แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันเชื้อเพลิง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำมันเชื้อเพลิง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เลิกใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลกันดีไหมครับ MO Memoir : Saturday 22 February 2557

ความอยากของคนนั้นมันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นถ้าไม่มีศีลธรรมเข้ามาเป็นตัวควบคุมให้รู้จักพอ สังคมก็คงจะอยู่ไม่ได้
 
นักการเมืองต่างทราบเรื่องนี้ดี และใช้เรื่องเหล่านี้ในการหาความนิยมให้กับตนเอง ด้วยการสัญญาว่าจะให้นั่นให้โน่นแก่ประชาชน ให้มีใช้ในราคาถูกหรือไม่มีขีดจำกัด ซึ่งนโยบายเหล่ามันก็ช่วยให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้ อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการได้ แต่สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้แบกรับความเดือดร้อนซะเอง
 
และสิ่งหนึ่งที่เห็นมีนักการเมืองบางกลุ่มนำมาใช้หาคะแนนนิยมในปัจจุบันก็คือ "น้ำมันราคาถูก"
 
อันที่จริงเรื่องการตั้งราคาสินค้านี้ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วเหมือนกันคือใน Memoir
 
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๘๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "ผู้ส่งออกผู้ผลิต และผู้มีวัตถุดิบ(คิดสักนิดก่อนกดShareเรื่องที่๒)"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง "เมื่อประเทศผู้ส่งออกกินน้ำตาลราคาแพงกว่าราคาตลาดโลก"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๕๐ วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง "ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอาเซียน"


รูปที่ ๑ ป้ายนี้ติดอยู่ที่ถนนพญาไทหน้าคณะเภสัชศาสตร์ ผมถ่ายเอาไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง


รูปที่ ๒ ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน จาก http://www.eppo.go.th/petro/kbg/pt-KBG2557-013.pdf

รูปที่ ๑ ที่เอามาให้ดูนั้นเป็นข้อกล่าวหาของนักการเมืองผู้หนึ่งต่อการตั้งราคาน้ำมัน ผมเห็นมันตั้งเป็นบอร์ดอยู่บนถนนพญาไท แถวหน้าคณะเภสัชศาสตร์ ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
  
ส่วนรูปที่ ๒ นั้นเป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับเวลาปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่ผมหาได้ทางอินเทอร์เน็ต เป็นประกาศของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่องราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน

สังเกตเห็นอะไรไหมครับ

ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการในกรุงเทพมหานครในวันนี้อยู่ที่ ๒๙.๙๙ บาทต่อลิตร แต่น้ำมันดีเซลที่ขายกันอยู่นั้นไม่ใช่น้ำมันปิโตรเลียม 100% แต่มีการผสมไบโอดีเซลที่เป็นเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันเข้าไปด้วย 5% หรือที่เราเรียกว่าน้ำมันดีเซล B5
 
แต่ต้นทุนไอโอดีเซลที่นำมาผสมนั้นอยู่ที่ ๓๖.๖๗ บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าราคาขายปลีกเสียอีก

ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงหน้าสถานีบริการน้ำมัน เป็นผลรวมของราคาขายปลีกหน้าโรงกลั่นกับสารพัดภาษีที่บวกเข้าไปและค่าการตลาด ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้กำหนด โดยต้องนำเอาราคาอ้างอิงเอทานอลแปลงสภาพและไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันมาคิดด้วย ตัวเลขที่ใกล้เวลาปัจจุบันมากที่สุดที่ผมค้นได้ทางอินเทอร์เน็ตคือของวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ (แต่ราคาปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างจากเวลานั้นมาก) ซี่งได้นำมาแสดงให้ดูในรูปที่ ๓ ข้างล่าง ยังไงก็ลองพิจารณาดูเอาเองก่อนก็แล้วกัน


รูปที่ ๓ โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ ๔๐/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๗๔) วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ จาก http://www.eppo.go.th/nepc/kbg/kbg-174.html

ULG ก็คือ Unleaded Gasoline หรือน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว ในที่นี้คือน้ำมันออกเทน ๙๕ ราคาน้ำมันไม่ผสมเอทานอลหน้าโรงกลั่นเพียง ๒๔.๕๖๖ บาท ถูกกว่าราคาเอทานอลแปลงสภาพที่นำมาผสมอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 (มีเอทานอลผสม 10%) ที่มีค่าออกเทน ๙๕ เหมือนกัน จึงมีราคาแพงกว่า และพอเป็น E20 (มีเอทานอลผสม 20%) ก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก และตัวที่ต้นทุนแพงที่สุดคือ E85
 
แต่พอมาดูราคาขายปลีกจะเห็นว่าเรากลับไปตั้งราคาให้ตัวที่ต้นทุน "แพงที่สุด" ขายในราคาที่ "ถูกที่สุด" เท่านั้นยังไม่พอ ยังขายในราคาที่ "ต่ำกว่าต้นทุน" ด้วย โดยเฉพาะ E85 ที่ต้องนำเอาเงินสมทบเข้ากองทุนน้ำมันไปโปะถึงลิตรละ ๑๐ กว่าบาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังแถมค่าการตลาดให้สูงกว่าตัวอื่นอีก
 
แล้วกองทุนน้ำมันเอาเงินมาจากไหน ก็เอามาจากน้ำมันตัวอื่นที่ขายในราคาที่สูงกว่าต้นทุน คือให้คนอื่นมาแบกรับภาระต้นทุนที่สูงของ E20 และ E85 เพื่อให้คนใช้น้ำมัน E20 และ E85 มีน้ำมันใช้ในราคาถูก
 
ดังนั้นจะเห็นว่าน้ำมัน E20 และ E85 จะขายราคาถูกได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้น้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์ E10 อยู่ ถ้าหากการใช้น้ำมันเหล่านี้ลดลงเมื่อใด หรือการใช้น้ำมัน E20 และ E85 เพิ่มขึ้นมากเกินไป ก็จะทำให้ไม่มีเงินมาโปะชดเชยราคาขาย E20 และ E85 ให้ขายถูกได้ (เพราะต้นทุนมันสูงกว่าอยู่แล้ว) การแก้ปัญหาจึงอาจต้องทำโดยการเพิ่มราคาน้ำมันที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์และแก๊สโซฮอล์ E10 ให้สูงขึ้นไปอีก

ดังนั้นถ้าหากต้องการให้น้ำมันราคาถูกลง สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือรณรงค์ให้เลิกใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล เพราะมันเป็นการลด "ต้นทุน" สินค้าโดยตรง

แต่พอกล่าวอย่างนี้ก็คงมีคนออกมาคัดค้านว่าเอทานอลและไบโอดีเซลเป็นพลังงานสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานหมุนเวียน ไม่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศในการซื้อ

แต่มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ

การผลิตไบโอดีเซลชนิด "เมทิลเอสเทอร์" ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องใช้ "เมทานอล" ซึ่งเมทานอลนี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และการผลิตเมทานอลนั้นก็ยังอาศัยปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบ (ผ่านทางแก๊สธรรมชาติ) 
  
การผลิตเอทานอลก็ต้องใช้พลังงานความร้อนในการกลั่นแยก แหล่งพลังงานความร้อนที่ใช้ในการกลั่นก็ได้แก่ไอน้ำ ซึ่งต้องพึ่งถ่านหินหรือน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงต้มน้ำให้เดือด และเชื้อเพลิงเหล่านี้ก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
 
การขนส่งวัตถุดิบทางการเกษตรมายังโรงงาน ก็ยังใช้รถบรรทุก ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และเราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพื่อมาผลิตเป็นน้ำมันดีเซล
 
เราใช้น้ำมันดีเซลในการขนวัตถุดิบเข้าโรงงาน เพื่อให้ได้เอทานอลมาชดเชยการใช้น้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นการทำงานแบบลดการใช้น้ำมันชนิดหนึ่ง แต่ไปใช้น้ำมันอีกชนิดหนึ่งเพิ่ม แล้วสรุปว่าเราลดการใช้น้ำมันหรือไม่ 
  
การเกษตรของบ้านเรายังต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
 
อันนี้ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวที่เกิดจากปุ๋ยเคมีที่ถูกชะล้างลงแหล่งน้ำธรรมชาติและยาปราบศัตรูพืชที่ตกค้างในระบบนิเวศน์ และยังไม่รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วยการบุกรุกป่า

ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบมายังโรงงานเป็นต้นทุนใหญ่ต้นทุนหนึ่ง โครงสร้างการเกษตรของประเทศเหล่าคือเกษตรกรเป็นผู้ปลูก ใครมีที่ตรงไหนก็ปลูกกันไป กระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนคนตั้งโรงงานก็ไม่จำเป็นต้องทำการเกษตร ทำให้ต้องมีการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรจากแหล่งต่าง ๆ มายังโรงงานผลิต
 
สิบกว่าปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมการผลิตปาล์มน้ำมันของ Malaysia Palm Oil Board ที่ประเทศมาเลเซีย ที่นั่นเขามีที่ดินแปลงเดียวพื้นที่เป็นหมื่นไร่ไว้สำหรับปลูกปาล์มน้ำมันเพียงอย่างเดียว ด้วยขนาดพื้นที่เช่นนี้ทำให้เขาสามารถตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอยู่กลางแปลงเพาะปลูกได้ ดังนั้นต้นทุนการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรมายังโรงงานจึงลดลงไปมาก
 
นอกจากนี้ประเทศของเขาเองยังเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบส่งออกสุทธิด้วย
 
แต่การผลิตน้ำมันปาล์มของมาเลเซียนั้นกระทำด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากของไทย คือเขาเน้นไปที่การนำน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้นั้นไปเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่มีมูลค่าสูงขึ้นไปอีก ไม่ใช่เอามาชดเชยน้ำมันดีเซลที่มันมีราคาถูก
 
การนำน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูงนั้นต้องมีกระบวนการวิจัยเพื่อหาทางนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่งานวิจัยเพื่อทำบทความตีพิมพ์เพื่อเพิ่มตำแหน่งให้กับผู้ทำวิจัย และยังต้องมีการลงทุนในส่วนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องยอมรับการสูญเสียไปบางส่วน เพราะงานวิจัยนั้นต้องมีกระบวนการลองผิดลองถูก
 
ตรงนี้มันแตกต่างไปจากการนำเอาน้ำมันปาล์มไปทำเป็นไบโอดีเซล ที่มันมีเทคโนโลยีรองรับสมบูรณ์แบบมากกว่า

เคยมีนักวิจัยจากบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งถามความเห็นผมว่าการวิจัยเรื่องไบโอดีเซลควรทำอย่างไร ผมก็ตอบไปตามแนวความคิดของผมว่าควรไปทำการวิจัยที่ตัว "เครื่องยนต์ดีเซล" เพราะว่าไปแล้วเครื่องยนต์ดีเซลนั้นเดิมทีออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง และไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่น้ำมันเพื่อทดแทน High Speed Diesel (HSD) แบบที่ใช้กับรถยนต์ทั่วไป แต่มุ่งเน้นไปที่เครื่องยนต์ที่รอบการทำงานคงที่และไม่ต้องการความเร็วรอบที่สูงมาก (เช่นเครื่องดีเซลปั่นไฟฟ้า ส่วนการเพิ่มความเร็วรอบก็ทำได้โดยการใช้ระบบเฟืองทดรอบ) โดยพัฒนาเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ด้วยน้ำมันพืชเพียงอย่างเดียว หรือน้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันพืชโดยตรง หรือสำหรับโรงงานขนาดเล็กที่มีการใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไอน้ำนั้น ควรที่จะผลิตน้ำมันผสมดีเซล + น้ำมันพืช (ใช้แล้ว) โดยตรง จำหน่ายเขาไหม แทนที่จะให้เขาซื้อน้ำมันดีเซลเติมรถยนต์ (ที่มีคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นสำหรับการเผาเพื่อผลิตไอน้ำ) มาเผาเพื่อผลิตไอน้ำ
 
ส่วนเรื่องเอทานอลนั้น เขาก็ถามผมมาเหมือนกัน ผมก็ตอบเขาไปว่าสิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าทำให้เอทานอลมีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุด ก็คือขายในรูปของ "เหล้า" เคยเห็นไหมครับ เวลาเขามีงานนิทรรศการที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเกี่ยวข้องทีไร หน่วยงานในสถาบันการศึกษาที่มีการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรมักจะผลิต "ไวน์" ออกมาขาย ไวน์นี้มีแอลกอฮอล์เพียงแค่ 5-7% แต่ขายกันขวดละ (๐.๗๕ ลิตร) ประมาณ ๑๕๐ บาทหรือตกลิตรละ ๒๐๐ บาท ในขณะที่พวกที่เรียนทางวิศวกรรมเคมีกลับหาทางหมักให้ได้แอลกฮอล์เข้มข้น 10% จากนั้นก็หาทางกลั่นให้ได้ความบริสุทธิ์ 99.5% เพื่อที่จะไปขายในราคาลิตรละไม่ถึง ๓๐ บาท

จากนี้ต่อไปก็ขอให้พิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอาเซียน MO Memoir : Friday 14 February 2557

เมื่อวานมีคนส่งข้อความมายัง facebook ผม ถามคำว่าว่า "ใครพูดจริง ใครพูดโกหก" ผมก็งง ๆ ว่าเรื่องอะไร พอถามกลับไปเขาก็ตอบกลับมาว่าเป็นเรื่อง "ราคาน้ำมัน"
 
บังเอิญช่วงที่ผ่านมาเห็นมีการให้ข้อมูลออกมาจากทั้งสองฝ่าย แต่ที่สำคัญก็คือดูเหมือนว่าชาวบ้านหรือคนส่วนใหญ่จะเชื่อ "ตัวเลข" ฝ่ายที่คัดค้าน (เพราะใคร ๆ ก็อยากได้ของถูก) แต่ฝ่ายที่คัดค้านนั้นก็ไม่ได้ให้แหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านั้น (ที่น่าเชื่อถือและสามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้) ว่ามาจากไหน เมื่อใด
  
แต่ที่แย่กว่านั้นไปอีกก็คือทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ตแท้ ๆ เราสามารถเข้าถึงข้อมูลราคาน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านได้โดยตรง แต่ทำไมเรากลับไม่ทำเช่นนั้น

โดยส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่า "ความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวนั้นอาจไม่สามารถนำมาเทียบได้กับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศนั้น "ถูก" เกินไป"

ก่อนอื่นเรามาลองดูราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปหน้าสถานีบริการในเขตกรุงเทพและปริมณฑลกันก่อนดีไหม ข้อมูลนำมาจาก http://www.eppo.go.th/retail_prices.html เช้าวันนี้ (ศุกร์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) แสดงไว้ในรูปที่ ๑ ข้างล่าง


รูปที่ ๑ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปหน้าสถานีบริการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ณ วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ นำข้อมูลมาจาก http://www.eppo.go.th/retail_prices.html
 
ทีนี้ลองไปดูราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการ Shell ที่สิงค์โปร์ (รูปที่ ๒) และอินโดนีเซีย (รูปที่ ๓) ดูบ้าง


รูปที่ ๒ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปหน้าสถานีบริการ Shell ของสิงค์โปร์


รูปที่ ๓ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปหน้าสถานีบริการ Shell ของอินโดนีเซีย
 
ราคาน้ำมันที่แสดงเป็นราคาต่อลิตร เป็นราคาของน้ำมันดีเซลและเบนซิน (ที่ไม่ใช่แก๊สโซฮอล์) ส่วนคิดเป็นเงินบาทเท่าใดนั้นต้องดูที่อัตราแลกเปลี่ยน (รูปที่ ๔) ซึ่งผมไปนำมาจากเว็บของธนาคารกรุงเทพเช้าวันที่ ๑๔ นี้ (แต่เป็นข้อมูลของเมื่อวาน เพราะวันนี้ธนาคารหยุดมาฆบูชา)


รูปที่ ๔ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินสกุลอื่น ข้อมูล ณ วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

ดังนั้นในกรณีของสิงค์โปร์ (ขอย้ำว่ากำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันที่สิงค์โปร์มากกว่าประเทศไทย)
ราคาเบนซิน 95 จะอยู่ที่ 2.2 x 25.94 = 57.07 บาทต่อลิตร
ราคาดีเซลจะอยู่ที่ 1.710 x 25.94 = 44.36 บาทต่อลิตร
 
และในกรณีของอินโดนีเซีย (เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบประเทศหนึ่ง)
ราคาเบนซิน 95 จะอยู่ที่ 11150 x (3.03/1000) = 33.78 บาทต่อลิตร
ราคาดีเซลจะอยู่ที่ 12700 x (3.03/1000) = 38.48 บาทต่อลิตร
 
ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในมาเลเซียผมนำมาจาก http://www.caltex.com/my/ ในเช้าวันนี้ (ศุกร์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) แต่เป็นราคาที่ใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ข้อมูลในหน้าเว็บแสดงเป็นตัววิ่ง ก็เลยต้องใช้วิธีการจดเอา โดยมีราคาเป็นดังนี้

Premium 97 with Techron® RM 2.85
Premium 95 with Techron® RM 2.10
Caltex Diesel with Techron D® RM 2.00

ดังนั้นถ้าคิดเป็นเงินบาท (ขอย้ำว่ามาเลเซียก็เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบเหมือนกัน)
ราคาเบนซิน 95 จะอยู่ที่ 2.10 x 9.93 = 20.85 บาทต่อลิตร
ราคาดีเซลจะอยู่ที่ 2.00 x 9.93 = 19.68 บาทต่อลิตร

ราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการของประเทศฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลา นำมาจากเว็บของ Department of Energy, Republic of the Philippines แสดงไว้ในรูปที่ ๕ ข้างล่าง


รูปที่ ๕ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปหน้าสถานีบริการในเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ราคา ณ วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ข้อมูลจาก http://www.doe.gov.ph/retail-pump-prices/retail-pump-prices-metro-manila

ลองดูเฉพาะราคาของ Shell นะ จะเอาตัวเลขราคาค่าน้อยมาคิดแปลงเป็นเงินบาท
ราคาเบนซิน 91 จะอยู่ที่ 49.05 x 0.78 = 38.26 บาทต่อลิตร
ราคาเบนซิน 95 จะอยู่ที่ 50.55 x 0.78 = 39.43 บาทต่อลิตร
ราคาดีเซลจะอยู่ที่ 41.60 x 0.78 = 32.45 บาทต่อลิตร

ราคาขายปลีกน้ำมันที่สถานีบริการในประเทศเวียดนามเองได้มาจากเว็บข่าวของสำนักข่าวแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม เป็นข่าว ณ วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ และนำมาแสดงไว้ในรูปที่ ๖

รูปที่ ๖ ราคาน้ำมันในประเทศเวียดนาม จาก http://www.saigon-gpdaily.com.vn/Business/2013/12/107370/

ดังนั้นเมื่อแปลงเป็นเงินบาท
ราคาน้ำมันน้ำมันเบนซิน 92 จะอยู่ที่ 24212 x (1.71/1000) = 41.40 บาทต่อลิตร
ราคาน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำจะอยู่ที่ 22960 x (1.71/1000) = 39.26 บาทต่อลิตร

ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศกัมพูชาหายากหน่อย อันแรกที่นำมาแสดง (รูปที่ ๗) เป็นข้อมูลจากเว็บเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในประเทศต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยเว็บดังกล่าวบอกว่าเป็นข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ส่วนของกัมพูชาเป็นข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เช่นกัน ราคาแก๊สโซลีนของไทยที่นำมาแสดงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 (39.33 บาทต่อลิตร) ส่วนของกัมพูชา (40.92 บาทต่อลิตร) ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเป็นน้ำมันอะไร
 
อีกเว็บข่าวหนึ่งที่เจอ (รูปที่ ๘) ก็เป็นข่าวเกี่ยวกับราคาน้ำมันเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา เนื้อข่าวกล่าวว่าราคาน้ำมันเบนซิน (ไม่บอกว่าออกเทนเท่าใด) คงอยู่ที่ 1.4 USD ต่อลิตรมาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (คงที่มา ๑ ปี) หรือคิดเป็นเงินบาทได้ 1.4 x 32.78 = 45.89 บาทต่อลิตร
 

รูปที่ ๗ ตารางเปรียบเทียบค่าครองชีพในไทยกับในกัมพูชา ข้อมูลจาก http://www.numbeo.com/cost-of-living/compare_countries_result.jsp?country1=Thailand&country2=Cambodia 

 
รูปที่ ๘ ข่าวราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในกัมพูชา จาก http://www.thesoutheastasiaweekly.com/price-of-gasoline-in-cambodia-stands-at-1-4-us-dollars-per-liter/

ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศพม่า (รูปที่ ๙) ก็ต้องไปเอาจากเว็บเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในประเทศต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยเว็บดังกล่าวบอกว่าเป็นข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ส่วนของพม่าเป็นข้อมูลเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ราคาน้ำมันเบนซินของพม่ารายงานไว้ที่ 40.72 บาทต่อลิตร (ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเป็นน้ำมันเบนซินเกรดไหน)


รูปที่ ๙ ตารางเปรียบเทียบค่าครองชีพในไทยกับในพม่า ข้อมูลจาก http://www.numbeo.com/cost-of-living/compare_countries_result.jsp?country1=Thailand&country2=Myanmar

ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศลาว (รูปที่ ๑๐) ก็ต้องไปเอาจากเว็บเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในประเทศต่าง ๆ อีก สำหรับประเทศไทยเว็บดังกล่าวบอกว่าเป็นข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ส่วนของลาวเป็นข้อมูลเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ราคาน้ำมันเบนซินของลาวรายงานไว้ที่ 42.06 บาทต่อลิตร (ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเป็นน้ำมันเบนซินเกรดไหน)

รูปที่ ๑๐ ตารางเปรียบเทียบค่าครองชีพในไทยกับในลาว ข้อมูลจาก http://www.numbeo.com/cost-of-living/compare_countries_result.jsp?country1=Thailand&country2=Laos

รูปที่ ๑๑ และ ๑๒ ที่อยู่ถัดไปเป็นการเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นราคาขายปลีกต่อลิตรและแปลงเป็นเงินบาทเรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้ลองเปรียบเทียบดูเอาเองก็แล้วกัน

หวังว่าเมื่ออ่านมาถึงจุดนี้พวกคุณคงได้มีการกลับไปตรวจสอบที่มาของแหล่งข้อมูลที่ผมนำมาด้วย จากนั้นก็ขอให้พิจารณากันเอาเองก็แล้วกันว่าข้อมูลของฝ่ายไหนมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน


รูปที่ ๑๑ ราคาน้ำมันดีเซลของประเทศต่าง ๆ (นำมาจาก http://www.mytravelcost.com/petrol-prices/11/)


รูปที่ ๑๒ ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ของประเทศต่าง ๆ (นำมาจาก http://www.mytravelcost.com/petrol-prices/1/)

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผู้ส่งออก ผู้ผลิต และผู้มีวัตถุดิบ (คิดสักนิดก่อนกด Share เรื่องที่ ๒) MO Memoir : Thursday 21 February 2556

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีคนถามมาทาง facebook ว่าคิดเห็นอย่างไรกับข้อความหนึ่งที่มีคนกำลังกด share ทาง facebook เยอะแยะไปหมดในขณะนี้ ข้อความดังกล่าวอยู่ในรูปข้างล่าง ลองพิจารณาเอาเองก่อนนะ


รูปที่ ๑ ข้อความที่มีการกด share เมื่ออ่านแล้วในครั้งแรกคุณรู้สึกอย่างไร

ไหน ๆ เขาก็ให้แหล่งที่มาของข้อมูล ก็เลยต้องขอตามไปตรวจสอบ และก็ได้ข้อมูลสินค้าส่งออก ๑๕ อันดับแรกของประเทศไทย ย้อนหลังไป ๕ ปี ดังแสดงในตารางที่ ๑ ข้อมูลในตารางที่ ๑ เป็นการเรียงลำดับมูลค่าการส่งออกจากมากไปน้อยโดยใช้ตัวเลขของปีพ.ศ. ๒๕๕๕ นะ
  
จะเห็นว่าข้าวไม่ได้เป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุดของไทยมาตั้งนานแล้ว และการที่ไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ไม่ได้หมายความว่ารายได้จากการส่งออกข้าวต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายได้ประเทศ สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทยคือ (๑) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (๒) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และ (๓) อัญมณีและเครื่องประดับ และในส่วนของสินค้าเกษตรเองนั้น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางเองนั้นก็มีมูลค่าการส่งออกรวมที่สูงกว่าข้าวทุกปี และถ้าพิจารณาว่าในบรรดาสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงนั้น มีสินค้าใดบ้างที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ก็เห็นจะมีแต่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และข้าว เท่านั้น นอกนั้นเป็นการนำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ เข้ามาแปรรูปและประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ก่อนที่จะส่งกลับออกไป

  
ตารางที่ ๑ มูลค่าการส่งออกสินค้า ๑๕ อันดับแรกของปีพ.ศ. ๒๕๕๕ และข้อมูลย้อนหลังไปอีก ๔ ปี
 ที่มา : เข้าไปที่หน้านี้ก่อน http://www.ops3.moc.go.th/export/export_topn5y/# จากนั้นจึงเลือกรายการ

ที่ประเทศใดก็ตามมีการส่งออก "ผลิตภัณฑ์" ใดมากนั้น ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นมี "วัตถุดิบ" สำหรับผลิตเป็นผลิตภัณฑ์นั้น ประเทศนั้นเองอาจใช้การนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศอื่น ทำการแปรรูปวัตถุดิบนั้นให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จากนั้นจึงค่อยส่งออก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศญี่ปุ่น ที่มีการส่งออกทั้งผลิตภัณฑ์ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงานเกือบทั้งหมด
   
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมก็เช่นเดียวกัน ประเทศผู้มีแหล่ง "น้ำมันดิบ" ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิต "น้ำมันสำเร็จรูป" สูง และประเทศที่มีกำลังการผลิต "น้ำมันสำเร็จรูป" สูงก็ไม่จำเป็นต้องมีแหล่ง "น้ำมันดิบ" ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล คือประเทศสิงคโปร์ ผลลองไปค้นดูกำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของประเทศต่าง ๆ ที่เห็นรวบรวมเอาไว้ค่อนข้างครบและใกล้เคียงปัจจุบันหน่อยได้มาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_oil_refineries (หน้าเว็บวันพุธที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖) ซึ่งคัดลอกมาให้ดูเปรียบเทียบ ๓ ประเทศคือไทย สิงคโปร์ และคูเวต

Thailand
Thai Oil Refinery (Thai Oil Company of PTT), 220,000 bbl/d (35,000 m3/d)
IRPC Refinery (IRPC PLC of PTT), 215,000 bbl/d (34,200 m3/d)
PTT Global Chemical Refinery (PTT Global Chemical PLC of PTT), 145,000 bbl/d (23,100 m3/d)
SPRC Refinery (Star Petroleum Refining Company of PTT), 150,000 bbl/d (24,000 m3/d)
Bangchak Refinery (Bangchak Petroleum of PTT), 120,000 bbl/d (19,000 m3/d)
Sri Racha Refinery (ExxonMobil), 170,000 bbl/d (27,000 m3/d)
Rayong Purifier Refinery (Rayong Purifier Company), 17,000 bbl/d (2,700 m3/d)
รวม 1,037,000 bbl/d หรือ 165,000 m3/d

Singapore
ExxonMobil Jurong Island Refinery (ExxonMobil), 605,000 bbl/d (96,200 m3/d)
SRC Jurong Island Refinery (Singapore Refining Corporation), 285,000 bbl/d (45,300 m3/d)
Shell Pulau Bukom Refinery (Royal Dutch Shell), 458,000 bbl/d (72,800 m3/d)
รวม 1,348,000 bbl/d หรือ 214,300 m3/d

Kuwait
Mina Al-Ahmadi Refinery (KNPC), 470,000 bbl/d (75,000 m3/d)
Shuaiba Refinery (KNPC), 200,000 bbl/d (32,000 m3/d)
Mina Abdullah Refinery (KNPC), 270,000 bbl/d (43,000 m3/d)
รวม 940,000 bbl/d หรือ 150,000 m3/d

จะเห็นว่าสิงคโปร์นั้นเป็นประเทศที่เล็กกว่าประเทศไทยมาก จำนวนประชากรน้อยกว่าของกรุงเทพมหานครเสียอีก แถมมีพื้นที่น้อยกว่าคูเวตที่เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่รายหนึ่งของโลก แต่กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของสิงคโปร์นั้นสูงกว่าของประเทศไทยและของคูเวตทั้ง ๆ ที่สิงคโปร์เองไม่มีแหล่งน้ำมัน กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศไทยนั้นเพิ่งจะเริ่มไล่ทันกำลังการผลิตที่สิงคโปร์เมื่อไม่นานนี้เอง 
    
การที่กำลังการกลั่นน้ำมันดิบที่สิงคโปร์สูงสุดในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลานาน ทำให้ตลาดใหญ่ของการซื้อ-ขายน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคนี้จึงไปอยู่ที่สิงคโปร์ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงอิงตลาดที่สิงคโปร์ ดังนั้นในมุมมองของผู้กลั่นน้ำมันและผู้ซื้อน้ำมันสำเร็จรูป ต้องจะอาศัยราคาที่ตลาดสิงคโปร์ ถ้าราคาที่สิงคโปร์รวมค่าขนส่งแล้วถูกกว่าซื้อจากโรงกลั่นในประเทศไทย ผู้ซื้อก็จะไปซื้อที่สิงคโปร์แทน ดังนั้นโรงกลั่นต้องลดราคาลงเพื่อให้ผู้ซื้อไม่ไปซื้อที่สิงคโปร์ ในทางกลับกันถ้าราคาที่สิงคโปร์นั้นสูงกว่าราคาขายในประเทศไทย โรงกลั่นก็จะส่งน้ำมันไปขายที่สิงคโปร์ ผู้ซื้อในเมืองไทยก็ต้องซื้อด้วยราคาเดียวกับที่สิงคโปร์
   
อีกข้อมูลหนึ่งที่ค้นได้จากเว็บของกรมธุรกิจพลังงานคือปริมาณการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ และปริมาณการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศไทย (ไทยไม่มีการส่งออกน้ำมันดิบ แต่มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังประเทศเพื่อนบ้าน) ซึ่งได้นำมาแสดงไว้ในตารางที่ ๒

ตารางที่ ๒ ปริมาณ (พันบาร์เรลต่อวัน) และมูลค่า (ล้านบาท) ของการนำเข้าน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ของประเทศไทย ข้อมูลจาก http://www.doeb.go.th/info/value_oil.php (หน้าเว็บวันอังคารที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖)


ก่อนอื่นพึงสังเกตว่าข้อมูลตัวเลขมูลค่าการส่งออก "น้ำมันสำเร็จรูป" ของกรมธุรกิจพลังงาน (ตารางที่ ๒) นั้นต่ำกว่าข้อมูลตัวเลขมูลค่าการส่งออก "น้ำมันสำเร็จรูป" ของกระทรวงพาณิชย์ (ตารางที่ ๑) แต่ก่อนที่จะตัดสินว่าตัวเลขของฝ่ายใดเชื่อถือได้มากกว่ากันนั้นคงต้องไปดูนิยามของคำว่า "น้ำมันสำเร็จรูป" ว่านิยามเอาไว้อย่างไร
   
ในส่วนของกรมธุรกิจพลังงานนั้นมีการระบุเอาไว้ว่าเป็นข้อมูล "น้ำมันเชื้อเพลิง" ซึ่งน้ำมันสำเร็จรูปนั้นอาจครอบคลุมไปถึงพวกน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่องจักรกลต่าง ๆ พวกที่ถูกส่งไปเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตโอเลฟินส์ หรือไม่ก็พวกที่ใช้ในรูปของตัวทำละลายก็ได้ แต่ทางเว็บของกระทรวงพาณิชย์เองก็ไม่ได้ให้นิยาม (หรือให้ไว้แต่ผมหาไม่เจอก็ได้) ว่ากำหนดขอบเขตของน้ำมันสำเร็จรูปไว้แค่ไหน
แถมอีกนิดนึงว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและสำเร็จรูปของประเทศไทยในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ เพียงปีเดียว สูงกว่ามูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕ รวมกันเสียอีก

อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจคือน้ำมันดิบแต่ละชนิดนั้นกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันไป และในขณะเดียวกันความต้องการผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้คงที่ตลอดทั้งปี ในช่วงที่โรงกลั่นต้องหยุดเดินเครื่องเพื่อทำการซ่อมบำรุงนั้นอาจต้องมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน และในบางขณะที่ตลาดต่างประเทศต้องการเพิ่มขึ้นนั้น โรงกลั่นก็อาจเดินเครื่องเต็มกำลังเพื่อให้มีน้ำมันส่วนเกินจากความต้องการในประเทศสำหรับส่งออกขายต่างประเทศก็ได้

กลไกหนึ่งที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมราคาสินค้าก็คือการใช้ภาษีสรรพษามิตซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่ง ภาษีสรรพษามิตใช้ในการควบคุมราคาสินค้าและบริการที่ไม่ต้องการให้มีการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย ที่เห็นได้ชัดคือ สุรา บุหรี่ รถยนต์ และสถานบันเทิง ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงเองนั้นเนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าเกือบทั้งหมด ถ้าหากปล่อยให้มีราคาถูกเกินไปก็จะเกิดการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย แต่ถ้ากำหนดภาษีให้สูงเกินไปก็จะทำให้กระทบกระเทือนต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นในทางปฏิบัติรัฐจึงสามารถปรับอัตราภาษีสรรพษามิตเพื่อไม่ให้ราคาขายในประเทศมีความผันผวนมากเกินไป โดยอาจปรับลดอัตราภาษีลงเพื่อไม่ให้ราคาขายน้ำมันในประเทศเพิ่มรวดเร็วเกินไป และในทางกลับกันก็สามารถเพิ่มภาษีดังกล่าวได้เพื่อไม่ให้น้ำมันมีราคาตกต่ำเร็วเกินไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก
   
การบิดเบือนราคาน้ำมันด้วยการใช้กลไกภาษีได้ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องโครงสร้างการใช้พลังงานแก่ประเทศไทยในอดีต ในยุคสมัยหนึ่งเคยมีการมองว่าน้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันของคนรวย ในขณะที่น้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันเพื่อการพาณิชย์เป็นน้ำมันของคนจน มีการกำหนดราคาขายน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันเบนซิน ผลที่เกิดขึ้นคือบรรดาผู้ใช้รถยนต์ต่าง ๆ หันไปใช้รถเครื่องดีเซลกันมาก ในขณะที่อีกพวกหนึ่งหันไปใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเกิดความฟุ่มเฟือยในการใช้น้ำมันดีเซล โรงกลั่นในประเทศไม่สามารถผลิตน้ำมันดีเซลเพื่อรองรับตลาดในประเทศได้ ต้องมีการนำน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปเข้าจากต่างประเทศ ในขณะเดียวกันน้ำมันเบนซินที่ผลิตได้ในประเทศล้นความต้องการของตลาดในประเทศ ต้องหาทางส่งออก จนกระทั่งมีการลอยตัวราคาน้ำมัน (น่าจะประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๒) ซึ่งทำให้ราคาขายน้ำมันของดีเซลเข้ามาอยู่ใกล้กับเบนซิน (ตอนนี้ที่มันห่างอยู่มากเป็นเพราะการบิดเบือนด้วยกลไกภาษีและกองทุนน้ำมัน)
   
อีกกรณีหนึ่งที่เคยเป็นที่ถกเถียงคือช่วงประมาณปีพ.ศ. ๒๕๔๘ ที่รัฐบาลกดราคาน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ทำมีการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีการสงสัยว่าน้ำมันดีเซลที่มีการจำหน่ายในขณะนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้งานทั้งหมด จำนวนไม่น้อยถูกนำไปกักตุนเพื่อเก็งกำไร เพราะรู้ดีว่ารัฐไม่สามารถกดราคาดีเซลเอาไว้ได้นาน พอรัฐปล่อยลอยตัว ราคาน้ำมันดีเซลก็เพิ่มทีเดียวลิตรละหลายบาท รายการนั้นมีการพูดกันว่าหลายคนได้กำไรไปอื้อซ่าจากราคาน้ำมันดีเซล

ที่เล่ามาเป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่งและมุมมองบางมุมของอุตสาหกรรมน้ำมันแค่นั้นเอง