แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถยนต์ราง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รถยนต์ราง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

รถยนต์รางหุ้มเกราะกับการปล้นรถไฟสายใต้ที่อุโมงค์ช่องเขา (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๔๘) MO Memoir : Thursday 26 September 2556

เช้า ๆ เวลาขับรถผ่านมาตามถนนกรุงเกษม ผ่านหน้าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ พอถึงแยกนพวงศ์เลี้ยวซ้ายข้ามคลองผดุงกรุงเกษมตรงสะพานนพวงษ์เพื่อจะเลี้ยวขวาต่อไปยังหัวลำโพง จะเห็นตู้รถไฟคันหนึ่งจอดอยู่ ตู้รถไฟคันนี้รูปทรงมันสั้นเหมือนรถหุ้มเกาะ ข้างบนมีป้อมปืนหมุนไปมาได้ ที่รู้ว่ามันหมุนไปมาได้เพราะผ่านไปแต่ละครั้งมักเห็นปืนบนป้อมหันไปทิศต่าง ๆ (ผมไม่ได้สะกดผิดนะ ป้ายชื่อแยกสะกดว่า "นพวงศ์" ส่วนป้ายชื่อที่ติดอยู่ที่สะพานมันสะกดว่า "นพวงษ์" พ.ศ. ๒๕๐๓)
  
ผมขับผ่านมันอยู่หลายปี จนในที่สุดในวันอังคารที่ผ่านมาก็ถือโอกาสแวะเข้าไปทักทายมันสักที จะได้รู้ว่ามันคืออะไร ทำให้รู้ว่ามันคือ "รถยนต์รางหุ้มเกราะ" ที่ใช้ในการป้องกันขบวนรถไฟ
  
ในยุคที่ประเทศยังมีภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์นั้น เส้นทางคมนาคมที่เสี่ยงภัยที่สุดจากการปล้นเห็นจะเป็นเส้นทางสายใต้ ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์หรือรถไฟ เส้นทางรถไฟช่วงจากนครศรีธรรมราชไปพัทลุงก็เป็นจุดเสี่ยงจุดหนึ่ง เพราะเป็นช่วงที่เส้นทางต้องผ่านภูเขา เหตุการณ์ปิดถนนปล้นนั้นมีบ่อยจนกระทั่งมีคนเอาเพลงของวงแฮมเมอร์ที่ชื่อ "ปักษ์ใต้บ้านเรา" ที่เนื้อเพลงเขาร้องว่า "โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา แม่น้ำ ภูเขา ทะเลกว้างไกล อย่าไปไหน กลับใต้บ้านเรา ..." ไปแปลงเป็น "โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีปล้นรถทัวร์ วางระเบิดรถไฟ จะไปไหม ปักษ์ใต้บ้านเรา ..." หรือไม่ก็ "โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา โอ่ โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีปล้นรถทัวร์ วางระเบิดศาลากลาง จะไปไหม ปักษ์ใต้บ้านเรา ..." หรืออะไรต่อมิอะไรทำนองนี้
  
รูปที่ ๑ รถยนต์รางหุ้มเกราะคันนี้จอดอยู่บริเวณห้องสมุดรถไฟเยาวชน ถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านทิศเหนือของสถานีรถไฟหัวลำโพง ป้ายที่ติดตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวรถเป็นป้ายบอกประวัติของรถ (รูปที่ ๒)
  
ข้างตัวรถนั้นมีป้ายบอกประวัติของรถ แสดงให้เห็นว่ารถคันนี้ได้มีการผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน ป้ายดังกล่าวสดุดีวีรกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟและเจ้าหน้าที่ของการรถไฟจำนวนทั้งสิ้น ๗ นายที่เสียชีวิตจากการลอบโจมตีเพื่อปล้นรถไฟขบวนพิเศษจ่ายเงินเดือนพนักงานรถไฟสายใต้เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือเมื่อ ๓๔ ปีที่แล้ว ผมสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านที่ประจำอยู่ที่ห้องสมุดรถไฟว่ารถคันนี้เป็นคันที่อยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่าใช่
  
เส้นทางรถไฟสายใต้นั้นมีอุโมงค์อยู่เพียงอุโมงค์เดียว อยู่ระหว่างสถานีช่องเขา (ทางด้านเหนือ) และสถานีร่อนพิบูลย์ (ทางด้านใต้) ตอนเด็ก ๆ นั่งรถไฟลงใต้จำได้ดีว่ารถไฟต้องไปหยุดพักยาวที่ชุมทางทุ่งสงก่อน พอรถออกจากทุ่งสงก็รู้ว่าอีกไม่นานรถไฟจะเข้าอุโมงค์ ก็จะคอยโผล่หน้าออกมาดูทางหน้าต่างว่าเมื่อไรจะถึงอุโมงค์สักที
  
ป้ายนี้ (รูปที่ ๒) ระบุสถานที่เกิดเหตุว่าเกิดบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 771/13 (กิโลเมตรที่ 771 นับจากกรุงเทพ ส่วนเลข 13 ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงอะไร) พอตรวจสอบกับตำแหน่งที่ตั้งของอุโมงค์ช่องเขาซึ่งอยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 769.822 ถึง 770.058 (จาก http://th.wikipedia.org/wiki/อุโมงค์ช่องเขา) แสดงว่าจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณปากอุโมงค์ด้านสถานีรถไฟร่อนพิบูลย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ที่ห้องสมุดรถไฟท่านเล่าว่าผู้ก่อการร้ายใช้วิธีดักซุ่มอยู่เหนือปากอุโมงค์ แล้วใช้วิธีหย่อนระเบิดลงมายังขบวนรถ ผลจากการปะทะครั้งนั้นสามารถป้องกันทรัพย์สินของทางราชการเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องสูญเสียเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟและเจ้าหน้าที่ของการรถไฟจำนวนทั้งสิ้น ๗ นาย คือ

๑) พ.ต.ท. บุญโกย อุ่นวัฒนะ ๒) จ.ส.ต. ละเอียด มากมี
๓) จ.ส.ต. ลพ ท้าวทอง ๔) จ.ส.ต. ศรีศักดิ์ สีน้ำเงิน
๕) ส.ต.อ. ชูศิลป์ สรรค์ประศาสน์ ๖) พลฯ สุวรรณ ไชยยะ
๗) นายปรีชา จิตต์เจริญ (เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย)


รูปที่ ๒ ป้ายสดุดดีวีรกรรมของนายตำรวจและเจ้าหน้าที่การรถไฟที่เสียชีวิตจากการปะทะในวันอังคารที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ลองอ่านเอาเองนะครับ


รูปที่ ๓ อีกมุมหนึ่งของรถยนต์รางหุ้มเกราะ


รูปที่ ๔ ส่วนของป้อมปืน ตรงที่วงเอาไว้เดาว่าเป็นศูนย์ปืน ผู้ยิงคงมองออกมาจากรูตามแนวที่ลูกศรชี้

รูปที่ ๕ อีกด้านหนึ่งของป้อมปืน แสงไม่ค่อยเป็นใจ ทำให้ดูมืดไปมาก


รูปที่ ๖ รูปถ่ายรถยนต์รางหุ้มเกราะคันดังกล่าว แขวนเอาไว้ในตู้โบกี้ของห้องสมุดรถไฟ เสียดายที่ไม่ได้ระบุว่าถ่ายที่ไหนเมื่อปีใด แต่คงเป็นสถานีค่อนข้างใหญ่ เพราะเห็นมีหลายราง รู้แต่ว่าตำรวจคนที่ยืนอยู่ข้างรถถือปืน M-16


รูปที่ ๗ รูปนี้เห็นชัดว่าถ่ายที่ชุมทางหาดใหญ่ แต่ไม่ระบุเวลา แขวนเอาไว้ในตู้โบกี้ของห้องสมุดรถไฟเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่คนที่ ๑ และ ๓ จากซ้ายระบุได้ว่าถือปืน HK-33

ดูจากโครงสร้างตู้รถแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ แถมไม่มีหน้าต่างให้เปิดระบายอากาศอีก (ขืนมีมันก็คงไม่ได้เป็นรถหุ้มเกราะ) รถหุ้มเกราะที่เป็นเหล็กทั้งคันวิ่งตากแดดกลางวันนี่คงจะร้อนน่าดู แสดงว่าผู้ที่เข้าไปประจำในตัวรถต้องมีความอดทนอย่างมาก เห็นป้ายสดุดีวีรกรรมแล้วทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นท่านมีจิตวิญญาณพร้อมที่จะเข้าเผชิญเหตุเพื่อป้องกันความเสียหาย แทนที่จะหลีกทางให้คนร้ายปฏิบัติการ รอให้ความเสียหายเกิดขึ้นก่อน (เช่นกรณีเผาห้างและศาลากลางจังหวัด ปล้นร้านสะดวกซื้อ หรือปล่อยให้ยิงกันตายไม่รู้กี่ศพรอบ ๆ สำนักงานใหญ่แต่หาตำรวจเห็นเหตุการณ์ไม่ได้สักคน เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้) แล้วค่อยตามจับภายหลัง
  
ผมลองเอาชื่อผู้เสียชีวิตสืบค้นจาก google และในราชกิจจานุเบกษาดูก็พบแต่ชื่อ พ.ต.ท. บุญโกย อุ่นวัฒนะเท่านั้น เพราะมีประกาศออกมาเฉพาะราย (รูปที่ ๘) ท่านอื่นก็เชื่อว่าน่าจะมีประกาศพระราชทานยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์เช่นเดียวกัน แต่อาจมีหลายชื่ออยู่ในประกาศเดียวกัน ทำให้คอมพิวเตอร์หาไม่เจอ

คนไทยที่อายุไม่เกิน ๓๐ ในปัจจุบันอาจถือได้ว่าเกิดไม่ทันหรือเกิดแล้วแต่ยังไม่โตพอ ที่จะรับรู้เหตุการณ์การสู้รบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างคนในประเทศได้ หลาย ๆ ที่ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบันเดิมเป็นสมรภูมิการสู้รบนองเลือด ทั้งสองฝ่ายตายกันไม่รู้กี่ศพ ผมเคยบอกกับนิสิตหลาย ๆ คนว่า รู้ไหมว่าที่ ๆ พวกคุณไปเที่ยวกัน ไปถ่ายรูปกันนั้น สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยเขายังสู้รบกัน ยังยิงปืนใหญ่ใส่กัน ยังทิ้งระเบิดใส่กันอยู่เลย เพิ่งจะมาสงบให้พวกคุณเข้าไปเที่ยวได้เมื่อไม่นานนี้เอง 
   
ครั้งต่อไปถ้ามีโอกาสเดินทางไปยังที่เหล่านั้น ผ่านอนุสรณ์สถานต่าง ๆ ก็ขอเชิญแวะไปแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณผู้เสียสละเหล่านั้นด้วยนะครับ



รูปที่ ๘ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (บน) เรื่องพระราชทานยศตำรวจให้แก่ พ.ต.ท. บุญโกย อุ่นวัฒนะ ให้เป็นพลตำรวจตรี และแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี (ล่าง) เรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แต่พลตำรวจตรี บุญโกย อุ่นวัฒนะ (โปรดสังเกตนะว่าในประกาศแรกทำการเลื่อนยศก่อน พอประกาศที่สองก็ใช้ยศใหม่ได้ทันที) แต่ก็หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วเกือบ ๓ ปี (ขาดไม่กี่วัน)

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๑ รถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก (ศรีราชา) ภาค ๔ MO Memoir : Monday 24 December 2555

"ถนนตรงนี้ก่อนหน้านี้เป็นอะไรหรือครับ"

"เป็นทางรถไฟขนอ้อยน่ะ วิ่งมาจากทางด้านโน้น ออกไปบ้านหัวกุญแจ เดิมมันอยู่ต่ำกว่านี้อีก มิดหัวเลย มองไม่เห็นรถไฟหรอก พอถมไปถมมามันก็เลยสูงจนถึงระดับนี้"

บทสนทนาข้างบนเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันอังคารที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา


รูปที่ ๑ แผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๘๗ ตอนที่ ๑๐๐ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๓ เรื่องเปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลอ่าวอุดม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตัดมาเฉพาะบริเวณเขาเขียว-เขาชมภู่ แนวเส้นสีแดงคือทางรถไฟ

บริเวณบ้านโค้งดารา ถ้าใครขับรถมาจากทางศรีราชาจะไปสวนสันติธรรม (เห็นคนจากกรุงเทพชอบมากันเส้นทางนี้) จากแยกบ้านโค้งดาราขับรถเข้าไปนิดหน่อยด้านขวามือจะมีร้านขายกล้วยทอดมันทอดอยู่ร้านหนึ่ง ผมผ่านไปแถวนั้นทีไรมักจะแวะเข้าไปซื้อกินทุกที จนพี่แม่ค้าที่ขายกล้วยจำผมกับครอบครัวได้ (คงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนขับรถเก๋งต่างถิ่นแวะไปจอดซื้อของจากเขาและแวะคุยเรื่องต่าง ๆ)

ผมสงสัยถนนเส้นดังกล่าวตอนที่ไปได้เห็นแผนที่แสดงเขตสุขาภิบาลหัวกุญแจในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๘๐ ตอนที่ ๒๖ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๐๖ และแผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๘๗ ตอนที่ ๑๐๐ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๓ เรื่องเปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลอ่าวอุดม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี (ดู Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๑๕ วันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕) ที่บ่งบอกถึงเส้นทางรถไฟไปยังอำเภอบ้านบึง และยังพบปรากฏในแผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๑๔ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๑๗ เรื่องประกาศเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่อีก (รูปที่ ๓) ซึ่งเมื่อเทียบกับแผนที่ปัจจุบันแล้ว (รูปที่ ๒) ทำให้สงสัยว่าปัจจุบันส่วนหนึ่งเส้นทางดังกล่าวน่าจะเป็นถนนสาย ชบ ๑๐๘๐ ที่วิ่งจากบ้านโค้งดาราไปยังบ้านหัวกุญแจ

รูปที่ ๒ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ในปัจจุบัน เส้นประสีแดงคือแนวทางรถไฟในอดีต ซึ่งปัจจุบันคือทางหลวงสาย ชบ ๑๐๘๐

ถนนเส้นนี้ผมขับผ่านครั้งแรกเมื่อประมาณกว่า ๑๕ ปีที่แล้ว ตอนนั้นขับรถตามแผนที่หาเส้นทางตัดจากบางพระไปบ้านบึง เห็นในแผนที่มีถนนไม่ระบุชื่ออยู่หนึ่งเส้นทางอยู่ทางด้านหลังเขาเขียว ก็เลยลองลุยเข้าไปดู สภาพตอนนั้นเป็นทางลูกรังลุยผ่านเข้าไปในไร่มันสำปะหลัง ตอนแรกก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าหลงทางหรือเปล่า แต่พบว่ามีป้ายเครื่องหมายจราจร (ที่สนิมเขรอะ) ติดตั้งอยู่ ก็เลยคิดว่ายังไม่หลงทาง

ไปคราวหลังสุดนี้ก็เลยลองแวะถ่ายรูปข้างทางเก็บเอาไว้ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าในอดีตสมัยที่บริเวณนี้ยังเป็นป่าอยู่นั้น คนที่ใช้เส้นทางนี้ได้เห็นธรรมชาติข้างทางอย่างไรบ้าง ซึ่งเชื่อว่าคงจะร่มรื่นและอุดมสมบูรณ์กว่าในปัจจุบัน ที่สภาพป่าเปลี่ยนไปเป็นไร่มันสำปะหลังและไร่สับปะรดแทน ตำแหน่งต่าง ๆ ที่แวะถ่ายรูปได้ระบุไว้คร่าว ๆ แล้วในรูปที่ ๒ สภาพข้างทางในปัจจุบันเป็นอย่างไรก็ลองดูตามรูปเอาเองก็แล้วกัน

รูปที่ ๓ แผนที่แนบท้ายราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๙๑ ตอนที่ ๑๑๔ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๑๗ เรื่องประกาศเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ ในวงแดงคือบริเวณเส้นทางที่แวะถ่ายรูป

รูปที่ ๔ ร้านขายกล้วยทอด (๑) ที่แวะซื้อกินประจำเวลาเดินทางผ่านไปแถวนั้น บางทีก็มีผักสดมาวางขายด้วย รูปนี้เป็นการมองย้อนไปทางเส้นทางที่มุ่งหน้ามาจากบ้านหนองค้อ ผมว่ากล้วยทอดต้องกินร้อน ๆ พึ่งขึ้นมาจากกระทะ ที่เขามาเดินขายอยู่ตามสี่แยกรถติดนั้นไม่เคยคิดจะซื้อกินเลย ป้ายบอกทางในกรอบแดงข้างหลังบอกว่าตรงไปจะไปทางหลวงหมายเลข ๗ ส่วนเลี้ยวซ้ายจะไปวัดโค้งดารา

รูปที่ ๕ ยังอยู่ที่บริเวณหน้าร้านขายกล้วยทอด (๑) รูปนี้มองไปยังเส้นทางไปบ้านหัวกุญแจและ อ.บ้านบึง เดิมทีเป็นทางหินคลุก คนมาจากกรุงเทพเกือบทั้งหมดจะมุ่งหน้าจากบ้านโค้งดาราไปยังสวนสันติธรรม แล้วก็ย้อนกลับทางเดิม ตอนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเส้นทางดังกล่าวใช้ลัดไปออกบ้านบึงได้ เพราะถนนที่เลยสวนสันติธรรมไปแล้วมันดูแย่ลงไปอีก แต่ตอนนี้พอทำเป็นถนนลาดยาง (แต่ไม่ตลอดทั้งเส้น) ปรากฏว่ามีรถบรรบุกขนาดใหญ่ใช้เป็นเส้นทางสัญจรร่วมด้วย

รูปที่ ๖ จากตำแหน่ง (๑) มายังตำแหน่ง (๒) เส้นทางก่อนถึงสวนสันติธรรม แถวนี้ช่วงหน้าหนาวอากาศดี ลมแรงดี ไม่เย็นมากเกินไป

รูปที่ ๗ บริเวณหน้าสวนสันติธรรม (๒) ที่อยู่ทางขวามือ มุ่งหน้าไปยังบ้านหนองน้ำเขียว ถนนเส้นนี้จะลาดยางไปจนถึงเข้าเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า ช่วงที่อยู่ในเขตอนุรักษ์นั้นจะเป็นทางลูกรัง เลยจากจุดนี้ไปสักนิดพอเข้าเขตอนุรักษ์ เส้นทางจะมีปัญหาอยู่นิดหน่อย คือไหล่ทางทรุดพังบริเวณทางน้ำไหลผ่าน รถวิ่งสวนกันไม่ได้ แต่ถนนเส้นนี้ช่วงเลยจากจุดนี้ไปปรกติก็ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งอยู่แล้ว 

รูปที่ ๘ ถนนช่วงที่อยู่ในเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า ยังคงเป็นถนนหินคลุกอยู่ รูปนี้เป็นการมองย้อนไปยังบ้านโค้งดารา (บริเวณตำแหน่ง ๓) เส้นทางข้างหน้า (ตรงลูกศรสีเหลือง) จะเป็นโค้งที่ออกขวาก่อนเล็กน้อยและวกกลับไปทางซ้ายลงต่ำไปข้างล่าง เป็นจุดที่ไหล่ถนนพังลงไปเพราะโดนน้ำเซาะ

รูปที่ ๙ พอพ้นออกจากเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่าแล้ว ถนนก็จะมีสภาพเป็นถนนราดยางอย่างดีอีกครั้งหนึ่ง ทางด้านซ้ายจะเป็นเนินเขามีคนทำไร่ข้าวโพด ส่วนทางด้านขวาเป็นทุ่งโล่ง (บริเวณตำแหน่ง ๔) วันนั้นขับรถไปถึงแค่นี้แล้วก็วนกลับ แต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็ต้องใช้เส้นทางนี้อีกโดยขับจากบ้านหัวกุญแจไปออกบางพระ

รูปที่ ๑๐ ทีนี้ลองย้อนมาทางอีกฝั่ง จากบ้านโค้งดารามุ่งหน้าไปยังหนองค้อ (ตำแหน่ง ๕) ระดับถนนเส้นนี้ต่ำกว่าระดับถนนของบ้านโค้งดาราอยู่มาก แสดงว่าถนนบ้านโค้งดารานั้นมีการถมให้สูงขึ้นมามาก และก็เป็นไปได้ที่ระดับเดิมนั้นจะต่ำจนเป็นอย่างที่พี่แม่ค้าขายกล้วยทอดบอกว่าระดับเดิมมันต่ำจนมิดหัวรถไฟ (หัวรถจักรรถไฟเล็กนี้ไม่ได้สูงมากนะ ลองไปดูรูปได้ใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๑๕ วันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในรูปนั้นตอนนั้นเขาใช้ลากไม้ แต่ต่อมาภายหลังใช้ขนอ้อยไปเข้าโรงงานน้ำตาล)

รูปที่ ๑๑ รูปนี้อยู่ที่บริเวณตำแหน่ง ๖ กำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่ง ๗ สภาพเส้นทางสายนี้ดูแล้วได้บรรยากาศดี ทางด้านขวาที่เห็นต้นไม้รก ๆ นั้นเป็นต้นไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากธารน้ำข้างทาง ที่อยู่ต่ำลงไปขนาดมิดหัวคนได้ ดังนั้นถ้าเจอรถวิ่งสวนหลบกัน ใครอยู่ฝั่งนั้นก็ต้องระวังด้วย ไม่เช่นนั้นมีหวังลงไปล้างรถอยู่ในธารน้ำข้างทางได้

รูปที่ ๑๒ บริเวณตำแหน่งที่ ๖ แต่เป็นการมองย้อนกลับไปยังบ้านโค้งดารา ฝั่งที่เป็นธารน้ำคือด้านซ้ายมือของรูป

รูปที่ ๑๓ ขับมาจนถึงจุดที่เชื่อว่าเป็นทางแยกระหว่างเส้นทางไปบ้านบึงและเส้นทางที่มุ่งไปยังบึงตาต้าเขตอ.ปลวกแดง (ตำแหน่งที่ ๗) รูปนี้เป็นการมองย้อนกลับไปยังบ้านโค้งดารา

รูปที่ ๑๔ ระหว่างเส้นทาง (ตำแหน่ง ๕ ถึง ๗) ถ้าขับมาจากบ้านโค้งดาราจะพบโรงงานบริษัทศรีมหาราชาอยู่ทางด้านซ้ายมือ ปัจจุบันไม่ทราบว่าใช้ทำอะไร รู้แต่ว่าข้าง ๆ โรงงานมีสวนยางพาราขึ้นอยู่ (แต่จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าก็ไม่รู้) ภายในเห็นมีรูปปั้น เดาว่าคงเป็นรูปปั้นของเจ้าพระยาสุรศักดิ์ผู้ริเริ่มบุกเบิกเส้นทางรถไฟเส้นนี้ (ผมเดาถูกหรือผิดก็ไม่รู้นะ)

ในมุมมองของผมนั้นการอ่านหนังสือนั้นมันแตกต่างจากการอ่านการ์ตูนที่มีภาพ เพราะหนังสือนั้นมันเปิดโอกาสให้เราจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาตัวละครและฉากต่าง ๆ ในเรื่อง ต่างคนก็ต่างคิดไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่คน ๆ เดียวกันเวลาอ่านใหม่ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นภาพแตกต่างไปจากเดิมได้ แต่พอเป็นการ์ตูนแล้วทุกคนก็จะมองเห็นภาพเดียวกันหมด และไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็จะเห็นภาพเดิม ๆ แต่การอ่านการ์ตูนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน (เพราะเด็กยังต้องการเห็นรูปภาพว่าอะไรคืออะไร)

การเดินทางท่องเที่ยวก็เช่นกัน เมื่อเราได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเส้นทางที่เราเดินทางไปนั้น เราก็อาจมองเห็นภาพสองข้างทางนั้นแตกต่างไปจากที่มันปรากฏต่อสายตาของเราในปัจจุบันได้ และเราจะได้พบว่าการท่องเที่ยวนั้นความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่เส้นทางที่เราใช้ในการเดินทาง ว่าเราเลือกจะใช้เส้นทางที่จะเปิดโอกาสให้เราได้มองเห็นอะไรบ้าง

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๖ รถยนต์รางเลขที่ ๒๕๑๒ MO Memoir : Sunday 8 April 2555


ที่ระยะ ๑๖.๑๕๐ กิโลเมตรจากสถานีรถไฟท่ากิเลนมุ่งหน้าไปยังสถานีสถานีรถไฟน้ำตก หรือกึ่งกลางทางระหว่างสถานีรถไฟท่ากิเลนและสถานีรถไฟน้ำตก เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟวังโพ

อันที่จริงตรงนี้ก็เป็นที่ตั้งของอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แต่สถานีรถไฟประจำอำเภอกลับชื่อวังโพ ไม่ได้ชื่อไทรโยค

รูปที่ ๑ สถานีรถไฟวังโพ มองไปในทิศทางมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟน้ำตก

ผมเคยผ่านไปแถวนอนเล่นที่รีสอร์ทแถวนั้นมาหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งจะมีเมื่อวานที่มีโอกาสได้ลงไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ตัวสถานี

ฝั่งตรงข้ามตัวที่ทำการสถานี ด้านตะวันตกบนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตก ยังมีเศษซากประวัติศาสตร์การเดินรถไฟในสมัยรถจักรไอน้ำให้เห็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแทงค์เก็บน้ำสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักร เสาสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักร และไม้ท่อนทั้งเล็กและใหญ่ ซึ่งจากที่เห็นคิดว่าคงเป็นกองปน ๆ กันระหว่างไม้หมอนและไม้เสาต่าง ๆ

ฝั่งด้านที่ทำการตัวสถานี บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตกก็ยังมีอนุสรณ์บอกเล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับทางรถไฟสายนี้เอาไว้ นั่นคือซากรถยนต์รางเลขที่ ๒๕๑๒ ที่ประสบอุบัติเหตุจนทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นคือ ม.ล. กรี เดชาติวงศ์ ถึงแก่อนิจกรรมพร้อมกับเจ้าพนักงานรถไฟอีก ๑ นาย (ไม่มีการระบุชื่อ) รายละเอียดเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ลองอ่านเอาเองจากป้ายบอกเล่าที่ถ่ายมาให้ดูในรูปที่ ๓

รูปที่ ๒ ทางด้านตะวันตกของสถานี มุ่งหน้าไปยังสถานีน้ำตก ยังมีซากอนุสรณ์รถไฟสมัยเก่าให้เห็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแทงค์เก็บน้ำ (ทางซ้ายของรูป) และเสาสำหรับเติมน้ำให้หัวรถจักรไอน้ำ (ในกรอบสีเหลือง) และกองท่อนไม้เก่า เข้าใจว่าคงปน ๆ กันอยู่ระหว่างไม้หมอนเก่ากับเสาไม้เก่า ๆ

รูปที่ ๓ ป้ายบอกประวัติรถยนต์รางเลขที่ ๒๕๑๒ ป้ายนี้อยู่ฝั่งเดียวกันกับตัวที่ทำการสถานีรถไฟ

รูปที่ ๔ รถยนต์รางเลขที่ ๒๕๑๒ คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อ ๖๕ ปีที่แล้ว ตอนนี้มีหญ้าและไม้เลื้อยขึ้นรอบ ๆ เต็มไปหมด สงสัยเป็นเพราะว่าช่วงที่ผ่านมานั้นมีฝนตกบ่อย ไม้เหล่านี้ก็เลยขึ้นงอกงามดี

รูปที่ ๕ อีกด้านหนึ่งของรถยนต์รางคันดังกล่าว ลูกฟุตบอลที่นอนอยู่ใต้รางไม่ได้เป็นอุปกรณ์ประจำรถนะ คงเป็นของเด็ก ๆ แถวนั้นที่เตะฟุตบอลเล่นแล้วลืมเก็บมากกว่า

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (แต่พิมพ์พ.ศ. ๒๕๔๖) ไม่มีคำว่า "ทราก" มีแต่คำว่า "ซาก" คำนี้เป็นคำไทยคำหนึ่งที่มักพบว่ามีการเขียนผิดบ่อยครั้ง (ดูบรรทัดสุดท้ายของป้ายในรูปที่ ๓)

ที่สะกิดใจผมคือนามสกุลของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น เพราะไปเหมือนกันกับชื่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ "สะพานเดชาติวงศ์" สะพานนี้มักจะตกเป็นข่าวทุกปีช่วงเทศกาล เพราะจะเป็นจุดที่การจราจรจะติดหนักบนเส้นทางขึ้น-ล่องระหว่างภาคกลางและภาคเหนือ

ผมลองค้นข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์พบว่าข้อมูลเกี่ยวกับสะพานนี้มีความขัดแย้งกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปีที่เริ่มก่อสร้างหรือปีที่เริ่มเปิดใช้ แต่ที่เห็นว่าน่าจะผิดแน่นอนก็คือมีบางเว็บบอกว่าสะพานดังเกล่าวเปิดใช้งานเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๓ โดย ".. กรี เดชาติวงศ์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น" ดังเช่นในเว็บของ wikipedia ที่เดี๋ยวนี้นักเรียนและใครต่อใครชอบเอาไปใช้ในการเขียนรายงานหรืออ้างอิงกัน

แต่เมื่อตรวจสอบกับแหล่งอื่นแล้ว เช่นในเว็บของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (www.cabinet.thaigov.go.th) ซึ่งเป็นเว็บทางการของทางรัฐบาล ได้ให้ข้อมูลว่าม.ล. กรี เดชาติวงศ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมเนื่องจากอุบัติเหตุรถยนต์รางเมื่อ ๓ ปี ๗ เดือนก่อนหน้านั้นแล้วคือในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๒๙๐ (รูปที่ ๗) แสดงว่าข้อมูลใน wikipedia (ซึ่งใครก็ได้สามารถเข้าไปเขียนได้อย่างอิสระ) ก็มีผิดพลาดอยู่เหมือนกัน

รูปที่ ๖ ประวัติสะพานเดชาติวงศ์จากหน้าเว็บ thai.en.wikipedia.org/wiki/สะพานเดชาติวงศ์ บอกว่าสะพานดังกล่าวเปิดใช้เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๙๓ โดย ม.ล. กรี เดชาติวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวงในสมัยนั้น (ตรงที่ตีเส้นประสีแดง)

ผมเองก็เข้าไปอ่านบทความในเว็บ wikipedia ที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่บ่อย ๆ และพบว่าในฉบับภาษาอังกฤษนั้นมักจะให้ข้อมูลเอาไว้ด้วยว่าข้อมูลที่เขาเอามานั้นอ้างอิงมาจากหนังสือเล่มใดหรือจากเว็บที่เป็นทางการของหน่วยงานใด (เช่นจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทที่มีตัวตนจริงและมีการเผยแพร่ข้อมูลนั้นโดยตรง) และถ้าข้อมูลใดถูกกล่าวขึ้นมาลอย ๆ เขาก็มักจะระบุด้วยว่าข้อมูลนั้นยังต้องการการอ้างอิงว่าเอามาจากแหล่งใด ซึ่งแตกต่างจากของคนไทยอยู่ ที่พบว่าข้อมูลเดียวกัน (ประเภทคัดลอกกันทุกคำพูด) มีไปปรากฏในหลายเว็บโดยที่ไม่มีการบอกที่มาที่ไปว่าไปลอกมาจากไหน

รูปที่ ๗ รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดที่ ๑๗ ของประเทศไทยจากหน้าเว็บ www.cabinet.thaigov.go.th/cab_17.htm คัดลอกมาเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕ จะเห็นว่าระบุเอาไว้ว่า ม.ล. กรี เดชาติวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๔๙๐ จากอุบัติเหตุรถพลัดตกจากสะพาน (ในกรอบสีเหลือง)

การศึกษาของเรานั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์เท่าไรนัก มักจะเป็นการให้แบบผิวเผิน ฟังแล้วก็เชื่อต่อ ๆ กันมาโดยไม่มีการตรวจสอบใด ๆ ทั้งสิ้น และมักให้ความสนใจกับภาพรวมใหญ่ ๆ โดยไม่ค่อยให้ความสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าเป็น "เกร็ดเล็ก ๆ ทางประวัติศาสตร์" เท่าไรนัก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเกร็ดเหล่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้ถูกยกยอปอปั้นหรือปรากฏเป็นข่าวในเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติที่เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ

แต่ถ้าเขาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของสิ่งเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขาเหล่านั้นก็ควรที่จะได้รับการบันทึกชื่อให้อยู่ร่วมกับประวัติศาสตร์ของสิ่งนั้นด้วย