แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เพลง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เพลง แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

MO Memoir : Sunday 1 December 2562 โน๊ตเพลง "นางฟ้าจำแลง" "อุษาสวาท" และ "หนี้รัก"

เว้นว่าไปเกือบปีครึ่งในการนำเอาโน๊ตเพลงเก่า ๆ ที่มีเก็บไว้มาเขียนใหม่ โดยยังคงใช้โปรแกรม Musescore เหมือนเดิมแต่เป็นเวอร์ชัน 3.2.1 ที่ดูเหมือนจะมีปัญหากับคอมพิวเตอร์ของผมหน่อย คือพอจะเปิดไฟล์แล้วโปรแกรมมันหยุดทำงานเอาดื้อ ๆ เป็นบางครั้ง ไม่เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ สำหรับโน๊ตเพลงที่เอามาเขียนใหม่คราวนี้ก็มีอยู่ ๓ เพลงด้วยกันคือ นางฟ้าจำแลง อุษาสวาท และหนี้รัก โดยเพลงนางฟ้าจำแลงที่เป็นเพลงจังหวะ Quick Waltzนั้นเปลี่ยนจากบันไดเสียง Ab Major มาเป็น C Major เพลงหนี้รักที่เดิมเป็นบันไดเสียง D Major และใช้โน๊ตเสียงต่ำมากก็ยกขึ้นมาเป็น C Major ส่วนเพลงอุษาสวาทนั้นก็ยังคงบันไดเสียง F Major ตามต้นฉบับเดิม

ส่วนรูปข้างล่างก็ไม่มีอะไร อันบนคือ flute ของ Yamaha ซื้อมาเมื่อกว่า ๖ ปีที่แล้ว ราคาหน่อยสองหมื่นนิด ๆ (รุ่นต่ำสุดของ Yamaha ในขณะนั้น) ส่วนอันล่างเพิ่งได้มาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซื้อออนไลน์ผ่าน Shopee ราคาพันแปดมีทอนยี่ห้อ Slade ของจีนแดง คืออยากรู้ว่ามันจะต่างกัน flute ราคาแพงมากไหมก็เลยลองซื้อมาเทียบกัน ก็พบว่าถ้าซื้อมาหัดเล่นก็ใช้ได้ แต่จะเป่ายากกว่าหน่อย โดยเฉพาะเสียงต่ำจะไม่ค่อยออก สำหรับคนที่อยากจะลองหัดเล่นแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะหัดเล่น flute จริงจังเป็นระยะยาวหรือเปล่า ก็ถือว่าโอเคครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โน๊ตเพลง "พรปีใหม่" และ "สายฝน" MO Memoir : Sunday 27 November 2559

เคยอ่านพบบทความที่ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับทำนองเพลง "มหาจุฬาลงกรณ์" ที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เอาไว้ว่า เป็นทำนองที่มีลักษณะแตกต่างเป็นพิเศษไปจากเพลงอื่นตรงที่ในเพลง "มหาจุฬาลงกรณ์" นี้ไม่มี "โน๊ตหลุดบันไดเสียง" สักตัว ทั้ง ๆ ที่มักจะพบเห็นโน๊ตหลุดบันไดเสียงนี้เป็นเรื่องปรกติในเพลงพระราชนิพนธ์เพลงอื่น
 
คำว่า "โน๊ตหลุดบันไดเสียง" นี้ผมไม่ได้บัญญัติขึ้นเองหรอกครับ เป็นคำที่ปรากฏอยู่ในบทความนั้น (ต้องขออภัยด้วยที่จำไม่ได้ว่าใครเขียน เห็นแต่ส่งต่อกันมาทาง facebook) ที่เจ้าของบทความนำมาใช้เพื่อให้คนทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้ทางดนตรีอะไรดีนักสามารถมองเห็นภาพได้ง่ายและชัดเจน และเมื่อผมลองกลับไปดูโน๊ตเพลงพระราชนิพนธ์เพลงอื่นก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง
 
ก่อนอื่นก็คงต้องขออธิบาย (ด้วยความรู้ระดับ งู ๆ ปลา ๆ ที่ผมมี) ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยจะถูกโรคกับโน๊ตสากลให้พอจะมีความเข้าใจเรื่องบันไดเสียงก่อนบ้าง คือบันไดเสียงเป็นการกำหนดกลุ่มของตัวโน๊ตและระยะห่างระหว่างเสียงของโน๊ตแต่ละตัวในกลุ่มตัวโน๊ตนั้น เช่นบันไดเสียง C Major ประกอบด้วยโน๊ต โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โดยโน๊ต โด กับ เร เร กับ มี ฟา กับ ซอล ซอล กับ ลา และ ลา กับ ที ห่างกัน "หนึ่ง" ช่วงเสียง ส่วน มี กับ ฟา และ ที กับ โด นี้ห่างกัน "ครึ่ง" ช่วงเสียง โน๊ตที่ห่างกันหนึ่งช่วงเสียงนี้เราสามารถแบ่งครึ่งให้มีเสียงที่อยู่ระหว่างกลางได้ เช่นถ้าอยากให้มีเสียงสูงขึ้นอีกครึ่งเสียง ก็จะใช้เครื่องหมาย "ชาร์ป sharp หรือ #" ไว้หน้าโน๊ตตัวนั้น ถ้าอยากให้มีเสียงต่ำลงครึ่งเสียงก็จะใส่เครื่องหมาย "แฟล็ท flat หรือ b" ไว้หน้าโน๊ตตัวนั้น แต่ถ้าอยากจะให้โน๊ตตัวนั้นมีเสียงชาร์ปหรือแฟล็ทตลอดทั้งเพลง ก็จะไปใส่เครื่องหมายดังกล่าวไว้ที่หลังเครื่องหมายกุญแจเสียงเลย เช่นบันไดเสียง G Major (รูปที่ ๑) ที่มีเครื่องหมายชาร์ปกำกับไว้ที่ตำแหน่ง ฟา โน๊ตตัว ฟา ทุกตัวถ้าปรากฏขึ้นลอย ๆ โดยไม่มีเครื่องหมายอื่นกำกับ จะต้องเล่นเป็นเสียง ฟาชาร์ป ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฟาสูง หรือ ฟาต่ำ และในทำนองเดียวกัน โน๊ตตัว ที ในบันไดเสียง F Major ก็ต้องเล่นเป็นเสียง ทีแฟล็ท ทั้งหมด


รูป ๑ ชื่อบันไดเสียงต่าง ๆ (รูปนี้เซฟเก็บเอาไว้นานแล้ว จำไม่ได้แล้วว่านำมาจากไหน)
 
เครื่องหมายชาร์ปหรือแฟล็ทที่เอาไปใส่ไว้หลังเครื่องหมายกุญแจเสียงนี้เรียกว่าเป็นเครื่องหมายตั้งบันไดเสียง ซึ่งอาจประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องหมายชาร์ปหลายตัว (แถวบนในรูปที่ ๑) หรือเครื่องหมายแฟล็ทหลายตัวรวมกัน (แถวล่างในรูปที่ ๑) ส่วนจะมีการใช้ชาร์ปกับแฟล็ทปนกันได้หรือไม่นั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ในกรณีของโน๊ตที่มีการใช้เครื่องหมายตั้งบันไดเสียงกำหนดให้เป็นเสียงชาร์ปหรือแฟล็ท แต่ถ้าเราอยากให้โน๊ตตัวนั้นกลับมาเล่นเป็นเสียงปรกติ ก็จะมีการใช้เครื่องหมาย "เนเชอรัล natural" มาเป็นตัวกำกับ เช่นถ้าเพลงนั้นใช้บันไดเสียง F Major ที่กำหนดให้เสียง ที ทุกตัวต้องเล่นเป็น ทีแฟล็ท (ต่ำกว่าเสียง ที ปรกติครึ่งเสียง) แต่ถ้ามีตำแหน่งไหนต้องการให้เล่นเป็นเสียง ที ปรกติก็จะต้องเอาเครื่องหมายเนเชอรัลไปใส่กำกับไว้หน้าตัวโน๊ตตัวนั้น (ผมหาเครื่องหมาย natural บนแป้นพิมพ์ไม่เจอ)
 
ทีนี้ถ้าลองกลับไปดูโน๊ตเพลง "มหาจุฬาลงกรณ์" ที่ใช้บันไดเสียง F Major หรือเพลง "พรปีใหม่" ที่ใช้บันไดเสียง C Major ในรูปแนบท้าย Memoir ฉบับนี้ จะเห็นว่าไม่มีเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟล็ทเพิ่มเติมอีกเลย แม้จะปรับเสียงโน๊ตเพลง "พรปีใหม่" ให้สูงขึ้นหนึ่งเสียงเป็นบันไดเสียง D Major ที่โน๊ต โด และ ฟา ทุกตัวต้องเป็นเสียงชาร์ป ก็จะเห็นว่าไม่มีเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟล็ทปรากฏให้เห็นเช่นกัน แต่เพลง "สายฝน" ที่ใช้บันไดเสียง F Major ที่กำหนดให้โน๊ต ที ทุกตัวต้องเล่นเป็น ทีแฟล็ท นั้น ปรากฏว่ามีโน๊ต ที บางตัวมีเครื่องหมายเนเชอรัลกำกับให้เล่นเป็นเสียง ที ปรกติ (จะเรียกว่าเป็นโน๊ตหลุดบันไดเสียงก็ได้) แต่นี่ก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเพลงพระราชนิพนธ์เพลงอื่น


รูปที่ ๒ โน๊ตเพลงต้นฉบับที่ได้มาเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว

โน๊ตเพลง "พรปีใหม่" ต้นฉบับที่ผมมีเป็นบันไดเสียง C Major แต่มันมีโน๊ตหนึ่งตัวที่เป็นเสียง ทีต่ำ ที่ฟลุตมันเล่นไม่ได้ ผมก็เลยปรับเสียงโน๊ตแต่ละตัวให้สูงขึ้นหนึ่งช่วงเสียงด้วยการปรับเป็นบันไดเสียง D Major ทั้งสองเพลงจะว่าไปแล้วก็รูสึกว่าเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่เล่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับเพลงพระราชนิพนธ์เพลงอื่น เช้าวันอาทิตย์นี้ก็คิดเสียว่าพักผ่อนกันด้วยเสียงเพลงก่อนการสอบไล่ปลายภาคต้นที่จะเริ่มในเช้าวันพรุงนี้ก็แล้วกัน




วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โน๊ตเพลง "สายลม" และ "ไกลกังวล" MO Memoir : Saturday 19 November 2559

พอรื้อเอาโน๊ตเพลงเก่า ๆ ที่มีเก็บไว้ตั้งแต่สมัยประถมศึกษามาดูใหม่ ทำให้รู้ว่าคุณครูที่สอนดนตรีเอาบทเพลงพระราชนิพนธ์หลายบทเพลงมาเป็นบทเรียนอยู่เหมือนกัน โน๊ตเพลงที่เอามาเขียนใหม่ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์อีกสองเพลงที่เนื้อร้องมีความหมายช่างตรงข้ามกัน เพลง "สายลม" เป็นเพลงทำนองช้า ๆ ที่ให้ความรู้สึกแสนเศร้า ก็น่าจะชดเชยได้ด้วยเพลง "ไกลกังวล" เพลงจังหวะเร็ว ๆ ที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานรื่นเริง
  
โน๊ตต้นฉบับเดิมที่ใช้บันไดเสียง C Major นั้นเสียงต่ำสุดนั้นต่ำกว่าเสียง "โด" ต่ำ ก็เลยเอามาปรับเสียหน่อยโดยเพิ่มระดับให้เสียงสูงขึ้นเป็น F Major ในที่นี้ก็เลยเอาโน๊ตมาลงทั้งสองรูปแบบ เล่นได้แบบไหนก็เลือกเอาเองแล้วกันครับ

 





วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โน๊ตเพลง "ลมหนาว" และ "ชะตาชีวิต" MO Memoir : Sunday 13 November 2559

เข้าหน้าหนาวแล้วก็ถือโอกาสนำเอาโน๊ตเพลงเก่า ๆ ที่ได้มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษามาพิมพ์ใหม่ในรูปของไฟล์คอมพิวเตอร์ เพราะของเดิมเก็บที่เอาไว้เกือบ ๔๐ ปี กระดาษโรเนียวก็เหลืองกรอบไปตามเวลา 
   
โน๊ตเพลงที่นำมาเผยแพร่ในวันนี้เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสองเพลงคือ "ลมหนาว" และ "ชะตาชีวิต" เพลงลมหนาวน่าจะเป็นเพลงที่เล่นได้ง่ายหน่อย ไม่เหมือนเพลงชะตาชีวิตที่เต็มไปด้วยตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นและสองชั้นเต็มไปหมด ทั้งสองเพลงมีเนื้อหาที่ตรงข้ามกันอยู่ ในขณะที่เพลงลมหนาวบรรยายถึงบรรยากาศความรักความสุข เพลงชะตาชีวิตกลับบรรยาถึงความโดดเดี่ยวเดียวดาย ความผิดหวัง โปรแกรมที่ใช้เขียนโน๊ตก็ยังคงเป็น MuseScore 2.0.2 เช่นเดิมครับ




วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โน๊ตเพลง "สายลมเหนือ" และ "เดียวดายกลางสายลม" MO Memoir : Sunday 12 June 2559

เห็นข่าวเมื่อไม่นานนี้เกี่ยวกับวงดนตรีของไทยที่นำทำนองเพลงต่างประเทศมาใส่เนื้อไทย แล้วไม่ให้เครดิตเจ้าของเพลงเดิม แต่จะว่าไปเรื่องเพลงไทยที่ใช้ทำนองเพลงต่างประเทศมาใส่เนื้อใหม่ก็มีมานานแล้ว แต่ว่าบางเพลงก็เป็นเพลงที่เก่าจนอาจถือได้ว่าหมดการคุ้มครองไปแล้วก็ได้
 
มีอยู่เพลงหนึ่งผมชอบทำนองในบางช่วงของเพลงมาก แต่หาไม่ได้สักทีว่ามันชื่อเพลงอะไร (ถ้า google มันหาข้อมูลเพลงด้วยการร้องทำนองให้มันฟังแล้วมันค้นหาเพลงได้ก็คงจะดีมาก) บังเอิญช่วงเดือนที่แล้วช่วงบ่ายระหว่างขับรถได้ยินเพลงนี้จากรายการวิทยุของสถานีวิทยุจุฬา (101. MHz) เปิดเพลงดังกล่าวที่มีผู้นำมาใส่เนื้อร้องเพลงไทย ชื่อของเพลงไทยเพลงนั้นคือ "สายลมเหนือ" ที่นำเอาทำนองมาจากเพลง "Daisy Bell" ที่เป็นเพลงเก่าเพลงหนึ่ง (อายุเพลงนี้น่าจะกว่าร้อยปีแล้ว) แต่พอเอามาใส่เนื้อเพลงไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย คือเอาท่อนกลางของเพลงเดิมมาเป็นท่อนเริ่มต้น และเอาท่อนเริ่มต้นของเพลงเดิมไปไว้ตอนกลางเพลง ก็นับว่าแปลกดี เพราะปรกติที่เจอเขามักจะไม่มีการสลับท่อนต่าง ๆ ของบทเพลงเดิม โน๊ตต้นฉบับที่นำมาใส่เนื้อไทยนั้นเป็นบันไดเสียง G Major ผมเอามาเขียนใหม่ด้วยโปรแกรม Musescore 2.0.2 เช่นเดิมโดยทำโน๊ตบันได้เสียง G Major และ A Major (ยกเสียงให้สูงขึ้นเล็กน้อยหนึ่งขั้น)
 
อีกเพลงหนึ่งก็เป็นเพลงที่ตามหาโน๊ตมานานแล้วเช่นกัน เพิ่งจะพบว่ามีผู้ใจดีทำให้ (ต้องขอขอบพระคุณผู้ที่ทำการแกะโน๊ตเพลงดังกล่าวและนำเผยแพร่เป็นอย่างยิ่ง) เพลงนั้นคือเพลง "เดียวดายกลางสายลม" โน๊ตต้นฉบับที่เป็นโน๊ตตัวเลขนำมาจาก https://mascreen.wordpress.com/2016/02/26/เดียวดายกลางสายลม-นรีก/ โดยผมทดลองนำมาใส่เป็นโน๊ตสากลโดยเปิดฟังเพลงจาก Youtube และใส่จังหวะเข้าไป ที่ขาดก็มีช่วง intro และเว้นวรรคระหว่างเนื้อเพลง ต้นฉบับเป็นบันไดเสียง G Major โดยเอามาเขียนใหม่ด้วยโปรแกรม Musescore 2.0.2 เช่นเดิม และยังทำโน๊ตบันได้เสียง A Major ไว้ด้วย ส่วนใครจะชอบเสียงสูงหรือต่ำก็เลือกกันเอาเองก็แล้วกัน

สองเพลงนี้เนื้อหาของบทเพลงต่างเกี่ยวข้องกับสายลมและดวงจันทร์ แต่บรรยากาศของเพลงมันไปคนละทางกันเลย ในขณะที่เพลงหนึ่งแสนจะหวานซึ้ง อีกเพลงหนึ่งกลับแสนเศร้า (บางคนถึงกับบอกว่ามันชวนให้อยากตาย) ตรงนี้ผมต้องขอชมคนร้องคือ คุณนรีกระจ่าง คันธมาส ที่ใส่อารมณ์ให้กับบทเพลงได้ดีมาก

เช้าวันอาทิตย์ วันหยุด คืนนี้ก็วันพระขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๗ มีดวงจันทร์ให้เห็นครึ่งดวง ก็พักผ่อนกันด้วยเรื่องเบา ๆ ก็แล้วกันนะครับ สวัสดีครับ









วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

โน๊ตเพลง "ใกล้รุ่ง" และ "อาทิตย์อับแสง" MO Memoir : Sunday 27 September 2558

กระดาษโน๊ตเพลงสองแผ่นนี้เป็นโน๊ตเพลงสมัยเรียนตอนป. ๕ หรือเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นดูเหมือนจะเรียนวิชาขับร้องและอ่านโน๊ตดนตรี ตอนเรียนก็เขียนชื่อโน๊ตเอาไว้ แต่พอจะเอามาอ่านทบทวนเพื่อการสอบก็เลยเอาปากการะบายชื่อโน๊ตที่เขียนเอาไว้ เพื่อจะเอามาใช้ทำเป็นแบบฝึกหัดอ่านใหม่ สุดสัปดาห์พอจะมีเวลาว่างบ้างก็เลยหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นเขียนใหม่อีกครั้ง โดยยังใช้โปรแกรม MuseScore เช่นเดิม
  
ครั้งนี้เลือกเอาโน๊ตเพลงพระราชนิพนธ์ ๒ บทเพลงมาเขียนใหม่คือเพลง "ใกล้รุ่ง" และ "อาทิตย์อับแสง" เนื้อเพลงทั้งสองบทเพลงช่างขัดกันเหลือเกิน "ใกล้รุ่ง" เป็นเสมือนบทเพลงแห่งความสุขใจ ในขณะที่ "อาทิตย์อับแสง" เป็นบทเพลงแห่งความทุกข์ใจ ทั้งสองบทเพลงที่เลือกมานี้มีการแปลงเสียงโน๊ตให้เปลี่ยนไปครึ่งเสียงอยู่หลายตำแหน่งเหมือนกัน (ผมพิมพ์โน๊ตใหม่ตามต้นฉบับที่มี ไม่ได้แก้ไขอะไร)
  
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่ามหาบัณฑิตคนเดียวของกลุ่มวิจัยของเราที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในอีก ๒ สัปดาห์ข้างหน้าจะชอบเพลง "อาทิตย์อับแสง" อยู่เหมือนกัน (แต่ถ้าผมจำผิดก็แล้วกันไปนะ) ก็เลยถือโอกาสจัดเพลงนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับการรับปริญญา 
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสาวสวยหุ่นดีถึงได้อาภัพรักเป็นประจำ หรือว่าชาติที่แล้วเที่ยวไปหักอกใครต่อใครเอาไว้มาก ชาตินี้ก็เลยต้องชดใช้กรรม (แต่ผมว่าน่าจะเป็นเพราะกำหนดสเป็คไว้สูงมากเกินไปต่างหาก)
  


วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

โน๊ตเพลง "วันเวลา" และ "โลกทั้งใบให้นายคนเดียว" MO Memoir : Monday 14 September 2558

ปลายเดือนที่แล้วไปเดินร้านหนังสือซีเอ็ดกับลูก ก็เลยได้หนังสือเพลงติดมือกลับมา ๓ เล่ม แต่จำนวนเพลงที่รู้จักในหนังสือ ๓ เล่มนั้นรวมกันจะถึง ๑๐ เพลงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยได้ฟังรายการเพลงทางวิทยุสักเท่าใดนัก แถมในห้องแลปก็ไม่มีการเปิดวิทยุให้ฟังกันทั่วแลปเหมือนแต่ก่อน แต่ละคนก็ฟังผ่านโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ก็เลยไม่ค่อยจะรู้ว่านักร้องคนไหนใครเป็นใคร และเพลงไหนที่กำลังเป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นที่อยู่ในกรุงเทพกัน
  
เพลงแรกที่เลือกมาคือเพลง "วันเวลา" แต่งและร้องโดยพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ โน๊ตเพลงนี้นำโน๊ตตัวเลขมาจากหนังสือ "โน้ตคีย์บอร์ด คอร์ดกีต้าร์ เพลงเพื่อชีวิต" ของสำนักพิมพ์เอ็มไอเอส มาลองเขียนเป็นรูปแบบโน๊ตสากล (มีแก้ไขสองตำแหน่ง) โดยคงบันไดเสียงเดิมเอาไว้ โดยตัดช่วงที่เป็นท่อนบรรเลงออกไป เพลงนี้ท่อนที่ผมชอบคือท่อนท้ายของเพลงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ก็จะขอลาจากไป

ฝันนั้นล่องลอย    ดุจหิ่งห้อยแสงริบหรี่
ฝันนั้นยังมี     สิ่งสดใสในคืนเดือนดับ
รอตะวันรุ่งราง    จะลาลับไม่รบกวน
ยามคุณร้าวรัญจวน    ก็จะหวนแสงหิ่งห้อย
ลอยเรืองรอง     ในคืนข้างแรม

อีกเพลงหนึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง "โลกทั้งใบให้นายคนเดียว" ที่ฉายเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว โดยเพลงก็มีชื่อเดียวกับภาพยนต์ โน๊ตเพลงนี้นำโน๊ตตัวเลขมาจากหนังสือ "โน้ตคีย์บอร์ด คอร์ดกีต้าร์" ของสำนักพิมพ์เอ็มไอเอสเช่นกัน แต่มีการปรับบันไดเสียงเล็กน้อยคือลดลงหนึ่งขั้น จากเดิม G Major มาเป็น F Major และตัดท่อนที่เป็นการบรรเลงออกไป จังหวะที่ใส่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยจะลงตัวเท่าใดนัก อันที่จริงเพลงนี้มีทั้งเวอร์ชันที่ผู้หญิงร้อง (นุ๊ก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา) และผู้ชายร้อง (โดยเต๋า สมชาย เข็มกลัด) ทำนองเพลงเป็นแบบเดียวกัน แต่เนื้อร้องและจังหวะแตกต่างกันหน่อย และเนื้อร้องในส่วนของผู้ชายร้องจะเปลี่ยนจาก "นาย" เป็น "เธอ" และเช่นกัน เนื้อเพลงท่อนที่ผมชอบมากคือท่อนตอนจบของเพลงที่ร้องว่า

อย่าเลยอย่ารู้ว่าฉัน
ขาดเธอจะเป็นอย่างไร
แค่รู้ไว้
ว่าโลกทั้งใบ
จะให้เธอคนเดียว


วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โน๊ตเพลง "กำลังใจ" และ "ถึงเพื่อน" MO Memoir : Sunday 3 May 2558

เมื่อเดือนที่แล้วมีสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มถามว่าไม่มีโน๊ตเพลงเพื่อชีวิตบ้างหรือ อันที่จริงก็พอมีบ้างเหมือนกัน และเนื่องจากเห็นว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงเริ่มการสอบไล่ ก็เลยคัดเลือกมาให้ ๒ เพลง คือเพลง "กำลังใจ" และ "ถึงเพื่อน" เนื้อหาของทั้งสองเพลงนี้ต่างเป็นเพลงที่ให้กำลังใจแก่ผู้ฟังทั้งคู่
  
เพลงชื่อ "กำลังใจ" นี้มีอยู่ ๒ เพลงที่ชื่อเดียวกัน แต่เป็นคนละเพลงกัน ร้องโดยศิลปินเพื่อชีวิตทั้งสองเพลง ที่คัดเลือกมาคือเพลงที่ร้องโดยวงโฮป ผมชอบเวอร์ชันนี้เพราะเป็นการร้องคู่สลับกันระหว่างชาย-หญิง
  
โน๊ตต้นฉบับนำมาจากหนังสือ "โน๊ตคีย์บอร์ด ฉบับที่ 5 รวมเพลงเพื่อชีวิตยอดนิยม" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วรรณสาสน์ เล่มนี้ไปได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ต้นฉบับเป็นโน๊ตตัวเลข ผมลองนำมาเทียบกับเพลงที่เปิดฟังทาง YouTube แล้วใส่จังหวะเข้าไป มีการปรับแก้โน๊ตบางตัวที่คิดว่าในหนังสือนั้นอาจจะพิมพ์ผิด โน๊ตส่วนที่ขาดหายไปคือช่วงที่เป็น Intro และช่วงที่เป็นการบรรเลงระหว่างท่อน ซึ่งโน๊ตในหนังสือไม่มี แต่ในเพลงที่เปิดฟังนั้นมี ผมก็เลยไม่ได้นำมาลงเอาไว้ด้วย
  
ช่วงนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก ก็ฟังเพลงเพื่อชีวิตแบบเบา ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน


วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

โน๊ตเพลง "เติมใจให้กัน" และ "HOME" MO Memoir : Monday 13 April 2558

วันสงกรานต์ก็ขอเปลี่ยนมาเป็นเรื่องเบา ๆ บ้าง หลังจากเป็นเรื่องหนัก ๆ ให้คนอ่านได้ปวดหัวติดต่อกัน ๓ เรื่อง

"พริกขี้หนูกับหมูแฮม" เป็นภาพยนต์ที่ออกฉายเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๒ หรือเมื่อ ๒๖ ปีที่แล้ว ในภาพยนต์เรื่องนี้มีเพลงประกอบชื่อ "เติมใจให้กัน" ขับร้องโดยนักร้องชื่อ "มัม ลาโคนิค"
  
เพลงนี้มีการนำมาร้องซ้ำใหม่โดยนักร้องคนอื่น แต่ที่แปลกไปก็คือมีการเปลี่ยนเนื้อเพลงให้แตกต่างไปจากต้นฉบับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนที่เอามาร้องทีหลังจึงเปลี่ยนเนื้อร้องให้แตกต่างไปจากต้นฉบับ
 
อีกเพลงหนึ่งนั้นชื่อเป็นภาษาอังกฤษคือ "HOME" แต่เป็นเพลงไทย คนที่ร้องแล้วได้อารมณ์มากที่สุด (ตามความคิดเห็นของผม) คือ "ธีร์ ไชยเดช" อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงและรูปแบบการร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาก็ได้
  
โน๊ตเพลง "เติมใจให้กัน" และ "HOME" ที่นำมานี้ต่างดัดแปลงจากโน๊ตเปียโนทั้งคู่ โดยนำมาตัดให้ง่ายลงหน่อย มือใหม่อย่างผมจะได้พอเล่นได้บ้าง แม้ว่าจะมีการเป่าแล้วเสียงโน๊ตสูงยังเพี้ยนอยู่เป็นประจำก็ตาม โดยโน๊ตเพลง HOME นำมาเปลี่ยนบันได้เสียงให้ต่ำลงมาจาก D Major มาเป็น Bb Major
  
ที่เลือกสองเพลงนี้มาในวันนี้ก็เพราะชอบความหมายของเนื้อเพลงทั้งสอง เพลง "เติมใจให้กัน" นั้นให้ความรู้สึกที่ดีเวลาที่ต้องอยู่ห่างไกลกับใครสักคน (เช่นเวลาที่ต้องห่างจากแฟนเวลาที่ฝ่ายหนึ่งไปเรียนต่างประเทศ) ส่วนเพลง "HOME" นั้นให้ความรู้สึกที่ดีสำหรับคนที่มีบ้านเป็นของตนเอง (และต้องการใครสักคนมาใช้ชีวิตร่วมอยู่ในบ้านหลังนั้น)
  
(โน๊ตเพลง "เติมใจให้กัน" ต้นฉบับจากหนังสือ Easy Popular for Piano เล่ม 1 โดยผู้ใช้นามว่า Ottava ปีพ.ศ. ๒๕๔๓ โน๊ตเพลง "HOME" ต้นฉบับจากหนังสือ Easy Popular for Piano เล่ม 10 โดยผู้ใช้นามว่า Ottava เช่นกัน ปีพ.ศ. ๒๕๔๘ ทั้งสองเล่มผมไปซื้อมาจากร้านหนังสือ Books Kinokuniya ที่สยามพารากอนในราคาเล่มละ ๑๘๐ บาท)
  

 

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โน๊ตเพลง "สายชล" และ "เธอ" MO Memoir : Monday 23 February 2558

สองเพลงนี้ผมว่ามันเป็นเพลงที่กินกันไม่ลง (คือคงไม่สามารถบอกได้ว่าเพลงไหนเพราะกว่ากัน) เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือท่วงทำนอง บวกกับน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของร้อง รวมเข้าด้วยกันแล้วต่างถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า ๓๐ ปีแล้วก็ตาม
  
หนึ่งเพลงบรรยายถึงความรักที่ผิดหวัง และอีกหนึ่งเพลงที่บรรยายถึงความรักที่สมหวัง แต่ทั้งสองเพลงก็ออกมาในอัลบั้มชุดเดียวกัน ด้วยนักร้องคนเดียวกัน ที่เป็นผู้ประพันธ์และร้องเองทั้งสองเพลง
  
บทเพลง "สายชล" นั้นโน๊ตต้นฉบับที่ผมได้มามาจากสองที่มาก ที่มาแรกนั้นจำไม่ได้มานำมาจากไหน ได้มาแค่หน้าเดียว ขาดไปหนึ่หน้าไม่ครบเพลง และเป็นโน๊ตเสียงต่ำ อีกที่มาหนึ่งนั้นเป็นโน๊ตเสียงสูง ผมใช้ของที่มาอันหลังนี้เป็นตัวอ้างอิงและปรับเสียงให้ต่ำลงมา (จาก http://img.docstoccdn.com/thumb/orig/115701776.png)
  
บทเพลง "เธอ" นั้นผมนำโน๊ตต้นฉบับที่เป็นโน๊ตตัวเลขสำหรับคีย์บอร์ด จากหนังสือ "โน๊ตคีย์บอร์ดสเปเชียล" ของสำนักพิมพ์วรรณสาร มาลองใส่เป็นโน๊ตสากลดู (จังหวะถูกบ้างผิดบ้างก็อย่าว่ากันนะครับ) โดยนำมาปรับบันได้เสียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย

หลังจากออกอัลบั้มที่มีบทเพลงที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เธอก็แทบไม่ค่อยปรากฏในวงการแสดงเท่าใด ผมไปเห็นผลงานของเธออีกทีในรูปของหนังสือสำหรับเด็กที่ผมซื้อมาอ่านให้ลูกฟัง

ผมม้า แว่นตากรอบโต ๆ และน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เธอผู้นั้นคือ "จันทนีย์ อูนากูล"

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรียนตั้งหลายคน ไม่รู้เรื่องเลยสักคน (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๘๓) MO Memoir : Monday 8 December 2557

๓๐ ปีที่แล้วตอนที่เข้าเรียนวิศว ทั้งรุ่นมีประมาณ ๔๒๐ คน เกรดเทอมแรกออกมาปรากฏว่าติด "โปร" (คือได้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า ๒.๐๐ กันซะครึ่งคณะ ในขณะที่ผลการเรียนนิสิตปี ๑ ของคณะอื่นในมหาวิทยาลัยมีการกระจายตัวแบบ normal distribution curve จะมีแต่ของคณะวิศวที่แหละที่เป็น exponential decay (คือพวกที่เกรดต่ำ ๆ มีเยอะมาก ในขณะที่พวกที่ได้เกรดสูงแทบจะไม่มี) พวกที่เรียนจบภายในเวลา ๔ ปีก็มีเพียงแค่ประมาณ ๓๐๐ คนเห็นจะได้ (รุ่นผมทั้งรุ่นรวมกันทุกภาควิชามีเกียรตินิยมอันดับ ๑ เพียงแค่ ๗ คน และเกียรตินิยมอันดับ ๒ เพียงแค่ ๒๐ คนเศษ) ที่เหลือก็ทยอยกันจบในปีที่ ๕-๘ เรียกว่าใช้เวลาในมหาวิทยาลัยกันเต็มที่
  
วิชาพื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์ที่ทุกคนต้องเรียนก็ใช่ย่อย โดยเฉพาะวิชา Statics, Dynamic และ Mechanics of materials นี่สมัยผมเรียนก็เรียนแยกกันเป็น ๓ วิชา วิชาละ ๓ หน่วยกิต วิชาเหล่านี้แต่ก่อนถึงเวลาสอบก็มีข้อสอบอยู่ประมาณ ๖ ข้อ ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง เนื่องจากเป็นวิชาที่มีคนเรียนกันมาก คนสอนก็เลยมีมากไปด้วย ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่ ๆ (ก็เมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว) เคยได้ยินอาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเวลาออกข้อสอบทีอาจารย์หัวหน้าวิชาก็จะมอบหมายให้อาจารย์ให้อาจารย์ ๖ คนไปออกข้อสอบกันคนละข้อ โดยมอบหัวข้อไปให้ว่าให้ใครไปออกข้อสอบตรงเนื้อหาส่วนไหน
  
เรื่องมันก็สนุกตรงนี้แหละครับ แต่ละคนก็กลัวว่าข้อสอบที่ตัวเองออกมานั้นจะโดยเพื่อนฝูงเยาะเย้ยว่า กระจอกบ้าง ง่ายเกินไปบ้าง ฯลฯ ก็เลยสรรหาข้อสอบชนิดที่เรียกว่าจะให้เป็นสุดยอดในเรื่องนั้น ๆ มีอยู่ปีหนึ่งตอนที่ผมยังทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำห้องสอบไล่ของคณะ วันหนึ่งที่มีการสอบวิชาเหล่านี้ (จำไม่ได้ว่าเป็นวิชาอะไร จำได้แต่ว่ามีเพียง ๖ ข้อ) อาจารย์หัวหน้าวิชาก็และมาที่ห้องสอบไล่ ขอดูข้อสอบหน่อยว่าที่มอบหมายให้อาจารย์ผู้ร่วมสอนแต่ละท่านไปออกข้อสอบนั้น ข้อสอบออกมามีหน้าตาอย่างไรบ้าง
  
อาจารย์หัวหน้าวิชาแกเอาข้อสอบไปพลิกดูไปมาสักครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาว่า "กูยังทำไม่ได้เลย" อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ประจำภาควิชาเดียวกัน (ท่านเป็นนายทะเบียนคณะในขณะนั้น) ท่านก็เลยขอดูข้อสอบบ้าง พร้อมกับบอกว่าทำได้ ๒ ข้อ (จากทั้งหมด ๖ ข้อที่ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง) ก็เก่งแล้ว จากการฟังการสนทนาในวันนั้นก็เลยทำให้รู้ว่าวิชาเหล่านี้บางปีตัดเกรด C กันที่คะแนนไม่ถึง ๓๐ จากเต็ม ๑๐๐
  
เรื่องเด็กวิศวในสมัยนั้นจบมาเกรดต่ำก็เป็นเรื่องธรรมดา บางบริษัทที่กำหนดเกรดขั้นต่ำว่าผู้ที่จะรับเข้าทำงานต้องจบมาด้วยเกรดเฉี่ยไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐ ก็ยังมีปัญหากับภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ถึงขนาดจัดโปรโมชันให้กับภาควิชานี้มาแล้วก็มี คือกำหนดไว้ว่าสำหรับผู้จบการศึกษาสาขาใด ๆ ก็ตามเขาจะพิจารณาเฉพาะคนที่จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐ แต่ถ้าเป็นภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลจะกำหนดไว้เพียงแค่ ๒.๕๐
  
แล้วสำหรับวิศวกรรมเคมีล่ะ จำได้แต่ว่าปีที่ผมจบการศึกษานั้น มีบริษัททำงานทางด้านปิโตรเคมีเปิดใหม่หลายบริษัท และมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำไว้ด้วยว่าต้องไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐
  
แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ ก็ไม่มีใครไปสมัครเลย เพราะคนที่จบด้วยเกรดไม่ต่ำกว่านั้นรวมกันทุกสถาบันทั้งประเทศแล้วก็มีไม่เท่าไร แถมได้งานกันหมดแล้วด้วย สุดท้ายก็เลยมีการแก้ไขว่าจบด้วยเกรดเท่าไรก็ได้ขอให้ไปสมัครเถอะ เพื่อผมรายหนึ่งไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทดังกล่าวมาเล่าให้ฟังว่า ตอนสัมภาษณ์นั้นผู้สัมภาษณ์เขาบอกตรง ๆ เลยครับว่า "ผมลำบากใจที่จะรับคุณเข้าทำงาน เพราะเกรดคุณต่ำเหลือเกิน" แต่เขาก็ได้ทำงานที่บริษัทนั้นนะครับ คงเป็นเพราะว่าตอนเรียนหนังสือนั้นเขาได้เป็นถึง "หัวหน้านิสิตคณะวิศว"
  
คงเป็นเพราะเหตุนี้มั้งครับ สมัยก่อนจึงมักจะมีเพลงแปลงเนื้อที่บ่งบอกถึงความในใจของนิสิตวิศวอยู่หลายเพลง อย่างเพลงที่นำเนื้อร้องมาให้ดูในวันนี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่นำทำนองมาจากเพลง "หิ้วกระเป๋า" ที่ขับร้องโดย แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ ตอน ๔ โมงเย็นวันนี้เห็นนิสิตปี ๒ สองเทอร์โมเสร็จแล้วก็กลัวว่าจะเครียดกับข้อสอบ งั้นก็ขอเชิญมาพักผ่อนด้วยการร้องเพลงกันอีกสักเพลงจะเป็นไร เพลงนี้ผมก็เรียนมาจากรุ่นพี่ตอนเชียร์เย็นเช่นเดิมครับ



เพลง "หิ้วกระเป๋า" โดย แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์
https://www.youtube.com/watch?v=7qJgOWovWMg

เก็บหนังสือยัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาคอร์สเก่า คอร์สที่เคยเรียนมา
กุศลไม่พอ ขอไปเรียนเอาคอร์สหน้า F แม่งทุกวิชา ช่างมันเถอะหนาคอร์สนี้

อีกสามวันใบเกรดจะมา กลัวน้ำตานองหน้า อยู่ไปเห็นท่าไม่ดี
โปร ๆ ไทร์ ๆ ผมชอกช้ำใจทุกที ผมเดินออกจากที่นี้ ไม่มีจุดหมายปลายทาง

*โลกหมุนให้เรา เรียนกันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เราก็โดดทุกหน
เรียนตั้งหลายคน ไม่รู้เรื่องเลยสักคน อาจารย์ท่านบ่น ท่านหาว่าเราเป็นคนไม่ดี

หิ้วกระเป๋าก้าวลงบันได เดินก้มหน้าร้องไห้ ไม่รู้จะไปไหนดี
เดินไปเดินมา ถึงหน้าประตูบัญชี เจอรุ่นพี่พอดี ชวนพี่ไปก๊งเหล้าเลย

* ซ้ำ

หมายเหตุ :
  
๑. ผลสอบในแต่ละภาคการศึกษาของนิสิตแต่ละรายจะพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษขนาดเล็กกว่า A5 เล็กน้อยเรียกกันว่า "ใบเกรด" แต่ก่อนนิสิตจะต้องไปรับที่ทะเบียนคณะ

๒. เดิมตลาดสามย่านตั้งอยู่ตรงที่เป็นจตุรัสจามจุรีในปัจจุบัน นิสิตจะไปกินข้าวที่ตลาดสามย่านก็จะเดินออกทางประตูทางเดินให้คนออก เรียกกันว่าประตูบัญชี ซึ่งเป็นประตูสำหรับคนเดินที่เคยเปิดให้เดินเข้าออกระหว่างมหาวิทยาลัยกับจตุรัสจามจุรี ก่อนที่จะมีการทำประตูใหม่เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ช่องทางเดินเข้า-ออกมหาวิทยาลัยตรงกับประตูทางเข้าออกจตุรัสจามจุรี ที่ผมจำได้คือช่วงก่อนปี ๒๕๓๒ ตลาดสามย่านยังอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างคณะนิสิตศาสตร์ที่ปัจจุบันนี้เป็นที่ว่างโล่ง ก่อนจะย้ายอีกทีไปอยู่ทางด้านหลังสนามกีฬา ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน