แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฝาท่อระบายน้ำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฝาท่อระบายน้ำ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ไร้สาระสักวัน ในวันที่เช้าฝนตก MO Memoir : Wednesday 8 April 255

วันนี้เช้าออกจากบ้านเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม เกรงว่าจะมีลมพายุพัดแรง ก็เลยตัดสินใจเอารถเข้าไปจอดในอาคาร แม้ว่าจะต้องเดินมาไกลหน่อยก็ตาม (ปรกติช่วงเปิดภาคการศึกษาก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว แต่เป็นอาคารจอดรถอีกอาคารหนึ่ง) เพราะกลัวว่าจะมีของแถมมากับสายลม
  
สายแล้วแต่บรรยากาศรอบด้านมันมืดไปหมด ก็เลยถือโอกาสเอากล้องถ่ายรูปมาเดินถ่ายบรรยากาศเล่น เดินออกจากอาคารได้สักครึ่งทาง ฝนก็ถล่มลงมา โชคดีที่ติดร่มมาด้วย (แต่ก็ไม่ช่วยเท่าไร เพราะลมแรงจริง ๆ) ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปเล่นกลางสายฝนไปด้วยในตัว
  
อันที่จริงบรรยากาศฝนตั้งเค้าขนาดนี้ งานบางอย่างก็อาจสามารถรอก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องรีบทำ เพราะเผื่อมีฝนตก จะได้ไม่ต้องทำงานดังกล่าวให้มันสิ้นเปลืองทรัพยากร แต่ดูเหมือนว่าคนสวนที่นี้เขาเคร่งครัดหน้าที่เสียเหลือเกิน แม้ว่าฝนจะตกถล่มลงมาอย่างหนักติดเนื่องกันนาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาหน้าที่รดน้ำต้นไม้ได้
  

ตอนต้นปีในช่วงที่ผู้รับเหมาก่อสร้างกำลังเก็บงานวางระบบท่อระบายน้ำใหม่ของถนนรอบหน่วยงาน ผมเห็นปัญหาที่คาดว่าจะเกิดกับระบบตะแกรงระบายน้ำฝนจากผิวจราจรลงสู่ท่อระบายน้ำ ก็เลยถ่ายภาพเอาไว้และเขียนเรื่อง "เมื่อฝนแรกมา คงมีบุญตาได้เห็น ..." (ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๒๐ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๘) และเมื่อฝนแรกมาก็ได้เห็นปัญหาไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่นั่นเป็นการเห็นหลังจากที่ฝนหยุดตกไปแล้ว (ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๖๒ วันพุธที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง "เมื่อฝนแรกมา คงมีบุญตาได้เห็น ... (๒)" มาเช้าวันนี้เป็นภาพในขณะที่ฝนกำลังตกหนัก และก็พบว่ามันเกิดปัญหาดังที่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าจริง ๆ
  
 
ณ อาคารที่ไปสอนหนังสือนั้น เดิมทีปีกด้านทิศตะวันตกสุดทางเดินนั้นแต่ละชั้นจะมีทั้งห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิง อยู่ติดกัน ต่อมาเขามีการปรับปรุงใหม่ โดยยุบรวมห้องน้ำชั้น ๓ เปลี่ยนให้เป็นห้องน้ำหญิงเพียงอย่างเดียว ส่วนห้องน้ำชั้น ๔ ก็ยุบรวมเป็นห้องน้ำชายเพียงอย่างเดียว (ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงออกแบบเป็นอย่างนั้น) บังเอิญวันนี้ระหว่างช่วงพักระหว่างการสอน (วิชา ๓ ชั่วโมงก็เลยมีพักครึ่งตรงช่วงกลาง) เมื่อแวะเข้าไปใช้ห้องน้ำชายในชั้น ๔ ก็บังเอิญไปเห็นป้ายประกาศติดเอาไว้หน้าห้องส้วมห้องหนึ่งของห้องน้ำชาย
 

ปิดท้าย Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไร นอกจากภาพบรรยากาศฝนตกเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ถ่ายจากตึกทำงานชั้น ๑๐ มองไปทางด้านทิศใต้
  

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เมื่อฝนแรกมา คงมีบุญตาได้เห็น ... (๒) MO Memoir : Wednesday 25 March 2558

ผมเขียนเรื่องการปรับปรุงระบบระบายน้ำจากพื้นถนนลงท่อระบายน้ำใต้ถนนเพื่อระบายออกไปยังท่อระบายใหญ่ที่อยู่ใต้ถนนนอกหน่วยงานไว้ใน Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๒๐ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง "เมื่อฝนแรกมาคงมีบุญตาได้เห็น ..." และหนังจากนั้นเพียงสองเดือนเศษคือเมื่อวานนี้ ก็มีฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นชั่วโมงมาให้ชมกัน พอฝนเริ่มหยุดตก (แต่ยังไม่ขาดเม็ดดี) ก็เลยถือโอกาสเดินจากหยดน้ำฝนไปถ่ายรูปเล่นมาฝากกัน
  
แต่ละรูปนั้นคงไม่ขอระบุว่าเป็นที่ไหน แต่คิดว่าหลาย ๆ คนคงเดากันได้
  
กรุงเทพเป็นเมืองที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่มาก เผลอ ๆ บางบริเวณจะอยู่ระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเสียอีก ดังนั้นสำหรับท่อระบายน้ำที่อยู่ใต้พื้นผิวดิน จึงมีสิทธิที่จะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลลงไปได้อีก ดังนั้นการระบายน้ำออกจากบริเวณนี้จึงต้องมีการระบายน้ำลงสู่ที่ต่ำสำหรับรวบรวมน้ำ (ที่อาจต้องสร้างขึ้นเอง) และค่อยสูบน้ำออกจากแหล่งรวบรวมนั้นระบายออกสู่คลองเพื่อให้ไหลออกทะเลไป
  
และจะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าการออกแบบระบบระบายน้ำฝนของกรุงเทพนั้นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดน้ำท่วมไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด ในกรณีที่ฝนตกหนักมากนั้นมันเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องเกิดการท่วมขัง เพียงแต่ว่าจะสามารถระบายน้ำที่ท่วมขังนั้นออกไปได้เร็วเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพจำนวนไม่น้อยมีความหวาดกลัวน้ำท่วมขังจนไม่รู้ว่าจะมากเกินไปหรือเปล่า)








สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ามันมีส่วนทำให้ปัญหาน้ำท่วมหลังฝนตกเกิดขึ้นได้ง่ายก็เพราะเราพยายามที่จะระบายน้ำฝนที่ตกลงมานั้นลงสู่ระบบระบายน้ำทั้งหมด อันที่จริงพื้นดินนั้นก็สามารถรองรับน้ำฝนได้ในระดับหนึ่งด้วยการซึมซับเอาไว้ รอบ ๆ ตัวบ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้นเป็นพื้นดิน เวลาฝนตกลงมาแต่ละครั้งถ้าไม่หนักมากต่อเนื่องกัน น้ำฝนจะไม่ท่วมขังบนพื้นดินจนล้นไหลลงทางระบายน้ำที่อยู่รอบรั้ว แต่จะซึมลงใต้ดินหายไป น้ำที่ซึมหายลงไปในดินนี้จัดว่าสำคัญสำหรับไม้ใหญ่ที่มีรากฝังลึกอยู่ใต้ดิน เพราะมันสามารถใช้น้ำดังกล่าวได้ตลอดทั้งปีแม้ว่าจะไม่มีฝนตกติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน (น้ำรดต้นไม้ที่รดกันอยู่มันก็ช่วยแค่พืชคลุมดินที่รากอยู่ตื้น เว้นแต่จะมีการเปิดทิ้งไว้นานหน่อยน้ำจึงจะซึมลึกลงไปใต้ดินที่มีรากต้นไม้ใหญ่อยู่) แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมปฏิบัติกันของผู้บริหารหน่วยงานที่นึกอะไรไม่ออกก็ทำการเทปูนบริเวณที่เป็นพื้นดินเสียก่อน คนผ่านไปมาจะได้เห็นว่ามีผลงานในเรื่อง "การปรับปรุงภูมิทัศน์" ทำให้ในสถานที่หลายแห่งนั้นพบว่าพื้นดินเปิดสำหรับให้น้ำฝนไหลซึมลงดินไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ใหญ่นั้นลดน้อยลงไปทุกที


ถนนอังรีดูนังต์ด้านริมรั้วเคยเป็นคลองมาก่อน ดูเหมือนใต้ท้องถนนปัจจุบันจะเป็นทางระบายน้ำขนาดใหญ่ที่ระบายออกไปยังคลองแสนแสบข้างวัดปทุมวนาราม ทางระบายน้ำในมหาวิทยาลัยก็ระบายน้ำออกมายังทางระบายน้ำใต้ถนนนี้ หลังฝนตกปรากฏว่าหลายแห่งน้ำลดลงเร็ว แต่มีอยู่เส้นหนึ่งที่ยังมีน้ำท่วมขัง (ตั้งแต่รูปที่ ๒ ถึงรูปที่ ๗) ตอนเดินวนกลับมาพบว่ามีเจ้าหน้าที่มาทำการรื้อเอาอุปกรณ์ดักขยะไม่ให้ไหลลงทางระบายน้ำใหญ่ แต่ปรากฏว่าอุปกรณ์มันอุดตัน (จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่รู้) เลยต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่มารื้อเอาออก (ที่เห็นเป็นแผ่นไม้วางกอง ๆ อยู่) น้ำจึงระบายออกไปได้

บริเวณถนนที่น้ำไม่ท่วมนั้นดูเหมือนว่าเป็นเพราะน้ำฝนจากผิวจราจรไหลลงตรงรอยต่อระหว่างฝาท่อคอนกรีตที่มีการเว้นช่องว่างเอาไว้ ส่วนตรงช่องระบายที่มีตะแกรงดักใบไม้อยู่นั้น ก็ทำหน้าที่ดักเก็บใบไม้เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

เมื่อฝนแรกมา คงมีบุญตาได้เห็น ... MO Memoir : Sunday 11 January 2558

ขนาดของท่อระบายน้ำที่อยู่ตามถนนเพื่อรองรับน้ำฝนหรือน้ำทิ้งจากตัวอาคารต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่คาดการณ์เอาไว้ว่าต้องรองรับ น้ำทิ้งจากตัวอาคารต่าง ๆ มักมาตามท่อน้ำทิ้งออกจากตัวอาคารและต่อเข้ากับบ่อพักโดยตรงและมักจะไหลมาแบบเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังมักไม่ค่อยมีขยะอะไรติดมา เพราะขยะมักจะถูกดักออกตั้งแต่จุดรองรับน้ำทิ้งของอาคาร ที่เป็นปัญหามากกว่าน่าจะเป็นน้ำฝน เพราะช่วงฝนตกหนักจะมีน้ำในปริมาณมากในเวลาอันสั้น ถ้าหากระบบท่อระบายนั้นรองรับไม่ไหวก็จะเกิดการสะสมของน้ำบนผิวจราจรได้
  
ในบ้านเรานั้น ถ้าเป็นถนนประเภททางหลวงที่ตัวถนนเองนั้นจะสูงกว่าพื้นที่ข้างทางซึ่งมักจะไม่มีการสร้างท่อระบายน้ำอยู่ข้างถนน แต่ก่อนที่เห็นเป็นปรกติก็จะก่อสร้างโดยให้ถนนนั้นสูงตรงกลางและลาดต่ำลงด้านข้างแบบที่เรียกว่า "โค้งหลังเต่า" ทั้งนี้เพื่อให้น้ำฝนที่ตกลงบนถนนนั้นไหลออกไปทางไหล่ทางได้สะดวก แต่พักหลักมักจะเห็นถนนที่ทำการก่อสร้างใหม่หรือปรับปรุงใหม่นั้นมักจะได้ระดับเสมอกันทั้งด้านข้างและตรงกลาง ทำให้มีปัญหาเรื่องการสะสมของน้ำฝนบริเวณตอนกลางของถนน แต่ถ้าเป็นถนนในเมืองที่มีทางเท้า ทางเท้าก็มักจะยกขึ้นสูงกว่าผิวจราจร และถ้าทางเท้ามีขนาดกว้างพอก็มักจะวางท่อระบายน้ำไว้ใต้ทางเท้านั้น และมีช่องรองรับน้ำฝนเพื่อระบายน้ำฝนลงสู่บ่อพักของระบบท่อระบายน้ำ ช่องรองรับน้ำฝนที่เห็นตัวไปก็จะเป็นช่องเปิดในแนวดิ่งที่มีตะแกรงเหล็กขวางเอาไว้กันขยะชิ้นใหญ่หลุดรอดเข้าไป (รูปที่ ๑) ระบบนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ว่าไม่ก่อให้เกิดปัญหากับรถจักรยานและจักรยานยนต์ (ที่มักมีปัญหากับฝาท่อระบายที่เป็นแบบตะแกรงเหล็ก) และไม่ต้องกลัวฝาบ่อพักพังเพราะรับน้ำหนักรถที่วิ่งผ่านไม่ไหวด้วย (ถนนในซอยบ้านผมไม่มีทางเท้า แต่มีรถใหญ่วิ่งได้ ฝาบ่อพักที่เป็นคอนกรีตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผิวจราจรมักจะพังเป็นประจำ กลายเป็นกับดักรถเล็กเสมอ)
  
ในกรณีของระบบท่อระบายน้ำที่อยู่ทางด้านข้างถนนนั้น ฝาบ่อพักก็มักจะเป็นกลายเป็นส่วนหนึ่งของผิวจราจรด้วย (กล่าวคือโดนรถวิ่งทับ) ฝาบ่อพักที่เป็นคอนกรีตมันดีตรงที่มักจะไม่โดนขโมยเอาไปขาย แต่มันแย่ตรงที่มักจะแตกหักได้ง่าย และทำรูรับน้ำฝนให้ไหลลงท่อให้มีช่องใหญ่ไม่ได้ ส่วนฝาบ่อพักที่เป็นเหล็กนั้นมันแตกหักยากกว่า ทำให้มันเป็นตะแกรงเพื่อให้น้ำฝนไหลลงท่อได้สะดวกก็ได้ แต่มักจะโดนขโมยเอาไปขาย และร่องตะแกรงที่มีขนาดใหญ่ยังก่อปัญหากับรถจักรยานและจักรยานยนต์ที่มีหน้ากว้างล้อที่แคบ ที่สามารถตกลงไปในร่องตะแกรงนั้นได้

รูปที่ ๑ ท่อรับน้ำฝนแบบที่เห็นกันได้ทั่วไปตามทางเท้าต่าง ๆ
  
ในกรณีของระบบท่อระบายน้ำที่อยู่ทางด้านข้างของผิวจราจร (แต่ไม่ได้อยู่ใต้ทางเท้า) ที่เห็นเป็นปรกติก็คือนอกเหนือจากจะทำให้ผิวจราจรนั้นลาดเอียงจากตรงกลางลงสู่ทางด้านข้างแล้ว ตลอดแนวความยาวด้านข้างของถนนก็จะทำเป็นร่องหรือรางน้ำเพื่อให้น้ำที่ไหลจากกลางถนนมาทางด้านข้างนั้นไหลลงสู่รูระบายน้ำของบ่อพักได้ง่ายขึ้น รูปที่ ๒ ที่เอามาให้ดูเป็นสภาพเดิมของระบบท่อระบายน้ำของถนนหลักเส้นหนึ่งของหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่ รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วก่อนที่เขาจะทำการปรับปรุงระบบท่อระบายน้ำ ระบบเดิมนั้นเป็นรางรูปตัว U มีฝาคอนกรีตปิดตลอดด้านบนของราง โดยบางฝาจะมีช่องที่เป็นตะแกรงเหล็กสำหรับให้น้ำฝนไหลลงราง หรือบางตำแหน่งเขาก็วางเป็นตะแกรงเหล็กเลย ระบบเดิมก่อนการปรับปรุงนั้นมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขังเป็นประจำภายหลังฝนตกหนัก จึงทำให้ต้องมีการแก้ไข
 

รูปที่ ๒ ระบบรางระบายน้ำเดิมก่อนการปรับปรุง (ถ่ายไว้เมื่อพฤษภาคม ๒๕๕๗)

ถ้าไม่นับปัญหาเรื่องระดับน้ำของจุดรองรับน้ำ (เช่นคลอง บึง แม่น้ำ เป็นต้น) มีระดับที่สูง สาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมขังบนผิวจราจรก็เห็นจะได้แก่การที่ (ก) ท่อระบายมีขนาดเล็ก ระบายน้ำออกสู่จุดรองรับน้ำได้ไม่ทัน หรือ (ข) น้ำไม่สามารถไหลลงสู่ท่อได้ทันเนื่องจากรูรองรับน้ำอุดตันหรือมีไม่พอ ดังนั้นต่อให้ท่อระบายที่อยู่ข้างใต้มีขนาดใหญ่แค่ไหน น้ำก็ไหลลงท่อไม่ได้อยู่ดี ปัญหาเรื่องน้ำท่วมขังผิวจราจรก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าทำให้รูรองรับน้ำให้ไหลลงท่อนั้นมีขนาดใหญ่ ไม่เพียงแต่น้ำจะไหลลงท่อได้สะดวก ขยะต่าง ๆ ก็จะไหลลงท่อได้ง่ายด้วย แต่ในทางกลับกันถ้ารูรองรับน้ำให้ไหลลงท่อนั้นมีขนาดเล็ก ขยะต่าง ๆ ก็จะหยุดรอดเข้าไปในท่อระบายน้ำได้ยาก แต่รูรองรับน้ำก็จะอุดตันได้ง่าย
  
ขยะที่เห็นว่าก่อปัญหาให้กับรูรองรับน้ำให้ไหลลงท่อระบายนั้นมีอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือขยะที่คนทิ้งไม่เป็นที่ ชนิดที่สองคือใบไม้ที่ร่วงหล่นตามฤดูกาล
  
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว การปรับปรุงถนนและระบบท่อระบายน้ำ (เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมตามที่เขาบอก) ของหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ก็เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเพื่อเป็นการบันทึกว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด และมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ออกมาเป็นดังรูปที่ ๓
 
รูปที่ ๓ ระบบระบายน้ำหลังการปรับปรุง (ถ่ายไว้เมื่อธันวาคม ๒๕๕๗)

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งกล่าวว่า "เมื่อปลายปี ดอกจามจุรี ร่วงหล่น ทิ้งใบเกลื่อนถนน เหลือเพียงลำต้น ยืนไว้" จะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยเห็นต้นจามจุรี (หรือก้ามปู) ทิ้งใบจนเหลือแต่ต้นเปล่า ๆ เห็นแต่เพียงแค่ช่วงฤดูหนาวนั้นมันจะมีใบร่วงมากเป็นพิเศษ ตอนกลางเดือนที่แล้วก็เป็นช่วงที่ต้นใบจามจุรีร่วงมากพอดี และถนนที่เขาทำการปรับปรุงนั้นก็มีการปลูกต้นจามจุรีเอาไว้ตลอดสองข้างทางเพื่อให้ร่มเงา ผมก็เลยถือโอกาสแวะเยื่ยมชมผลงานการปรับปรุงหน่อยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ได้ตัวอย่างมาดังแสดงในรูปที่ ๔
  
จุดรองรับน้ำฝนแบบใหม่ที่นำมาใช้นี้เป็นระบบสองชั้น โดยส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างจุดรองรับกับท่อระบายที่อยู่ข้างใต้นั้นเป็นตะแกรงเหล็กแบบนูน (รูปที่ ๔ ล่าง) ที่ปิดทับเอาไว้ด้วยตะแกรงเหล็กแบบแบนอีกชั้นหนึ่ง (รูปที่ ๔ บน) และเพื่อป้องกันไม่ให้ตะแกรงเหล็กถูกขโมยเอาไปขายเป็นเศษเหล็กได้ง่าย จึงได้ทำการยึดตะแกรงเอาไว้ด้วยการใช้สกรูยึดเอาไว้ (ในวงรีสีเหลืองในรูปที่ ๔ บน) ดังนั้นใครจะมาขโมยตะแกรงเหล็กนี้จำเป็นต้องติดไขควงมาด้วย
ด้วยระบบการป้องกันตะแกรงสองชั้นจึงทำให้มั่นใจว่าปัญหาเรื่องขยะอุดตันในท่อระบายน้ำจะหมดไป เพราะขยะที่เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นใบจามจุรีที่ร่วงหล่นลงมานั้น แม้ว่าจะสามารถรอดผ่านช่องว่างของตะแกรงเหล็กชั้นบนได้ แต่ก็ยากที่จะรอดผ่านตะแกรงเหล็กชั้นที่สองได้ง่าย ทำให้ถูกกักเก็บเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างตะแกรงเหล็กทั้งสองชั้นนั้นซึ่งเห็นได้ชัดในรูปที่ ๔ และ ๕ ที่เอามาให้ชมกัน
 

รูปที่ ๔ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตำแหน่งให้น้ำฝนไหลลงท่อระบาย (ถ่ายไว้เมื่อกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๗)

ใบไม้ที่มันลงไปสะสมในจุดรองรับน้ำฝนให้ไหลลงท่อนั้น ไม่ได้ลงไปเพราะน้ำฝนพัดพาลงไปนะครับ แต่เป็นเพราะลมพัด โดยอาจมีบางส่วนเกิดจากการกวาดเอาใบไม้ออกที่อาจทำให้มีการเขี่ยให้ใบไม้บางส่วนร่วงหล่นลงไป ซึ่งถ้าไม่มีตะแกรงชั้นล่างอยู่ ใบไม้ดังกล่าวก็จะตกลงไปสะสมในบ่อพักข้างล่าง ดังนั้นระบบนี้จึงช่วยลดปัญหาขยะสะสมในบ่อพัก
ระบบตะแกรงสองชั้นนี่จะว่าไปแล้วตามบ้านเรือนก็มีใช้กันตรงอ่างล้างจานบางแบบ ที่มีตะกร้าพลาสติกรองรับเศษอาหารที่หลุดรอดจากตะแกรงอ่างอีกชั้นหนึ่ง ก่อนปล่อยให้น้ำไหลลงท่อ ระบบอ่างล้างจานก็เป็นระบบที่ออกแบบมาให้ทำความสะอาดได้ง่าย แค่สวมครอบเอาไว้เฉย ๆ จะเทขยะทิ้งทีก็เพียงแค่ยกขึ้นแล้วเอาขยะไปเทใส่ถังขยะ ไม่จำเป็นต้องมีการถอดสกรูหรือถอดนอตใด ๆ ทั้งสิ้น


รูปที่ ๕ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็มีสภาพแบบนี้ทั่วไปหมดแล้ว

สิ่งที่ระบบระบายน้ำใหม่กำลังรอคอยอยู่คือการทดสอบจริง ก็ได้แต่รอว่าเมื่อใดจะมีฝนตกหนักเป็นครั้งแรกซักที (ที่ผ่านมาเรียกว่าตกสร้างความรำคาญมากกว่า) และเมื่อถึงเวลานั้นเราก็คงจะมีโอกาสที่จะได้เห็น .... (เติมเอาเองแล้วกันครับ แต่รอให้หลังฝนตกหนักก่อนจะดีกว่า) ....

งานนี้หวังว่าเขาคงไม่แก้ปัญหาใบไม้อุดตันรูรองรับน้ำฝนด้วยการตัดต้นจามจุรีทิ้งแล้วปลูกกล้วยแทนนะ :)

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

นึกหาเหตุผลไม่ออกจริง ๆ MO Memoir 2557 Mar 7 Fri

สิทธิของผู้พิการก็เป็นสิทธิหนึ่งที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๐) ที่รัฐจะต้องดูแลและพัฒนาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้
 
ในสถาบันของเราก็ได้ทำการปรับปรุงทางเดินและตัวอาคาร โดยในส่วนของทางเดินเท้านั้นก็ได้มีการปูกระเบื้องพื้นทางเดินสำหรับคนตาบอด และทำทางลาดสำหรับผู้ที่ต้องนั่งรถเข็น (แต่เห็นมอเตอร์ไซค์ใช้เป็นทางสำหรับขึ้นมาขับขี่และจอดรถบนทางเดินเท้าซะมากกว่า) ส่วนตัวอาคารเองบางอาคาร (เช่นโรงอาหารบางโรง) ก็มีการทำทางลาดสำหรับให้ผู้พิการที่ต้องนั่งรถเข็นเข้าสู่โรงอาหารได้ (ส่วนไปนั่งที่โต๊ะไหนได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
 
รูปที่ ๑ พื้นกระเบื้องสำหรับคนตาบอด (แผ่นสีเหลือง) ที่เป็นสันนูนในแนวยาวบอกว่าทางเดินยังตรงไปข้างหน้า ส่วนที่เป็นปุ่มกลม ๆ นั้นเป็นตัวบอกว่ากำลังจะสิ้นสุดทางเดินหรือถึงบริเวณทางแยก

เมื่อเดือนที่ผ่านมา เห็นทางสถาบันเขามีการกั้นเชือกเส้นทางเดินที่ผมเดินอยู่ประจำระหว่างอาคารจอดรถกับตึกที่ทำงาน (ห่างกันประมาณ ๑๐๐๐ เมตร) พร้อมกับคนงานและถุงปูนซิเมนต์ ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะทำอะไรกับทางเดิน เพราะมันก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร แต่พอคนงานย้ายตำแหน่งทำงาน ก็เลยรู้ว่าเป็นการ "เปลี่ยน" พื้นผิวฝาบ่อพักท่อระบายน้ำ จากรูปแบบเดิม (รูปที่ ๒) ที่ทำกลมกลืนไปกับเส้นทางเดินสำหรับคนตาบอด มาเป็นรูปแบบใหม่ (รูปที่ ๓) ที่เป็นผิวคอนกรีตเรียบ ๆ ธรรมดาแต่มีรูระบาย ทำให้เส้นทางเดินสำหรับคนตาบอดนั้นขาดเป็นช่วง ๆ
 
จะว่าทำเพื่อให้น้ำบนทางเท้าไหลลงท่อได้สะดวกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันแก้ได้ด้วยวิธีการอื่นก็ได้ จะว่าเป็นเพราะของเดิมมันพังก็ไม่ใช่ (ก็ผมเดินผ่านอยู่เป็นประจำ ก็เห็นว่ามันยังเรียบร้อยดี)

รูปที่ ๒ ฝาท่อระบายน้ำบนทางเดินเดิม

รูปที่ ๓ ฝาท่อระบายน้ำที่มีการทำขึ้นมาใหม่

รู้แต่เพียงว่าการทำเช่นนี้ต้องมีค่าใช้จ่าย ส่วนทำไปทำไมและเพื่ออะไรนั้น ต้องของบอกตามตรงว่า นึกหาเหตุผลไม่ออกจริง ๆ