แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สหรัฐอเมริกา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สหรัฐอเมริกา แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เมื่อทูตสหรัฐคิดว่า "แคบ" คือชื่อสะพาน MO Memoir : Monday 15 February 2564

เมื่อไม่กี่วันที่แล้วเห็นข่าวการเมืองข่าวหนึ่ง ส่วนที่ว่าเป็นข่าวอะไรนั้นถ้าอยากรู้ก็ไปดูจากลิงก์ที่ให้ไว้ในรูปที่ ๑ เอาเองก็แล้วกันครับ แต่ที่หยิบข่าวนี้มาไม่ใช่ต้องการคุยเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่ผู้เขียนบทความดังกล่าวนั้นยกมาประกอบ ก็คือกรณีที่เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยเสียชีวิตพร้อมลูกชายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

รูปที่ ๑ ข่าวต้นเรื่องอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://www.thaipost.net/main/detail/92865

เห็นข่าวนี้ก็นึกไปถึงบทความหนึ่งเขียนโดยคุณ โรม บุนนาค เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน คือเหตุการณ์ที่รถยนต์ที่เอกอัครราชฑูตสหรัฐเป็นผู้ขับนั้น ชนประสานงากับรถบรรทุกตอนกลางคืน กลางสะพานแห่งหนึ่งแถวหัวหิน ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

ฝรั่งเศสแพ้การรบที่เดียนเบียนฟูในวันที่ ๗ พฤษภาคม ปีพ.ศ. ๒๙๙๗ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกเวียดนามออกเป็นสองส่วน โดยเวียดนามเหนือปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นในช่วงเวลานั้นถ้าจะมองว่าคอมมิวนิสต์ได้แผ่ขยายจากจีนลงมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็ได้ ดังนั้นจะว่าไปก็ไม่น่าจะแปลกที่สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนท่าทีมาให้การสนับสนุนทางทหารแก่ประเทศในภูมิภาคนี้เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และก็ได้เลือกคนที่มีประสบการณ์ดังกล่าวมาประจำที่ไทย ซึ่งคนที่เลือกมาก็คือ จอห์น อี. พิวรีฟอย ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๗

ประเทศไทยตอนนั้นก็มีทางด้านจอมพล ป. พิบูลสงคราม และพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้กุมอำนาจการปกครอง ก่อนที่จะโดนพล.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชน์ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจในปีพ.ศ. ๒๕๐๐

คุณโรม บุนนาค เล่าไว้ในบทความว่าพล.ต.อ. เผ่า เคยปรึกษากับทูตสหรัฐที่มาใหม่ว่าจะทำรัฐประหาร แต่ทางทูตสหรัฐไม่เห็นด้วย การปรึกษานี้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ทูตสหรัฐผู้นี้มาประจำที่ไทยได้แค่ ๑๑ เดือนก็เสียชีวิตแล้ว

ทฤษฎีหนึ่งที่มีการตั้งกัน น่าจะเป็นการที่ป้ายเตือนเขียนว่า "SAPAN KAB" ซึ่งอาจทำให้ทูตสหรัฐเข้าใจว่าสะพานข้างหน้านั้นชื่อ "แคบ" จึงขับรถเข้าหาสะพานด้วยความเร็วอย่างไม่ระมัดระวัง แต่ด้วยการที่สะพานนั้นไม่กว้างพอที่จะให้รถวิ่งสวนได้ จึงได้ชนเข้ากับรถบรรทุกที่วิ่งสวนมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนที่ว่ารถบรรทุกนั้นบังเอิญมาถึงสะพานที่เวลานั้นพอดีหรือรอเวลาให้รถอีกฝั่งหนึ่งวิ่งมาถึง ก็แล้วแต่จะคิดไป

ไม่รู้เพราะเหตุนี้หรือเปล่า จึงเห็นทูตสหรัฐที่มาบ้านเรา จึงมักจะพูดภาษาไทยได้ทั้งนั้น

รูปที่ ๒ ข่าวต้นเรื่องอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000120539 (ในรูปนี้ตัดตอนมาเฉพาะบางส่วน)

รูปที่ ๓ ข่าวต้นเรื่องอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000120539 (ในรูปนี้ตัดตอนมาเฉพาะบางส่วน)

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

เหตุผลที่ไทยต้องประกาศสงคราม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๓๓) MO Memoir : Tuesday 8 January 2556

 
ประวัติศาสตร์มักจะเขียนโดยผู้ชนะ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเอง

ในช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๘๔ กองทัพที่ ๒๕ ของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น นำโดยนายพล Yamashita ได้ยกพลขึ้นบกทางภาคใต้ของประเทศไทยและภาคเหนือของมลายู (ขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ) โดยมีกำลังพลรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๑๐,๐๐๐ นาย (รวมทหารแนวหน้าและส่วนสนับสนุน) กองพลหลักที่ใช้คือ Imperial Guards, กองพลที่ ๕ และกองพลที่ ๑๘ ทั้งสามกองพลนี้จัดว่าอยู่ในกลุ่มกองพลที่ดีที่สุดของกองทัพบกญี่ปุ่น (จากหนังสือ "History of the second world war" โดย B.H. Liddell Hart หน้า ๒๘๔ ฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Pan Books ในปีค.ศ. ๒๐๑๑)
  
เหตุการณ์ในช่วงนี้ถ้าประวัติศาสตร์ของชาติตะวันตกจะกล่าวถึงประเทศไทย ก็มักจะเอ่ยเพียงแค่การยกพลขึ้นบกที่สงขลา (ภาษาอังกฤษในขณะนั้นจะใช้ชื่อ Singora) และปัตตานี เพราะกองทัพที่ยกพลขึ้นบกที่สองจังหวัดนี้เป็นกลุ่มที่ลงไปยึดคาบสมุทรมาลายาและสิงค์โปร์ ในขณะที่ส่วนที่ยกพลเหนือขึ้นมานั้นจะเข้าไปตัดเส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างกองทัพอังกฤษที่อยู่ทางภาคใต้ของพม่ากับคาบสมุทรมลายา
  
พันเอก Simpson ผู้เป็นผู้ช่วยฑูตทหารของอังกฤษประจำโตเกียวในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกองทัพญี่ปุ่นเอาไว้ว่าเป็น "The toughest war machine in the world" แต่ดูเหมือนว่าภาพนี้ไม่ได้รับการยอมรับกันในกองทัพอังกฤษเท่าใดนัก แม้แต่เมื่อเริ่มทำการรบ ทหารอังกฤษก็ยังคงดูถูกทหารญี่ปุ่นว่าเป็นทหารตัวเล็ก ๆ ที่ก่อความรำคาญได้เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว ภาพมุมมองต่าง ๆ ของทหารอังกฤษก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้ที่ได้เผชิญหน้ากับทหาร Imperial Guards ลองอ่านดูในย่อหน้าข้างล่างที่ผมคัดมาจากหนังสือดูเอาเองก็แล้วกัน

รูปที่ ๑ จากหนังสือ We gave our today : Burma 1941-1945 โดย William Fowler หน้า ๒๕ ฉบับพิมพ์ปีค.ศ. ๒๐๑๐ โดยสำนักพิมพ์ Phoenix
  
  
PRIME MINISTER WINSTON CHURCHILL'S BROADCAST ON WAR WITH JAPAN
December 8, 1941 (http://www.ibiblio.org/pha/timeline/411208ewp.html)

"I don't know yet what part Siam will be called upon to play in this fresh war, but we have reports that Japanese troops have landed at Singora near the Kra Isthmus, which is in Siamese territory on the frontier of Malaya, very close to where the landing was made in our own territory. Just before Japan went to war-on the day before-I had sent the Siamese Prime Minister, or Thailand Prime Minister, the following message: "There is a possibility of imminent Japanese invasion of your country. If you are attacked, defend yourselves. The preservation of the true independence and sovereignty of Thailand is a British interest, and we shall regard an attack on you as an attack upon ourselves."
 
ข้อความข้างต้นเป็นข้อความส่วนหนึ่งของคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในการประกาศสงครามกับญี่ปุ่น จะเห็นว่ามีการกล่าวถึงประเทศไทยด้วย จะเห็นว่านายกอังกฤษพยายามกล่าวว่าอังกฤษให้ความสำคัญต่อการเป็นเอกราชและคงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย และการโจมตีประเทศไทยก็ถือว่าเป็นการโจมตีอังกฤษด้วย แต่ประโยคก่อนหน้านั้นก็บอกเอาไว้ชัดเจนว่าให้ประเทศไทย "ช่วยเหลือตัวเอง" แต่ลองไปอ่านดูสิ่งที่ทำกับไทยเอาไว้ในกรณีพิพาทอินโดจีน (ในราชกิจจานุเบกษาที่แนบท้ายมาหน้า ๒๔๘) ก็จะเห็นพฤติกรรมอังกฤษกับอเมริกาว่าเป็นอย่างไร
  
เหตุการณ์นับตั้งแต่การยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่นไปจนถึงวันที่ทางรัฐบาลไทยตัดสินใจประกาศสงครามกับทางอังกฤษและสหรัฐอเมริกานั้นดูเหมือนจะไม่มีการกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ไทย และเมื่อได้อ่านสิ่งที่กองทหารญี่ปุ่นได้กระทำกับทหารและประชาชน (โดยเฉพาะกับผู้หญิง) ของประเทศที่เป็นศัตรูแล้ว ผมคิดว่าผู้นำประเทศไทยในช่วงเวลานั้นได้ทำการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วในการลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทยด้วยการไม่ขัดขวางการเดินทัพผ่านของกองทัพญี่ปุ่น (อย่าคิดว่าถ้าไทยอยู่ข้างเดียวกับอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา ไทยจะไม่โดนทิ้งระเบิด)
  
สรุปก็คืออังกฤษหวังจะให้ไทยตายก่อน เพื่อกองทัพญี่ปุ่นจะได้อ่อนแอลง และอังกฤษจะได้มีเวลาเตรียมตัวหาทางหนีทีไล่นานขึ้น แต่บังเอิญรัฐบาลไทยในยุคสมัยนั้นไม่เล่นด้วย อังกฤษก็เลยเสร็จญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว การเดินทัพผ่านประเทศที่เข้าไปยึดครองนั้นจำเป็นต้องวางกองทัพเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อระวังหลัง ในกรณีนี้ถ้าไทยไม่เป็นมิตรกับญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นก็ต้องวางกำลังเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อปกครองประเทศไทย กองกำลังที่สามารถต้องส่งเข้าไปรบในคาบสมุทรมลายูและพม่าก็จะลดลง แต่พอไทยอำนวยความสะดวกในการให้ทหารญี่ปุ่นไปคุยกับทหารอังกฤษกันเองโดยตรง ญี่ปุ่นก็สามารถส่งทหารเข้าไปรบกับกองทัพอังกฤษได้เต็มที่
  
ในส่วนถัดไปผมนำมาจากราชกิจจานุเบกษาว่าด้วยการประกาศสงครามและคำแถลงการณ์ประกาศสงครามของรัฐบาลไทยต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ลองอ่านดูเอาเองแล้วกันว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่พวกเสรีไทยไม่กล่าวถึงกัน
  
จะว่าไปแล้วสงครามโลกครั้งที่สองเป็นสงครามของชาติมหาอำนาจที่ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ในการล่าอาณานิคม ผลที่เกิดขึ้นคือการได้เป็นเอกราชของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นเมืองขึ้นอังกฤษและสหรัฐอเมริกา (สมัยนั้นมีการกล่าวว่า ฮิตเลอร์ต้องการปกครองเพียงแค่ยุโรป แต่อังกฤษต้องการปกครองทั้งโลก ใครกันแน่ที่เป็นเผด็จการ) เพราะดูเหมือนว่าถ้าไม่มีการเกิดสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว โอกาสที่ประเทศเมืองขึ้นเหล่านั้นจะได้เป็นเอกราชก็คงจะริบหรี่เต็มที

-------------------------------------------------------------------
 
"Occupation" - การเข้าไปยึดครอง
  
"Liberation" - การปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
  
"Reoccupation" - การเข้าไปยึดครองใหม่อีกครั้งหนึ่ง

B.H. Liddell Hart เป็นคนอังกฤษผู้ที่ได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก่อนลาออกจากราชการทหารมาเป็นนักเขียนและนักคิดทางการทหาร ผลงานของเขาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นที่รู้จักกันในหมู่บรรดานายพลของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี หรือแม้แต่เยอรมัน หนังสือ "History of the second world war" จัดพิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. ๑๙๗๐ (พ.ศ. ๒๕๑๓) หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นาน
  
แม้ว่าบันทึกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทหารของเขานั้นจะตรงไปตรงมา (เขาได้มีโอกาสสนทนากับนายพลเยอรมันหลายคนที่ถูกจับเป็นเชลยหลังสงครามสงบ และได้เขียนหนังสือบทสนทนาดังกล่าวเอาไว้ด้วย เอาไว้ว่าง ๆ จะเอามาเล่าให้ฟัง) แต่ในบางจุดนั้นผมก็เห็นว่าเขาก็ยังมีมุมมองแบบจักรวรรดินิยมอยู่ ตัวอย่างเช่นในบทเรื่อง "The liberation of Russia" และบทเรื่อง "The liberation of the south-west pacific and burma" ในหนังสือ "History of the second world war"
  
คำว่า "Liberation หรือ การปลดปล่อย" นั้นใช้ได้กับประเทศที่เป็นเอกราช แต่ถูกชาติอื่นเข้าไปยึดครอง และเมื่อได้รับความช่วยเหลือจนกลับมามีเอกราชเหมือนเดิมแล้วจึงถือว่าได้รับการปลดปล่อย ซึ่งคำนี้คงใช้ได้เฉพาะสงครามสมรภูมิในยุโรปตะวันตก
  
คำว่า "Reoccupation หรือ การเข้าไปยึดครองใหม่" ใช้กับประเทศที่ถูกปกครองโดยประเทศอื่น ต่อมาถูกอีกประเทศหนึ่งเข้ามาไล่ผู้ปกครองเดิมออกไปและเข้าปกครองแทน และเมื่อผู้ปกครองที่ถูกไล่ออกไปนั้นกลับเข้ามากุมอำนาจได้ใหม่ ประชาชนของประเทศนั้นก็ยังคงถูกปกครองโดยผู้คนจากประเทศอื่นเหมือนเดิม ตรงนี้จึงเป็นการเข้าไปยึดครองใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคำนื้ควรเป็นคำที่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์เมื่อกล่าวถึงสมรภูมิการรบในยุโรปตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิค
  
ดังนั้นการที่นักประวัติศาสตร์อย่าง Liddell Hart ใช้คำว่า "liberation" กับดินแดนในยุโรปตะวันออก (เช่นยูเครน เบลาลุส เอสทัวเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฯลฯ เดิมเป็นประเทศที่ถูกรัสเซียเข้าไปยึดครอง ก่อนที่ได้แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียตเป็นประเทศเอกราชในปัจจุบัน) พม่า คาบสมุทรมาลายู (ที่อังกฤษปกครอง) ฟิลิปปินส์ (ที่สหรัฐอเมริกาปกครอง) และหมู่เกาะในแปซิฟิคด้านตะวันตกเฉียงใต้ (เช่นอินโดนีเซียที่เนเธอร์แลนด์ปกครอง) ผมจึงเห็นว่าเป็นการใช้คำที่บิดเบือน คำที่ถูกต้องกว่าจึงควรเป็น "reoccupaton"

-------------------------------------------------------------------

๒๕ มกราคม เคยเป็นวันกองทัพไทย (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นวันที่ ๑๘ มกราคม)
และเคยเป็นวันที่ประเทศไทยประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา

  





วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

My Lai MO Memoir : Tuesday 13 March 2555


สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคมมีข่าวเกี่ยวกับทหารสหรัฐในอาฟกานิสถานยิงประชาชนเสียชีวิตไป ๑๖ ราย ในจำนวนนี้ ๙ รายเป็นเด็ก สำนักข่าว BBC ของอังกฤษรายงานว่าเด็กอย่างน้อย ๓ รายถูกยิงเพียงนัดเดียวเข้าที่ศีรษะ (http://www.bbc.co.uk/news/world-asia-17334646)

จะว่าไปเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก

ในวันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ปีค.ศ. ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑) เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามใต้ทั้งหมู่บ้านที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ My Lai และ My Khe แต่กว่าจะเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนก็ล่วงเข้าปีค.ศ. ๑๙๖๙ (พ.ศ. ๒๕๑๒) 
 
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อ "My Lai masscare" จำนวนผู้เสียชีวิตที่ทางกองทัพสหรัฐระบุคือ ๓๔๗ ราย แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ทางรัฐบาลเวียดนามใต้ระบุคือ ๕๐๔ ราย

รูปที่ ๑ ภาพนี้เป็นภาพหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นภาพผู้หญิงและเด็กเวียดนามใต้ในหมู่บ้าน My Lai ก่อนถูกสังหารหมู่เพียงไม่กี่วินาที ภาพนี้ถ่ายเอาไว้โดยช่างภาพ Ronald L. Haeberle (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/My_Lai_Massacre)

รายละเอียดเหตุการณ์ต่าง ๆ ถ้าสนใจก็ลองหาดูในเน็ตเอาเองก็แล้วกัน หลายภาพเป็นภาพที่สยดสยองที่ช่างภาพคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ได้บันทึกเอาไว้ นับถึงวันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคมนี้ก็เป็นการครบรอบ ๔๔ ของเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี

อเมริกาไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย MO Memoir : Monday 27 February 2555


สงครามเกาหลีเริ่มต้นในเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๕ มิถุนายน ปึค.ศ. ๑๙๕๐ (พ.ศ. ๒๔๙๓) เมื่อกองทัพเกาหลีเหนือยกพลข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนือ (38 parallel line) เข้ายึดประเทศเกาหลีใต้
กองทัพเกาหลีใต้ในขณะนั้นจัดว่าเพิ่มเริ่มจัดตั้ง ขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และประสบการณ์ โดยเฉพาอย่างยิ่งการสู้กับรถถังและอาวุธต่อสู้รถถัง ภายในช่วงไม่กี่วันแรกของการรบ กองทัพเกาหลีเหนือสามารถตีฝ่าและทำลายกองทัพเกาหลีใต้ที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนตลอดทั้งแนวชายแดนให้ถอยร่นลงทางใต้อย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในกองกำลังของกองทัพเกาหลีใต้ที่ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนด้านติดเกาหลีเหนือคือกองพลที่ ๑ ที่ทำหน้าที่ป้องกันกรุงโซลทางด้านเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๑ ของกองทัพบกเกาหลีใต้ในขณะนั้นคือพันเอก Paik Sun Yup ผู้มีอายุเพียง ๒๙ ปี (ย่างเข้า ๓๐ ปี)

กองกำลังที่พอจะทำการสู้รบกับกองทัพเกาหลีเหนือได้ในขณะนั้นคือกองทัพสหรัฐอเมริกาที่มีฐานประจำการหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริการีบส่งกำลังส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยกองทัพเกาหลีใต้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังที่เหนือกว่าของกองทัพเกาหลีเหนือได้ ดังนั้นภายในปลายเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน (หรือเพียงเดือนเศษหลังจากเริ่มสงคราม) ทั้งกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองทัพเกาหลีใต้ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็มาถูกล้อมกรอบไว้รอบ ๆ เมืองชายทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่มีชื่อว่า "Pusan"
ด้วยความช่วยเหลือของกำลังเสริมของสหรัฐอเมริกาและการสนับสนุนทางอากาศ ทำให้กองกำลังสหประชาชาติสามารถรักษาที่มั่นรอบเมือง Pusan เอาไว้ได้ (ในขณะนั้นถือว่าสหประชาชาติได้เข้าร่วมกับฝ่ายเกาหลีใต้เพื่อสู้รบกับเกาหลีเหนือ โดยที่กำลังรบหลักเป็นทหารสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ส่วนการบังคับบัญชาอยู่ภายใต้กองทัพสหรัฐอเมริกา)

จนกระทั่งวันศุกร์ที่ ๑๕ กันยายน ปีค.ศ. ๑๙๕๐ ทหารสหรัฐร่วมกับทหารเกาหลีใต้ได้ยกพลขึ้นบกที่เมือง Inchon ที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง Seoul ซึ่งถือว่าเป็นการตีตลบหลังกองทัพเกาหลีเหนือ จากนั้นกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่รอบเมือง Pusan ก็ทำการผลักดันกองทัพเกาหลีเหนือให้ถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็ว และในวันพุธที่ ๑๘ ตุลาคม ปีค.ศ. ๑๙๕๐ กองทัพเกาหลีใต้กองพลที่ ๑ ที่นำโดยนายพล Paik Sun Yup ก็สามารถเข้ายึดเมือง Pyongyang ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีเหนือเอาไว้ได้
การรบจากเขตเมือง Pusan จนถึงวันที่ยึดเมือง Pyongyang นั้นกินเวลาไม่ถึงเดือน ทำให้ทหารผ่ายกองกำลังสหประชาชาติ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้) คาดหวังว่าน่าจะใช้โอกาสนี้ในการรวมประเทศเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นการรบจึงดำเนินต่อไปโดยการไล่ต้อนทหารเกาหลีขึ้นไปทางทิศเหนือ ไปจนใกล้ถึงแม่น้ำ Yalu ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเกาหลีเหนือกับประเทศจีน และในวันพุธที่ ๒๕ ตุลาคมปีค.ศ. ๑๙๕๐ หรือเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากที่ กองทัพเกาหลีใต้กองพลที่ ๑ ที่นำโดยนายพล Paik Sun Yup สามารถเข้ายึดเมือง Pyongyang ได้ ทหารกองกำลังดังกล่าวก็ได้กับดักที่สร้างเอาไว้บริเวณเมือง Unsanโดยกองกำลังทหารขนาดใหญ่ที่มีเหนือกว่า โดยที่กองทัพสหประชาชาติไม่ทราบว่ามีกองกำลังขนาดนี้ตั้งมั่นอยู่ในบริเวณดังกล่าว กองทัพดังกล่าวคือกองทหารจากประเทศจีนคอมมิวนิสต์

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้โลกได้รับรู้ว่าจีนคอมมิวนิสต์ได้เข้าร่วมรบในสงครามเกาหลีแล้ว สงครามเกาหลีจึงกลายเป็นสงครามการต่อสู้ระหว่างกองทัพสหรัฐที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้าน conventional warfare (การรบตามแบบ) ในขณะนั้น และกองทัพจีนคอมมิวนิสต์ที่ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้าน guerrilla warfare (การรบนอกแบบหรือการรบแบบกองโจร)

 รูปที่ ๑ แผนที่คาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบัน (1) กรุง Seoul ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีใต้ (2) เมือง Pusan อันเป็นที่มั่นสุดท้ายของการล่าถอย (3) เมือง Inchon ซึ่งเป็นสถานที่ที่กองทัพสหรัฐอเมริกายกพลขึ้นบกเพื่อตีโอบหลังทัพเกาหลีเหนือ (4) เมือง Pyongyang ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ (5) แม่น้ำ Yalu ซึ่งเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีนคอมมิวนิสต์ (6) เมือง Unsan ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กองพลที่ ๑ ของกองทัพเกาหลีใต้ปะทะกับกองทัพจีนคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก (ภาพจาก http://mag.longdo.com)

ผมเกิดและเติบโตขึ้นมาในช่วงที่ประเทศยังบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเราไปลอกแบบมาจากสหรัฐอเมริกา กล่าวคือการเป็นหรือมีส่วนร่วมกับคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่เมื่อได้เดินทางไปศึกษาที่อังกฤษในยุคที่สงครามเย็นยังดำเนินอยู่ (ผมไปอยู่ที่นั่นก่อนเกิดเหตุการณ์การทำลายกำแพงเบอร์ลิน และอยู่ในยุโรปขณะที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว) ผมกลับพบว่าที่ประเทศอังกฤษมีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และก็มีการส่งตัวแทนลงเลือกตั้งด้วย และไม่ใช่เพียงประเทศอังกฤษเท่านั้น อีกหลายประเทศในยุโรปตะวันตก (ที่เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย) ก็มีพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย

รูปที่ ๒ หน้าปกหนังสือ "From Pusan to Punmunjom" เขียนโดยนายพล Paik Sun Yup ซึ่งได้เป็นนายทหารยศพลเอกคนแรกของกองทัพเกาหลีใต้ (ตอนอายุเพียงแค่ ๓๐ ต้น ๆ เท่านั้นเอง) หนังสือฉบับนี้ดูเหมือนจะพิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. ๑๙๙๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) แต่ฉบับที่ผมซื้อมาเป็นฉบับที่พิมพ์ในปีค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ. ๒๕๕๐) ผมซื้อมาจากร้านขายหนังสือลดราคาที่ชั้นใต้ดินของอาคารจามจุรีสแควร์

ผู้นำทัพของกองกำลังสหประชาชาติไม่ได้คาดว่าจีนคอมมิวนิสต์จะเข้าแทรกแซงการรบในคาบสมุทรเกาหลี เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังที่มีจำนวนพลมากกว่าหลายเท่า กองกำลังสหประชาชาติถึงกับต้องถอยร่นลงมาใต้เส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนืออีกครั้ง กองทัพจีนคอมมิวนิสต์นั้นเลือกที่จะโจมตีทหารเกาหลีใต้ที่มีความหวาดกลัวทหารจีนเป็นทุนเดิม (จากความเชื่อของพวกเขาว่าทหารจีนนั้นเหนือกว่า) และขาดแคลนการสนับสนุนอาวุธหนัก โดยหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจการยิงสนับสนุนที่สูงกว่า และภายในต้นเดือนมกราคมปีค.ศ. ๑๙๕๑ (พ.ศ. ๒๔๙๔) กองกำลังสหประชาชาติก็ต้องละทิ้งกรุง Seoul อีกครั้ง แต่การล่าถอยครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การตั้งหลักเพื่อรอจังหวะการตีโต้กลับ โดยที่ยังคงรักษาความต่อเนื่องของแนวรบจากชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกจนถึงชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเอาไว้ได้

พอถึงปลายเดือนมกราคมปีค.ศ. ๑๙๕๑ กองกำลงสหประชาชาติก็เริ่มทำการรุกกลับขึ้นเหนืออย่างเป็นระบบ และภายใน ๓ เดือน (เดือนเมษายนปีค.ศ. ๑๙๕๑) ก็สามารถกลับไปวางแนวตั้งรับที่บริเวณเส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนือได้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับการรบที่ดำเนินมา ๑๐ เดือนนั้นได้กลับมายังจุดเริ่มต้นของมันอีก

รูปที่ ๓ จากหนังสือหน้า ๒๓๔ ซึ่งได้กล่าวถึงแผนการยึดอำนาจรัฐบาลเกาหลีใต้ของกองทัพสหรัฐ

ตามความเข้าใจของผม ในประเทศทางยุโรปตะวันตกนั้นแยกกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเศรษฐกิจ นิยามของระบอบประชาธิปไตยของยุโรปตะวันตก (ตามความเข้าใจของผม) คือการมีสิทธิในการเลือกระบอบการปกครองและระบอบเศรษฐกิจ และการมีสิทธิในการนำเสนอทางเลือกระบอบการปกครองและระบอบเศรษฐกิจ ใครก็ตามสามารถตั้งพรรคการเมืองหรือลงสมัครอย่างอิสระ และนำเสนอระบอบเศรษฐกิจที่จะนำมาบังคับใช้ถ้าเขาได้คุมเสียงข้างมาก (จะเสรีนิยม สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ ก็ได้) แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนด (สภาหมดวาระ) ก็ต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเลือกตั้งกันใหม่ และเปิดโอกาสให้คู่แข่งผู้อื่นนำเสนอทางเลือกอื่นด้วย และการนำเสนอนั้นต้องอยู่บนเหตุผลและพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี

ดังนั้นในบางช่วงเวลาประเทศเขาก็อาจมีระบอบเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยม (รัฐเป็นเจ้าของและจัดการระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เองหมด ถ้าของเดิมเอกชนดำเนินการอยู่ รัฐก็ต้องหาเงินมาซื้อหุ้นจากเอกชน) พอเลือกตั้งใหม่ก็อาจเปลี่ยนมาเป็นแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมก็ได้ (ถ้าของเดิมเป็นของรัฐ รัฐก็จะขายกิจการทุกอย่างของรัฐให้เอกชนดำเนินการหมด) หรือชาวบ้านอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็ได้ถ้าต้องการ (เพราะเขาก็มีตัวเลือกให้) แต่ที่สำคัญก็คือ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด จะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นนำเสนอตัวเลือกอื่นได้อย่างเสรี และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เลือกตั้งใหม่ด้วย

รูปที่ ๔ แนวรบในวันที่มีการลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิง และการวางกำลังรบของแต่ละฝ่าย ในกรอบสี่เหลี่ยมประสีเขียวทางด้านซ้ายของรูปคือ Panmunjom ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิง (หมายเหตุ ROK - กองทหารเกาหลีใต้ CCF - กองทหารจีนคอมมิวนิสต์ NK - กองทหารเกาหลีเหนือ ส่วนที่เหลือที่ไม่ระบุคือกองทหารสหรัฐอเมริกา)
รูปนี้ผมนำมาจาก (http://www.flickr.com/photos/dmclean2009/3693403779/sizes/o/in/photostream/)

การที่แนวรบกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่เป็นครั้งที่สองนี้ทำให้เกิดความแตกแยกทางแนวความคิดของผู้นำเกาหลีใต้และผู้นำสหรัฐอเมริกา ฝ่ายผู้นำเกาหลีใต้และผู้บังคับบัญชาทหารของเกาหลีใต้มองว่าถ้าหากจะรุกคืบขึ้นเหนือขึ้นไปอีกครั้ง ความฝันของชาวเกาหลีที่จะรวมประเทศเกาหลีเข้าเป็นหนึ่งเดียวก็จะเป็นความจริง แต่สำหรับผู้นำสหรัฐนั้นกลับมองว่า ตอนนี้ทุกอย่างก็กลับมาที่ตำแหน่งเดิมแล้ว ทำไมเขาต้องให้คนของเขาเสียสละชีวิตเพื่อคนประเทศอื่น ดังนั้นหลังจากที่แนวรบกลับมาที่เส้นขนานที่ ๓๘ องศาเหนืออีกครั้ง การรบของกองทัพสหประชาชาติจึงเป็นการรบในรูปแบบตั้งรับเพื่อรักษาพื้นที่ หรือทำการรุกเฉพาะตำแหน่งเพื่อให้ได้พื้นที่ที่ได้เปรียบกว่าในการตั้งรับ ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเปิดช่องทางลับในการเจรจายุติการหยุดยิงระหว่างกองกำลังสหประชาชาติและกองทัพจีนคอมมิวนิสต์

นายพล Paik Sun Yup ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้น (Syngman Rhee) ให้เข้าร่วมสังเกตุการณ์การเจรจาในช่วงแรก ๆ สหรัฐอเมริกาเองก็รู้ดีว่าปัญหาของการหยุดยิงนั้นอยู่ที่ผู้นำประเทศเกาหลีใต้ ถ้าหากไม่สามารถทำให้ผู้นำประเทศเกาหลีใต้ยอมรับเงื่อนไขการหยุดยิงได้ การสู้รบก็จะไม่ยุติ 
 
นายพล Paik Sun Yup ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา (ฉบับที่ผมมีคือหน้า ๒๓๔ ที่แสดงในรูปที่ ๓ แต่ถ้าเป็นของสำนักพิมพ์อื่นผมก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นหน้าเดียวกันหรือเปล่า) โดยอ้างถึงเอกสารของสหรัฐอเมริกาว่า ในปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๖) ทางสหรัฐอเมริกาจึงได้มีการวางแผนการ ๓ ขั้นตอนด้วยกันเพื่อให้เกิดการลงนามหยุดยิงดังนี้

๑. สหรัฐอเมริกาจะให้การสนับสนุนในการป้องกันประเทศในระยะยาว การจัดตั้งกองทัพ การให้ความช่วยเหลือทางด้านทหารและเศรษฐกิจ

๒. ถ้าเงื่อนไขแรกไม่ได้รับการยอมรับ ก็จะยื่นเงื่อนไขว่าจะถอนทหารออกจากเกาหลีใต้

๓. และถ้าเงื่อนไขที่สองไม่ได้รับการยอมรับอีก ก็จะหนุนการทำ "coup d'état" เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี Syngman Rhee และให้นายกรัฐมนตรี Chang Taek-sang จัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ

ผลสรุปที่ออกมาคือประธานาธิบดี Syngman Rhee ต้องยอมรับเงื่อนไขในข้อที่ ๑. แต่ที่อยากให้พวกคุณสังเกตแผนการขั้นตอนที่ ๓. ที่มีการวางเอาไว้

การลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิงกระทำในตอนเช้าวันจันทร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีค.ศ. ๑๙๕๓ (พ.ศ. ๒๔๙๖) ณ สถานที่ที่มีชื่อว่า Panmunjom ต่อมาในภายหลังนายพล Mark Wayne Clark ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังสหประชาชาติและกองทัพสหรัฐอเมริกาในขณะที่มีการลงนามหยุดยิงนั้นได้กล่าวไว้ในหนังสือที่เขาเขียนเอาไว้ว่า เขาได้กลายเป็น "the first American commander not to accept surrender from the enemy"

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมเชื่อว่าถ้าใครได้ศึกษาประวัติศาสตร์โลกที่มีสหรัฐอเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้องในช่วง ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาก็จะพอมองเห็นได้ว่า อันที่จริงแล้วสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้สนใจว่าประเทศอื่นจะมีการปกครองในรูปแบบใด ไม่ได้สนใจว่ารัฐบาลของประเทศนั้นจะกระทำอย่างไรกับประชาชนของตน สนแต่เพียงว่าคนของตน (กล่าวคือกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ) สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในประเทศเหล่านั้นได้หรือไม่ ถ้าหากยังทำได้อยู่ ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา(ผ่านทางสื่อต่าง ๆ) ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น แต่ถ้าหากไม่สามารถเข้าไปหาผลประโยชน์ได้ ก็จะหาข้ออ้างโจมตีรัฐบาลประเทศเหล่านั้นและพร้อมที่จะหนุนใครก็ได้ ที่ประกาศตัวกับสหรัฐอเมริกาแต่ไม่ให้ประชาชนของประเทศตัวเองรับทราบว่า พร้อมที่จะให้สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกของสหรัฐอเมริกาเข้าไปหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในประเทศของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยบ้าง เรียกร้องให้มีการเปิดตลาดเสรีบ้าง เรียกร้องให้มีการขายระบบสาธารณูปโภคให้เอกชนดำเนินการทั้งหมดบ้าง ผมอยากเรียกระบอบการปกครองเดียวที่ทางสหรัฐอเมริกาสนับสนุนมาตลอดให้จัดตั้งในประเทศต่าง ๆ นี้ว่า "ระบบเผด็จการทุนนิยม" คือทุกคนต้องทำทุกอย่างเพื่อ "เงิน" เท่านั้น

วิธีการหนึ่งในการเข้าไปครอบงำทางการเมืองในประเทศต่าง ๆ ก็คือการให้ทุนการศึกษาแก่บุคลากรของประเทศเหล่านั้นให้ไปศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา และพยายามสอนให้คิดว่าวิถีชีวิตแบบอเมริกาเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง โดยไม่สนใจว่าคนที่มานั้นมีพื้นเพทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร ผลที่ตามมาก็คือเราเองก็ได้นักวิชาการจำนวนไม่น้อย (หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่ก็ได้) ที่เมื่อจบการศึกษาจากต่างประเทศแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือลอกแบบสิ่งที่ตัวเองไปประสบพบเห็นมา โดยไม่มีการปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศของตัวเอง คิดอย่างเดียวว่าถ้าอยากเจริญเหมือนฝรั่ง ก็ต้องทำแบบฝรั่ง ใครที่ไม่ทำตามก็เป็นพวกขวางโลก ไม่ยอมรับความเจริญ ถ้ายังสงสัยอยู่ก็ลองวกกลับมาดูระบบการศึกษาที่พวกคุณเรียนอยู่ ว่ามันตอบสนองความต้องการของประเทศหรือการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกันแน่

ผมคิดว่านักวิชาการไทยนั้นตีความหมายคำว่า "เผด็จการ" แคบไปหน่อย จริงอยู่ที่ว่าการปกครองระบอบเผด็จการนั้นผู้มีอำนาจปกครองใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่นไม่ให้มาเป็นคู่แข่ง ใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นบิดเบือนไม่ให้มีการตรวจสอบการกระทำของตนเอง วิธีการที่เห็นกันทั่วไปคือการใช้กำลังอาวุธและสื่อที่ควบคุมด้วยรัฐ แต่ในความเป็นจริงนั้นการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นยังสามารถกระทำได้โดยการใช้อำนาจผ่านทางรัฐสภา (ที่มาจากการเลือกตั้งซะด้วย) โดยการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องและกำจัดคู่แข่ง นี่คือสิ่งที่มีการเรียกกันว่า "เผด็จการรัฐสภา" ดังนั้นประเทศที่มีรัฐสภาที่มีตัวแทนมาจากการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย 
 
กรณีตัวอย่างของเผด็จการรัฐสภาพที่เห็นได้ชัดคือกรณีของอดีตผู้นำเยอรมัน Adolf Hitler ซึ่งเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยจนสามารถกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาเอาไว้ได้ แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นในประเทศเยอรมันและยุโรป พวกคุณก็คงจะพอทราบกันอยู่แล้ว เอาไว้วันหลังจะหาโอกาสเล่าให้ฟัง ผมพอมีหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอรมันช่วงนี้อยู่ ๒-๓ เล่มด้วยกัน แม้ว่ามันจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ แต่อ่านช่วงแรก ๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่บรรยายเหตุการณ์บ้านเมืองเราในปัจจุบัน