แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มั่วผลแลป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มั่วผลแลป แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เขียนไว้ เพื่อเตือนใจตนเอง (๒) MO Memoir : Thursday 7 August 2557

"สำคัญสุดคือวิธีการทดลอง ถ้าวิธีการทดลองผิดพลาด ผลการทดลองก็ไม่มีค่าควรแก่การพิจารณา"

ตอนเรียนอยู่อังกฤษ เมื่อเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาให้คำแนะนำสั้น ๆ สำหรับการเขียนเอาไว้ว่า "เมื่อคนอ่านเขาอ่านแล้ว เขาต้องไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ ในสิ่งที่เราทำ"
  
การสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของอังกฤษของสถาบันการศึกษาที่ผมไปศึกษา (สมัยเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ส่วนตอนนี้ยังเหมือนเดิมหรือเปล่าผมก็ไม่รู้) นั้นจะใช้กรรมการสอบที่เป็นตัวแทนของสถาบัน ๑ คน และกรรมการจากต่างสถาบันอีก ๑ คน ส่วนตัวอาจารย์ที่ปรึกษานั้นบาง College ไม่อนุญาตให้อยู่ฟังการสอบ แต่บาง College ก็อนุญาตให้อยู่ฟังการสอบได้ ถ้าผู้สอบปกปกวิทยานิพนธ์นั้น "อนุญาต" อาจารย์ที่ปรึกษาของผมบอกกับผมว่า ผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเขา ถ้ากรรมการสอบเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำ ผมก็สอบผ่าน
  
นั่นคือระบบการสอบแบบอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ทำวิทยานิพนธ์นั้นมีสิทธิในการนำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองยึดถือ
  
การสอบตอนนั้นหลังจากเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จ ก็ต้องพิมพ์ออกมา นำไปเข้าเล่มปกแข็ง ทำตัวหนังสือสีทองให้เรียบร้อย ทำขึ้นมาอย่างน้อย ๔ เล่ม ๒ เล่มสำหรับกรรมการสอบ ๑ เล่มสำหรับ College ที่เรียน และอีก ๑ เล่มสำหรับมหาวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยในอังกฤษหลายแห่งประกอบด้วย College ย่อย ๆ เช่น London, Cambridge, Oxford ที่แต่ละ College ย่อย ๆ นั้นก็มีตำแหน่งที่ทำหน้าที่เหมือนกับอธิการบดีของมหาวิทยาลัย) ถ้าสอบผ่านโดยไม่มีการแก้ไข วิทยานิพนธ์ที่จัดทำขึ้นนั้นก็จะถูกส่งต่อเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยได้เลย
  
ถ้ามีการแก้ไข (มักเป็นพิมพ์ผิดมากกว่า) เพียงแค่ไม่กี่หน้า (ดูเหมือนจะไม่เกิน ๔ หน้า) ก็สามารถส่งให้ร้านทำปกหนังสือตัดเฉพาะหน้าที่ต้องการแก้ไขออก แล้วติดหน้าที่แก้ไขแล้วเข้าแทน โดยไม่ต้องรื้อปกออกทำใหม่ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็ต้องมีการรื้อปก ซึ่งก็เหมือนกับทำเล่มใหม่แต่ต้น
  
เจอแบบนี้เข้าเวลาตรวจทานแต่ละประโยค ต้องกลับไปหาพื้นฐานภาษาอังกฤษที่เคยเรียน ประโยคนั้นตัวไหนเป็นประธาน ตัวไหนเป็นกิริยา กิริยานั้นต้องมีกรรมรองรับหรือไม่ รูปแบบของกิริยารับกับประธานหรือไม่ กิริยารับกับรูปแบบประโยคที่เป็น passive voice หรือ active voice หรือไม่ ฯลฯ อ่านกันจำไม่ได้ว่ากี่รอบ แต่สุดท้ายก็ยังมีพลาดไปบ้างจนได้ โชคยังดีที่ยังไม่ต้องรื้อเล่มทำใหม่
  
หลังจากส่งวิทยานิพนธ์แล้วก็รอเวลาสอบ ปรกติก็ไม่เกิน ๓ เดือน กรรมการสอบเขาอ่านสิ่งที่เราเขียนซะทุกหน้า ตอนเข้าห้องสอบก็พอจะรู้แล้วว่าจะโดนหนักแค่ไหนโดยชำเลืองดูจากกระดาษที่เขาเหน็บมาในเล่มวิทยานิพนธ์ที่เราส่งให้เขา พอเริ่มการสอบก็ไม่ต้องมีการนำเสนอใด ๆ ทั้งสิ้น กรรมการเปิดฉากถามในสิ่งที่เขาสงสัยเลย เหตุผลที่เขาไม่ต้องมีการนำเสนอก่อนคิดว่าเป็นเพราะเขาถือว่าผู้เรียนนั้นเมื่อเขียนวิทยานิพนธ์แล้วก็จากไป มีอะไรสงสัยจะไปตามถามหาก็ไม่ได้ แต่ตัวเล่มวิทยานิพนธ์นั้นอยู่ประจำที่ห้องสมุดที่ใครต่อใครมาอ่านได้ ดังนั้นวิทยานิพนธ์เล่มนั้นจึงควรต้องสมบูรณ์แบบที่เรียกว่าเมื่อใครก็ตาม (ที่มีพื้นฐานทางด้านสาขาวิชานั้นบ้าง) อ่านแล้วไม่มีข้อสงสัยใด ๆ
  
งานที่ผมทำนั้นมีทั้งส่วนที่เป็น computer simulation ตอนนั้นต้องเขียนภาษา FORTRAN 77 โดยมี NAG library เป็นซอร์ฟแวร์ช่วยในการแก้ปัญหาระบบสมการพื้นฐาน (เช่นคำนวณเมทริกซ์) งานอีกส่วนนั้นเป็นการทดลองกับ pilot plat โดยนำเอาข้อมูลจากการทดลองที่ได้นั้นมาสร้างแบบจำลอง และทำการประมวลผลดูว่าสอดคล้องกันหรือไม่
  
และงานส่วนที่ผมโดนกรรมการซักหนักมากที่สุดในการสอบ ๒ ชั่วโมงนั้นก็คือ "วิธีการทดลองและการวัดผล"

ถ้าวิธีการทดลองหรือที่เรามักเรียกว่า set lab นั้นผิดพลาดหรือไม่น่าเชื่อถือ หรือวิธีการวัดผลมันไม่น่าเชื่อถือ ค่าที่วัดได้มามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอาไปใช้งานต่อ ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาไปสรุปผลการทดลองหรือการสร้างแบบจำลอง และตอนที่ผมทำการทดลองอยู่นั้น งานส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่โดนอาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบอยู่เสมอ เรียกว่าแต่ละขั้นตอนที่ทำอย่างนั้น ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด และมันให้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่
  
ที่วันนี้เขียนเรื่องนี้ก็เพราะหลังจากที่เขียนเรื่องการทำแลป (ในตอนที่ ๑) ไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เพนกวินสาวที่อยู่บนเกาะใกล้ขั้วโลกเหนือ (อันที่จริงควรต้องเป็นหมีขั้วโลกจึงจะถูก) ก็แชร์ข่าวที่เพิ่งจะปรากฏไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้นให้เห็น เนื้อข่าวเป็นอย่างไรก็ลองอ่านเองในบทความข้างล่างก่อนก็แล้วกัน


รูปที่ ๑ ข่าวการเสียชีวิตของนักวิจัยญี่ปุ่นรายหนึ่งจากการทำอัตวินิบาตกรรม อันเนื่องจากผลงานตีพิมพ์ที่เป็นที่สงสัย
เพื่อเป็นการปูพื้นฐานของความสำคัญของงานดังกล่าวก็ขออธิบายให้ฟังแบบคร่าว ๆ ตามความรู้ที่ผมมีก็แล้วกัน คือในการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธุ์โดยที่ต้องนำยีน (gene) ครึ่งหนึ่งมาจากฝ่ายพ่อและอีกครึ่งหนึ่งจากฝ่ายแม่มาผสมกันนั้น กลายเป็นเซลล์ที่สมบูรณ์แบบ ๑ เซลล์ จากนั้นเซลล์นี้ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นด้วยการแบ่งเซลล์ โดยในช่วงแรกเซลล์ที่แบ่งออกมานั้นจะมียีนที่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากว่าตอนที่เซลล์นี้แบ่งจำนวนจาก ๑ เป็น ๒ และมีสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เซลล์สองเซลล์นี้แยกออกจากกัน ต่างเซลล์ต่างก็จะเริ่มต้นแบ่งตัวของมันอีกต่อไปเหมือน ๆ กัน ก็จะได้ฝาแฝดเหมือน
  
แต่เมื่อเซลล์แบ่งตัวไปได้ถึงระดับหนึ่ง ยีนในแต่ละเซลล์นั้นเริ่มมีการทำงานที่แตกต่างกัน (เช่นอาจเกิดจากการที่ยีนบางตัวในแต่ละเซลล์นั้นหยุดการทำงาน ซึ่งแต่ละเซลล์มียีนที่หยุดการทำงานที่ไม่เหมือนกัน) ทำให้แต่ละเซลล์มีพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือเซลล์ต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อไปเป็นอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย บางเซลล์พัฒนาต่อไปเป็นเซลล์สมอง บ้างก็ไปเป็นเซลล์กล้ามเนื้อ หัวใจ ลำไส้ ผิวหนังฯลฯ ส่วนอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ที่มีจุดเริ่มต้นเดียวกันกลับมีการพัฒนาที่ไม่เหมือนกันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านักวิทยาศาตร์เขาระบุได้ชัดเจนหรือยัง
  
ลองนึกภาพการรักษาโรคในร่างกายของเราที่เกี่ยวข้องกับการชำรุดทรุดโทรมของอวัยวะ ถ้าเราสามารถสร้างอวัยวะนั้นขึ้นมาใหม่จากเซลล์ของเราเองได้ โดยนำเอาเซลล์ของเราเองนั้นมาเลี้ยงให้โตเป็นอวัยวะต่าง ๆ และนำไปปลูกถ่ายแทนของเดิมที่ชำรุดหรือมีปัญหา หรือไม่ก็ฉีดให้มันเข้าไปเติบโตร่วมกับของเดิมที่มีปัญหา ก็น่าจะเป็นแนวทางการรักษาหลายโรคที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางรักษา และถ้าเป็นอวัยวะที่เติบโตมาจากเซลล์ของผู้ป่วยเอง ปฏิกิริยาการต่อต้านจากร่างกายก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย
  
แม้ว่าทุกเซลล์ของร่างกายจะมียีนที่เหมือนกัน แต่หน้าที่การทำงานของยีนในแต่ละเซลล์นั้นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราสามารถไป reset การทำงานของยีนในแต่ละเซลล์ใหม่ได้ โดยให้มันเป็นเสมือนเซลล์เริ่มต้นตอนที่มันเริ่มปฏิสนธินั้น ดังนั้นถ้าเรานำเซลล์ผิวหนังของใครสักคนสัก ๑๐ เซลล์ไปแยกเลี้ยงให้เจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ เราก็จะได้คน ๆ นั้นขึ้นมาใหม่อีก ๑๐ คน นั่นก็คือการโคลนนิ่ง (cloning) นั่นเอง นั่นคือความหมายของข้อความที่ว่า "reprogram mature animal cells back to an embryonic-like state" ที่ขีดเส้นใต้ไว้ในรูปที่ ๑


รูปที่ ๒ รูปนี้นำมาจาก URL เดียวกับรูปที่ ๑ คือรูปในข่าวนั้นเป็นแบบ slide show มี ๒ ภาพ รูปนี้เป็นรูปที่ ๑ โดยมีคำบรรยายรูปว่าYoshiki Sasai, deputy director of the Riken's Center for Developmental Biology, attends a news conference in Tokyo, in this photo taken by Kyodo April 16, 2014. REUTERS/Kyodo
  
แต่การโคลนนิ่งเองก็ยังมีคำถามที่ต้องตอบก็คือ อายุของเซลล์นั้นเริ่มนับจากไหน เมื่อ reset เซลล์ใหม่ก็เริ่มนับอายุเริ่มต้นใหม่ไหม หรือยังนับจากการเกิดครั้งแรกของมัน
  
ตอนที่สอบสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนขั้นใบประกอบวิชาชีพนั้น ผู้สัมภาษณ์ถามผมว่าในความเห็นของผมนั้น คิดว่าทางมหาวิทยาลัยควรต้องมีการปรับปรุงอย่างไรในเรื่องการทำวิจัย ผมก็ตอบเขาไปว่าต้องพร้อมที่จะให้ "ตรวจสอบ" หมายถึงการทำวิจัยต่าง ๆ นั้นต้องพร้อมที่จะให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นส่วนวิธีการหรือการแปลผล ว่าได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ และผลการทดลองดังกล่าวควรต้องสามารถทำซ้ำได้ด้วยผู้อื่น ด้วยเครื่องมือคนละชิ้น แต่ใช้ระเบียบวิธีการเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ได้ผลงานที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติได้
  
แต่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยสถาบันต่าง ๆ ที่ชอบจัดอันดับ (และมหาวิทยาลัยของไทยก็มันตามเขาไปด้วย) ไม่ได้ให้ความสำคัญกับจำนวนผลงาน "ที่นำไปใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ" แต่ไปให้ความสำคัญกับ "จำนวนผลงานที่มีการตีพิมพ์" เสียมากกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลที่จะเห็นว่าผู้บริหารจำนวนไม่น้อยจะหาทางกระตุ้นให้บุคคลากรในมหาวิทยาลัยทำอย่างไรก็ได้ให้มีผลงานตีพิมพ์เยอะ ๆ โดยเน้นที่จำนวนเป็นหลัก ไม่ได้สนใจในกระบวนการเท่าใดนัก
  
เชื่อว่าถ้ามีอาจารย์สักคนมีชื่อตีพิมพ์ในบทความได้ถึง ๓๖๕ บทความต่อปี ก็คงไม่แปลกที่จะเห็นสถาบันต่าง ๆ ยกย่องเชิดชูเกียรติว่าเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แต่ถ้าเราลองพิจารณาดูให้ดี ๓๖๕ บทความต่อปีก็เหมือนกับออกบทความ ๑ ฉบับต่อ ๑ วัน ในความเป็นจริงเขาสามารถเวลาที่ไหนมาทำงานดังกล่าวได้ เว้นแต่ว่าจะมีคนอื่นหลาย ๆ คนทำให้แล้วใส่ชื่อเขาเข้าไปเท่านั้นเอง (ลองเอาจำนวนบทความที่แต่ละคนตีพิมพ์ใน ๑ ปีมาหารจำนวนวันทำงานก็จะเห็นเอง)

ผลงานใดจะมีคุณค่าหรือไม่นั้นไม่ได้อาศัยคำบอกเล่าของผู้เขียนบทความหรือผู้ทำงานร่วมกับผู้เขียนบทความนั้น แต่ต้องมาจากคำบอกเล่าของคณะผู้วิจัยอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ที่ได้มีการนำเอาผลงานของผู้เขียนบทความนั้นไปทำซ้ำได้และนำไปใช้งานได้จริง


รูปที่ ๓ รูปนี้นำมาจาก URL เดียวกับรูปที่ ๑ เช่นกัน โดยมีคำบรรยายรูปว่าYoshiki Sasai (R), deputy director of the Riken's Center for Developmental Biology, poses for a photo with Haruko Obokata, a scientist at the center, in front of a screen showing Stimulus-Triggered Acquisition of Pluripotency (STAP) cells, in Kobe, western Japan, in this photo taken by Kyodo January 28, 2014. REUTERS/Kyodo
  
การที่รีบประกาศเองว่าค้นพบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพื่อที่ตนเองจะได้มีชื่อเสียงก้องโลกก่อนที่ผลงานนั้นจะได้รับการตรวจสอบโดยผู้อื่น ซึ่งมาพบภายหลังว่าผลงานนั้นไม่มีใครสามารถทำซ้ำได้นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นก็มีกรณีของ "Cold fusion" ที่เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษในปีค.ศ. ๑๙๘๙ (พ.ศ. ๒๕๓๒) มาแล้ว (ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ที่อังกฤษพอดีซะด้วย)
  
ผมเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์นิสิตปริญญาเอกอยู่รายหนึ่ง (และรายเดียว) งานวิจัยที่เขาทำร่วมกับอาจารย์ชาวเยอรมันนั้นคล้ายคลึงกับงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์ก่อนหน้าไม่นานนัก ที่มีการอ้างว่าผลที่ได้ออกมาดีมาก และมักมีการอ้างอิงอยู่เสมอ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถมีใครทำซ้ำได้ อาจารย์ชาวเยอรมันเล่าให้ฟังว่าเขาเคยคุยกับบริษัทจ้างให้เขาทำงานวิจัยดังกล่าวและก็ทราบมาว่า บริษัทนั้นก็เคยทำซ้ำการทดลองที่มีการอ้างว่าได้ผลออกมาดีดังกล่าว และพบว่าไม่สามารถทำซ้ำได้ เพราะถ้ามันทำซ้ำได้จริงทางบริษัทก็คงจะไปซื้อลิขสิทธิ์จากผู้เขียนบทความนั้นแล้ว คงไม่มาจ้างให้อาจารย์เยอรมันผู้นี้มาทำวิจัยเรื่องนี้อีกหรอก
  
มีบ้างเหมือนกันบางรายที่มาเรียนกับผม แล้วบ่นแบบน้อยใจว่าทำไมเพื่อน ๆ เขามีผลแลปกันเยอะกันแยะ ส่วนตัวเขาเองยังไม่ได้ผลที่เป็นชิ้นเป็นอันสักที มีแต่โดนผมตรวจสอบด้วยการให้ไปทำการทดสอบอย่างโน้นก่อนอย่างนี้ก่อน ผมก็ต้องมาอธิบายให้เขาฟังว่า "Set lab ผิด ผแลปไม่มีค่าแก่การพิจารณานะ" และยิ่งผลการทดลองยิ่งออกมาดีเท่าใด ก็ยิ่งต้องตรวจสอบความถูกต้องของการทำงานมากขึ้นเท่านั้น ก่อนที่จะเผยแพร่ผลงานดังกล่าวออกไป

เคยมีบริษัทหนึ่งมาคุยกับผมเรื่องการทำวิจัยกับอาจารย์ว่ามีคำแนะนำอะไรไหม ผมก็บอกว่าไม่ว่าคุณจะทำวิจัยกับใครก็ตามที่เขาอ้างว่าเขาเคยประสบความสำเร็จในการทำโน่นทำนี่มาแล้ว ก็ควรเริ่มต้นจากการทดลองทำซ้ำงานที่เขาอวดอ้างว่าเป็นความสำเร็จของเขาให้ได้ก่อน เพราะการทำซ้ำนั้นจะทำให้รู้ว่างานดังกล่าวทำได้จริงหรือไม่ และใครคือตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานดังกล่าว แล้วให้จ้างคนนั้นทำงาน


รูปที่ ๔ รูปนี้ถ่ายมาเล่น ๆ แค่เอามาประดับหน้าที่ว่างของบทความเท่านั้น
  
วันก่อนมีคนถามความเห็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนชดเชยว่ามีความเห็นอย่างไร ความเห็นของผมก็คืออาจารย์มีหน้าที่ที่ต้องเข้าสอนและนิสิตก็มีหน้าที่ที่ต้องเข้าเรียนตามเวลาที่กำหนดไว้ในตารางสอน เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นหรือฉุกเฉินใด ๆ ที่ทำให้ทั้ง "สองฝ่าย" ไม่สามารถเรียนได้ในเวลาที่ตารางสอนกำหนด ก็ต้องมีการกำหนดวันสอนชดเชย แต่ทั้งนี้ควรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย
  
แต่ถ้าเป็นกรณีที่อาจารย์เองไม่สามารถมาสอนได้ในกำหนดเวลา ตรงนี้ผมมองว่าเป็นความผิดของอาจารย์ และถ้าอาจารย์จะสอนชดเชยนั้นก็ต้องถามความเห็นของนิสิตก่อนว่าจะมาเรียนได้ในเวลาไหน ถ้าพบว่าไม่สามารถหาเวลาจัดสอนชดเชยให้กับนิสิตทั้งกลุ่มในครั้งเดียวได้ ต้องจัดสอนมากกว่า ๑ ครั้งก็ต้องทำ (แต่ไม่ใช่ถึงขั้นจัดสอนให้เป็นรายคน) และต้องไม่เอาเวลาสะดวกของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่านิสิตจะมีกิจกรรมอื่นต้องทำหรือไม่
  
สำหรับวิชาที่ตารางสอนอยู่ในภาคการศึกษา การที่ผู้สอนจะไม่อยู่ช่วงเปิดภาคการศึกษาแล้วเรียกให้นิสิตมาเรียนก่อนเปิดภาคการศึกษานั้นผมมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะควรต้องนัดพบกับนิสิตตอนเปิดภาคการศึกษาก่อน ว่าจะมาเรียนชดเชยได้ในเวลาไหน และการสอนชดเชยนั้นก็ควรที่จะต้องเสร็จสิ้นก่อนกำหนดการสอบของมหาวิทยาลัย (และต้องมีเวลาให้ผู้เรียนได้ทบทวนเนื้อหาส่วนที่สอนชดเชยนั้นด้วย) และบางช่วงเวลามันก็ไม่เหมาะสมที่จะจัดสอนด้วย เช่นช่วงที่เป็นวันหยุดยาว (ไม่มีเรียน ไม่มีการทำงาน ไม่ได้หมายความว่านิสิตเขาไม่มีกิจกรรมอื่นทำ)
  
ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยขาดสอน ครั้งสุดท้ายที่ขาดสอนนั้นก็เมื่อปีที่แล้ว เป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนพอดี และก็ไม่ได้สอนชดเชยด้วย เหตุผลก็เพราะว่าสอนเนื้อหาครบถ้วนแล้ว กะว่าคาบสุดท้ายจะมาทบทวนการทำโจทย์และให้นิสิตถามข้อสงสัยในโจทย์ที่ให้ไป และที่ขาดก็เพราะป่วยกระทันหัน ต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาลร่วมสัปดาห์ ออกจากโรงพยาบาลก็ต้องมาพักฟื้นแผลผ่าตัดที่บ้านต่ออีก เรียกว่าพอมีหมออนุญาตให้กลับมาทำงานได้ก็ถึงวันกำหนดการสอบพอดี (วันมาคุมสอบแผลผ่าตัดยังมีผ้าก๊อซยัดเอาไว้ซับน้ำเหลืองอยู่เลย คุมสอบเสร็จก็ต้องไปให้หมอตรวจแผลที่โรงพยาบาลอีก)
  
อยู่ดี ๆ จะให้ผมไปสอนคุณธรรม จริยธรรม ให้กับนิสิต ผมว่ามันตลกนะ ผมมองว่าการกระทำของเด็กเป็นผลจากการลอกเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ถ้าเราคิดว่าพฤติกรรมของเด็กนั้นมีปัญหา สิ่งแรกที่ควรต้องแก้ไขก่อนก็คือพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ไม่ใช่พฤติกรรมของเด็ก ถ้าอาจารย์มองว่าพฤติกรรมของเด็กมีปัญหา อาจารย์ก็ควรมองว่าพฤติกรรมของอาจารย์เองมีปัญหาหรือเปล่า เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เขาลอกเลียนแบบหรือเปล่า จะไปสอนเขา จะไปให้เขาแก้ไข พฤติกรรม การกระทำ ที่เราเห็นว่าไม่ดี ไม่ชอบนั้น สิ่งแรกที่เราควรทำคือ "ต้องกลับมาพิจารณาตัวเอง" ก่อนว่าเรามีพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวให้เขาลอกเลียนแบบหรือเปล่า ไม่ใช่คิดว่าเด็กต้องมีพฤติกรรมไม่มีอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วจะจัดการเขาอย่างไร จะวัดผลการพัฒนาด้านคุณธรรมและจริยธรรมของเด็กอย่างไร
    
เรื่องการสอนคุณธรรม จริยธรรมให้กับเด็กนี้ ผมยังมองว่าการที่ผู้ใหญ่ "ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี" มีค่ามากกว่า "คำพูดที่พร่ำสอน" ครับ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ให้ตัวเลขออกมาสวยก็พอ MO Memoir : วันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๒

ในบรรดาข้อต่อท่อ (tube fitting) นั้น ยี่ห้อ Swagelok ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมที่ต้องการ tube fitting ที่ไว้วางใจได้ ส่วนในงานวิจัยหรือในห้องปฏิบัติการเองก็นิยมใช้เนื่องจากข้อต่อดังกล่าวสามารถถอด-ประกอบได้หลายครั้งโดยที่ยังคงความสามารถในการป้องกันการรั่วซึม

คำว่า "ท่อ" ในภาษาไทยนั้น ถ้าแปลเป็นอังกฤษจะมีคำอยู่ 2 คำคือ "Pipe" กับ "Tube" แต่ท่อชนิด "Pipe" กับ "Tube" ตามภาษาอังกฤษนั้นมีข้อกำหนดคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งส่วนตัวท่อเองและข้อต่อที่ใช้ เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังอีกที สำหรับในบทความนี้คำว่า "ท่อ" จะหมายความถึงท่อชนิด "Tube" เท่านั้น และคำว่า "ข้อต่อท่อ" จะหมายความถึง "Tube fitting" เท่านั้น เว้นแต่จะมีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น

Catalogue เดิมของ Swagelok นั้น ตัว Swagelok เองจะหมายถึงส่วนที่เป็นข้อต่อท่อ ในส่วนของวาล์วและอุปกรณ์ตัวอื่นที่ปรากฏอยู่ใน catalogue เล่มเดียวกันจะเป็นของบริษัทอื่น โดยบริษัทอื่นที่ทำวาล์ว ฯลฯ จะใช้ข้อต่อท่อของ Swagelok ในการเชื่อมต่อวาล์วของบริษัทเองเข้ากับท่อ แต่ภายหลังเห็นเปลี่ยนไปใช้ชื่อ Swagelok เพียงชื่อเดียว

ข้อต่อท่อของ Swagelok นั้นมีชิ้นส่วนที่สำคัญที่เป็นตัวทำให้ข้อต่อของ Swagelok ป้องกันการรั่วซึมได้ดีอยู่ 2 ชิ้นคือ Front ferrule (ตาไก่หน้า) กับ Back ferrule (ตาไก่หลัง) front ferrule มีลักษณะเป็นกรวยยอดตัดส่วน back ferrule มีลักษณะเป็นวงแหวนดังแสดงในรูปที่ 1


รูปที่ 1 Ferrule ของ Swagelok (ภาพจาก http://www.swagelok.com)

รูปที่ 2 ภาพตัดขวางเมื่อท่อถูกสอดเข้าไปในข้อต่อ (ภาพจาก http://www.swagelok.com)

ในการเชื่อมต่อนั้น เราจะต้องทำการสอดท่อผ่าน back ferrule และ front ferrule จนกระทั่งปลายท่อชนเข้ากับไหล่ของ fitting (หรือตัววาล์ว) ดังแสดงในรูปที่ 2 จากนั้นจึงทำการขันนอตให้ตึงด้วยมือก่อน ตามด้วยการใช้ประแจขันต่อไปอีก 1 1/4 รอบ (ตามข้อกำหนดของ Swagelok)

ในขณะที่เราทำการขันนอตเข้าไปนั้น ตัวนอตจะค่อย ๆ ดันให้ back ferrule และ front ferrule เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจนกระทั่งพื้นผิวรูปกรวยด้านนอกของ front ferrule สัมผัสกับพื้นผิวรองรับรูปกรวยด้านในของข้อต่อ และเมื่อเราทำการขันให้แน่นต่อไปอีก back ferrule จะพยายามดัน front ferrule ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่เนื่องจาก front ferrule ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เนื่องจากสัมผัสกับตัวข้อต่อแล้ว ขอบด้านหน้าของตัว front ferrule ก็จะเคลื่อนที่จิกลงไปบนผิวด้านนอกของท่อพร้อม ๆ กับการบานออกของตัว front ferrule เนื่องจากการดันของ back ferrule และในขณะเดียวกันขอบด้านหน้าของตัว back ferrule ก็จะจิกลงไปบนผิวด้านนอกของท่อเช่นเดียวกันดังแสดงในรูปที่ 3

รูปที่ 3 การทำงานของ front ferrule และ back ferrule เมื่อถูกขันให้แน่น (ภาพจาก http://www.swagelok.com)

ปัจจัยหลักที่ทำหน้าที่ป้องกันการรั่วซึมของข้อต่อคือ (1) ความราบเรียบของผิวสัมผัสระหว่าง front ferrule กับ fitting และ (2) การกัดลงไปของ ferrule บนผิวท่อ พึงสังเกตว่าส่วนที่เป็นเกลียวไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ทั้งสิ้นในการป้องกันการรั่วซึม (ดูรูปที่ 2) แต่ก่อนในห้องแลปของเรานั้นเวลาที่นิสิตใช้ข้อต่อ Swagelok จะต้องพันเทปเทฟลอนที่เกลียวของนอตทุกครั้ง เรื่องนี้ผมได้เคยอธิบายไปหลายครั้งแล้วแต่เขาก็ไม่รับฟังกัน (เพราะรุ่นพี่เขาทำกันอย่างนี้ ก็เลยขอทำอย่างนี้ตาม) ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันกว่าพฤติกรรมเช่นนี้จะหมดไป

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าการใช้ ferrule หรือการติดตั้ง ferrule อย่างไม่เหมาะสมมักเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการรั่วซึม ตัวอย่างเช่นการใช้ ferrule ที่ทำจากโลหะที่มีความแข็งน้อยกว่าผิวท่อ เช่นการใช้ ferrule ชนิดทองเหลืองกับท่อสเตนเลส ท่อสเตนเลสนั้นแข็งกว่าทองเหลือง ดังนั้น ferrule ทองเหลืองจะไม่สามารถจิกเข้าไปในผิวท่อได้ ในกรณีนี้ถ้าความดันไม่สูงมากนั้นก็จะตรวจไม่พบ

ส่วนอีกกรณีที่ตรงข้ามกันคือการใช้ ferrule ที่แข็งกว่าตัวข้อต่อ เช่นการใช้ ferrule ที่ทำจากสเตนเลสกับข้อต่อที่ทำจากทองเหลือง แม้ว่า ferrule ที่เป็นสเตนเลสจะจิกเข้าไปในเนื้อท่อทองแดงได้ แต่การที่สเตนเลสนั้นมีความแข็งแรงมากกว่าทองเหลืองจึงทำให้เมื่อทำการขันแน่นซ้ำหลายครั้ง (ซึ่งต้องทำเมื่อทำการถอด-ประกอบใหม่) ตัว ferrule เองจะดันให้ตัวข้อต่อบานออกจนสูญเสียรูปร่างถาวร เมื่อนำตัวข้อต่อทองเหลืองดังกล่าวมาใช้กับ ferrule ที่เป็นทองเหลืองจึงพบว่ามุมลาดเอียงของ front ferrule แตกต่างไปจากมุมลาดเอียงของพื้นผิวสัมผัสของตัวข้อต่อ ทำให้ front ferrule ไม่แนบสนิทเข้ากับตัวข้อต่อ

เมื่อไม่นานมานี้พึ่งจะมีประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดได้อย่างไร คือในระหว่างการตรวจสอบเครื่องปฏิกรณ์เครื่องหนึ่งที่สงสัยว่ามีปัญหาการรั่วซึม (ตรวจพบออกซิเจนในระบบทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะมี) พบว่าข้อต่อที่หลายตำแหน่งนั้น เมื่อ ferrule กัดลงไปบนผิวท่อแล้ว ตัว front ferrule เองยังไม่ทันสัมผัสกับพื้นผิวของตัวข้อต่อ กล่าวคือระยะจากปลายท่อถึงตำแหน่งที่ front ferrule กัดผิวท่อนั้นมีค่ามากเกินไป เมื่อถอดตัวข้อต่อท่อออกมาดูและสวมตัวท่อลงไปจะเห็นว่า front ferrule ไม่แนบกับตัวข้อต่อ ดังนั้นในระหว่างทดลอง ในช่วงที่ความดันในระบบสูงกว่าความดันบรรยากาศก็จะเกิดการรั่วออกมาข้างนอก แต่พอถึงช่วงที่ความดันในระบบต่ำกว่าความดันบรรยากาศ อากาศก็จะรั่วเข้าไปในระบบ

ในระหว่างการทดลองนั้น ผู้ทดลองผ่านแก๊สที่มีความดันสูงกว่าบรรยากาศเล็กน้อยให้ไหลผ่านเครื่องปฏิกรณ์ (ตรงนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีการตรวจสอบว่ามีการรั่วซึมหรือไม่ หรือมีการตรวจสอบ แต่เนื่องจากความดันในระบบสูงกว่าความดันบรรยากาศเพียงเล็กน้อย ก็เลยทำให้ตรวจสอบการรั่วออกไม่เห็น) แต่พอตอนจะวิเคราะห์องค์ประกอบของแก๊สตัวอย่าง ผู้ทดลองใช้วิธีต่อท่อแก๊สออกจากเครื่องปฏิกรณ์เข้ากับเครื่องมือวิเคราะห์แก๊ส (NOA-7000) โดยตรง

เครื่องวิเคราะห์แก๊สที่ใช้นั้นต้องการแก๊สตัวอย่างในปริมาณที่สูงกว่า 1000 ml/min โดยใช้ปั๊มดูดแก๊สเข้าเครื่อง แต่แก๊สที่ไหลผ่านเครื่องปฏิกรณ์มีเพียงแค่ 200 ml/min ดังนั้นเมื่อปั๊มดูดแก๊สตัวอย่างทำงานจึงทำให้เกิดสุญญากาศขึ้นในระบบท่อ อากาศจากภายนอกจึงรั่วเข้าไปในระบบ จากข้อมูลที่ทราบคร่าว ๆ พอจะประมาณได้ว่ามีอากาศรั่วเข้าไปในระบบไม่น้อยกว่าเท่าตัว

การแก้ปัญหาทำโดยรื้อตรวจข้อต่อทุกจุด และทำการตะไบเอาปลายท่อส่วนที่ยาวเกินไปออกเพื่อให้ระยะจากปลายท่อถึงตำแหน่งที่ front ferrule กัดผิวท่อสั้นลง ก็ทำให้ front ferrule แนบกับตัวข้อต่อได้

ที่น่าแปลกก็คือ การเกิดการรั่วซึมดังกล่าวปรากฏอยู่ตลอดในระหว่างการทำการทดลอง ซึ่งจะเห็นความเข้มข้นของออกซิเจนที่วัดได้ขึ้นสูงกว่าค่าที่ป้อนเข้ามามาก แต่ผู้ทำการทดลองได้มองข้ามปัญหาดังกล่าวนี้ไป โดยไปโทษว่าการที่เครื่องวัดรายงานว่ามีปริมาณออกซิเจนในระบบสูงขึ้นนั้นเกิดจากการที่เครื่องวัดมีความบกพร่อง และยังไปบอกคนที่จะมารับช่วงงานต่อด้วยว่าไม่ต้องไปสนใจตัวเลขดังกล่าว (ทั้ง ๆ ที่เมื่อทดสอบโดยไม่ได้ป้อนสารตัวอย่างเข้าไปก็พบว่าเครื่องวัดออกซิเจนทำงานปรกติ) เพราะตัวเลขอีกตัวที่เป็นที่สนใจนั้นให้ค่าออกมาดีเป็นพิเศษ (ก็แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีอากาศรั่วซึมเข้ามาเจือจาง ก็ทำให้เห็นความเข้มข้นของสารตั้งต้นในสายออกจากเครื่องปฏิกรณ์มีค่าลดลง ทำให้คำนวณค่า conversion ได้สูง เห็นตัวเลขอย่างนี้ใคร ๆ ก็ชอบ) ปัญหาเรื่องนี้สงสัยว่าจะไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะตัวเลขผลการทดลองดังกล่าวได้ถูกส่งให้บริษัทหนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผมมักบอกเสมอว่า "ในการทำการทดลองนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือวิธีการทำการทดลอง ถ้าวิธีการผิดพลาด ผลการทดลองที่ได้และข้อสรุปต่าง ๆ ก็โยนทิ้งไปได้เลย ไม่มีค่าแก่การพิจารณาใด ๆ"

แต่ในการพิจารณาผลงานนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าคนส่วนมากมักดูที่ตัวเลขสุดท้ายที่ได้มาเป็นหลัก ถ้าตัวเลขออกมาดีก็รีบสรุปเลยว่างานนั้นได้ผลดี โดยไม่ได้ใส่ใจเลยว่าที่มาของตัวเลขนั้นได้มาอย่างไร ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียเวลาทำการทดลองไปทำไม สู้เอาเวลาไปนั่งแต่งตัวเลขให้มันดูดี ๆ และไม่ขัดแย้งกันก็น่าจะพอแล้ว

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งพบในระหว่างการสอบวิทยานิพนธ์ว่าตัวเลขที่นิสิตรายงานนั้นไม่ได้มีการวิเคราะห์จริง เพียงแต่คิดว่าจะต้องได้ตามนี้ก็ใส่ตัวเลขที่คิดไว้เข้าไปในผลการทดลอง งานนี้นิสิตสอบผ่านด้วยมติเสียงข้างมาก เพราะตัวเลขเหล่านั้นได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการเรียบร้อยแล้ว