แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถถัง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถถัง แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

อีกฟากด้านของเนิน (The German Generals Talk) MO Memoir : Monday 25 March 2556

เนินเขาที่ขวางหน้านั้นทำให้เราไม่ทราบว่าอีกฟากด้านของเนินมีอะไรอยู่

ในช่วงสงคราม แนวรบนั้นเปรียบเสมือนเป็นเนินเขา สิ่งที่ผู้นำทัพของแต่ละฝ่ายอยากทราบคือ อีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไรอยู่ ซึ่งในระหว่างการรบนั้น ความคิดที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ต่างคนต่างได้แต่คาดเดา แต่เมื่อสงครามสงบลงและทั้งสองฝ่ายได้มาพบปะพูดคุยกัน ภาพอีกฟากด้านของเนินจากมุมมองของแต่ละฝ่าย ต่างก็เปิดให้เห็นกัน
  
B.H. Liddell Hart เป็นชาวอังกฤษ เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ จนได้รับยศเป็นร้อยเอก (Captain) ก่อนที่จะออกจากราชการทหาร มาประกอบอาชีพเป็นนักเขียน ผู้สื่อข่าวสงคราม ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์สงคราม และแนวคิดทางยุทธศาสตร์ งานเขียนทางทหารของเขาช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นายทหารอังกฤษ แต่ยังรวมถึงฝั่งนายทหารเยอรมันด้วย


 รูปที่ ๑ ส่วนหนึ่งของหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่สะสมไว้ ทั้งสามเล่มเขียนโดยบุคคลที่มีบทบาทสำคัญของการรบในภาคพื้นยุโรป เริ่มจากเล่มซ้าย "Panzer Leader" เขียนโดยพลเอก Heinz Guderian ผู้พัฒนาวิธีการรบแบบ Blitzkrieg (ที่ใช้ยานเกราะควบคู่กับอากาศยานเจาะทะลวงลึกเข้าไปหลังแนวรบข้าศึก) ให้สามารถใช้งานได้จริง นำมาใช้กับโปแลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เล่มกลาง "Lost Victories" เขียนโดยจอมพล Eric von Manstein ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนายพลผู้มีความสามารถมากที่สุดของกองทัพเยอรมันจากบรรดานายพลเยอรมันด้วยกัน และเล่มขวาสุด "The German Generals Talk" เขียนโดยร้อยเอก B.H. Liddell Hart นายทหารผู้ผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก่อนจะออกจากราชการทหารมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ทางทหาร หนังสือเกี่ยวกับแนวคิดทางทหารของเขาที่เขียนขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ และสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของเขาถูกอ่านโดยผู้นำทัพทั้งทางฝ่ายอังกฤษและเยอรมัน แต่ฝ่ายเยอรมันเป็นผู้ที่นำไปพัฒนาและปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จจริงเป็นฝ่ายแรก
  
และนั่นเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้เขาได้พบปะพูดคุยกับเหล่านายพลเยอรมันผู้ถูกจับเป็นเชลยทั้งในระหว่างสงครามและเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปีค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) และนำมาสู่หนังสือที่มีชื่อว่า "The other side of the hill" หรืออีกฟากด้านของเนินที่ตีพิมพ์ในอังกฤษในปีค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ใหม่เพื่อจำหน่ายในอเมริกาในชื่อ "The German Generals Talk" (ผมอยากแปลว่า "บนสนทนากับนายพลเยอรมัน")


รูปที่ ๒ หน้าตาของผู้เขียนหนังสือแต่ละเล่มในรูปที่ ๑ เริ่มจาก (ซ้าย) Heinz Guderian ภาพจากหนังสือ Panzer Leader (กลาง) Eric von Manstein ภาพจากหนังสือ Lost Victories (ขวา) B.H. Liddell Hart ภาพจาก http://www.npg.org.uk

Liddell Hart นั้นเป็นทหาร แต่การบาดเจ็บเรื้อรังที่เป็นผลจากการได้รับแก๊สในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้เขาต้องออกมาประกอบอาชีพเป็นนักเขียน การที่เขาเป็นคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุคคลที่มีบทบาทในการสงคราม (ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองหรือทางทหาร) ทำให้เขาแตกต่างจากนักเขียนประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ หลายรายที่ไม่ได้เป็นคนร่วมสมัยหรือมีอายุขัยรุ่นเดียวกันกับผู้ที่มีบทบาทในสงครามในสมัยนั้น คนยุคสมัยเดียวกันมักเข้าใจการกระทำของคนต่าง ๆ ในยุคสมัยนั้น ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องปรกติหรือเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้น แต่อาจไม่เป็นที่ยอมรับกันสมัยปัจจุบัน สิ่งหลังนี้เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังเวลาอ่านประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้เขียนที่ไม่ได้เติบโตหรือผ่านเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน
ในฐานะที่เคยเป็นทหาร เมื่อทหารคุยกับทหารก็คงต้องคุยกันเรื่องยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเป็นหลัก การเรียนรู้จากความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการเรียนรู้จากชัยชนะ
  
หนังสือเล่มนี้มีการสัมภาษณ์นายพลเยอรมันเอาไว้หลายคน แต่ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมากมีอยู่ ๓ คนด้วยกันคือ Field Marshal Gerd von Rundstedt, Filed Marshal Paul Ludwig Ewald von Kleist (Filed Marshal คือยศจอมพล) และ General der Panzertruppe Wilhelm Ritter von Thoma (เทียบเท่าพลโท แต่ยศทหารบกเยอรมันมีการระบุหน่วยรบด้วย เช่นในกรณีนี้ก็เป็นพลโทของหน่วยยานเกราะหรือรถถังนั่นเอง) สาเหตุก็เพราะ ๓ คนนี้มีบทบาทในการวางแผนการรบและการปฏิบัติการรบที่สำคัญหลายแห่งในสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเสียชีวิตลงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดได้ไม่นาน ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงอาจเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีบันทึกความคิดเห็นของคนเหล่านั้นเอาไว้ในขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามยังสดใหม่อยู่
  
จอมพล von Rundstedt จัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีอาวุโสมากที่สุดในบรรดานายพลเยอรมัน เป็นที่เคารพและยำเกรง แม้แต่ฮิตเลอร์ก็ยังต้องเกรงใจในบางเรื่อง ไม่เพียงแต่จะเป็นทางฝ่ายเยอรมัน ทางฝ่ายศัตรูเอง (อังกฤษและฝรั่งเศส) ก็ยอมรับในความเป็นทหารมืออาชีพของจอมพลผู้นี้ จอมพลผู้นี้เสียชีวิตในปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๖) หรือหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้ ๘ ปี (ตอนนั้นเยอรมันตะวันตกยังอยู่ในการควบคุม มาได้อิสระภาพและจัดตั้งกองทัพได้ใหม่ในปีค.ศ. ๑๙๕๕ (พ.ศ. ๒๔๙๘) หรือหลังสงครามสิ้นสุดได้ ๑๐ ปี) จอมพล Rundstedt เป็นผู้ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นมาใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ รวมทั้งได้รับหน้าที่เป็นผู้นำ Army group ในการเข้าตีโปแลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซียในช่วงต้น หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในช่วงก่อนบุกฝรั่งเศสคือ Eric von Manstein ผู้เสนอแผนการรบที่แหวกแนวจนเกินกว่าฝ่ายเสนาธิการของกองทัพเยอรมันจะยอมรับได้ จนกระทั่งได้ฮิตเลอร์เข้ามาแทรกแซงให้ใช้แผนดังกล่าว และนำไปสู่การพิชิตฝรั่งเศสใน ๖ สัปดาห์ Liddell Hart ได้ให้บทที่ ๗ ในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเฉพาะของจอมพลผู้นี้ในชื่อ "The old guard"-Rundstedt
  
ผมรู้สึกว่าจอมพล von Rundstedt ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในหนังสือประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เขียนโดยโลกตะวันตก (เท่าที่ผมมี) เท่าใดนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าความยิ่งใหญ่ของเขาที่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นายทหารทั้งทางด้านเยอรมันและทางอังกฤษจนนักเขียนในยุคหลังไม่รู้ว่าจะกล่าวโจมตีตรงไหนดี เขาเป็นเหมือนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับการฝึกและได้รับมอบหมาย แต่เมื่อสงครามแพ้ ก็เป็นถูกโยนความผิดให้ ชัยชนะของเยอรมันในช่วงแรกของสงครามไม่ได้มาจากการมีอาวุธที่ดีกว่า แต่มาจากการมียุทธวิธีและการฝึกทหารที่มีประสิทธิภาพมากกว่า แตกต่างจากชัยชนะของรัสเซียหรือของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในช่วงหลัง ที่มาจากการมีอำนาจการยิงและการทำลายล้างที่สูงกว่า


รูปที่ ๓ นายพลเยอรมันที่มีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ Liddell Hart ได้สัมภาษณ์ไว้ (ซ้าย) จอมพล Gerd von Rundstedt (กลาง) จอมพล Paul Ludwig Ewald von Kleist (ขวา) Wilhelm Ritter von Thoma ทั้ง ๓ รายนี้เสียชีวิตหลังสงครามสิ้นสุดได้ไม่นาน รูปจาก http://www.bild.bundesarchiv.de

จอมพล von Kleist เป็นนายพลผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำกองทัพรถถังของเยอรมัน หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้ไม่นาน เขาถูกส่งตัวต่อไปยังยูโกสลาเวียในปีค.ศ. ๑๙๔๖ (พ.ศ. ๒๔๘๙) และไปยังรัสเซียในปีค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) ก่อนที่จะเสียชีวิตในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวเป็นนักโทษรัสเซียในปีค.ศ. ๑๙๕๔ (พ.ศ. ๒๔๙๗) จัดเป็นนายทหารเยอรมันที่มียศสูงที่สุด (จอมพล) ที่เสียชีวิตในขณะที่เป็นเชลยศึกสงคราม ในสงครามกับรัสเซียนั้น von Klesit เป็นผู้นำกองทัพอยู่ในแนวรบด้านใต้ในกลุ่ม Army Group Southที่มุ่งหน้าไป Stalingrad ก่อนที่จะแยกลงไปทางใต้มุ่งไปสู่คอเคซัสและได้รับหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชา Army Group A
  
เมื่อกองทัพรัสเซียตีโอบล้อม 6th Army ที่เมือง Stalingrad เอาไว้ได้ แผนการณ์ของทางรัสเซียนั้นต้องการตัดทางถอยของ Army Group A ด้วย ในการณ์นี้ von Kleist ต้องทำการเคลื่อนย้ายกองกำลังทั้งหมดถอยข้ามแม่น้ำ Don ที่เมือง Rostov ให้ทัน โชคดีที่เส้นทางถอยนั้นมีกองกำลังใต้การบังคับบัญชาของ von Manstein ควบคุมอยู่ ทำให้หน่วงการเคลื่อนรุกของรัสเซียเอาไว้ได้ แต่ก็จำเป็นต้องยืมกองกำลังของ von Kleist ไปช่วย กองกำลังส่วนหนึ่งของ von Kleist ที่ถอยกลับมาได้และกองกำลังของ von Manstein ได้ทำการตีโต้กลับกองทัพรัสเซียที่เมือง Kharkov ในการรบที่มีชื่อว่า The 3rd battle of Kharkov ที่แสดงให้เห็นความสามารถในการวางแผนของ Manstein ในการใช้กำลังที่น้อยกว่า (เยอรมันประมาณ ๗๐,๐๐๐ นายต่อรัสเซียประมาณ ๓๕๐,๐๐๐ นายหรือ ๑ ต่อ ๕) ในการตีโต้และเอาชนะกองกำลังที่เหนือกว่าได้
  
ถ้าดูจากช่วงเวลาที่สงครามสิ้นสุดและ Liddell Hart ได้มีโอกาสสนทนากับ von Kleist ไปจนถึงเวลาที่เขาถูกส่งตัวไปยังยูโกสลาเวียและรัสเซียนั้น ทำให้อาจเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้อาจเป็นหนังสือเล่มเดียวของทางโลกตะวันตกที่ได้มีการสัมภาษณ์จอมพลผู้นี้เอาไว้

ถ้า Guderian เป็นหมายเลข ๑ ของผู้บุกเบิกในการนำรถถังมาใช้ในการรบของกองทัพเยอรมัน von Thoma ก็คงเป็นหมายเลข ๒ ที่ตามมาติด ๆ แต่การที่เขาไม่ค่อยได้ถูกกล่าวถึงนักอาจเป็นเพราะว่าเขาถูกจับเป็นเชลยในช่วงต้นสงคราม (ในระหว่างการรบที่ El Alamen ในอียิปต์ในปีค.ศ. ๑๙๔๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕)) และเสียชีวิตหลังสงครามสงบได้ไม่นาน (เสียชีวิตในปีค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) หรือเพียง ๓ ปีหลังสงครามสงบ)
  
สงครามกลางเมืองในสเปญที่เกิดขึ้นในระหว่างปีค.ศ. ๑๙๓๖-๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๗๙-๒๔๘๒) จัดเป็นสนามรบที่เปิดโอกาสให้มีการทดสอบทฤษฎีใหม่ ๆ ทางทหาร หนึ่งในทฤษฎีนั้นคือการใช้บอากาศยานในการทำลายแนวหลังข้าศึกและใช้ยานเกาะในการบุกทะลวง หนึ่งในประเทศที่ให้การสนับสนุนกองทัพฝ่าย Nationalist ที่นำโดยนายพลฟรังโกคือเยอรมัน และพันเอก Ritter von Thoma ก็เป็นหนึ่งในนายทหารของเยอรมันที่ได้เข้าร่วมในการรบในสงครามดังกล่าว หน่วยทหารสำคัญที่เยอรมันส่งไปช่วยคือหน่วยรถถังและกองทัพอากาศ
  
ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ ๒ von Thoma ทำหน้าที่คุมกรมรถถังปฏิบัติการในโปแลนด์ก่อนได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายพลและคุมกองพลรถถังในการบุกรัสเซีย ในเดือนปลายปีค.ศ. ๑๙๔๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕) von Thoma ถูกส่งไปช่วยการรบในอาฟริกาเหนือในจังหวะที่สถานการณ์กำลังจะพลิกกลับ คือการตีโต้กลับของกองทัพที่ ๘ ของอังกฤษนำโดยนายพล Montgomery ในการรบที่ El Alamein ในอียิปต์
  
วันที่ ๔ พฤศจิกายนปีค.ศ. ๑๙๔๒ กองกำลังรถถังที่นำโดย von Thoma ถูกทำลายรวมทั้งรถถังของเขาเองด้วย von Thoma ถูกจับเป็นเชลยสงครามในวันนั้น และในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ก็ได้ร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกับนายพล Montgomery ที่กองบัญชาการของ Montgomery แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น (Churchill) เองก็ยังยอมรับความสามารถของ von Thoma ด้วย

การกระทำที่เรียกว่าอาชญากรสงครามนั้นจะว่าไปแล้วมันก็ทำกันทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ฝ่ายผู้แพ้เท่านั้นที่จะถูกนำตีแผ่ขยายความเพื่อหาความชอบในการกระทำของผู้ชนะ ถ้าสังเกตุดูภาพยนต์จากทางสหรัฐบางเรื่องในช่วงหลัง ๆ (เช่น Saving Private Ryan และ Band of Brothers) ก็จะเห็นมีการแทรกฉาก การยิงทิ้งเชลยศึกชาวเยอรมัน การปล้นทรัพย์ประชาชนที่อยู่ภายใต้การยึดครอง และการสังหารประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม ในส่วนของผู้บัญชาการกองทัพนั้น ถ้าไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเป็นคนออกคำสั่งโดยตรง ก็มักจะเป็นการกล่าวหาว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด
  
ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ Liddell Hart กล่าวถึงนายพลเยอรมันเอาไว้ว่า

"The German generals of this war were the best-finished product of their profession-anywhere. They could have been better if their outlook had been wider and their understanding deeper. But if they had become philosopers they would have ceased to bo soldiers."



รูปที่ ๔ รูปนี้นำมาจาก http://www.iwm.org.uk/collections/item/object/205194821 พร้อมกับคำบรรยายภาพว่า
"© IWM (E 19129) Catalogue number E 19129 : The Second World War 1939 - 1945: General von Thoma, Commander of the famed Afrika Corps, surrenders to Montgomery at 8th Army TAC HQ. The victory at Alamein marked the turning point in Allied fortunes in the Second World War." Montgomery คือคนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้าย ไม่ใส่หมวก ส่วน von Thoma คือคนที่ยืนทำความเคารพอยู่ทางด้านขวา

หมายเหตุ ประวัติของนายพลทั้ง ๓ ราย อ่านเพิ่มเติมได้จาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Gerd_von_Rundstedt
http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Ludwig_Ewald_von_Kleist
http://en.wikipedia.org/wiki/Ritter_von_Thoma

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สุนัข อาหาร ล้างสมอง รถถัง MO Memoir : Saturday 7 July 2555


ใครที่ได้เรียนวิชาชีววิทยาในระดับมัธยมปลายก็คงจะต้องได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียผู้หนึ่งชื่อ อิวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov) ที่ทดลองเรื่องเกี่ยวกับการให้อาหารสุนัข

พาฟลอฟได้ทดลองปล่อยให้สุนัขหิวกระหาย จากนั้นก็นำมาอาหารมาให้ และสังเกตพบว่าสุนัขน้ำลายไหล

ต่อมาเขาได้ทดลองโดยก่อนที่จะนำอาหารมาให้ ก็ทำการสั่นกระดิ่งให้สุนัขได้ยินเสีย จากนั้นก็นำอาหารมาให้ ซึ่งก็พบว่าสุนัขน้ำลายไหล

ต่อมาเขาก็ได้ทดลองอีกโดยเพียงแค่ทำการสั่นกระดิ่ง ก็พบว่าสุนัขก็น้ำลายไหลแล้ว โดยที่ยังไม่ทันได้กลิ่นอาหาร

ปฏิกิริยาดังกล่าวเรียกว่า conditional reflex ซึ่งอาจแปลเป็นไทยว่าปฏิกิริยารีเฟล็กซ์แบบมีเงื่อนไข หรือปฏิกิริยาตอบสนองแบบมีเงื่อนไข (reflex เป็นการตอบสนองที่อยู่เหนืออำนาจจิตใจ เป็นการตอบสนองของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติที่มีผลมาจากการถูกกระตุ้น)

ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเราจะเรียนรู้จักกันแค่นี้ แต่จะว่าไปแล้วตอนต่อจากการทดลองนี้ยังมีอีก แต่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ได้เข้าไปใช้ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยมากกว่า ๑ ปี พอเข้าไปอีกทีก็เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ชั้นล่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ดูทันสมัยขึ้น (แต่ห้องน้ำข้างใน สมัยที่ผมเรียนหนังสือเมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น) ต้องไปทำบัตรห้องสมุดใหม่ ซึ่งต้องใช้เป็นทั้งบัตรผ่านเข้า-ออกประตูอัตโนมัติ และบัตรยืมหนังสือในตัว

สาเหตุที่กลับไปอีกครั้งเพราะอยากจะเขียนเรื่องการทดลองของพาฟลอฟนี้ในอีกแง่มุมหนึ่งที่แทบไม่มีการกล่าวถึงกัน จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งที่บ้านมีอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนแล้วไม่รู้ว่าหายไปกับน้ำท่วมบ้านหรือเปล่า หนังสือดังกล่าวบทหน้าปกเขียนชื่อว่า "การใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์" เขียนโดย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ฉบับที่ผมไปยืมจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๔ โดยสำนักงานปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๖ หนังสือฉบับนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๐๔

อ่านถึงตรงนี้คิดว่าหลายคนคงจะงงว่าอยู่ดี ๆ ก็หักเลี้ยวจาก "การทดลองให้อาหารสุนัข" ไปยัง "การใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์" ได้ยังไง

ในส่วนของภาคผนวกของหนังสือเล่มดังกล่าวจะมีบทความเรื่อง "การล้างสมองในค่ายคอมมิวนิสต์" ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งคำถามว่า "การล้างสมองเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงคำพังเพย ?" พร้อมยกตัวกรณีของจักรพรรดิ์ผู่อี้ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของประเทศจีน ซึ่งภายหลังจากการถูกควบคุมตัวโดยทางรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์แล้วก็ได้กลายมาเป็นคนส่วนแห่งกรุงปักกิ่ง กรณีของนักศึกษาสาวชาวอเมริกันที่เดินทางไปศึกษาต่อในจีนคอมมิวนิสต์ และภายหลังที่ถูกทางการจีนจับกุมและได้รับการปฏิบัติที่เร้นลับหลายอย่างก็กลายเป็นผู้ที่รังเกียจบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองและคลั่งไคล้จีนคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก และกรณีของเชลยศึกชาวอเมริกันที่ถูกจับกุมในระหว่างสงครามเกาหลี ที่ยอมรับต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นผู้ดำเนินสงครามเชื้อโลกและเมื่อได้รับการปล่อยตัวมาก็ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิต และในระหว่างการรักษาก็นั่งคุกเข่าก้มหน้าตลอดเวลาและปราถนาอยู่เพียงสิ่งเดียวคือต้องการทำลายชีวิตของตัวเอง

(เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิผู่อี้พระองค์นี้ได้เคยถูกนำมาสร้างภาพยนต์เรื่อง "The Last Emperor" หรือในชื่อไทยชื่อ "จักรพรรดิ์โลกไม่ลืม" ซึ่งเข้าฉายเมื่อปีพ.. ๒๕๓๐ หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลอะคาเดมีถึง ๙ รางวัล)

กลับมาที่การทดลองของพาฟลอฟต่อ

ในส่วนของบทภาคผนวกของหนังสือดังกล่าวได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่พาฟลอฟทดลองสั่งกระดิ่ง แต่ถ่วงเวลาที่จะนำเอาอาหารมาให้สุนัข โดยเพิ่มระยเเวลาระหว่างการสั่งกระดิ่งและการนำอาหารมาให้ออกไปเรื่อย ๆ พาฟลอฟพบว่าระหว่างเวลาเวลารอคอยนั้นสุนัขมีอากัปกิริยาและปฏิกิริยาผิดปรกติและมีจิตฟั่นเฟือนหรืออาการประสาทเสีย (เปรียบคล้ายกับคนที่รอคอยเหตุการณ์บางอย่างอย่างกระวนกระวายใจ)

ต่อมาพาฟลอฟก็ได้ทำการทดลองดังเดิมอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนให้ระยะเวลารอคอยนั้นสั้นบ้าง ยาวบ้าง หรือไม่ก็ไม่มีการให้อาหารเลย ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายระบบประสาทของสุนัขโดยตรง เพราะสุนัขจะไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด

ในปีพ.ศ. ๒๔๖๗ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งกับห้องปฏิบัติการวิจัยของพาฟลอฟในเมืองเลนินกราด กล่าวคือได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เมืองดังกล่าว ห้องปฏิบัติการของพาฟลอฟที่ทำการขังสุนัขอยู่ในกรงนั้นถูกน้ำท่วมเป็นเวลาหลายวัน สุนัขต้องลอยคออยู่ในกรงในสภาพใกล้จะตาย และเมื่อพาฟลอฟนำสุนัขที่รอดชีวิตมาศึกษาพบว่าอารมณ์และอุปนิสัยเดิมของสุนัขบางตัวได้หายไปอย่างสิ้นเชิง เสมือนกับสุนัขนั้นมีมันสมองที่ว่างเปล่าแล้ว จะสอนให้มีอุปนิสัยอย่างไรก็ได้โดยปราศจากความต้านทานจากธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ

เชื่อว่าความรู้ดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการล้างสมองมนุษย์เพื่อทำให้เปลี่ยนความเชื่อ โดยเบื้องต้นต้องหาทางทำให้บุคคลที่ต้องการให้เปลี่ยนความเชื่อนั้นเกิดอาการประสาทเสีย (ที่เรียกกันทั่วไปว่า mental breakdown) ก่อน ซึ่งอาจทำได้โดยการทำให้ชอกช้ำอิดโรยทั้งทางร่างกายและจิตใจ การทำให้สับสนในทางจิต การทรมานให้เกิดการเจ็บปวดอย่างยืดเยื้อ และการสร้างความหวาดกลัว

การทำให้เกิดความชอกช้ำอิดโรยทางร่างกายและจิตใจทำได้โดยการทำให้ผู้ถูกล้างสมองนั้นไม่มีโอกาสได้พักผ่อน เช่นทำการสอบสวนอย่างต่อเนื่องไม่ให้ได้หลับ (น่าจะรวมถึงการสอบสวนข้ามคืนโดยไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับการพักผ่อน) เช่นคอยปลุกให้ตื่นหรือเอาไฟส่องสว่างสูงส่องหน้า (ที่เราเห็นในหนังสืบสวนสอบสวนอยู่บ่อย ๆ)

การทำให้สับสนทางจิตทำได้โดยการถามคำถามเดิม ๆ ซ้ำซากอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นคำถามชี้นำเชิงกล่าวหาให้ผู้ถูกล้างสมองนั้นยอมรับว่าได้กระทำตามสิ่งที่ถูกซักถาม โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เข้ามาถาม การทรมานร่างกายก็ทำได้หลายรูปแบบ (ขออนุญาตไม่เอามาเล่า) แต่ไม่ควรทำให้ผู้ที่ถูกล้างสมองนั้นถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนการสร้างความหวาดกลัวก็มีวิธีการหลายหลาย เช่นข่มขู่ว่าจะทำร้ายญาติพี่น้อง หรือนำเอาญาติพี่น้องมาทรมานให้ดูต่อหน้า หรือในกรณีที่มีผู้ถูกคุมขังอยู่หลายคน ก็อาจใช้วิธีเรียกออกไปเพียงคนเดียว พอลับสายตาผู้ถูกคุมขังรายอื่นก็มีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด จากนั้นบุคคลที่ถูกเรียกตัวไปนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย และไม่มีใครทราบว่าผู้นั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร

(ตัวอย่างของคำถามชี้นำเชิงกล่าวหาเช่น "รู้สำนึกตัวว่าผิดหรือไม่ที่ได้กระทำการดังกล่าวลงไป" ตามคำถามนี้ผู้สอบสวนบอกว่าผู้ถูกสอบสวน "ได้กระทำการดังกล่าว" ไปแล้ว แต่ไม่ยอมรับสารภาพ ดังนั้นถ้าผู้ถูกสอบสวนเผลอตอบว่า "ไม่" เมื่อไรก็จะเข้าทางผู้สอบสวนทันทีว่าได้ยอมรับว่า "ได้กระทำการดังกล่าวลงไป" แต่ไม่ยอมรับผิด ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นผู้ถูกสอบสวนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวเลย คิดแต่เพียงต้องการตอบว่าเขาไม่ได้กระทำการดังกล่าว แล้วจะให้รู้สำนึกผิดได้อย่างไร แต่เมื่ออยู่ในสภาพที่ขาดการพักผ่อนและถูกถามคำถามเดิม ๆ หรือคล้าย ๆ กันซ้ำซาก ก็ทำให้สมองสับสนจนไม่สามารถจับใจความคำถามได้ คิดอยู่เพียงว่าตอบ ๆ ไปซะจะได้พ้น ๆ ซะที)

ถ้าสนใจรายละเอียดเรื่องการล้างสมองและการต่อต้านการล้างสมอง ก็ขอแนะนำให้ไปหาอ่านจากหนังสือดังกล่าว ซึ่งตอนนี้คงหาซื้อไม่ได้แล้ว คงจะหาได้แต่ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยที่มีคณะนิติศาสตร์และ/หรือรัฐศาสตร์

ผ่านเรื่อง สุนัข อาหาร และล้างสมองแล้ว ก็เหลือเรื่องสุดท้ายคือรถถัง

ในตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในทวีปยุโรปนั้น เยอรมันใช้การจัดกำลังรถถังรวมกลุ่ม โดยอาศัยการรวมกำลังรถถังจำนวนมากเข้าด้วยกันเป็นระดับกองทัพ บุกตะลุยเข้าไปในดินแดนต่าง ๆ ของทวีปยุโรป ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปยังใช้การกระจายกำลังรถถังให้ไปอยู่กับหน่วยทหารราบ

รูปที่ ๑ (ซ้าย) สุนัขติดระเบิดสำหรับทำลายรถถัง และโครงสร้างของระเบิด (ขวา) รูปถ่ายก่อนออกปฏิบัติงาน รูปจาก http://warwriting.blogspot.com/2011_01_01_archive.html

ในช่วงแรกของสงคราม อาวุธต่อสู้รถถังที่มีประสิทธิภาพได้รถถังด้วยกันหรือไม่ก็แก่ปืนใหญ่ขนาดต่าง ๆ แต่ปืนใหญ่นั้นเคลื่อนย้ายได้ลำบาก ต้องอาศัยรถลากจูง และยังต้องใช้เวลาติดตั้งอีกกว่าจะยิงได้ (เว้นแต่จะวางดักเส้นทางที่คาดว่าจะมีรถถังวิ่งผ่านเอาไว้ล่วงหน้า)

รถถังนั้นออกแบบมาเพื่อป้องกันการโดนยิงจากทางด้านหน้า ดังนั้นเกราะด้านหน้าจึงหนามาก ด้านที่บางกว่าคือด้านข้างไม่ก็ข้างหลัง อีกตำแหน่งหนึ่งที่เกราะไม่หนาคือใต้ท้องรถ

สหภาพโซเวียตคิดค้นวิธีการต่อสู้รถถังขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยผลการทดลองของพาฟลอฟ กล่าวคือได้ทำการฝึกสุนัขโดยปล่อยให้สุนัขหิว และจัดวางอาหารสำหรับสุนัขไว้ใต้รถถัง ทำให้สุนัขคิดว่าเมื่อเห็นรถถัง ต้องมีของกินอยู่ใต้ตัวรถ

เมื่อเข้าสู่สงคราม ก็ได้มีการนำสุนัขเหล่านี้ออกรบ โดยมีการผูกระเบิดและอุปกรณ์จุดระเบิดติดเข้ากับตัวสุนัข (ดูรูปที่ ๑) โดยจะให้ทหารนำสุนัขออกไปแนวหน้า พอเห็นรถถังวิ่งมาก็จะปล่อยให้สุนัขวิ่งเข้าหารถถัง สิ่งที่คาดว่าจะเกิดคือเมื่อสุนัขมุดเข้าไปใต้ท้องรถถัง กลไกที่ติดอยู่บนหลังสุนัขจะไปจุดชนวนระเบิดที่ผูกติดกับตัวสุนัข ก็จะเป็นการทำลายรถถังด้วยการระเบิดจากด้านใต้ท้อง

ในช่วงแรกปรากฏว่าตอนฝึกสุนัขนั้น ไม่ได้ฝึกให้เคยชินกับเสียงปืนหรือระเบิด พอเข้าสนามรบจริงปรากฏว่าสุนัขที่เคยฝึกให้วิ่งเข้าใต้ท้องรถถังที่อยู่กับที่ ไม่สามารถวิ่งเข้าใต้ท้องรถถังที่กำลังเคลื่อนที่ได้ สุนัขส่วนหนึ่งตกใจเสียงปืนและระเบิดในสนามรบ ก็เลยวิ่งกลับมาหาครูฝึกแทน ผลก็คือตายทั้งสุนัขและครูฝึก

จากการที่กองทัพสหภาพโซเวียตใช้วิธีการนี้ ทำให้ทางกองทัพเยอรมันถึงกับต้องวางกำลังไว้จัดการกับสุนัขทุกตัวที่เข้ามาใกล้ และมีการเขียนคำแนะนำทำนองเสียดสี (หรือตลกร้าย) ให้กับทหารที่ได้ลาพักผ่อนกลับไปเยี่ยมบ้านจากการรบในรัสเซียว่า "ในเยอรมัน เมื่อพบเห็นสุนัขไม่จำเป็นต้องยิง มันทำได้อย่างมากคือกัดเท่านั้น"

ส่วนทางทหารรัสเซียเอง ถ้าสุนัขที่ปล่อยไปนั้นวิ่งย้อนกลับมาหาครูฝึก ก็ต้องยิงสุนัขตัวนั้นทิ้งเหมือนกัน

หวังว่าสาวน้อยคนที่เป็นครูสอนพิเศษวิชาชีววิทยาคงจะมีเรื่องเล่าให้นักเรียนฟังเพิ่มขึ้นแล้วนะ

MO Memoir ฉบับแรกออกในวันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.. ๒๕๕๑ ดังนั้นฉบับนี้จะเป็นฉบับปิดท้ายปีที่ ๔ ฉบับต่อไปซึ่งเป็นฉบับที่ ๔๗๕ จะเป็นฉบับขึ้นปีที่ ๕ (ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เขียนเรื่องอะไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นข่าวดีเกี่ยวกับเครื่อง GC)

สรุปในรอบปีที่ ๔ นั้นมีการออก Memoir ทั้งสิ้น ๑๔๕ ฉบับ ๕๑๗ หน้ากระดาษ A4