของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตอื่นมาใช้งาน แต่ถ้าปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อนำเอาน้ำมันมาใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ก็ควรต้องนำเอาพลังงานตรงส่วนนี้มาใช้ด้วย

ประเด็นเรื่องพื้นที่เพาะปลูกนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้การปลูกพืชเช่นปาล์มน้ำมันถูกโจมตีว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะเกี่ยวข้องกับการเผาป่าเพื่อนำเอาพื้นที่มาปลูกปาล์มน้ำมัน เช่นที่เกิดในประเทศอินโดนีเซียและส่งผลให้หมอกควันจากไฟไหม้นั้นลอยมาถึงภาคใต้ของประเทศไทย ดังนั้นแหล่งที่มาของพืชจึงควรนำมาพิจารณาด้วย

วิธีการเก็บเกี่ยวก็สามารถส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศได้สูง ที่เห็นชัดคือกรณีของอ้อย (ที่เราเอามาผลิตเป็นน้ำตาลเพื่อการบริโภคและเอามาผลิตเอทานอล) เนื่องจากใบอ้อยจะมีความคมมาก ดังนั้นเพื่อให้สะดวกในการเก็บเกี่ยว เกษตรกรก็จะใช้การเผาไร่อ้อย คือเผาใบอ้อยทิ้งไปก่อน ให้เหลือแต่ต้น แล้วจึงค่อยให้แรงงานเข้าไปเก็บเกี่ยว ผลที่ตามมาที่เห็นชัดก็คือฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถลอยข้ามแดนได้ไกล และค้างในอากาศได้เป็นเวลานาน ดังที่ประเทศเราประสบกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ (และยังมี CO2 ในปริมาณมากที่ปลดปล่อยออกมาจากการเผาด้วย)

ขนาดพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก และระยะทางจากแหล่งเพาะปลูกมายังโรงงานแปรสภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดว่าการปลูกพืชพลังงานนั้นทำให้เกิดการปลดปล่อย CO2 เนื่องจากการขนส่งมากน้อยเท่าใด ในบางประเทศเช่นมาเลเซียและอินโดนีเซียนั้น มีแปลงเพาะปลูกที่ต่อเนื่องเป็นแปลงเดียวขนาดใหญ่และมีโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มอยู่ในแปลงเพาะปลูกนั้น ทำให้ประหยัดค่าขนส่ง (ซึ่งก็เป็นการลดการปลดปล่อย CO2) ผลปาล์มมายังโรงงาน และยังสามารถใช้ทางใบปาล์มและต้นปาล์มที่หมดอายุแล้วร่วมกับกะลาปาล์ม (ผลปาล์มที่ผ่านการสกัดน้ำมันแล้ว) และทะลายปาล์มเปล่า มาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตความร้อนใช้ในโรงงานได้ แต่ในกรณีของบ้านเรานั้นจะเรียกว่าต่างคนต่างปลูก แล้วต่างคนก็ต่างขนเฉพาะทะลายปาล์มที่เก็บเกี่ยวได้ไปส่งยังโรงงานที่ตั้งอยู่ห่างออกไป ดังนั้นปัจจัยเรื่องค่าขนส่ง (ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อปริมาณ CO2 ที่ปลดปล่อยออกมา) จึงมีบทบาทสำคัญในการคิดปริมาณพลังงานสุดท้ายที่ได้

สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการปลูกพืชเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงคือการต้องใส่ปุ๋ย (เพราะพืชมีการดึงเอาแร่ธาตุออกจากดินตลอดเวลา และแร่ธาตุนั้นก็ติดไปกับผลิตผลทางการเกษตรที่นำไปแปรรูป) และปุ๋ยเคมีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ติดตามมาก็คือการที่ปุ๋ยเคมีนั้นไหลลงสู่แหล่งนั้น เช่นลำคลองและแม่น้ำต่าง ๆ เมื่อไหลออกสู่ทะเลก็ทำให้สาหร่ายบริเวณปากแม่น้ำเจริญเติบโตมากอย่างรวดเร็ว ในช่วงกลางวันนั้นสาหร่ายเหล่านี้ช่วยผลิตออกซิเจน แตในเวลากลางคืนนั้นสาหร่ายเหล่านี้จะดึงออกซิเจนออกจากนั้น ทำให้น้ำขาดออกซิเจนจนสัตว์น้ำในบริเวณนั้น (ที่ไม่สามารถหนีออกไปจากบริเวณนั้นได้) ขาดออกซิเจนเสียชีวิต ซึ่งบ้านเราก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดเป็นประจำ ปรกติก็คือหลังช่วงที่มีฝนตกหนักและมีน้ำจากแม่น้ำไหลออกสู่ทะเลในปริมาณมาก เพราะฝนที่ตกลงมานั้นจะชะเอาปุ๋ยเคมีลงแหล่งน้ำ ก่อนที่จะไหลรวมกันลงสู่แม่น้ำและออกทะเล

ที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เพื่อต้องการจะบอกว่า การที่จะบอกว่าเชื้อเพลิงชนิดใดเป็นเชื้อเพลิงสีเขียว (Green Fuel) นั้น ไม่ควรที่จะดูแค่เพียงว่ามันมาจากพืช แต่ควรต้องพิจารณาโดยเริ่มตั้งแต่การได้มาซึ่งพืชชนิดนั้น (พื้นที่เพาะปลูก การเก็บเกี่ยวและเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อการเกษตรที่ต้องใช้) ไปจนถึงเชื้อเพลิงสุดท้ายที่ได้ โดยปริมาณพลังงานที่งใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงนั้น (E3 + E4) ควรมีค่าน้อยกว่าปริมาณพลังงานสุดท้ายที่ได้จากเชื้อเพลิงที่ได้จากพืชหรือ E1 >> (E3 + E4) (ดูรูปที่ ๒)

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เลิกใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลกันดีไหมครับ MO Memoir : Saturday 22 February 2557

ความอยากของคนนั้นมันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นถ้าไม่มีศีลธรรมเข้ามาเป็นตัวควบคุมให้รู้จักพอ สังคมก็คงจะอยู่ไม่ได้
 
นักการเมืองต่างทราบเรื่องนี้ดี และใช้เรื่องเหล่านี้ในการหาความนิยมให้กับตนเอง ด้วยการสัญญาว่าจะให้นั่นให้โน่นแก่ประชาชน ให้มีใช้ในราคาถูกหรือไม่มีขีดจำกัด ซึ่งนโยบายเหล่ามันก็ช่วยให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้ อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการได้ แต่สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้แบกรับความเดือดร้อนซะเอง
 
และสิ่งหนึ่งที่เห็นมีนักการเมืองบางกลุ่มนำมาใช้หาคะแนนนิยมในปัจจุบันก็คือ "น้ำมันราคาถูก"
 
อันที่จริงเรื่องการตั้งราคาสินค้านี้ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วเหมือนกันคือใน Memoir
 
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๘๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "ผู้ส่งออกผู้ผลิต และผู้มีวัตถุดิบ(คิดสักนิดก่อนกดShareเรื่องที่๒)"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง "เมื่อประเทศผู้ส่งออกกินน้ำตาลราคาแพงกว่าราคาตลาดโลก"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง "ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอาเซียน"


รูปที่ ๑ ป้ายนี้ติดอยู่ที่ถนนพญาไทหน้าคณะเภสัชศาสตร์ ผมถ่ายเอาไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง


รูปที่ ๒ ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน จาก http://www.eppo.go.th/petro/kbg/pt-KBG2557-013.pdf

รูปที่ ๑ ที่เอามาให้ดูนั้นเป็นข้อกล่าวหาของนักการเมืองผู้หนึ่งต่อการตั้งราคาน้ำมัน ผมเห็นมันตั้งเป็นบอร์ดอยู่บนถนนพญาไท แถวหน้าคณะเภสัชศาสตร์ ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
  
ส่วนรูปที่ ๒ นั้นเป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับเวลาปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่ผมหาได้ทางอินเทอร์เน็ต เป็นประกาศของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน

สังเกตเห็นอะไรไหมครับ

ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการในกรุงเทพมหานครในวันนี้อยู่ที่ ๒๙.๙๙ บาทต่อลิตร แต่น้ำมันดีเซลที่ขายกันอยู่นั้นไม่ใช่น้ำมันปิโตรเลียม 100% แต่มีการผสมไบโอดีเซลที่เป็นเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันเข้าไปด้วย 5% หรือที่เราเรียกว่าน้ำมันดีเซล B5
 
แต่ต้นทุนไอโอดีเซลที่นำมาผสมนั้นอยู่ที่ ๓๖.๖๗ บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าราคาขายปลีกเสียอีก

ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงหน้าสถานีบริการน้ำมัน เป็นผลรวมของราคาขายปลีกหน้าโรงกลั่นกับสารพัดภาษีที่บวกเข้าไปและค่าการตลาด ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้กำหนด โดยต้องนำเอาราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันมาคิดด้วย ตัวเลขที่ใกล้เวลาปัจจุบันมากที่สุดที่ผมค้นได้ทางอินเทอร์เน็ตคือของวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ (แต่ราคาปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างจากเวลานั้นมาก) ซี่งได้นำมาแสดงให้ดูในรูปที่ ๓ ข้างล่าง ยังไงก็ลองพิจารณาดูเอาเองก่อนก็แล้วกัน


รูปที่ ๓ โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ ๔๐/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๗๔) วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ จาก http://www.eppo.go.th/nepc/kbg/kbg-174.html

ULG ก็คือ Unleaded Gasoline หรือน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ในที่นี้คือน้ำมันออกเทน ๙๕ ราคาน้ำมันไม่ผสมเอทานอลหน้าโรงกลั่นเพียง ๒๔.๕๖๖ บาท ถูกกว่าราคาเอทานอลแปลงสภาพที่นำมาผสมอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 (มีเอทานอลผสม 10%) ที่มีค่าออกเทน ๙๕ เหมือนกัน จึงมีราคาแพงกว่า และพอเป็น E20 (มีเอทานอลผสม 20%) ก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก และตัวที่ต้นทุนแพงที่สุดคือ E85
 
แต่พอมาดูราคาขายปลีกจะเห็นว่าเรากลับไปตั้งราคาให้ตัวที่ต้นทุน "แพงที่สุด" ขายในราคาที่ "ถูกที่สุด" เท่านั้นยังไม่พอ ยังขายในราคาที่ "ต่ำกว่าต้นทุน" ด้วย โดยเฉพาะ E85 ที่ต้องนำเอาเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมันไปโปะถึงลิตรละ ๑๐ กว่าบาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังแถมค่าการตลาดให้สูงกว่าตัวอื่นอีก
 
แล้วกองทุนน้ำมันเอาเงินมาจากไหน ก็เอามาจากน้ำมันตัวอื่นที่ขายในราคาที่สูงกว่าต้นทุน คือให้คนอื่นมาแบกรับภาระต้นทุนที่สูงของ E20 และ E85 เพื่อให้คนใช้น้ำมัน E20 และ E85 มีน้ำมันใช้ในราคาถูก
 
ดังนั้นจะเห็นว่าน้ำมัน E20 และ E85 จะขายราคาถูกได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้น้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์ E10 อยู่ ถ้าหากการใช้น้ำมันเหล่านี้ลดลงเมื่อใด หรือการใช้น้ำมัน E20 และ E85 เพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็จะทำให้ไม่มีเงินมาโปะชดเชยราคาขาย E20 และ E85 ให้ขายถูกได้ (เพราะต้นทุนมันสูงกว่าอยู่แล้ว) การแก้ปัญหาจึงอาจต้องทำโดยการเพิ่มราคาน้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์ E10 ให้สูงขึ้นไปอีก

ดังนั้นถ้าหากต้องการให้น้ำมันราคาถูกลง สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือรณรงค์ให้เลิกใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล เพราะมันเป็นการลด "ต้นทุน" สินค้าโดยตรง

แต่พอกล่าวอย่างนี้ก็คงมีคนออกมาคัดค้านว่าเอทานอลและไบโอดีเซลเป็นพลังงานสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานหมุนเวียน ไม่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศในการซื้อ

แต่มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ

การผลิตไบโอดีเซลชนิด "เมทิลเอสเทอร์" ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องใช้ "เมทานอล" ซึ่งเมทานอลนี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และการผลิตเมทานอลนั้นก็ยังอาศัยปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบ (ผ่านทางแก๊สธรรมชาติ) 
  
การผลิตเอทานอลก็ต้องใช้พลังงานความร้อนในการกลั่นแยก แหล่งพลังงานความร้อนที่ใช้ในการกลั่นก็ได้แก่ไอน้ำ ซึ่งต้องพึ่งถ่านหินหรือน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงต้มน้ำให้เดือด และเชื้อเพลิงเหล่านี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
 
การขนส่งวัตถุดิบทางการเกษตรมายังโรงงาน ก็ยังใช้รถบรรทุก ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และเราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพื่อมาผลิตเป็นน้ำมันดีเซล
 
เราใช้น้ำมันดีเซลในการขนวัตถุดิบเข้าโรงงาน เพื่อให้ได้เอทานอลมาชดเชยการใช้น้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นการทำงานแบบลดการใช้น้ำมันชนิดหนึ่ง แต่ไปใช้น้ำมันอีกชนิดหนึ่งเพิ่ม แล้วสรุปว่าเราลดการใช้น้ำมันหรือไม่ 
  
การเกษตรของบ้านเรายังต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
 
อันนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวที่เกิดจากปุ๋ยเคมีที่ถูกชะล้างลงแหล่งน้ำธรรมชาติและยาปราบศัตรูพืชที่ตกค้างในระบบนิเวศน์ และยังไม่รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วยการบุกรุกป่า

ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบมายังโรงงานเป็นต้นทุนใหญ่ต้นทุนหนึ่ง โครงสร้างการเกษตรของประเทศเหล่าคือเกษตรกรเป็นผู้ปลูก ใครมีที่ตรงไหนก็ปลูกกันไป กระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนคนตั้งโรงงานก็ไม่จำเป็นต้องทำการเกษตร ทำให้ต้องมีการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรจากแหล่งต่าง ๆ มายังโรงงานผลิต
 
สิบกว่าปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมการผลิตปาล์มน้ำมันของ Malaysia Palm Oil Board ที่ประเทศมาเลเซีย ที่นั่นเขามีที่ดินแปลงเดียวพื้นที่เป็นหมื่นไร่ไว้สำหรับปลูกปาล์มน้ำมันเพียงอย่างเดียว ด้วยขนาดพื้นที่เช่นนี้ทำให้เขาสามารถตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอยู่กลางแปลงเพาะปลูกได้ ดังนั้นต้นทุนการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรมายังโรงงานจึงลดลงไปมาก
 
นอกจากนี้ประเทศของเขาเองยังเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบส่งออกสุทธิด้วย
 
แต่การผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียนั้นกระทำด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากของไทย คือเขาเน้นไปที่การนำน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้นั้นไปเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่มีมูลค่าสูงขึ้นไปอีก ไม่ใช่เอามาชดเชยน้ำมันดีเซลที่มันมีราคาถูก
 
การนำน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูงนั้นต้องมีกระบวนการวิจัยเพื่อหาทางนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่งานวิจัยเพื่อทำบทความตีพิมพ์เพื่อเพิ่มตำแหน่งให้กับผู้ทำวิจัย และยังต้องมีการลงทุนในส่วนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องยอมรับการสูญเสียไปบางส่วน เพราะงานวิจัยนั้นต้องมีกระบวนการลองผิดลองถูก
 
ตรงนี้มันแตกต่างไปจากการนำเอาน้ำมันปาล์มไปทำเป็นไบโอดีเซล ที่มันมีเทคโนโลยีรองรับสมบูรณ์แบบมากกว่า

เคยมีนักวิจัยจากบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งถามความเห็นผมว่าการวิจัยเรื่องไบโอดีเซลควรทำอย่างไร ผมก็ตอบไปตามแนวความคิดของผมว่าควรไปทำการวิจัยที่ตัว "เครื่องยนต์ดีเซล" เพราะว่าไปแล้วเครื่องยนต์ดีเซลนั้นเดิมทีออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง และไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่น้ำมันเพื่อทดแทน High Speed Diesel (HSD) แบบที่ใช้กับรถยนต์ทั่วไป แต่มุ่งเน้นไปที่เครื่องยนต์ที่รอบการทำงานคงที่และไม่ต้องการความเร็วรอบที่สูงมาก (เช่นเครื่องดีเซลปั่นไฟฟ้า ส่วนการเพิ่มความเร็วรอบก็ทำได้โดยการใช้ระบบเฟืองทดรอบ) โดยพัฒนาเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ด้วยน้ำมันพืชเพียงอย่างเดียว หรือน้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันพืชโดยตรง หรือสำหรับโรงงานขนาดเล็กที่มีการใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไอน้ำนั้น ควรที่จะผลิตน้ำมันผสมดีเซล + น้ำมันพืช (ใช้แล้ว) โดยตรง จำหน่ายเขาไหม แทนที่จะให้เขาซื้อน้ำมันดีเซลเติมรถยนต์ (ที่มีคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นสำหรับการเผาเพื่อผลิตไอน้ำ) มาเผาเพื่อผลิตไอน้ำ
 
ส่วนเรื่องเอทานอลนั้น เขาก็ถามผมมาเหมือนกัน ผมก็ตอบเขาไปว่าสิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าทำให้เอทานอลมีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุด ก็คือขายในรูปของ "เหล้า" เคยเห็นไหมครับ เวลาเขามีงานนิทรรศการที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเกี่ยวข้องทีไร หน่วยงานในสถาบันการศึกษาที่มีการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรมักจะผลิต "ไวน์" ออกมาขาย ไวน์นี้มีแอลกอฮอล์เพียงแค่ 5-7% แต่ขายกันขวดละ (๐.๗๕ ลิตร) ประมาณ ๑๕๐ บาทหรือตกลิตรละ ๒๐๐ บาท ในขณะที่พวกที่เรียนทางวิศวกรรมเคมีกลับหาทางหมักให้ได้แอลกฮอล์เข้มข้น 10% จากนั้นก็หาทางกลั่นให้ได้ความบริสุทธิ์ 99.5% เพื่อที่จะไปขายในราคาลิตรละไม่ถึง ๓๐ บาท

จากนี้ต่อไปก็ขอให้พิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

น้ำมันพืช MO Memoir : วันอังคารที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒

MO Memoir ฉบับนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก MO Memoir 2551 Nov 11 Tue : ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู จะว่าไปแล้วเนื้อหาในฉบับนี้ (และฉบับก่อนหน้า) ผมเคยโพสไว้ในบอร์ดของเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ๒๕๔๗ (ตอนนี้บอร์ดล่มไปแล้ว) ก็เลยคิดว่าได้เวลาเอามาปัดฝุ่นใหม่และเรียบเรียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง

น้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารในบ้านเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1. น้ำมันที่ได้จากสัตว์ (เราเห็นแต่น้ำมันหมู มีใครเคยเจออย่างอื่นไหม) และ
2. น้ำมันพืช (มะพร้าว, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, ปาล์ม, รำข้าว, ทานตะวัน, ข้าวโพด ฯลฯ)

แต่เดิมนั้นคนไทยเราใช้น้ำมันหมูในการทำอาหารเป็นหลัก เพราะน้ำมันพืชอาจให้กลิ่นแทรกเข้ามาซึ่งทำให้อาหารเสียรสชาติ (ในสมัยแรกที่น้ำมันพืชยี่ห้อหนึ่งพยายามเจาะตลาด (ตอนนี้ก็ยังขายอยู่) จะโฆษณาว่า "ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น") แต่หลัง ๆ กระแสสุขภาพเข้ามาแรง ทำนองว่ากินน้ำมันที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัวแล้วจะมีปัญหาเรื่องคลอเรสโตรอล ทำให้คนหันมากินน้ำมันพืชเป็นหลัก

ที่น่าแปลกคือแต่ก่อนสมัยที่คนไทยกินน้ำมันหมูเป็นหลัก โรคหัวใจกลับไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนในประเทศ แต่ช่วงที่กินน้ำมันพืชเป็นหลัก จำนวนคนมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจกลับเพิ่มมากขึ้น (ในบางวงการเขาดูว่าประเทศไหนเป็นประเทศ "ด้อยพัฒนา" (เรียกให้ดีหน่อยก็"กำลังพัฒนา") หรือ"พัฒนาแล้ว" โดยดูจากโรคหลักที่ทำให้ประชากรเสียชีวิต ประเทศ"ด้อยพัฒนา" มักมีปัญหาเรื่องโรคติดต่อ เช่นอหิวาต์ วัณโรค โรคระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ ส่วนประเทศ"พัฒนา" แล้วมักมีปัญหาเรื่อโรคไม่ติดต่อ เช่น หัวใจ ความดัน มะเร็ง ฯลฯ)

ที่นี้น้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ โมเลกุลมันประกอบด้วยอะไรบ้าง หลัก ๆ มี 2 ส่วนคือ
1. กลีเซอรอล (glycerol) เป็นแอลกอฮอล์ C3 มีหมู่ -OH (hydroxyl group) 3 หมู่ และ
2. กรดไขมัน (carboxylic acid ที่เป็นโซ่ตรงยาว ไม่มีกิ่งก้าน)

น้ำมันพืช/สัตว์เป็นสารประกอบเอสเทอร์ของกลีเซอรอลและกรดไขมัน สิ่งที่ทำให้น้ำมันแตกต่างกันก็คือชนิดของกรดไขมันนั่นเอง
บางชนิดก็เป็นโมเลกุลสั้น ๆ (คาร์บอน 10-12 อะตอม)
บางชนิดก็เป็นโมเลกุลยาว ๆ (คาร์บอน 20-22 อะตอม - จำนวนอะตอมคาร์บอนเป็นเลขคู่เสมอ)

แต่ตัวที่คนสนใจ/รู้จัก(ชื่อ)กันมากกว่าก็คือ "ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมัน
แล้ว "ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมันคืออะไร

"ความไม่อิ่มตัว" ของน้ำมันในที่นี้คือพันธะ "คู่" ระหว่างอะตอมคาร์บอนของสายโซ่กรดไขมัน ยิ่งมีมากก็เป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูงมากขึ้น (ลองดูข้างขวดน้ำมันพืช บางยี่ห้อจะระบุว่าเป็นชนิดไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่งว่ามีกี่เปอร์เซนต์ และที่ไม่อิ่มตัวมากกว่า 1 ตำแหน่งมีกี่เปอร์เซนต์)

แล้วความไม่อิ่มตัวของน้ำมันมีผลอย่างไรต่อน้ำมัน

อย่างแรกคือจุดหลอมเหลวของน้ำมัน น้ำมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูงจะมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าพวกที่มีความอิ่มตัวสูง เช่นเวลาอากาศเย็น น้ำมันหมูอาจเป็นไขแข็งตัวได้ แต่น้ำมันพืชจะขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน (สาเหตุเป็นเพราะ รูปร่างโมเลกุล... กลับไปดูฉบับก่อนหน้านะ)

ถ้าเราเอาน้ำมันพืชแต่ละชนิดมาแช่เย็น (น้ำมันที่พึ่งสกัดได้) จะมีส่วนที่เป็นไขแยกออกมา ส่วนนั้นคือส่วนที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว ซึ่งน้ำมันพืชแต่ละชนิดจะมีปริมาณส่วนนี้แตกต่างกัน
เช่น "น้ำมันถั่วเหลือง" จะมีส่วนที่แช่เย็นแล้วเป็นไขแข็งตัวไม่มากนัก ก่อนนำมาบรรจุขวด ทางโรงงานผู้ผลิตก็จะทำนำเอาน้ำมันที่สกัดได้ไปแช่เย็นก่อนเพื่อแยกเอาส่วนที่เป็นไขออกมา จากนั้นจึงนำส่วนที่ไม่แข็งตัวมาบรรจุขวดขาย

ทีนี้ถ้าเราซื้อน้ำมันที่บรรจุขวดขายจากร้าน แล้วเอามาแช่ตู้เย็น มันก็ไม่เป็นไขหรอก ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ (แล้วเอามาโฆษณาทำไป ? ท่านคิดอย่างไร? มีใครบ้างเก็บน้ำมันพืชในช่องแช่แข็งในตู้เย็น

เคยถามคนที่ทำงานที่บริษัทนี้ (มาเรียนปริญญาโทภาคค่ำที่ภาค) เขาก็ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม ส่วนนิสิตอีกคนที่มาจากบริษัทคู่แข่ง ก็ได้แต่นั่งหัวเราะ

ส่วนน้ำมันปาล์มนั้นถ้าเอาไปแช่เย็นจะมีส่วนที่เป็นไขมากกว่า ขืนเอาส่วนนี้ทิ้งออกไปจะทำให้ต้นทุนน้ำมันแพงขึ้นแน่ (เพราะมันมีมากกว่าน้ำมันถั่วเหลือง)

จุดขายของความไม่อิ่มตัวคือ "สุขภาพ"

มีผู้กล่าวถึงผลงานวิจัยหลายอย่าง (ของใครเอ่ย? แล้วต้นตอมาจากไหน?) ที่บอกว่าการบริโภคน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวสูงจะมีอันตรายน้อยกว่าการบริโภคน้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูงกว่า เหตุผลก็เกี่ยวกับไขมันในเลือด กับปัญหาโรคหัวใจ

แต่ว่าทำไมพอมีปัญหาเกี่ยวกับไขมันในเลือด พวกมีคลอเรสตอรอลสูง หมอก็ให้งด/ลดของทอดของมัน โดยไม่สนด้วยว่ามันใช้น้ำมันอะไรทำ และต้องคุมของหวานด้วย ? ก็ของหวานเป็นคาร์โบไฮเดรต สูตรโมเลกุลคนละเรื่องกับไขมันเลย แล้วทำไมถึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย เป็นเพราะว่าร่างกายสามารถเปลี่ยนอาหารส่วนเกินไปเก็บไว้ในรูปของไขมันใช่ไหมล่ะ

นอกจากนี้โครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันพืชก็ไม่เหมือนกับโครงสร้างโมเลกุลของคลอเรสตอรอล ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกหรอกว่าทำไมข้างขวดน้ำมันพืชถึงเขียนไว้ว่าไม่มีคลอเรสตอรอล (เขาบอกความจริงแก่คนซื้อว่าผลิตภัณฑ์ของเขามันไม่มีคลอเรสตอรอล แต่ก็ไม่ได้บอกว่ากินเข้าไปแล้วร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นคลอเรสตอรอลได้นะ)

น้ำมันพืชตัวหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์เต็ม ๆ จากกระแสนี้คือ "ถั่วเหลือง"

ความคิดเห็นในย่อหน้าข้างล่างนี้ได้มาจากการพบปะกับผู้ที่ร่วมประชุมที่มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่สุดของโลกที่ผมได้เข้าไปร่วมประชุมมาเมื่อ ๖-๗ ปีที่แล้ว ลองอ่านแล้วพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ส่วนที่อยู่ในวงเล็บคือส่วนที่ขยายความ/ยกตัวอย่างเพิ่มเติมเข้าไป

"ประเทศผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลกคือสหรัฐอเมริกา เมื่อผลิตออกมาแล้วก็ต้องหาตลาด (มี supply ก็ต้องทำให้มี demand ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไปขายใคร) วิธีการหนึ่งคือใช้งานวิจัยทางการแพทย์หาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มาเป็นจุดขายโดยไม่เปิดเผยจุดด้อยหรือข้อเสีย (ลองนึกถึงไวน์หรือแอปเปิลดูก็ได้ ฝรั่งเขาไม่ได้มีผลไม้มากมายหลากหลายให้วิจัยเหมือนบ้านเรา มีแอปเปิลเป็นตัวหลัก ก็เลยทำวิจัยได้แก่แอปเปิล แล้วมาปลุกกระแสให้คนซื้อกินเพือสุขภาพ) แต่ในบางครั้งถ้าเราถามว่าเงินที่ได้จากการทำวิจัยนันใครเป็นคนจ่าย จะเห็นอีกภาพหนึ่ง

ถ้าถามทางมาเลเซีย เขาก็บอกว่ากินน้ำมันปาล์มก็ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือดเหมือนกัน แต่ถ้ามีหมออเมริกาพูดกับหมอมาเลเซียพูด คุณคิดว่าคนส่วนใหญ่เชื่อใคร"

ผมเองเคยไปเดินตามห้างในมาเลเซีย พบว่าคนที่นั่นบริโภคน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ไม่ค่อยมีน้ำมันถั่วเหลืองวางขาย ส่วนในประเทศไทยน้ำมันถั่วเหลืองประสบความสำเร็จมาก ชนิดที่ว่าต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศ (เดาซิว่าประเทศไหน บอกใบ้นิดนึง ประเทศที่เก่งด้านพืชตัดต่อพันธุกรรม และถั่วเหลืองก็เป็นตัวหนึ่งที่ถูกตัดต่อด้วย ช่วงหนึ่งเรามากลัวมะละกอ GMO กลัวฝ้าย GMO แต่ไม่มีใครกล่าวถึงน้ำมันถั่วเหลืองเลย) มาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองให้คนไทยกิน เพราะกำลังผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยไม่สามารถผลิตพืชให้น้ำมันพืชได้เพียงพอสำหรับความต้องการในประเทศนะ (มีทั้งรำข้าว, ปาล์ม, ทานตะวัน, ถั่วเหลือง, ฝ้าย, นุ่น) เพียงแต่ว่าเราต้องการอุดหนุนใครมากกว่า

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เรานำเข้าถั่วเหลือง (อาจเป็นเหตุผลหลักด้วย) คือเพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์ กากถั่วเหลืองที่เหลือจากการสกัดน้ำมันออกแล้วเป็นอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ราคาขายดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองอีก (ประเภทที่ว่าเอาของที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไปให้คนกิน ส่วนของที่มีประโยชน์เอาไปให้สัตว์กินก่อน แล้วเราค่อยกินสัตว์อีกที)

เมื่อราว ๆ ช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๐ (จำปีที่แน่นอนไม่ได้ จำได้แต่ว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลานี้) มีการให้ข้อมูลที่เป็นความจริงออกสู่สาธารณะชนซึ่งส่งผลต่อพฤติการรมการบริโภคน้ำมันพืชของคนไทย ข้อมูลดังกล่าวคือ

1. ไวนิลคลอไรด์ เป็นสารก่อมะเร็ง (ตัวนี้เป็นแก๊สนะ)
2. ขวดพีวีซี (PVC) ที่ใช้บรรจุน้ำมันพืชทำจากไวนิลคลอไรด์
3. ไวนิลคลอไรด์ละลายได้ในน้ำมันพืช

ถ้าถามว่า 3 ข้อข้างต้นเป็นจริงไหม คำตอบคือ "จริง"
แต่ทีนี้คนดันเอา 3 ข้อมายำรวมกันแล้วสรุปว่า "ถ้ากินน้ำมันพืชยี่ห้อที่บรรจุขวดพีวีซีจะทำให้เป็นมะเร็ง" ซึ่งข้อสรุปข้อนี้มันไม่ถูก เพราะพอเป็นขวดพีวีซีนั้น มันไม่เหลือไวนิลคลอไรด์แล้ว

ผลที่ตามมาคือคนหันไปซื้อน้ำมันยี่ห้อที่บรรจุขวดเพ็ท (PET - Polyethylene terephthalate) ซึ่งเป็นพลาสติกที่แพงกว่า PVC และมีความใสมากกว่า

ในบางงานเช่นการบรรจุน้ำอัดลมจะใช้ขวดนี้เพราะมันกันแก๊สซึมได้ ส่วนพวกน้ำดื่มมันไม่จำเป็น แต่ที่ใช้กันเพราะมันทำให้บรรจุภัณฑ์ดูสวยดี

แต่เมื่อกระแสผู้บริโภคเรียกร้อง ผลที่ตามมาคือเราต้องจ่ายแพงขึ้นเพราะต้องทิ้งขยะที่แพงมากขึ้น (มีใครล้างขวดน้ำมันพืชแล้วเอามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นไหม) เพราะผู้ผลิตรายอื่นต้องเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากเดิมที่เป็น PVC มาเป็นขวด PET เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางตลาดไว้ เหมือนปลากระป๋องฝาดึงกับฝาธรรมดา ยี่ห้อเดียวกันแท้ ๆ ถ้าต้องการฝาดึงต้องจ่ายเพิ่มทั้ง ๆ ที่ได้ของข้างในเท่ากัน หรือในกรณีของน้ำมันที่สมัยหนึ่งปล่อยให้คนเชื่อกันว่าน้ำมันยิ่งออกเทนสูง ทำให้เครื่องยิ่งแรง เลยมีการปั่นค่าออกเทนไปจนถึง 97, 98 สุดท้ายต้องกลับมารณรงค์ให้ใช้น้ำมันถูกประเภท เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังใหม่