แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารละลายกรด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารละลายกรด แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ค้างที่ปลายปิเปตไม่เท่ากัน MO Memoir : Thursday 2 March 2560

เวลาที่เราเอาท่อขนาดเล็ก (พวก capillary tube) จุ่มลงในของเหลว เราจะเห็นของเหลวนั้นไต่สูงขึ้นมาตามผิวท่อด้านใน หรือยุบตัวต่ำลงไป หรือถ้าเราให้ของเหลวในปริมาณหนึ่งไหลผ่านท่อขนาดเล็ก (เช่นที่ปลายของบิวเรตหรือปิเปต) ด้วยแรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว เราก็จะเห็นของเหลวส่วนหนึ่งค้างอยู่ในท่อขนาดเล็กนั้น ในทั้งสองกรณี ปริมาตรของเหลวที่จะไต่ขึ้นมาตามผิวท่อด้านใน (หรือจมยุบลงไป) และที่สามารถค้างอยู่ในท่อขนาดเล็กได้ ขึ้นอยู่กับแรงตึงผิวและความหนาแน่นของของเหลวนั้น
 
รูปที่ ๑ ปริมาตรของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลาย graduated pipette (ซ้าย) น้ำมันถั่วเหลือง (กลาง) น้ำกลั่น (ขวา) เอทานอล

ปิเปตที่ใช้กันทั่วไปในห้องปฏิบัติการนั้นมีอยู่สองแบบ แบบแรกคือ transfer pipette ที่มีลักษณะเป็นท่อแก้วเล็ก ๆ ยาว ๆ มีกระเปาะอยู่ตรงกลาง แบบที่สองคือ graduated pipette ที่มีลักษณะเป็นท่อแก้วทรงกระบอกปลายเรียวแหลม มีขีดบอกปริมาตรตามความยาวปิเปต ตัว transfer pipette แต่ละชิ้นนั้นได้รับการสอบเทียบความถูกต้องมาที่ค่าใดค่าหนึ่งเพียงค่าเดียว จะใช้ตวงของเหลวปริมาตรอื่นนอกเหนือไปจากค่าที่สอบเทียบไว้ไม่ได้ เช่น transfer pipette ขนาด 10 ml ก็จะตวงของเหลวได้ถูกต้องที่ปริมาตร 10 ml เพียงค่าเดียวเท่านั้น ในขณะที่ตัว graduated pipette ขนาด 10 ml จะมีขีดบอกปริมาตรข้างลำตัวตั้งแต่ 0 ml (อยู่ด้านบนสุด) ไปจนถึง 9 ml ที่อยู่ล่างสุด และถ้าปล่อยให้ไหลออกจนหมดก็จะได้ปริมาตร 10 ml (ต่ำกว่า 9 ml มันทำขีดบอกปริมาตรไม่ได้ เพราะเป็นส่วนที่ปลายมันเรียวแหลม ไม่ได้เป็นส่วนลำตัวทรงกระบอก ดังแสดงในรูปข้างบน)
 
ทีนี้สมมุติว่าเราต้องการตวงของเหลวปริมาตร 3 ml ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องใช้ graduate pipette (เพราะตัว transfer pipette มันไม่มีขนาดปริมาตร 3 ml) คำถามก็คือเราควร (ก) ดูดของเหลวขึ้นมาจนถึงตำแหน่ง 0 ml แล้วปล่อยให้ไหลออกจนถึงขีด 3 ml หรือ (ข) ดูดขึ้นมาจนถึงตำแหน่ง 7 ml แล้วปล่อยให้ไหลออกจนหมด
 
ที่ปลายปิเปตนั้นมันเป็นท่อเล็ก ๆ ดังนั้นเมื่อเราปล่อยให้ของเหลวในปิเปตไหลออกอย่างอิสระด้วยแรงโน้มถ่วง ก็จะมีของเหลวค้างอยู่ที่ส่วนที่เป็นท่อเล็ก ๆ นั้นในปริมาตรหนึ่ง แม้ว่าหลังจากนั้นเราจะเอาปลายปิเปตปัจจุบันแตะกับผิวภาชนะรองรับของเหลว ของเหลวที่ค้างอยู่ในส่วนที่เป็นท่อเล็ก ๆ นั้นก็จะไหลออกมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังคงมีอีกส่วนหนึ่งค้างอยู่ที่ปลายปิเปต ปัญหาที่มักเกิดขึ้นก็คือเราจำเป็นต้องไล่ของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปตนี้ออกมาไหม
 
ปิเปตที่มีใช้กันในปัจจุบันมีทั้งชนิดที่ "ไม่ต้องไล่" และ "ต้องไล่" ของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปต โดยส่วนตัวเท่าที่เคยเห็นมานั้น ปิเปตที่ใช้กันในบ้านเราจะเป็นชนิดที่ "ไม่ต้องไล่" ของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปต เพราะในการสอบเทียบความถูกต้องของปริมาตรของเหลวที่ปิเปตปล่อยออกมานั้น เขาไม่ได้รวมเอาปริมาตรของเหลวที่สามารถค้างอยู่ที่ปลายปิเปตนี้เข้าไปด้วย ดังนั้นถ้าเราไปไล่เอาของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปตนี้ออกมา เราจะได้ของเหลวในปริมาตรที่มากเกินจริง
 
ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่สอนกันอยู่ทั่วไปในการเรียนปฏิบัติการเคมี แต่มีสิ่งหนึ่งที่มักไม่ได้มีการเน้นย้ำความสำคัญก็คือ ในการสอบเทียบความถูกต้องนั้น เขาใช้ "น้ำ" เป็นตัวสอบเทียบ ดังนั้นถ้าเราเอาปิเปตนั้นไปตวงของเหลวชนิดอื่นที่ไม่ใช่น้ำ ปริมาตรของเหลวที่สามารถค้างอยู่ที่ปลายปิเปตก็จะเปลี่ยนไปด้วย สำหรับท่อที่มีขนาดเท่ากัน ปริมาตรของเหลวที่สามารถค้างอยู่ในท่อได้ขึ้นอยู่กับแรงตึงผิวและความหนาแน่นของของเหลวนั้น
 
รูปที่ ๑ เป็นการทดลองด้วยการใช้ graduated pipette ดูดของเหลวขึ้นมา แล้วปล่อยให้ไหลออกอย่างอิสระ จากนั้นจึงนำปลายปิเปตแตะกับผิวบีกเกอร์ ปริมาตรของเหลวที่เห็นค้างอยู่คือปริมาตรหลังจากที่แตะปลายปิเปตเข้ากับผิวบีกเกอร์แล้ว ตัวซ้ายคือน้ำมันถั่วเหลือง กลางคือน้ำกลั่น และขวาคือเอทานอล (analar grade) อันที่จริงการทดลองนี้ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรต้องใช้ปิเปตตัวเดิม (จะได้มั่นใจว่าขนาดรูที่ปลายปิเปตเหมือนกันหมดทุกการทดลอง) จะได้หมดข้อโต้เถียง แต่ก็คิดว่าด้วยการใช้ปิเปตที่มีขนาดปลายท่อใกล้เคียงกัน ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เห็นปัญหาที่ต้องการแสดง คือของเหลวแต่ละชนิดกัน จะค้างอยู่ที่ปลายปิเปตไม่เท่ากัน
 
สำหรับของเหลวที่เปียกผิวแก้วได้นั้น ผลของแรงตึงผิวสูงกับความหนาแน่นที่มีต่อปริมาตรของเหลวที่จะค้างอยู่ในหลอดแก้วได้นั้นจะตรงข้ามกัน กล่าวคือแรงตึงผิวที่สูงจะช่วยในการยึดเกาะกับผิวแก้ว ส่วนความหนาแน่นที่สูงจะเป็นตัวดึงให้ของเหลวไหลลงล่าง ดังนั้นการแปลผลที่เห็นในรูปที่ ๑ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง (เช่นน้ำมีแรงตึงผิวสูงกว่าเอทานอล แต่ก็มีความหนาแน่นมากกว่าด้วย)
 
ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไปที่คำถามเกี่ยวกับ graduated pipette ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าถ้าเราดูดของเหลวจนถึงขีด 0 ml แล้วปล่อยให้ของเหลวไหลออกมาจนถึงขีด 3 ml นั้น ของเหลวไม่ว่าจะมีแรงตึงผิวหรือความหนาแน่นเท่าใดที่ไหลออกมา กล่าวได้ว่าจะมีปริมาตรเท่ากัน แต่ถ้าเราใช้วิธีดูดของเหลวขึ้นมาจนถึงเลข 7 ml แล้วปล่อยให้ไหลออกจนหมด อาจเกิดปัญหาที่ของเหลวต่างชนิดกันจะมีปริมาตรที่ค้างอยู่ที่ปลายไม่เท่ากันได้ ปัญหานี้ก็เกิดกับ transfer pipette ด้วยเช่นกัน 
  
ดังนั้นการเตรียมสารละลายเจือจาง เช่นการเจือจางของเหลวที่เป็นสารอินทรีย์ในตัวทำละลาย หรือเจือจางกรดเข้มข้น จึงควรต้องคำนึงถึงปัญหาข้อนี้ ในบางครั้งการใช้การชั่งน้ำหนักของเหลวที่ต้องการเจือจางให้ได้น้ำหนักที่แน่นอน แล้วค่อยเติมตัวทำละลายจนได้สารละลายที่มีปริมาตรตามต้องการ อาจให้ความถูกต้องมากกว่า (แต่มีข้อแม้ว่าของเหลวนั้นต้องไม่ระเหยเร็วนะ แล้วค่อยคำนวณหาปริมาตรเอาจากความหนาแน่น) แต่สำหรับกรณีของสารละลายที่เจือจางในน้ำ อาจถือได้ว่าความแตกต่างนี้ไม่มีนัยสำคัญได้
 
ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณคุณโจ ผูเป็นเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการของภาควิชา ที่ช่วยเตรียมอุปกรณ์และจัดการทดลองนี้เพื่อให้ผมถ่ายรูปได้

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

การหาความเข้มข้นสารละลายมาตรฐานกรด MO Memoir : Saturday 16 January 2553

เนื่องจากสมาชิกผู้หนึ่งของกลุ่มกำลังทำการทดลองเพื่อศึกษาผลของกรดที่มีต่อการเกิดปฏิกิริยา ในการทดลองดังกล่าวต้องมีการผสมสารละลายกรด HCl เจือจาง (ที่ต้องทราบความเข้มข้นที่แน่นอน) ลงไปในสารละลาย H2O2 แต่เนื่องจากสารละลายกรดเจือจางที่เตรียมขึ้นมานั้นยังไม่ทราบความเข้มข้นที่แน่นอน (เหตุผลจะกล่าวในย่อหน้าถัดไป) จึงจำเป็นต้องมีการไทเทรตหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลายกรด HCl เจือจางที่ใช้ก่อน Memoir ฉบับนี้จึงขอยกเอาวิธีการไทเทรตหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลายกรด ซึ่งกระทำอยู่ทุกปีในวิชาเคมีวิเคราะห์ภาคปฏิบัติการสำหรับนิสิตปริญญาตรีปี ๒ มาทบทวนให้ฟังกัน

ในการเตรียมสารละลายมาตรฐานกรด (standard acid solution) นั้น เรามักเริ่มจากการนำเอากรดเข้มข้นมาเจือจางด้วยน้ำกลั่น แต่ความเข้มข้นที่เขียนไว้ข้างขวดนั้นมักเป็นความเข้มข้นโดยประมาณ (wt% หรือร้อยละโดยน้ำหนัก) และการนำกรดความเข้มข้นสูง (ระดับเกิน 10 M) มาเจือจางให้เหลือระดับเพียงแค่ประมาณ 0.1 M นั้น การตวงกรดเข้มข้นคลาดเคลื่อนไปเพียงนิดเดียวก็ทำให้ความเข้มข้นของกรดเจือจางที่เตรียมได้นั้นคลาดเคลื่อนไปได้มาก

การหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลาย HCl ที่เตรียมได้ ทำได้ด้วยการไทเทรตกับสารละลาย Anhydrous Na2CO3 (M.W. 105.99) โดยใช้ methyl red (เปลี่ยนสีในช่วง 4.4 (แดง) - 6.2 (เหลือง)) เป็นอินดิเคเตอร์ และทำการต้มไล่ CO2 ที่จุดยุติด้วย (อ่านถึงตรงนี้ถ้าสงสัยว่าทำไมไม่ไทเทรตกับสารละลาย NaOH ให้ไปอ่านหมายเหตุที่ท้ายบันทึกฉบับนี้)

รูปที่ 1 แสดงการเปลี่ยนแปลงค่าพีเอชเมื่อทำการไทเทรตสารละลาย Na2CO3 เข้มข้น 0.1 M กับสารละลาย HCl เข้มข้น 0.1 M โดยไม่มีการต้มไล่ CO2 และมีการต้มไล่ CO2 ในการไทเทรต HCO3-

รูปที่ 1 การเปลี่ยนค่าพีเอชเมื่อทำการไทเทรตสารละลาย Na2CO3 เข้มข้น 0.1 M กับสารละลายกรด HCl เข้มข้น 0.1 M โดย (บน) ไม่มีการต้มไล่ CO2 ในการไทเทรต HCO3- และ (ล่าง) มีการต้มไล่ CO2 ในการไทเทรต HCO3- (ภาพจากหนังสือ "Analytical chemistry : An introduction" แต่งโดย D.A. Skoog, D.M. West และ F.J. Holler ของสำนักพิมพ์ Saunders College Publishing, 6th edition 1994


สมมุติว่าเราทำการไทเทรตสารละลายมาตรฐาน Na2CO3 (อยู่ในฟลาสค) กับสารละลาย HCl (หยดจากบิวเรต) โดยใช้ methyl red เป็นอินดิเคเตอร์ ในช่วงแรกของการไทเทรตนั้น HCl จะเข้าไปสะเทิน CO32- ก่อนโดยเปลี่ยน CO32- ให้เป็น HCO3- ซึ่งเป็นเบสอ่อน ดังนั้นในช่วงที่สองที่ทำการไทเทรต HCO3- ให้กลายเป็น H2CO3 นั้นจะเห็นการเปลี่ยนสีของ methyl red ไม่ชัดเจน คือสีจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากเหลืองไปเป็นส้ม (สีผสมระหว่างแดงและเหลือง) และกลายเป็นแดง (สีที่จุดยุติ) ทำให้กำหนดจุดยุติของการไทเทรตได้ลำบาก แต่ถ้าหากเราไทเทรตจนสีของ methyl red กลายเป็นสีส้ม แล้วนำไปต้มให้สารละลายในฟลาสคร้อนขึ้น HCO3- จะสลายตัวกลายเป็นแก๊ส CO2 และ OH- ทำให้ค่าพีเอชของสารละลายในฟลาสคเพิ่มขึ้นกระทันหัน (พีคตรงตำแหน่ง "before boiling" กับ "after boiling" ที่แสดงในรูปที่ 1 (ล่าง)) สีของสารละลายในฟลาสคจะกลายเป็นสีเหลือง และทำให้การไทเทรตเป็นการไทเทรตระหว่างกรดแก่ (HCl) กับเบสแก่ (OH-) ซึ่งมีการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ที่ชัดเจน ซึ่งเมื่อหยดสารละลาย HCl ลงไปอีกเล็กน้อยก็จะทำให้ methyl red เปลี่ยนสีเป็นสีแดงทันที (ถ้าหากกลายเป็นสีส้มอีกแสดงว่า ตอนที่เอาฟลาสคไปต้มนั้นสีของสารละลายเพิ่งจะเริ่มเป็นสีส้ม ในกรณีนี้ให้เอาฟลาสคไปต้มใหม่อีกจนสีของสารละลายในฟลาสคกลายเป็นสีเหลือง แล้วนำมาไทเทรตใหม่)


สิ่งที่ควรต้องทำคือ

1. นำ Na2CO3 (analar grade) ไปอบให้แห้ง (ที่อุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียส ข้ามคืน)

2. เตรียมสารละลาย Na2CO3 เข้มข้น 0.1 M จำนวน 250 ml (หรือ 100 ml) โดยใช้ Na2CO3 จากข้อ (1) ในขั้นตอนนี้ให้ชั่ง Na2CO3 มาอย่างละเอียด และละลาย Na2CO3 ที่ชั่งมาใน volumetric flask ขนาด 250 ml (หรือ 100 ml)

ในการหาน้ำหนักที่แน่นอนของ Na2CO3 ที่ชั่งได้นั้น ให้ชั่ง Na2CO3 บนแผ่นกระดาษ (หรืออะลูมิเนียมฟลอย) จดน้ำหนักรวมเอาไว้ จากนั้นจึงเท Na2CO3 ที่ชั่งมานั้นลงไปใน volumetric flask แล้วนำแผ่นกระดาษ (หรืออะลูมิเนียมฟลอย) มาชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้ง น้ำหนักที่หายไปคือน้ำหนักของ Na2CO3 ที่เทลงไปใน volumetric flask

ในการละลาย Na2CO3 ใน volumetric flask นั้น ให้เติมน้ำลงไปประมาณ 1/4-1/2 ของปริมาตรขวด โดยพยายามอย่าให้คอขวดส่วนที่อยู่เหนือเส้นบอกปริมาตรเปียกน้ำ (สำคัญมาก) จากนั้นเขย่าเพื่อละลาย Na2CO3 ที่เติมลงไปให้หมด (โดยที่ยังคงพยายามไม่ให้คอขวดส่วนที่อยู่เหนือเส้นบอกปริมาตรเปียกน้ำ) เมื่อละลายNa2CO3 ที่เติมลงไปจนหมดแล้ว จึงเติมน้ำเพิ่มเติมจนถึงเส้นบอกปริมาตร (โดยที่ยังคงพยายามไม่ให้คอขวดส่วนที่อยู่เหนือเส้นบอกปริมาตรเปียกน้ำ) จากนั้นจึงเขย่าขวดเพื่อให้สารละลายในขวดเป็นเนื้อเดียวกันสม่ำเสมอทั้งขวด (ในขณะนี้อนุญาตให้คอขวดส่วนที่อยู่เหนือเส้นบอกปริมาตรเปียกน้ำได้แล้ว) หลังเสร็จสิ้นการเขย่าจนสารละลายในขวดเป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว พอตั้งขวดเอาไว้อาจเห็นว่าระดับของเหลวอยู่ "ต่ำ" กว่าเส้นบอกปริมาตร ก็ "ไม่ต้อง" เติมน้ำลงไปเพิ่มเติม เพราะน้ำที่หายไปนั้นมันไปเปียกคอขวดส่วนที่อยู่เหนือเส้นบอกปริมาตร

3. ในการไทเทรตนั้นให้ปิเปตสารละลาย Na2CO3 ที่เตรียมไว้มา 10-25 ml (ใช้ transfer pipette ขนาดที่มีอยู่ในห้องแลป) หยด methyl red ที่ใช้เป็นอินดิเคเตอร์ลงไป 3-4 หยด แล้วนำไปไทเทรตกับกรด HCl ที่เป็นตัวอย่าง

4. เมื่อสีของสารละลายในฟลาคกลายเป็นสีส้มเข้ม (ยังไม่แดง) ให้นำฟลาคไปต้มในอ่างน้ำร้อน ต้มจนกระทั่งสารละลายในฟลาคกลายเป็นสีเหลืองใหม่

5. ทำการไทเทรตต่อจนกระทั่ง methyl read เปลี่ยนสีจากเหลืองเป็นแดงทันที ถ้าการเปลี่ยนสียังเป็นจากเหลืองไปเป็นส้ม ก็ให้นำฟลาคไปต้มให้ร้อนใหม่จนกระทั่งสีของสารละลายเป็นสีเหลือง แล้วค่อยนำกลับมาไทเทรตใหม่

6. พึงระลึกว่าต้องใช้ HCl 2 โมลทำปฏิกิริยาพอดีกับ Na2CO3 1 โมล


ก่อนที่จะลงมือทำให้มาปรึกษารายละเอียดอีกครั้งก่อน


หมายเหตุ

ในการไทเทรตนั้น เราอาจทำโดย

(ก) ใช้สารมาตรฐานที่ทราบความเข้มข้นที่แน่นอน (หยดจากบิวเรต) มาทำปฏิกิริยากับสารตัวอย่างที่ทราบปริมาณที่แน่นอน (อยู่ในฟลาสค) แล้วหาว่าต้องใช้สารมาตรฐานในปริมาตรเท่าใดจึงจะทำปฏิกิริยากับสารตัวอย่างได้พอดี หรือ

(ข) ใช้สารมาตรฐานที่ทราบความเข้มข้นที่แน่นอนและทราบปริมาณที่แน่นอน (ใส่ในฟลาสค) มาทำปฏิกิริยากับสารตัวอย่าง (หยดจากบิวเรต) แล้วหาว่าต้องใช้สารตัวอย่างเท่าใดจึงจะทำปฏิกิริยาพอดีกับสารมาตรฐาน

ส่วนจะเลือกใช้แบบ (ก) หรือ (ข) นั้นขึ้นอยู่กับว่าเรามีสารแต่ละชนิดในปริมาณเท่าใด (โดยหลักก็คือเอาตัวที่มีมากใส่บิวเรต) หรือเลือกทิศทางที่เห็นการเปลี่ยนสีของอินดิเคเตอร์ได้ชัดเจน (เช่นดูการเกิดสีของฟีนอฟทาลีนจากไม่มีสีเป็นมีสีชมพูแดง จะดูง่ายกว่าดูการเปลี่ยนสีจากสีชมพูแดงเป็นไม่มีสี)

โดยหลักแล้วสารที่จะนำมาใช้เป็นสารมาตรฐานปฐมภูมิ (primary standard) นั้นควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ มีความบริสุทธิ์สูง และมีมวลโมเลกุลสูง

การที่สารมาตรฐานต้องมีความบริสุทธิ์สูงนั้นก็ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว ส่วนการที่ต้องมีมวลโมเลกุลสูงก็เพื่อลดความผิดพลาด (สัมพัทธ์) ในการชั่งน้ำหนักสารมาตรฐาน

ในการชั่งสารนั้นจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่ง

สมมุติว่าเราใช้เครื่องชั่งที่มีความละเอียด 0.001 g มาใช้ชั่งสาร ดังนั้นไม่ว่าเราจะชั่งสารหนัก 2.000 g หรือ 5.000 g เราก็จะมีความคลาดเคลื่อนในระดับ 0.001 g อยู่ดี

แต่ความคลาดเคลื่อนระดับ 0.001 g เมื่อเทียบกับ 2.000 g หมายถึงคลาดเคลื่อน 0.05% แต่ถ้าเทียบกับ 5.000 g จะกลายเป็นคลาดเคลื่อนเพียง 0.02%

ดังนั้นถ้าเราใช้สารที่มีมวลโมเลกุล 20 แล้วต้องการชั่งเพียง 0.1 โมล เราก็ต้องชั่งมา 2.000 g โดยสารที่ชั่งได้จะมีความคลาดเคลื่อน 0.05% แต่ถ้าเราใช้สารที่มีมวลโมเลกุล 50 แล้วต้องการชั่งเพียง 0.1 โมล เราก็ต้องชั่งมา 5.000 g โดยสารที่ชั่งได้จะมีความคลาดเคลื่อนลดลงเหลือเพียง 0.02% ซึ่งน้อยกว่า

การที่เราไม่ใช่ NaOH เป็นสารมาตรฐานปฐมภูมินั้นเป็นเพราะ NaOH ไม่มีความบริสุทธิ์สูง ขวด NaOH ที่เปิดสัมผัสอากาศแล้วมีโอกาสที่ NaOH จะจับกับแก๊ส CO2 ในอากาศกลายเป็น Na2CO3 ปนอยู่ในขวด และสารละลาย NaOH ที่เตรียมได้ยังสามารถทำปฏิกิริยากับแก๊ส CO2 ในอากาศได้เช่นเดียวกัน ทำให้ความเข้มข้นเปลี่ยนไปได้ถ้าเก็บไว้ไม่ดีพอ

ในการไทเทรตหาความเข้มข้นของกรดนั้นจะต้องนำสารละลาย NaOH ที่เตรียมได้ไปไทเทรตกับสารละลายของเกลือ potassium hydrogen phtahlate (บางทีก็เรียกกันสั้น ๆ ว่า KHP สารนี้มี M.W. 204.23) ก่อนเพื่อหาความเข้มข้นที่แน่นอนของ NaOH ที่เตรียมได้ จากนั้นจึงจะสามารถนำสารละลาย NaOH ที่เตรียมไว้ไปใช้เป็นสารละลายมาตรฐานทุติภูมิ (secondary standard) ในการไทเทรตหาความเข้มข้นของกรด

ส่วนการไทเทรตหาความเข้มข้นของสารละลาย HCl นั้นอาจทำได้โดยการไทเทรตกับสารละลาย Na2CO3 ที่กล่าวไว้ในข้างต้น หรือไทเทรตกับสารละลาย NaOH ที่ผ่านการไทเทรตหาความเข้มข้นที่แน่นอน

วิธีการที่บอกให้ทำนั้นจะเป็นการใส่สารละลาย Na2CO3 ในฟลาคแล้วหยด HCl ลงมาจากบิวเรต แต่เนื่องจากเรามี HCl ที่เป็นสารตัวอย่างในปริมาณจำกัด ดังนั้นพึงระวังอย่าใส่สารละลาย Na2CO3 มากเกินไป เพราะจะทำให้ไม่มี HCl เพียงพอสำหรับการทำซ้ำ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

สรุปการประชุมวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ MO Memoir : Saturday 9 January 2553


จากการประชุมในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ ณ ห้องสมุดของแลป ผมขอสรุปประเด็นหัวข้อต่าง ๆ เอาไว้ดังนี้

. การคำนวณขนาดของผลึกโดยใช้ Scherrer's equation

จากสมการ (Scherrer's equation)

.๑ สิ่งที่ต้องไปทำคือทำความเข้าใจความหมายของ Scherrer's equation ว่า ค่า d ที่คำนวณได้นั้นคือ "ความหนาของระนาบใดระนาบหนึ่งที่ทำให้เกิดพีคเอ็กซ์เรย์พีคนั้น" หรือ "ขนาดของผลึก"

.๒ ค่า Shape factor (K) ที่ควรจะต้องขึ้นอยู่กับรูปร่างของผลึก ค่าที่ใช้เป็น 0.9 นั้นเป็นค่าสำหรับผลึกรูปร่างแบบไหน

.๓ ค่า B ที่เกี่ยวข้องกับความกว้างของพีค ที่เดิมนั้นใช้วิธีนำเอาผลึกที่มีขนาดใหญ่ที่มีพีคหลายตำแหน่ง (เช่น alpha-alumina) แล้วใช้วิธีสร้างกราฟความสัมพันธ์ แต่อีกนิยามหนึ่ง (ดูไฟล์ power point ที่ส่งไปก่อนหน้านี้) กล่าวว่า B คือผลต่างของค่า 2theta ที่ระยะครึ่งหนึ่งของความสูงของพีค (2theta(high) - 2theta(low)) โดยมีหน่วยเป็น "radian" โดยขอให้ทดลองคำนวณใหม่โดยใช้ค่าที่มีนิยาม B ตามนี้

.๔ ความสูงและความกว้างของพีคขึ้นอยู่กับความเข้มของรังสีเอ็กซ์ที่ผ่านไปถึง detector ซึ่งความเข้มของรังสีเอ็กซ์นี้ขึ้นอยู่กับ

() ความต่างศักย์ (kV) ที่จ่ายให้กับหลอดรังสีเอ็กซ์เรย์

() กระแส (mA) ที่ป้อนให้กับหลอดรังสีเอ็กซ์

() ขนาดของ slit (mm) (slit 1) ที่อยู่ระหว่างหลอดเอ็กซ์เรย์กับตัวอย่าง และ

() ขนาดของ slit (mm) (slit 2) ที่อยู่ระหว่างตัวอย่างกับหลอดเอ็กซ์เรย์ (ดูรูปที่ 1 ข้างล่างประกอบ)


รูปที่ 1 เส้นทางการเดินทางของรังสีเอ็กซ์จากแหล่งกำเนิดไปจนถึง detector Nickle filter (Ni filter) ทำหน้าที่เป็นตัวตัดเส้น ของรังสีเอ็กซ์ที่มาจากแหล่งกำเนิดที่เป็นโลหะทองแดง


การคำนวณโดยใช้กราฟที่เอาของคนก่อนหน้าทำไว้นั้น จะว่าไปแล้วควรต้องใช้พารามิเตอร์ต่าง ๆ ในข้อ () - () เหมือนกันด้วย แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าไม่มีใครทราบแล้วว่ากราฟนั้นใครเป็นคนทำ และการสร้างกราฟนั้นตั้งพารามิเตอร์ในข้อ () - () เอาไว้อย่างไร

สิ่งที่ควรต้องทดสอบดูคือทดลองเปลี่ยนขนาดของ slit 2 ที่อยู่ระหว่างตัวอย่างกับหลอดเอ็กซ์เรย์ (ข้อ ()) ให้ใหญ่ขึ้น (ใช้ขนาดถัดไปที่ใหญ่กว่าเดิม) ซึ่งจะทำให้ได้สัญญาณแรงขึ้น แล้วนำผลที่ได้มาลองคำนวณดูใหม่ว่าได้ขนาดแตกต่างไปมากน้อยเท่าใด

ขนาดของ slit (ทั้ง 1 และ 2) ที่อยู่ระหว่างตัวอย่างกับหลอดเอ็กซ์เรย์นั้นเป็นตัวสำคัญที่คุมปริมาณรังสีที่ส่องไปถึง detector ในกรณีของการวัดที่มุมต่ำมาก ๆ (เช่นน้อยกว่า 10 องศา ซึ่งพวก zeolite บางชนิดต้องวัดที่มุมนั้น) รังสีที่ออกมาจากหลอดรังสีเอ็กซ์ส่วนหนึ่งจะตรงไปที่ detector โดยตรง ทำให้ detector รับรังสีในปริมาณที่สูงและทำให้อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้ต้องมีการกำหนดขนาดของ slit ที่อยู่ระหว่างตัวอย่างกับหลอดเอ็กซ์เรย์เอาไว้ต่ำมาก (โดยเฉพาะ slit 2) แต่ถ้าทำการวัดที่มุมสูงกว่านั้น (เช่นที่เราวัดกันตั้งแต่ 20 องศาขึ้นไป) ก็สามารถใช้ slit ที่ใหญ่กว่านั้นได้ และเมื่อเปลี่ยนขนาด slit ไปแล้วก็อย่างลืมเปลี่ยนกลับคืนเดิมด้วย เดี๋ยวคนต่อไปมาวัดแล้วได้ผลไม่เหมือนเดิมจะโวยวายว่าเครื่องเสียอีก เพราะดูเหมือนว่าผู้ใช้มักจะไม่สนใจว่าในการวัดแต่ละครั้งนั้นพารามิเตอร์ที่ส่งผลต่อการวัดนั้นตั้งค่าไว้อย่างไรบ้าง คิดแต่เพียงว่ามันต้องเหมือนเดิมเพราะไม่มีใครมาเปลี่ยน


. การวัด FT-IR

.๑ ให้ทดลองเปลี่ยนการวัดมาใช้ transmission mode แทนของเดิมที่ใช้ diffuse reflectance โดยให้ทำการผสมตัวอย่างประมาณ ๑ ส่วนกับ KBr (FT-IR grade) ประมาณ ๑๐๐ ส่วน ผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวและบดให้ละเอียด ถ้าผลการวัดเห็นว่าเส้น base line มีการ shift สูงขึ้นในช่วง wave number สูง แสดงว่าตัวอย่างนั้นยังบดไม่ละเอียด ให้ทำการบดซ้ำใหม่

.๒ การพิมพ์กราฟ FT-IR ออกมา ควรจัดรูปแบบให้เหมาะสม ไม่ใช่พิมพ์ออกมาให้มันกว้างเต็มหน้ากระดาษ (พิมพ์ออกมาในแนวนอน) แต่เราไม่ได้สนใจเรื่องความกว้าง เราสนใจเรื่องความสูงมากกว่า ดังนั้นควรแก้ไขด้วยการพิมพ์ให้ผลออกมาในแนวตั้ง หรือเลือกพิมพ์เฉพาะส่วนที่ต้องการพิจารณาและขยายส่วนนี้ออกมาให้เด่นชัด


. การวัดพื้นที่ผิว

.๑ การวัดพื้นที่ผิว (ไม่ว่าจะเป็น multi point BET หรือ single point BET) นั้นจะใช้หลักการเดียวกันคือวัดปริมาณแก๊สไนโตรเจนที่สามารถเติมเข้าไปในรูพรุนของตัวอย่างที่อยู่ที่อุณหภูมิจุดเดือดของไนโตรเจนได้

.๒ ดังนั้นก่อนที่จะทำการวัดจะต้องทำการกำจัดแก๊สที่ไม่ใช่ไนโตรเจนและมีจุดเดือดสูงกว่าจุดเดือดของไนโตรเจนออกจากรูพรุนต่าง ๆ ให้หมดก่อน ซึ่งทำได้โดย

() ใช้การทำสุญญากาศ (เครื่องใหญ่ ASAPใช้วิธีนี้) หรือ

() ให้ความร้อนแก่ตัวอย่างในภาวะที่มีแก๊สไนโตรเจนหรือแก๊สผสมระหว่างไนโตรเจนกับฮีเลียมไหลผ่าน (เครื่อง TPX ใช้วิธีนี้)

.๓ การทำสุญญากาศ (ร่วมกับการให้ความร้อนแก่ตัวอย่าง) เป็นวิธีที่ให้ความมั่นใจได้ว่าสามารถดึงเอาแก๊สต่าง ๆ ที่อยู่ในรูพรุนออกมาได้หมด เพราะเครื่องจะคอยวัดความดันในระบบว่าลดต่ำลงได้เท่าใด ตราบเท่าที่ยังคงมีแก๊สอยู่ในรูพรุน ความดันของระบบก็จะไม่ลดต่ำลงจนถึงค่าที่กำหนดไว้

.๔ ส่วนการให้ความร้อนแก่ตัวอย่างในภาวะที่มีแก๊สไนโตรเจนหรือแก๊สผสมระหว่างไนโตรเจนกับฮีเลียมไหลผ่าน เราไม่ทราบได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะดึงเอาแก๊สที่ไม่ใช่ไนโตรเจนหรือแก๊สที่มีจุดเดือดสูงกว่าไนโตรเจนออกมาจากรูพรุนได้หมด เพราะเวลาดังกล่าวขึ้นกับขนาดรูพรุนและพื้นที่ผิวของตัวอย่าง ตัวอย่างที่มีรูพรุนขนาดเล็กและพื้นที่ผิวมากต้องใช้เวลาในการไล่ที่นานมากขึ้น

การหาค่าเวลาที่เหมาะสมดังกล่าวทำได้โดยการทดลองใช้เวลาไล่แก๊สนานแตกต่างกัน (เช่น 2 ชั่วโมง 4ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง) แล้ววัดพื้นที่ผิว โดยหลักการแล้วถ้าใช้เวลานานเท่าใดก็จะยิ่งไล่แก๊สออกจากรูพรุนได้มากขึ้น ค่าพื้นที่ผิวที่คำนวณได้จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใช้เวลาในการไล่นานขึ้นจนถึงระดับสูงสุด จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ตัวอย่างที่มีพื้นที่ผิวต่ำนั้นอาจใช้เวลาไล่แก๊สเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก็พอ แต่ตัวอย่างที่มีพื้นที่ผิวสูง (ตังแต่ 200 ตารางเมตรต่อกรัมขึ้นไป) อาจต้องใช้เวลาในการไล่แก๊สอย่างน้อย 6 ชั่วโมง จึงจะได้ค่าที่วัดได้จากเครื่อง TPX เหมือนกับค่าที่วัดได้จากเครื่อง ASAP ดังนั้นการที่กำหนดไว้เป็นสิ่งตายตัวในคู่มือที่ลอกต่อ ๆ กันมาว่าให้ไล่น้ำเพียงแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมงก็พอนั้นจึงเป็นสิ่งที่ผิด


. เวลาที่สารตัวอย่างออกจากคอลัมน์ของเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ

.๑ สำหรับคอลัมน์หนึ่ง ๆ นั้น ระยะเวลาที่สารตัวอย่างออกจากคอลัมน์ของเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟจะขึ้นอยู่กับ

() อัตราการไหลของ carrier gas และ

() อุณหภูมิที่ทำการแยก

.๒ เนื่องจากเครื่องที่เราใช้นั้นต้องทำการฉีดด้วยมือ และต้องทำการกดอินทิเกรเตอร์ให้ทำงานเอง ดังนั้นเวลาที่พีคออกมาจากคอลัมน์จึงมีความคลาดเคลื่อนในระดับหนึ่ง ซึ่งเราหาเวลาที่คลาดเคลื่อนนี้ได้โดยการทดลองฉีดสารมาตรฐานเข้าไปหลาย ๆ ครั้ง แล้วดูว่าเวลาที่สารตัวอย่างออกมานั้นอยู่ในช่วงใด

.๓ อีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยได้คือแทนที่จะทำการฉีดสารมาตรฐานเข้าไปเพียงสารเดียว ก็ให้ทำการฉีดสารผสมของสารมาตรฐานเข้าไป (เช่นฉีดสารผสมระหว่าง เบนซาลดีไฮด์ ออโธครีซอล และพาราครีซอล) แล้ววัดระยะห่างของพีคสารมาตรฐานแต่ละพีค

.๔ ปัญหาที่ "สงสัย" ว่าวิระยะกำลังประสบอยู่และกำลังรอการทดสอบคือในการวิเคราะห์แต่ละครั้ง (โดยเฉพาะการฉีดสารตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป) คอลัมน์ทำงานที่อุณหภูมิเริ่มต้นที่แตกต่างกันเล็กน้อย

.๕ อุณหภูมิที่ส่งผลต่อเวลาที่สารออกมาจากคอลัมน์นั้นคือ "อุณหภูมิคอลัมน์" ซึ่งเป็นอุณหภูมิของตัวคอลัมน์ที่ใช้แยกสารหรืออุณหภูมิของ packing ที่บรรจุอยู่ในคอลัมน์นั้น แต่ไม่มีเครื่อง GC เครื่องไหนที่ทำการวัดอุณหภูมินี้โดยตรง สิ่งที่เครื่อง GC วัดคืออุณหภูมิของ "อากาศ" ที่อยู่ล้อมรอบหรือ "อุณหภูมิ oven" นั่นเอง โดยใช้ข้อสมมุติว่าที่ภาวะคงตัวอุณหภูมิของคอลัมน์จะเท่ากับอุณหภูมิของ oven ทำให้บางทีตัวเครื่องแทนที่จะบอกว่าอุณหภูมิที่แท้จริงที่วัดนั้นเป็นอุณหภูมิของ oven เครื่องกลับบอกว่าเป็นอุณหภูมิคอลัมน์แทน (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น)

.๖ สิ่งที่สงสัยคือหลังจากสิ้นสุดการวิเคราะห์ครั้งหนึ่งแล้ว (คือหลังจากที่เราเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์สูงไปถึง 230 องศาเซลเซียส) ก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ครั้งต่อไปเราต้องลดอุณหภูมิคอลัมน์ลงมาให้อยู่ที่อุณหภูมิเริ่มต้นใหม่ (ที่ 80 องศาเซลเซียส) ในการลดอุณหภูมิคอลัมน์นั้นเราใช้วิธีการระบายอากาศร้อนที่อยู่รอบ ๆ คอลัมน์ออกไป (เช่นโดยการเปิดประตู oven) แล้วให้ตัวคอลัมน์เองระบายความร้อนออกสู่อากาศเย็นที่อยู่รอบ ๆ คอลัมน์ ดังนั้นคอลัมน์จะเย็นตัวช้ากว่าอากาศที่อยู่รอบ ๆ คอลัมน์

.๗ แต่เนื่องจากเทอร์โมคับเปิลนั้นวัดอุณหภูมิของอากาศที่อยู่รอบ ๆ คอลัมน์ (ก็คืออุณหภูมิ oven นั่นเอง) ดังนั้นแม้ว่าอุณหภูมิอากาศที่อยู่รอบ ๆ คอลัมน์จะลดลงเหลือ 80 องศาเซลเซียสแล้วก็ตาม แต่อุณหภูมิตัวคอลัมน์จะยังคงสูงกว่า 80 องศาเซลเซียส (เพราะคอลัมน์มีน้ำหนักมากกว่าและมีความจุความร้อนมากกว่าด้วย) ดังนั้นแม้ว่าตัวเครื่องจะบอกว่าอุณหภูมิใน oven (ซึ่งบางทีตัวเครื่องกลับบอกว่าเป็นอุณหภูมิคอลัมน์ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ดังที่อธิบายไว้ในข้อ ๔.) คงที่ที่ 80 องศาเซลเซียสแล้ว แต่อุณหภูมิคอลัมน์อาจจะยังสูงกว่า 80 องศาเซลเซียสก็ได้

.๘ สิ่งที่ได้บอกให้ทำคือให้ลดอุณหภูมิ oven ให้ต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียสก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าคอลัมน์เย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงค่อยเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์กลับไปที่อุณหภูมิเริ่มต้น 80 องศาเซลเซียสใหม่ แล้วทำการฉีดสารผสมของสารมาตรฐานเข้าไป (สารผสมระหว่างเบนซาลดีไฮด์กับครีซอล) จากนั้นดูว่าพีคของสารที่ออกมานั้นคลาดเคลื่อนไปมากน้อยเพียงใด ผมสงสัยว่าถ้าเกิดปัญหาก็น่าจะเห็นเด่นชัดเกิดกับพีคที่ออกมาที่อุณหภูมิต่ำ


. การเตรียมกรดเจือจางจากกรดเข้มข้น

.๑ กรดเข้มข้นที่ขายกันนั้นมีความเข้มข้นอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ เช่นกรดเกลือเข้มข้นที่ขายกันอาจมีความเข้มข้นอยู่ในช่วง 35-37 wt% ขึ้นอยู่กับลอตที่ทำการผลิต ดังนั้นความเข้มข้นที่อยู่ที่ฉลากข้างขวดจึงเป็นความเข้มข้นโดยประมาณ เมื่อนำมาใช้คำนวณความเข้มข้นของสารละลายกรดเจือจางที่เตรียมได้ ความเข้มข้นของสารละลายกรดเจือจางที่คำนวณได้จึงเป็นความเข้มข้นโดยประมาณ

.๒ การนำกรดเข้มข้นในปริมาตรน้อย ๆ มาเจือจางให้ได้ความเข้มข้นต่ำที่ต้องการในขั้นตอนเดียวนั้นจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้สูง เพราะอุปกรณ์วัดปริมาตรแต่ละชนิดมีความคลาดเคลื่อนอยู่ในตัวมันเอง ด้วยความเข้มข้นที่สูงของกรดเข้มข้น ดังนั้นปริมาตรกรดเข้มข้นที่ผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อยจึงทำให้ความเข้มข้นของกรดเจือจางที่เตรียมได้ผิดพลาดไปได้อย่างมีนัยสำคัญ ความเข้มข้นที่แท้จริงของกรดเจือจางที่เตรียมจากกรดเข้มข้นจึงต้องหาจากการไทเทรตกับสารมาตรฐาน

.๓ เรื่องอุปกรณ์การวัดปริมาตรได้กล่าวไว้ใน MO Memoir 2551 Aug 16 Sat การวัดปริมาตรของเหลว (ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๕) เอาไว้แล้ว ขอให้ศึกษาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ graduate pipette ในการวัดปริมาตร