แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับน้อง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับน้อง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

หยิบเอาไป แล้วไม่เอากลับวางคืนที่เดิม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๘๐) MO Memoir : Saturday 6 September 2557

เมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ ๔ กันยายนที่ผ่านมา มีงานปิดกีฬาน้องใหม่ของทางมหาวิทยาลัยที่สนามฟุตบอลของทางมหาวิทยาลัย คณะต่าง ๆ ก็ส่งทั้งกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์มาร่วมงาน พร้อมเตรียมการแสดงต่าง ๆ เย็นวันนั้นผมก็ไปรับลูกสาวที่โรงเรียน ก็ต้องเดินเลียบข้างสนามกีฬาดังกล่าวตลอดความยาว ตั้งแต่ด้านทิศเหนือ (ที่เป็นอาคารสนามกีฬาในร่ม) ไปจนสุดท้านทิศใต้ (ที่เป็นอาคารจอดรถ) พอจะข้ามถนนตรงสุดสนามด้านทิศใต้ ก็เห็นมีรุ่นพี่มานั่งงัดแงะอะไรบางอย่างอยู่ที่โคนพุ่มไม้ สักพักก็เห็นเขาหยิบอิฐตัวหนอนที่ทางมหาวิทยาลัยใช้กั้นเป็นขอบดินแนวพุ่มไม้นั้นขึ้นมา แล้วก็วิ่งหายเข้าไปในสนามกีฬา
  
เมื่อวานตอนเย็นก็เดินผ่านมุมเดิมอีกครั้ง สนามกีฬาไม่มีงานแล้ว แต่ยังมีร่องรอยของการจัดงานหลงเหลืออยู่ พอเดินผ่านแถวพุ่มไม้ที่เห็นนิสิตรุ่นพี่หยิบอิฐตัวหนอนไปเมื่อวาน ก็เห็นว่ามันยังคงแหว่งไปเหมือนเดิม (รูปที่ ๑) ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปไหน ได้แต่เดาว่าคงถูกเอาไปวางทิ้งไว้ในสนามกีฬาที่ใช้จัดงานเมื่อวาน และคงไม่มีใครเอาติดกลับบ้านไปในฐานะของที่ระลึกงานปิดกีฬาน้องใหม่ ๒๕๕๗
  
เป็นเรื่องปรกติครับที่มักจะพบว่า ไม่ว่าการจัดงานอะไรก็ตาม จำนวนคนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการเตรียมการจัดงาน จำนวนคนที่เข้ามาร่วมงาน มักจะมีมากกว่าจำนวนคนที่จัดการเก็บกวาดความเรียบร้อยหลังเลิกงาน และเมื่อถึงเวลาจัดงานจริง ความไม่พร้อมต่าง ๆ ก็จะปรากฏให้เห็น ทำให้ต้องมีการแก้ปัญหากันหน้างานเป็นประจำ และนั่นเป็นสิ่งที่คนที่เคยมีประสบการณ์การทำงานจะบอกได้ว่าต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับเหตุการณ์อะไรบ้าง และนี่ก็คือข้อดีของการได้ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่นอกเหนือไปจากการเรียนในห้องเรียน


รูปที่ ๑ ในกรอบสีเหลืองคืออิฐตัวหนอนที่หายไป

รูปที่ ๒ ภาพถ่ายจากอาคารจอดรถชั้น ๕ ด้านทิศใต้ มองไปทางเหนือเฉียงไปทางตะวันออกเล็กน้อย
 
รูปที่ ๓ ถ่ายจากมุมเดียวกับรูปที่ ๒ รูปนี้ถ่ายไปทางเหนือค่อนไปทางตะวันตกเล็กน้อย กองเชียร์ของนิสิตจะอยู่ทางซีกตะวันตกของที่นั่งชม ซีกตะวันออกวันก็โล่ง ๆ อย่างที่เห็น

รูปที่ ๔ ถ่ายจากจุดเดิม แต่มองไปทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย ตั้งแต่ผมเข้ามาใช้ชีวิต (ทั้งเรียนและทำงาน) อยู่ที่นี่ ที่ตั้งตลาดเห็นนี้ก็เป็นแห่งที่สามแล้ว ที่ตั้งตลาดที่แรกคือบริเวณที่เป็นจตุรัสจามจุรีในปัจจุบัน ที่ตั้งแห่งที่สองย้ายมายังถนนพญาไทฝั่งตรงข้าม (ข้าง ๆ คณะนิติศาสตร์) ที่ตอนนี้เป็นที่โล่ง ๆ ใช้เป็นที่จอดรถอยู่ ส่วนตรงลานจอดรถบัสรับส่งในมหาวิทยาลัยที่เห็นมีรถบัสสีชมพูจอดอยู่สองคัน ตรงนั้นเคยเป็นสถานีบริการน้ำมันของทางมหาวิทยาลัย (ปตท.) ขายน้ำมันในราคาถูกกว่าข้างนอกลิตรละ ๑๐ สตางค์ แต่ก็ปิดบริการไปเมื่อมีการนำพื้นที่ดังกล่าวมาใช้สร้างอาคารนี้ จากมุมมองนี้ยังสามารถมองเห็นเสาของสะพานพระราม ๘ ได้ (ตรงลูกศรสีแดงชี้) แต่คิดว่าคงอีกไม่นานก็คงจะถูกบดบังด้วยอาคารสูงที่จะขึ้นมาทดแทนอาคารพาณิชย์สองชั้นแบบเดิม ๆ

รูป ๒-๔ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับนอกจากเป็นบรรยากาศจากลานจอดรถชั้น ๕ มองออกไปทางด้านทิศเหนือ เอามาไว้ที่นี่เผื่อว่ามีคนที่เคยมาใช้ชีวิตช่วงหนึ่ง ณ สถาบันนี้จะแวะมาเจอ จะได้รู้ว่าสภาพปัจจุบันนั้น (คือ ณ วันที่เขียนนี้) เป็นอย่างไรมาก แตกต่างไปจากภาพความทรงจำในอดีตของเขามากน้อยเพียงใด เพราะเมื่อไม่ถึง ๑๐ ปีที่แล้วอาคารจอดรถนี้ยังไม่มี ที่ตรงนี้ยังเป็นเพียงแค่สนามเทนนิสและที่โล่งที่ใช้เป็นที่จอดรถได้ ตลาดสามย่านก็ย้ายมายังที่ตั้งปัจจุบันภายหลังจากนั้น ขณะนี้ตึกแถวสองชั้นเก่า ๆ เริ่มหายไปเรื่อย ๆ คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะหมดไป กลายเป็นอาคารสูงแบบใหม่และร้านค้าในรูปแบบใหม่เข้ามาทดแทน การจัดพื้นที่ทางเท้าและพื้นผิวการจราจรก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากเดิมที่ทำกันแบบอยู่ตรงหน้าร้านใครก็ขยายออกมายึดพื้นผิวจราจรไปอีก ๑ ช่องทาง ทำกันอย่างนี้ทั้งสองฝั่งจนบางซอยนั้นถนนกว้างขนาด ๓ หรือ ๔ ช่องทางเหลือช่องกว้างเพียงแค่รถเล็กวิ่งผ่านได้แค่คันเดียว


บทความนี้ผมว่าถ้าได้ย้อนกลับมาอ่านใหม่ในอีก ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า เราก็คงจะอ่านมันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยนำเรื่องนี้มาไว้ในชุด "ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ"

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เงินไม่มี น้องไม่มา MO Memoir : Saturday 16 August 255

ตอนเข้าเรียนปี ๑ นั้น นิสิตปี ๑ ทั้งคณะก็มีกันกว่าสี่ร้อยคน สิ่งแรกที่รุ่นพี่พยายามทำก็คือทำอย่างไรจึงจะให้นิสิตปี ๑ นั้นรู้จักเพื่อนฝูงร่วมรุ่นกันให้ได้มากที่สุด
  
สำหรับนิสิตปี ๑ นั้น ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดตารางสอนและตอนเรียนให้กับนิสิตทุกคน โดยใช้รายชื่อที่เรียงตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ ดังนั้นคนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรเดียวกันหรืออยู่ติดกัน ก็มักจะได้เรียนห้องเดียวกันเสมอไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไร ด้วยการจัดแบ่งวิธีนี้ คนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ก็จะได้เรียนกับคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" หรือ "B" เท่านั้น โอกาสที่จะได้เรียนกับคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "P" "S" "T" ฯลฯ นั้นไม่ต้องพูดถึง
  
ทางรุ่นพี่ก็หาทางทำให้นิสิตปี ๑ ที่ไม่ได้เรียนห้องเรียนเดียวกันได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน ไม่ว่าจะใช้การแบ่ง "Group" ที่ให้นิสิตปี ๑ ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยการแบ่ง "Group" นั้นใช้วิธีการนำรายชื่อที่เรียงตามลำดับอักษรนั้นมาเขียนอักษร A-Z (อันที่จริง Group สุดท้ายไม่ใช้ Z หรอก แต่ผมจำไม่ได้) เรียงลำดับ A, B, C, ... จนไปถึง group สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอักษร A ใหม่ ใครมีอักษรตัวไหนนำหน้าชื่อก็ได้อยู่ Group นั้น คนแรกที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ก็อยู่ group A คนที่สองของอักษร "A" ก็อยู่ group B ด้วยวิธีการนี้จึงทำให้คนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ได้มีโอกาสทำงานและทำความรู้จักคนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "Z" แม้ว่าจะไม่เคยเรียนด้วยกัน
  
เหตุผลหลักที่จัดแบ่งกลุ่มกันด้วยวิธีนี้ก็เพื่อให้คนที่มาจากต่างที่กันและไม่ได้เรียนห้องเรียนเดียวกันได้มีโอกาส "ทำความรู้จักกัน" เมื่อมีกิจกรรมกลุ่ม โดยไม่ได้เน้นไปตรงที่ผลงานของกิจกรรมนั้น เช่นการทำพานดอกไม้ไหว้ครู จะเน้นไปที่การที่ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้มีโอกาสมาทำความรู้จักกันและทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วนความสวยงามของพานดอกไม้ไหว้ครูของกลุ่มนั้นถือเป็นผลพลอยได้

  
วิธีการอื่นนอกจากนั้นก็มีตอนซ้อมเชียร์เย็น รุ่นพี่ก็จะบอกให้นิสิตปี ๑ หันไปถามคนที่อยู่รอบข้างทั้ง ๘ คนให้หมด (ถ้านั่งอยู่กลางวง) ว่าใครชื่ออะไร มาจากไหน จะได้ทำความรู้จักกัน นอกจากนี้ยังมีการมอบแฟ้มให้นิสิตปี ๑ ถือพร้อมทั้งให้เขียนชื่อไว้บนแฟ้มด้วย เวลาเจอหน้ากันแล้วลืมไปว่าคนนี้ชื่ออะไร ก็ใช้วิธีการชำเลืองเอาบนแฟ้ม จะได้ไม่ต้องคอยถามกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะตัวผมเองที่ความจำเรื่องชื่อคนไม่ค่อยจะดี มักจะใช้วิธีการนี้เป็นประจำ
  
สำหรับบริเวณที่นั่งในคณะนั้นก็มีบริเวณที่มีเฉพาะนิสิตปี ๑ ไปนั่งจับกลุ่มกัน ซึ่งก็เป็นบริเวณข้างหอนาฬิกาฝั่งตรงข้ามตึกจักรพงษ์ในปัจจุบัน รุ่นพี่ปีอื่นก็มีบริเวณเฉพาะของแต่ละชั้นปีซึ่งในขณะก็เป็นบริเวณที่เรียกว่า "ลานอักษร" (ตอนนี้กลายเป็นสวนหย่อมที่ไม่เปิดโอกาสให้นิสิตเข้าไปนั่งพัก แต่สมัยนั้นมีแต่โต๊ะสำหรับนั่งพักใต้ร่มไม้เต็มไปหมด แถมยังใช้เป็นสถานที่เตะฟุตบอลด้วย) รุ่นพี่ก็มักจะบอกว่าไปรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นกันให้ครบก่อน แล้วค่อยมาทำความรู้จักรุ่นพี่คนอื่น ๆ 
   
ในขณะที่คณะอื่นในมหาวิทยาลัยนั้นมีระบบโต๊ะ Group และพี่รหัส น้องรหัส แต่คณะที่ผมเรียนอยู่ตอนนั้นไม่มีระบบดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นในระดับคณะหรือของภาควิชา รุ่นพี่ก็บอกแต่เพียงว่าพี่ก็เป็นพี่ของน้องทุกคน รุ่นน้องคนไหนมีปัญหาก็ปรึกษารุ่นพี่คนใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น "พี่รหัส" ส่วนรุ่นพี่ก็ยินดีช่วยน้องทุกคนโดยไม่สนว่าน้องคนนั้นเป็น "น้องรหัส" หรือไม่
  
ด้วยระบบแบบนี้นอกจากจะทำให้รู้จักเพื่อนร่วมรุ่นทั้งชั้นปีได้ดีแล้ว (แม้จะไม่ทุกคนก็ตาม) เวลาเป็นปี ๑ ก็จะรู้จักรุ่นพี่ขึ้นไปถึงปี ๔ เวลาอยู่ปี ๔ ก็จะรู้จักรุ่นน้องลงมาถึงปี ๑ ดังนั้นช่วงเวลา ๔ ปีในมหาวิทยาลัยจึงรู้จักกัน ๗ รุ่น คือรุ่นก่อนหน้า ๓ รุ่นและรุ่นที่ตามหลังมาอีก ๓ รุ่น เวลามีกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่ต้องมีการระดมพล ก็ทำเพียงแค่บอกกล่าวไปยังหัวหน้าชั้นปีซึ่งก็จะบอกต่อกันจนทราบกันทั้งชั้นปี
  

ส่วนรุ่นพี่กลุ่มไหนจะสนิทสนมกับรุ่นน้องกลุ่มไหนมากเป็นพิเศษนั้น ไม่ได้มาจากการอยู่ร่วม group เดียวกัน แต่มาจากการเข้าร่วมชมรมหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นเข้าร่วมชมรมกีฬาหรือกลุ่มกองเชียร์ (ผมเองก็เข้าไปร่วมวงทั้งสองอย่าง) หรือร่วมทำงานนิทรรศการฯ ร่วมกัน 
   
ความผูกพันแบบนี้เห็นได้ชัดในวันรับปริญญา ในเย็นวันที่คณะรับปริญญานั้น เป็นที่ทราบกันระหว่างนิสิตปี ๒-๔ ว่า คืนนั้นพี่นายช่างที่เพิ่งจะรับปริญญาไปในบ่ายวันนั้น จัดงานเลี้ยงให้รุ่นน้องปี ๒-๔ ที่ห้องอาหารหรือที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมไหน (ปี ๑ ไม่เกี่ยว) ดังนั้นหลังจากส่งรุ่นน้องปี ๑ กลับบ้านหลังส่งเสด็จแล้ว บรรดานิสิตปี ๒-๔ ก็จะไปรวมตัวกัน ณ สถานที่จัดงาน เรียกว่าไปกินฟรีโดยมีพวกพี่ ๆ ที่จบรับปริญญานั้นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด (ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม) ชุดที่ไปร่วมงานก็เป็นชุดนิสิตที่ใส่ในงานรับปริญญานั่นแหละ ตอนที่ผมเป็นนิสิตก็ได้มีโอกาสไปร่วมงานที่พี่ ๆ จัดให้ และตอนที่จบรับปริญญาก็ได้มีโอกาสจัดงานเช่นนี้ให้กับรุ่นน้องอีก ๓ ชั้นปีที่ทันเห็นหน้ากันตอนผมเรียนปี ๔ ด้วย จำได้ว่าการจัดงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีการบังคับให้ต้องจ่ายเงิน ใครอยากช่วยเท่าใดก็ช่วยตามเท่าที่มี (เพราะบางคนมีงานทำแล้วแต่บางคนยังไม่มีงานทำ) แต่ทุกคนก็สามารถไปร่วมงานดังกล่าวได้หมด
  
งานเลี้ยงดังกล่าวผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด และจัดเป็นครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.ใด เพราะเมื่อผมกลับมาทำงานในอีก ๖ ปีต่อมา ก็ไม่พบว่ามีการจัดงานรูปแบบดังกล่าวแล้ว
  
สมัยที่เรียนหนังสือนั้น ตอนเป็นรุ่นน้องก็ไม่เคยได้รับหนังสืออะไรจากรุ่นพี่ หรือมีรุ่นพี่พาไปเลี้ยงเป็นการเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ จะไปกันทีก็เป็นในฐานะชมรมหรือไม่ก็ภาควิชา และก็ไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้ในสิ่งนั้นด้วย และพอเป็นรุ่นพี่ก็ไม่เคยให้หนังสือเรียนอะไรแก่รุ่นน้อง (เพราะจะเก็บเอาไว้ใช้ตอนทำงาน) และก็ไม่ได้พารุ่นน้องไปเลี้ยงอะไร (เพราะไม่ค่อยมีตังค์) และก็ไม่คิดว่ามันเป็นหน้าที่หลักที่รุ่นพี่พึงกระทำ นอกจากนี้ก็ไม่เห็นรุ่นน้องคาดหวังให้รุ่นพี่ทำอย่างนั้นด้วย (คิดเอาเองนะ) สิ่งสำคัญที่ได้รับจากรุ่นพี่ในตอนนั้นก็คือ น้ำใจ ความห่วงใย และการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ

ภาพแรกที่เอามาแสดงคือแฟ้มที่ผมใช้ตอนเป็นนิสิตปี ๑ ส่วนภาพที่ ๒ นั้นเห็นโผล่ทาง facebook เมื่อไม่นานนี้ เขียนมาถึงตรงนี้ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้หรือเปล่า เอาเป็นว่าขอจบ Memoir ฉบับนี้ลงที่ตรงนี้ก็แล้วกัน :)

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รับน้องสิ้นสุดวันริดใบ MO Memoir : Tuesday 13 November 2555

แต่ก่อนเมื่อเริ่มขึ้นปีสอง รุ่นพี่จะสอนว่า
"รับน้องสิ้นสุดวันริดใบ"

วันริดใบ คือวันที่ริดใบจามจุรีเพื่อใช้ในงานรับขวัญน้องปีหนึ่ง

งานดังกล่าวไม่ต้องการแรงงาน ไม่ต้องการสมอง ไม่ต้องการความสามารถพิเศษใด ๆ ต้องการเพียงแค่ "น้ำใจ"

ยังสอนต่อด้วยว่า "ถ้างานง่าย ๆ แค่นี้ยังหาคนทำไม่ได้ ก็อย่าวาดฝันว่าจะไปทำงานที่ใหญ่กว่านี้"

งานที่ใหญ่กว่านั้นเขาหมายถึงงานนิทรรศฯ

ตอนที่ผมเข้าเรียนคณะวิศวนั้นก็เป็นปีที่มีการจัดงานนิทรรศฯ ครั้งที่ ๗
พอใกล้จะจบปีสามก็มีการประชุมชั้นปีกัน
รุ่นพี่ก็บอกว่า

มันไม่มีกำหนดนะว่างานนิทรรศต้องจัดทุกสามปี
ไม่มีกำหนดนะว่าต้องจัดพร้อมงานจุฬาวิชาการ
ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องจัด
การที่จัดทุกสามปีนั้นก็เพื่อที่จะให้มีอย่างน้อยหนึ่งชั้นปีที่เคยเห็นเคยมีประสบการณ์ในการจัดงานครั้งก่อนหน้า

สุดท้ายนิสิตชั้นปีสามที่กำลังจะขึ้นเป็นนิสิตชั้นปีสี่ในปีการศึกษา ๒๕๓๐ ก็ได้ตกลงที่จะจัดงานนิทรรศครั้งที่ ๘ ในปลายปีพ.ศ. ๒๕๓๐

วันเปิดงาน ในหลวงทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง

รถพระที่นั่งจอดตรงบริเวณข้างตึกจักรพงษ์

ท่านเสด็จทอดพระเนตรงานนิทรรศของคณะวิศวตั้งแต่ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่ชั้นล่างตึก ๓ มาจนถึงลานระหว่างตึก ๓ กับตึก ๒ ที่นิสิตปัจจุบันเรียกว่าลานเกียร์

ผมกับเพื่อนส่วนหนึ่งเฝ้ารอรับเสด็จอยู่ที่ซุ้มตรงบริเวณดังกล่าว

แม้เหตุการณ์จะผ่านมาถึง ๒๕ ปีแล้ว แต่ผมเชื่อว่าภาพวันนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของนิสิตรหัส ๒๗ ๒๘ ๒๙ และ ๓๐ ทุกคนที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดงาน