แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การสอบ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การสอบ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เมื่อเหล็กร้อน MO Memoir : Sunday 4 December 2559

จำไม่ได้ว่าเป็นปีค.ศ. ไหนแน่ จำได้แต่ว่าเป็นช่วงต้นทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นช่วงที่เรียนอยู่ที่อังกฤษ ที่เห็นข่าวอดีตนักบินสายการบินพาณิชย์ของอังกฤษรายหนึ่งฆ่าตัวตาย เนื่องจากโดนกล่าวหาว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แม้ว่าเขาจะพยายามสู้คดีแล้วแต่ก็แพ้ไปในที่สุด
 
 
เหตุการณ์มันเกิดตอนที่เครื่องบินที่เขาเป็นกัปตันนั้นกำลังร่อนลงสู่สนามบิน ปรากฏว่าเครื่องบิน "บินเฉียง" กับแนวรันเวย์ แม้ว่านักบินจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ความปลอดภัยได้ นักบินอ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินอัตโนมัติของเครื่องบิน ไม่ใช่จากการควบคุมของเขา แต่คณะกรรมการสอบสวนก็สรุปว่าเป็นความบกพร่องของนักบิน (คือคอมพิวเตอร์ถูก นักบินผิด) และมีมติไล่นักบินออกจากงาน


เรื่องนี้คงไม่เป็นข่าวถ้าหากว่าหลังการฆ่าตัวตายของนักบินดังกล่าว มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีก กับสายการบินอีกแห่งหนึ่ง ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง และเมื่อนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน (คือแนวเส้นทางการบินลง) พบว่า "เหมือนกัน" (อันที่จริงระหว่างนั้นก็มีกรณีอื่นที่เหมือนกันเกิดขึ้นด้วย)
  
 
ในตอนนั้น (ตอนนี้เป็นอย่างไรผมไม่รู้นะ) การออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินนั้น จะใช้ทีมผู้เขียนโปรแกรม ๓ ทีมจาก ๓ บริษัทให้ทำการเขียนโปรแกรม การควบคุมจะอาศัยเสียงข้างมากคือ ๒ ใน ๓ (คือถ้าหากโปรแกรม ๒ โปรแกรมให้ข้อสรุปเหมือนกัน ก็ให้ทำตามข้อสรุปของ ๒ โปรแกรนั้นโดยไม่สนใจข้อสรุปของโปรแกรมที่ ๓) โดยมีข้อสมมุติว่าโอกาสที่ทีมเขียนโปรแกรมทั้ง ๓ ทีมจะทำผิดพลาดในเรื่องเดียวกันนั้นมีค่า "ต่ำมาก"
 
 
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีข้อสงสัยว่าข้อสมมุติดังกล่าว "ใช้ได้จริง" หรือไม่ ก็เลยมีผู้ทำการทดลองด้วยการใช้ทีมเขียนโปรแกรม ๓ ทีมจาก ๓ แหล่งให้มาเขียนโปรแกรมควบคุมทำงานเดียวกัน เพื่อที่จะดูว่าทั้ง ๓ ทีมมีโอกาสทำผิดพลาดเหมือนกันมากแค่ไหน ผลการทดลองปรากฏว่าทั้ง ๓ ทีมจะทำอะไรผิดพลาดที่ "เหมือนกัน" เหมือนกับว่ามีอยู่เพียงทีมเดียว ทั้งนี้ก็เพราะทั้งสามทีมนั้นต่าง "เรียนมาจากตำราเดียวกัน" นั่นเอง
 

เวลาที่นักเรียนทำข้อสอบแล้วพบว่ามีการทำผิดเหมือน ๆ กัน สิ่งแรกที่อาจารย์ทั่วไปมักจะคิดก็น่าจะเป็นมีการทุจริตในการสอบเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนี้มันก็น่าจะเกิดกับกลุ่มนิสิตที่นั่งสอบใกล้ชิดกัน แต่สำหรับความผิดพลาดที่เหมือนกันที่มาจากนักเรียนที่กระจายอยู่คนละที่กัน และที่สำคัญคือเป็นความผิดในเรื่องความเข้าใจพื้นฐานที่คิดว่าเรียนมาจนถึงระดับนี้แล้วน่าจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อย่างเช่นกรณีคำตอบที่ยกมาให้ดูในวันนี้ (ซึ่งคิดว่าไม่จำเป็นต้องทราบว่าคำถามถามว่าอะไร เอาเป็นว่าเป็นของนิสิตวิศวก็แล้วกัน) ตรงนี้ทำให้เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้น

เป็นไปได้ไหมครับที่เขาเหล่านั้นมีความเข้าใจพื้นฐานที่ไม่ดี หรือเขาเหล่านั้นใช้ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน แต่มันดันเป็นข้อมูลที่ผิด และเขาก็จำต่อ ๆ กันมาโดยไม่มีการพิจารณาตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมันถูกหรือผิด 


ในขณะที่ภาคการผลิต เน้นการควบคุม "คุณภาพ" ไปที่การตรวจสอบความถูกต้องของ "กระบวนการ" แต่ภาคการศึกษากลับเอาคำว่า "คุณภาพ" ไปผูกไว้กับ "ผลผลิต" โดยไม่ได้มีการพิจารณาว่าวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ผลผลิต" ที่จะนำมาใช้เป็นคะแนนประเมินนั้นได้มาโดยวิธีการที่ชอบหรือด้วยวิธีการที่สถาบันการศึกษาพึงปฏิบัติหรือไม่

 
ภาคอุตสาหกรรมนั้นสามารถกำหนดคุณภาพ "ขั้นต่ำ" ของวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตได้ วัตถุดิบอะไรที่มีคุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับ แต่ไม่ควรนำสิ่งนี้มาใช้กับภาคการศึกษาพื้นฐานในระดับโรงเรียน เพราะวัตถุประสงค์ของภาคการศึกษาในระดับโรงเรียนนั้นคือทุกคนต้องได้เรียนและได้มีการพัฒนาตนเอง ดังนั้นสิ่งที่ควรใช้ในการประเมินความสามารถของสถาบันการศึกษาระดับโรงเรียนจึงควรเน้นไปที่การ "พัฒนาการ" ของผู้เรียน แทนที่จะเน้นไปที่จำนวนนักเรียนที่สอบเข้าคณะที่คะแนนสอบเข้าสูง หรือจำนวนนักเรียนที่สอบได้ทุน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นว่าโรงเรียนที่มีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีคะแนนสอบสูงได้เยอะ มักเป็นโรงเรียนที่ไม่มีการพัฒนาผู้เรียนด้วยตนเอง แต่ใช้การดึงเอาผู้ที่เรียนเก่งที่ได้รับการพัฒนาจากที่อื่นมาเข้าเรียนในช่วงสั้น ๆ หรือไม่ก็เป็นโรงเรียนที่ไม่ให้นักเรียนของโรงเรียนตนเองที่คะแนนสอบระดับมัธยมต้นไม่ถึงเกณฑ์ ไม่ให้เรียนต่อในโรงเรียนตนเอง ตรงนี้แตกต่างจากการเรียนการสอนในสายวิชาชีพในระดับมหาวิทยาลัยนั้น เพราะแต่ละสาขาวิชาชีพจะมีมาตรฐานขั้นต่ำของตนเองอยู่ ดังนั้นการประเมินความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของสาขาวิชาชีพนั้นได้หรือไม่จึงเป็นเรื่องสำคัญ
 
ก่อนที่จะโทษผู้เรียน ควรต้องมาพิจารณาก่อนว่าเราประเมินโรงเรียนด้วยเกณฑ์อะไร และโรงเรียนประเมินครูผู้สอนด้วยเกณฑ์อะไร เราใช้เกณฑ์อะไรประเมินผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษา และเกณฑ์ดังกล่าวมันเปิดช่องให้ใช้วิธีการที่ระบบการศึกษาไม่ควรพึงปฏิบัติเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ เพราะโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นอะไรแบบนี้ ก็ไม่ได้คิดจะโทษผู้เรียน เพราะความไม่รู้ของผู้เรียนก็เป็นผลมาจากความไม่รู้ของผู้สอนนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรียนตั้งหลายคน ไม่รู้เรื่องเลยสักคน (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๘๓) MO Memoir : Monday 8 December 2557

๓๐ ปีที่แล้วตอนที่เข้าเรียนวิศว ทั้งรุ่นมีประมาณ ๔๒๐ คน เกรดเทอมแรกออกมาปรากฏว่าติด "โปร" (คือได้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า ๒.๐๐ กันซะครึ่งคณะ ในขณะที่ผลการเรียนนิสิตปี ๑ ของคณะอื่นในมหาวิทยาลัยมีการกระจายตัวแบบ normal distribution curve จะมีแต่ของคณะวิศวที่แหละที่เป็น exponential decay (คือพวกที่เกรดต่ำ ๆ มีเยอะมาก ในขณะที่พวกที่ได้เกรดสูงแทบจะไม่มี) พวกที่เรียนจบภายในเวลา ๔ ปีก็มีเพียงแค่ประมาณ ๓๐๐ คนเห็นจะได้ (รุ่นผมทั้งรุ่นรวมกันทุกภาควิชามีเกียรตินิยมอันดับ ๑ เพียงแค่ ๗ คน และเกียรตินิยมอันดับ ๒ เพียงแค่ ๒๐ คนเศษ) ที่เหลือก็ทยอยกันจบในปีที่ ๕-๘ เรียกว่าใช้เวลาในมหาวิทยาลัยกันเต็มที่
  
วิชาพื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์ที่ทุกคนต้องเรียนก็ใช่ย่อย โดยเฉพาะวิชา Statics, Dynamic และ Mechanics of materials นี่สมัยผมเรียนก็เรียนแยกกันเป็น ๓ วิชา วิชาละ ๓ หน่วยกิต วิชาเหล่านี้แต่ก่อนถึงเวลาสอบก็มีข้อสอบอยู่ประมาณ ๖ ข้อ ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง เนื่องจากเป็นวิชาที่มีคนเรียนกันมาก คนสอนก็เลยมีมากไปด้วย ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่ ๆ (ก็เมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว) เคยได้ยินอาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเวลาออกข้อสอบทีอาจารย์หัวหน้าวิชาก็จะมอบหมายให้อาจารย์ให้อาจารย์ ๖ คนไปออกข้อสอบกันคนละข้อ โดยมอบหัวข้อไปให้ว่าให้ใครไปออกข้อสอบตรงเนื้อหาส่วนไหน
  
เรื่องมันก็สนุกตรงนี้แหละครับ แต่ละคนก็กลัวว่าข้อสอบที่ตัวเองออกมานั้นจะโดยเพื่อนฝูงเยาะเย้ยว่า กระจอกบ้าง ง่ายเกินไปบ้าง ฯลฯ ก็เลยสรรหาข้อสอบชนิดที่เรียกว่าจะให้เป็นสุดยอดในเรื่องนั้น ๆ มีอยู่ปีหนึ่งตอนที่ผมยังทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำห้องสอบไล่ของคณะ วันหนึ่งที่มีการสอบวิชาเหล่านี้ (จำไม่ได้ว่าเป็นวิชาอะไร จำได้แต่ว่ามีเพียง ๖ ข้อ) อาจารย์หัวหน้าวิชาก็และมาที่ห้องสอบไล่ ขอดูข้อสอบหน่อยว่าที่มอบหมายให้อาจารย์ผู้ร่วมสอนแต่ละท่านไปออกข้อสอบนั้น ข้อสอบออกมามีหน้าตาอย่างไรบ้าง
  
อาจารย์หัวหน้าวิชาแกเอาข้อสอบไปพลิกดูไปมาสักครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาว่า "กูยังทำไม่ได้เลย" อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่ประจำภาควิชาเดียวกัน (ท่านเป็นนายทะเบียนคณะในขณะนั้น) ท่านก็เลยขอดูข้อสอบบ้าง พร้อมกับบอกว่าทำได้ ๒ ข้อ (จากทั้งหมด ๖ ข้อที่ให้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง) ก็เก่งแล้ว จากการฟังการสนทนาในวันนั้นก็เลยทำให้รู้ว่าวิชาเหล่านี้บางปีตัดเกรด C กันที่คะแนนไม่ถึง ๓๐ จากเต็ม ๑๐๐
  
เรื่องเด็กวิศวในสมัยนั้นจบมาเกรดต่ำก็เป็นเรื่องธรรมดา บางบริษัทที่กำหนดเกรดขั้นต่ำว่าผู้ที่จะรับเข้าทำงานต้องจบมาด้วยเกรดเฉี่ยไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐ ก็ยังมีปัญหากับภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ถึงขนาดจัดโปรโมชันให้กับภาควิชานี้มาแล้วก็มี คือกำหนดไว้ว่าสำหรับผู้จบการศึกษาสาขาใด ๆ ก็ตามเขาจะพิจารณาเฉพาะคนที่จบมาด้วยเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐ แต่ถ้าเป็นภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลจะกำหนดไว้เพียงแค่ ๒.๕๐
  
แล้วสำหรับวิศวกรรมเคมีล่ะ จำได้แต่ว่าปีที่ผมจบการศึกษานั้น มีบริษัททำงานทางด้านปิโตรเคมีเปิดใหม่หลายบริษัท และมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำไว้ด้วยว่าต้องไม่ต่ำกว่า ๒.๗๐
  
แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ ก็ไม่มีใครไปสมัครเลย เพราะคนที่จบด้วยเกรดไม่ต่ำกว่านั้นรวมกันทุกสถาบันทั้งประเทศแล้วก็มีไม่เท่าไร แถมได้งานกันหมดแล้วด้วย สุดท้ายก็เลยมีการแก้ไขว่าจบด้วยเกรดเท่าไรก็ได้ขอให้ไปสมัครเถอะ เพื่อผมรายหนึ่งไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทดังกล่าวมาเล่าให้ฟังว่า ตอนสัมภาษณ์นั้นผู้สัมภาษณ์เขาบอกตรง ๆ เลยครับว่า "ผมลำบากใจที่จะรับคุณเข้าทำงาน เพราะเกรดคุณต่ำเหลือเกิน" แต่เขาก็ได้ทำงานที่บริษัทนั้นนะครับ คงเป็นเพราะว่าตอนเรียนหนังสือนั้นเขาได้เป็นถึง "หัวหน้านิสิตคณะวิศว"
  
คงเป็นเพราะเหตุนี้มั้งครับ สมัยก่อนจึงมักจะมีเพลงแปลงเนื้อที่บ่งบอกถึงความในใจของนิสิตวิศวอยู่หลายเพลง อย่างเพลงที่นำเนื้อร้องมาให้ดูในวันนี้ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่นำทำนองมาจากเพลง "หิ้วกระเป๋า" ที่ขับร้องโดย แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ ตอน ๔ โมงเย็นวันนี้เห็นนิสิตปี ๒ สองเทอร์โมเสร็จแล้วก็กลัวว่าจะเครียดกับข้อสอบ งั้นก็ขอเชิญมาพักผ่อนด้วยการร้องเพลงกันอีกสักเพลงจะเป็นไร เพลงนี้ผมก็เรียนมาจากรุ่นพี่ตอนเชียร์เย็นเช่นเดิมครับ



เพลง "หิ้วกระเป๋า" โดย แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์
https://www.youtube.com/watch?v=7qJgOWovWMg

เก็บหนังสือยัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาคอร์สเก่า คอร์สที่เคยเรียนมา
กุศลไม่พอ ขอไปเรียนเอาคอร์สหน้า F แม่งทุกวิชา ช่างมันเถอะหนาคอร์สนี้

อีกสามวันใบเกรดจะมา กลัวน้ำตานองหน้า อยู่ไปเห็นท่าไม่ดี
โปร ๆ ไทร์ ๆ ผมชอกช้ำใจทุกที ผมเดินออกจากที่นี้ ไม่มีจุดหมายปลายทาง

*โลกหมุนให้เรา เรียนกันชั่วครู่ชั่วคราว แต่เราก็โดดทุกหน
เรียนตั้งหลายคน ไม่รู้เรื่องเลยสักคน อาจารย์ท่านบ่น ท่านหาว่าเราเป็นคนไม่ดี

หิ้วกระเป๋าก้าวลงบันได เดินก้มหน้าร้องไห้ ไม่รู้จะไปไหนดี
เดินไปเดินมา ถึงหน้าประตูบัญชี เจอรุ่นพี่พอดี ชวนพี่ไปก๊งเหล้าเลย

* ซ้ำ

หมายเหตุ :
  
๑. ผลสอบในแต่ละภาคการศึกษาของนิสิตแต่ละรายจะพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษขนาดเล็กกว่า A5 เล็กน้อยเรียกกันว่า "ใบเกรด" แต่ก่อนนิสิตจะต้องไปรับที่ทะเบียนคณะ

๒. เดิมตลาดสามย่านตั้งอยู่ตรงที่เป็นจตุรัสจามจุรีในปัจจุบัน นิสิตจะไปกินข้าวที่ตลาดสามย่านก็จะเดินออกทางประตูทางเดินให้คนออก เรียกกันว่าประตูบัญชี ซึ่งเป็นประตูสำหรับคนเดินที่เคยเปิดให้เดินเข้าออกระหว่างมหาวิทยาลัยกับจตุรัสจามจุรี ก่อนที่จะมีการทำประตูใหม่เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ช่องทางเดินเข้า-ออกมหาวิทยาลัยตรงกับประตูทางเข้าออกจตุรัสจามจุรี ที่ผมจำได้คือช่วงก่อนปี ๒๕๓๒ ตลาดสามย่านยังอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างคณะนิสิตศาสตร์ที่ปัจจุบันนี้เป็นที่ว่างโล่ง ก่อนจะย้ายอีกทีไปอยู่ทางด้านหลังสนามกีฬา ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เขียนไว้ เพื่อเตือนใจตนเอง (๑) MO Memoir : Tuesday 5 August 2557

"เราเก็บความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันตลอดช่วงเวลา ๓ ปีที่ผ่านมา ให้มันคงอยู่ต่อไปตลอดกาลจะดีกว่าไหม"

นั่นเป็นประโยคที่ผมมักจะบอกกับนิสิตของภาควิชา ที่เข้ามาสอบถามผมเรื่องการเรียนต่อปริญญาโท ว่าผมมีหัวข้อทำวิจัยเรื่องอะไรบ้าง และผมก็จะบอกกับนิสิตเหล่านั้นไปว่า เรื่องความรู้ ความสามารถ ของพวกคุณนั้น ผมไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เชื่อมั่นในฝีมือ เพราะเห็นหน้ากันมาตลอด ๓ ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าภาควิชา แต่การเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอกนั้นมันแตกต่างกัน เวลาเรียนปริญญาตรี ถ้าไม่ชอบหน้าอาจารย์ผู้สอน ก็หลบหน้าได้ ย้ายไปเรียนห้องอื่นก็ได้ แต่พอมาเป็นระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกแล้ว จะจบหรือไม่จบนั้น เรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาเพียงคนเดียว
  
เห็นมาหลายรายแล้วด้วยว่า พอเรียนจบเมื่อใด ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ไม่จำเป็นถึงที่สุดก็ไม่อยากเจอหน้า บางรายถึงขั้นเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อไม่ให้อาจารย์ที่ปรึกษาติดต่อได้ (แต่เขากลับมาแจ้งหมายเลขใหม่ของเขาให้ผมทราบ และยังเล่น Facebook กับผมอยู่)
  
และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีนิสิตปริญญาโทบางราย (ที่ไม่ได้เรียนกับผม) มาเปรย ๆ กับผมว่า  เขาเข้าใจความหมายของประโยคที่ผมเคยบอกเขาเมื่อสองปีก่อนหน้านั้นแล้ว

การสอนนิสิตปริญญาตรีนั้นเรียกว่าเป็นการให้ความรู้แก่นิสิต โดยนิสิตต้องสอบผ่านเกณฑ์ของวิชาต่าง ๆ นั้นให้ได้ ตัวอาจารย์เองไม่ได้ผลงานอะไรจากการสอบผ่านของนิสิต ไม่ได้อะไรจากข้อสอบที่นิสิตทำได้หรือไม่ได้ (นิสิตเยอะก็ต้องตรวจข้อสอบเยอะไปด้วย) ได้แต่เพียงภาระงานสอนเท่านั้น นิสิตสอบตกก็ต้องกลับมาให้อาจารย์สอนใหม่ ตกเยอะ ๆ ก็เป็นภาระให้อาจารย์ต้องเปิดคอร์สตาม (จะในภาคการศึกษาถัดมา หรือภาคฤดูร้อนก็ตามแต่) ให้กับนิสิตที่ตกอีก
  
แต่การสอนปริญญาโท-เอกนั้น อาจารย์ได้ประโยชน์จากผลงานที่นิสิตเป็นผู้ลงมือทำ ยิ่งมีนิสิตทำงานให้มาก ก็ยิ่งมีโอกาสมีผลงานมาก ยิ่งมีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งทางวิชาการมากขึ้น ไม่ได้ประเมินที่จำนวนนิสิตจบ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักเห็นการเอาเกณฑ์การจบ (ที่อาจจะสูงกว่า) สำหรับนิสิตปริญญาเอกมาใช้กับนิสิตปริญญาโทของตัวเอง และเพิ่มเกณฑ์การจบขึ้นมาเองตามความพอใจ สำหรับนิสิตปริญญาเอกของตนเอง

ผมเคยตั้งคำถามนี้ในที่ประชุมหน่วยงานผู้ชอบแจกจ่ายทุนให้อาจารย์ไปหานิสิตเรียนปริญญาเอกช่วยทำวิจัย โดยดูที่จำนวนpaper ที่อาจารย์เคยตีพิมพ์และสัญญาว่าจะตีพิมพ์เป็นหลักในการให้ทุน ผมตั้งคำถามว่า ผมไม่รู้ว่านิสิตที่จบปริญญาโดยมีบทความวิชาการตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศนั้น เขา "โง่" หรือ "ฉลาด" และอาจารย์ผู้นั้นทำถูกต้องหรือไม่ เพราะตามระเบียบการศึกษานั้น (ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของวิชาด้วยว่าเป็นสายวิทย์หรือศิลป) การจบปริญญาเอกนั้นใช้เพียงแค่บทความวิชาการตีพิมพ์วารสารวิชาการระดับนานาชาติเพียงแค่ "๑ ฉบับ" เท่านั้น โดยไม่สนด้วยว่านิสิตจะมีชื่ออยู่ตรงไหนของบทความ ดังนั้นถ้าหากผลงานวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาโทผู้นั้นตีพิมพ์เป็นบทความได้ ก็ควรที่จะให้เขาได้รับปริญญาเอกไปเลย คำถามที่ผมสงสัยก็คือนิสิตคนดังกล่าวรู้หรือไม่ว่าเขาโดนอาจารย์ของเขานำเอาเงื่อนไขการจบระดับปริญญาเอกมาใช้กับเขา และไปเพิ่มจำนวนบทความ (ทำเองโดยไม่มีระเบียบรองรับ) ที่เขาต้องทำเพื่อใช้จบปริญญาเอก
  
คำถามดังกล่าวผมไม่ได้รับคำตอบ แต่ในใจตอนนั้นคิดว่ายังดีนะ ที่ไม่คลั่ง paper กันถึงขนาดกำหนดให้ senior project ต้องมีการตีพิมพ์บทความวิชาการในวารสารวิชาการนานาชาติ (แต่ตอนนี้ก็เห็นมีเกิดขึ้นแล้ว)
  
ผมเคยบอกกับผู้ที่มีได้ชื่อว่าเป็นนักวิจัยอาวุโสผู้หนึ่งว่า ในมุมมองของผม การสอนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่การตั้งเกณฑ์การจบให้สูงกว่ามาตรฐาน การที่เกณฑ์บอกว่าต้องการเพียงแค่บทความเดียวเพื่อสำเร็จการศึกษา แต่อาจารย์ที่ปรึกษาไปตั้งเองว่าต้องไม่ต่ำกว่า ๓ นั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้จบ ผมถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ ไม่ใช่สิ่งที่คนที่เรียกตนเองว่า "อาจารย์" พึงกระทำ เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ แต่ถ้านิสิตเขาอยากทำเพิ่มขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับหรือกดดัน แต่มันเกิดจากความต้องการของเขาเอง นั่นถือว่าการสอนประสบความสำเร็จ เพราะผู้สอนนั้นสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในศาสตร์สาขานั้น
  
ตัวอย่างวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนขยันเรียนที่เห็นได้ชัดคือการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี ระเบียบกลาง (ที่ทุกมหาวิทยาลัยใช้ร่วมกันและปฏิบัติเหมือนกันหมด) กำหนดไว้เพียงแค่ถ้าผลการเรียนเฉลี่ยของทุกวิชารวมกัน (โดยเรียนผ่านทุกวิชา) ได้ไม่ต่ำกว่า ๒.๐๐ ก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้ แต่เขาใช้การกระตุ้นด้วยการกำหนดผลการเรียนเฉลี่ยที่สูงขึ้นไปอีก ที่จะทำให้ได้คำว่า "เกียรตินิยม" ปรากฏในใบปริญญาบัตรด้วย (ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะกำหนดที่ใด)

นิสิตเป็นคนรับทุน ไม่ใช่อาจารย์ ดังนั้นถ้านิสิตเรียนไม่จบ นิสิตต้องเป็นผู้ชดใช้ทุน ไม่ใช่อาจารย์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นว่านิสิตที่ "เผลอ" รับทุนเข้ามาแล้ว โดยคิดว่าจะจบได้ตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย กลับต้องมาเจอกับเกณฑ์การจบตามความพึงพอใจของอาจารย์ ต้องระทมทุกข์แค่ไหนกว่าจะเรียนจบ โดยเฉพาะพวกที่โดยใช้ให้ทำผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน เพื่อให้อาจารย์มีผลงานเอาไปอวด แต่นิสิตเองไม่มีเวลาที่จะดูหนังสือสอบ Qualify พอสอบ Qualify ไม่ผ่านก็ต้องพ้นสภาพนิสิต ทุนที่รับมาก็ต้องชดใช้ (อาจารย์ไม่เกี่ยว) ส่วนผลงานที่ทำไปก่อนหน้านั้นคนทำก็เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่อาจารย์ยังเอาไปใช้ขอความดีความชอบของตัวเองได้อยู่
  
ผมเคยบอกกับนิสิตเหล่านี้ว่า ความก้าวหน้าในอาชีพของนักวิจัยที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนบทความตีพิมพ์ที่มีชื่อเขา ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนนิสิตที่ทำบทความให้เขา ถ้าเขากำหนดขึ้นมาว่าถ้าไม่ได้ ๑๐ papers จะไม่ให้จบ คุณฝืนทำไปได้แค่ ๙ papers แล้วโดดตึกตาย อาจารย์เขาก็ยังเอา ๙ papers ที่คุณทำไว้ก่อนหน้านั้นไปขอความดีความชอบได้ เรื่องการตายของคุณมันไม่ส่งผลอะไรต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขา หรือคุณทำได้ ๙ papers แล้วทนอยู่ต่อไม่ไหวต้องลาออกไป อาจารย์เขาก็เอา ๙ papers นั้นไปของความดีความชอบได้เช่นกัน ส่วนคุณก็ต้องไปชดใช้ทุนที่คุณได้รับมา อาจารย์เขาไม่ต้องเสียอะไรซักบาท
  
และที่สำคัญนั้น ในหลาย ๆ ทุนนั้น อาจารย์เขาได้เงินค่า "ที่ปรึกษา" ให้กับนิสิตเป็นรายเดือนด้วย ยิ่งเขามีนิสิตหลายคนเขาก็ยิ่งได้เงินตรงนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ (หลายรายอยู่ในหลักแสนต่อเดือน) ส่วนเขาจะให้คำปรึกษาหรือไม่นั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่นิสิตเรียนไม่จบนิสิตก็ต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่แหล่งทุนให้ แต่ตัวอาจารย์เองไม่ต้องคืนเงินที่รับมาทุกเดือนนะ

ด้วยเหตุนี้ผมจึงมักเปรย ๆ กับนิสิตหลายรายที่มาปรึกษากับผมว่า "ก่อนลงนามรับทุน อ่านสัญญาให้ดีก่อน"

ด้วยเหตุนี้เวลาที่มีนิสิตที่สนใจจะทำวิจัยระดับปริญญาโทกับผม และมีโอกาสมาพบกับผมก่อนการสอบ ผมจะบอกกับเขาเสมอว่าให้หาโอกาสไปคุยกับนิสิตคนที่กำลังเรียนอยู่กับผมก่อน เพราะจะได้รู้นิสัยการทำงานของผมว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้านิสัยการทำงานไม่ตรงกันมันจะวุ่น เครียดทั้งสองฝ่าย คนที่ไม่ชอบคิด ชอบทำตามคำสั่ง ก็ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่สั่งอย่างเดียว ส่วนคนที่ชอบคิดก็ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่เปิดโอกาสให้เขาแสดงความคิดเห็นและทดสอบความคิดของเขา
  
ผมไม่เคยเห็นอาจารย์คนไหนที่เป็นคนที่ "ดี" ในสายตานิสิตทุกคน หรือเป็นคนที่ "เลว" ในสายตานิสิตทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนโท-เอกนั้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนิสิตกับอาจารย์ ดังนั้นทั้งสองฝั่งต้องมีรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกันมันถึงจะอยู่ได้อย่างราบรื่น
  
มีนิสิตจำนวนไม่น้อยต้องไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งที่ไม่ได้คาดหวังเอาไว้เมื่อมาเรียนก็คือ อาจารย์ไม่ได้สนใจเลยว่าการทำงานของเขาประสบปัญหาอย่างไรบ้าง เขาขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดบ้าง ปล่อยให้ทำงานตามยถากรรม อาจารย์ที่ปรึกษาสนอยู่อย่างเดียวคือนิสิตมีผลแลปให้เขาตีพิมพ์ paper หรือส่งบริษัทที่รับทุนทำวิจัยหรือเปล่าแค่นั้นเอง
  
เคยมีนิสิตที่มีปัญหาเรื่องผลการทดลอง (โดยเฉพาะผลการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ) ไม่เป็นไปตาม "ความต้องการ" ของอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา มาขอคำปรึกษากับผม และที่แย่ก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาไม่รับฟังความคิดเห็นของเขา หรือให้คำปรึกษาใด ๆ บอกแต่เพียงอย่างเดียวว่าไปทำมาให้ได้ (ผลตามที่เขาต้องการ) แค่นั้นเอง
  
ผมก็ถามเขากลับไปว่า (แบบพูดทีเล่นทีจริงว่า) จริงหรือเปล่าที่อาจารย์ของคุณเขาไม่สนใจเลยว่าคุณจะทำการทดลองอย่างไร ไม่เคยมาดูเลยว่าคุณทำการทดลองอย่างไร รอฟังผลอยู่ที่ห้องทำงานหรือเวลาประชุมกลุ่มเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมคุณไม่เปลี่ยน "วิกฤต" ให้เป็น "โอกาส" ล่ะ ด้วยการ "เขียน" ผลแลปให้เขาตามที่เขาต้องการเลย
  
ดูเหมือนว่าจะมีอยู่หลายรายเหมือนกันที่ทำตามที่ผมบอกข้างต้น ทำให้จบแบบ happy ending ไปทั้งสองฝ่าย คือนิสิตได้รับปริญญา ส่วนอาจารย์ก็ได้บทความไปขอความดีความชอบ
  
แต่ที่ผมคิดไม่ถึงก็คือ เคยมีนิสิตรายหนึ่งมาปรึกษากับผมเรื่องทำนองนี้ ผมก็บอกเขาไปตามย่อหน้าข้างต้น เขาก็ไม่ทำตาม (ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี) แต่อาจารย์เขาทนไม่ไหว เลยบอกให้เขาทำอย่างที่ผมบอกข้างต้นซะเอง จะได้เขียน paper ได้สักที ส่วนอาจารย์รายนั้นจะทำอย่างนี้กับนิสิตรายอื่นของเขาหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ
  
เรื่องมันควรจะจบแค่นี้ถ้าหากว่าไม่มีการนำเอา "ผลการทดลอง" นั้นไปนำเสนอต่อบริษัทเพื่อขอทุนวิจัย แต่พอมีการเอาไปนำเสนอขอทุนวิจัยจากบริษัท เรื่องมันก็เลยแดงขึ้นมา เพราะไม่มีใครสามารถทำซ้ำผลการทดลองตามที่ได้ตีพิมพ์ในบทความนั้นได้ จะติดต่อนิสิตคนที่เขียนบทความนั้นก็ติดต่อไม่ได้ (ถึงได้เขาก็ไม่กลับมาให้เห็นหน้าหรอก) คนที่ซวยคือคนที่มารับช่วงงานต่อ เพราะไม่สามารถทำซ้ำ (สิ่งที่เรียกว่า) "ผลการทดลอง" ของคนก่อนหน้าได้

ตรงนี้ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงในการเป็นกรรมการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่ง ที่ตรวจพบว่าตัวเลขที่นำมาแสดงนั้นมีความขัดแย้งกัน สาเหตุเป็นเพราะระเบียบวิธีการทดลองนั้น "ใช้ไม่ได้" (มันไม่ได้เพียงแค่ผิดพลาดที่ทำให้ผลมันคลาดเคลื่อน แต่มันไม่ถูกต้องกับการทดลองนั้นเลย) นอกจากนี้ยังพบว่าตัวเลขบางตัวที่ปรากฏนั้นเป็นค่าที่ "คิดเองว่า" มันต้องเป็นเช่นนั้น ปัญหาตรงนี้เกิดจากอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีประสบการณ์การทำการทดลอง และไม่ได้สนใจว่าการทดลองจะเป็นอย่างไร ขอให้มีตัวเลขก็พอ นิสิตต้องไปออกแบบการทดลองเอง จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เรียกได้ว่าได้ทำการทดลอง โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของวิธีการ ขอเพียงแค่มีตัวเลขก็พอแล้ว
  
สำหรับผมแล้ว ถ้าระเบียบวิธีการทดลองนั้นผิดพลาด ผมแลปก็ไม่ต้องพิจารณาใด ๆ แล้ว (จะดูมันทำไปอีกกับตัวเลขที่ไม่มีความน่าเชื่อถือใด ๆ) ผมเองให้คะแนนสอบเป็น "ตก" แต่นิสิตคนนั้นก็ผ่านการสอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากจากกรรมการ ที่เห็นว่าเขามีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติถึง ๓ บทความ
  
กรรมการสอบนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันได้นะครับ หลายครั้งที่ผมต้องไปนั่งเป็นประธานกรรมการสอบนิสิตปริญญาโท แล้วพบว่าสอบไปสอบมากลายเป็นว่าจะให้นิสิตนั้นต้องทำงานเพิ่มอีก ไม่ใช่นั้นไม่ให้จบ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีผลงานตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการนานาชาติเพิ่มได้อีก จนผมในฐานะประธานต้องเข้าแทรกว่า ตรงนี้มันเป็นเงื่อนไขการจบปริญญาเอก ไม่ใช่ปริญญาโท และขณะนี้เรากำลังสอบนิสิตปริญญาโท ดังนั้นต้องใช้เกณฑ์มาตรฐานของนิสิตปริญญาโทมาใช้ในการสอบ และเมื่อนิสิตขอสอบปกป้องวิทยานิพนธ์นั้นแสดงว่าทั้งตัว "อาจารย์ที่ปรึกษา" และ "นิสิต" เองเห็นว่าผลงานนั้น "เพียงพอ" และ "เหมาะสม" แล้วสำหรับวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท แต่การแก้ไขเพิ่มเติมเล็กน้อยนั้นยังพอทำได้อยู่ จะให้ทำตรงไหนก็บอกมาเลย จะได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในผลการสอบว่าต้องทำตามเงื่อนไขนี้ก่อนจึงจะให้ผ่าน แต่ถ้าคิดว่ายังขาดโน่นขาดนี่อีกเยอะ ก็ต้องให้สอบตกไปเลย (หรือไม่ก็ยกเลิกการสอบ ถ้านิสิตยังมีเวลาเหลือเรียนต่อ) และช่วยให้เหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่าทำไมถึงให้ตก เพื่อที่เวลามีการร้องเรียนจะได้ตรวจสอบย้อนหลังได้
  
เมื่อการประเมินอาจารย์สนใจแต่เพียง "Output" มันก็ไม่แปลกที่จะมีการ "บิดเบือนกระบวนการ" ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ output ออกมาให้ได้มากที่สุด โดยไม่สนใจว่าการกระทำเพื่อให้ได้ output นั้นมันเป็นการกระทำที่มี "คุณธรรม" และถูกต้องตามหลัก "จริยธรรม" หรือไม่

ผมว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการสอน "คุณธรรมและจริยธรรม" ให้แก่นิสิตก็คือ

"ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง"

ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อ "เตือนใจตนเอง" ว่า สิ่งใดที่ได้ประสบมาและเห็นว่ามันไม่ดี ไม่เหมาะสมนั้น ก็อย่าพึงกระทำ การกระทำสิ่งใดทั้ง ๆ ที่เห็นว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีนั้น มันแย่ยิ่งกว่าการทำโดยไม่รู้อีก และเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้กับคนที่อ่อนประสบการณ์ (เช่นผมเมื่อเข้ามาทำงานใหม่) จะได้รับรู้ว่าผลประโยชน์เฉพาะตนที่คนอื่นหยิบยื่นให้ตรงหน้านั้น มันมีผลเสียระยะยาวในด้านอื่นอย่างไร ที่ผมขึ้นเลข (๑) กำกับไว้ที่หัวเรื่องก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่จะเขียนอีก แต่ฉบับนี้เห็นว่าบ่นมายาวมากพอแล้ว ก็ต้องขอพักไว้ก่อน

เคยมีอาจารย์ในภาควิชามาปรึกษาหารือกับผมว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถชักจูงให้นิสิตของภาควิชาสนในเรียนต่อที่ภาควิชาให้มากขึ้น จะได้มีเด็กดี ๆ มาช่วยเป็นแขนขาทำงานวิจัยให้อาจารย์ ผมก็ตอบเขากลับไปว่า

"เราเคยมีช่วงเวลานั้น แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นมันผ่านไปแล้ว"

และผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นช่วงเวลาเช่นนั้นกลับคืนมาอีกครั้งก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการ

(รูปนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่อง เป็นเพียงแค่รูปตู้หนังสือในห้องทำงาน เอามาใส่เล่น ๆ เพราะเห็นหน้ากระดาษมันว่างอยู่)

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

สรุปผลการสอบวันจันทร์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๔ MO Memoir : Monday 11 April 2554

แม้ว่าการสอบเมื่อเช้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ถือได้ว่าการสอบของสาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงผ่านไปด้วยดี ส่วนที่เหลือคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ คาดว่าภายในสัปดาห์แรกหลังสงกรานต์ทุกอย่างก็คงจะเสร็จสิ้น

Memoir ฉบับนี้ก็เลยขอสรุปประเด็นคำถามที่สำคัญบางประเด็นที่เกิดขึ้นในห้องสอบมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้คนที่ไม่สามารถเข้าร่วมรับฟังกันการสอบได้ ได้รับทราบกัน


. การล้าง Cl-

ตัวเร่งปฏิกิริยาของเรานั้น เมื่อเตรียมเสร็จแล้วเราต้องการให้มีไอออนอยู่เพียง ๓ ชนิดเท่านั้น กล่าวคือเป็นไอออนบวก ๒ ตัวได้แก่ Si4+ และ Ti4+ และไอออนลบ ๑ ตัวได้แก่ O2-

O2- นั้นอาจเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นในระหว่างการเกิดเป็นผลึก หรือเกิดจากการเผา เช่นเมื่อเราเผาหมู่ OH- หรือ NO3- หรือเกลือของกรดอินทรีย์ เช่น CH3COO- หมู่เรานี้จะสลายตัว (ส่วนที่สลายตัวจะกลายเป็นแก๊สออกไป) กลายเป็น O2- ได้

แต่ในกรณีของหมู่ Cl- นั้น เราไม่สามารถเผาไล่หมู่ Cl- ให้เป็นไอระเหยออกไป ดังนั้นเราจำเป็นต้องล้างหมู่ดังกล่าวออกให้หมดในระหว่างการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยา

ส่วน Na+ ที่ใส่เข้าไปในตอนเตรียมนั้น ก็ถูกล้างออกไปด้วย


. การล้างด้วย HNO3

การล้างด้วยกรด HNO3 นั้นเป็นการล้างสารประกอบ (เช่นออกไซด์บางชนิด) ที่ไม่ใช่ตัวเร่งปฏิกิริยาหลักที่เราต้องการ (TS-1)

สารประกอบเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาข้างเคียงที่เราไม่ต้องการ หรือเกิดจากสารปนเปื้อนที่มีอยู่ในสารตั้งต้นที่เราใช้ทำปฏิกิริยา หรือปนเปื้อนจากตัวอุปกรณ์เอง

ในงานที่ผ่านมานั้นเราพบว่าการล้างด้วยกรด HNO3 ไม่ได้ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยา TS-1 ของเราเสื่อมสภาพแต่อย่างไร (โครงสร้าง SiO2 มันทนต่อกรดอยู่แล้ว ยกเว้นแต่จะใช้กรดกัดแก้ว) แต่กลับทำให้ได้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากตัวเร่งปฏิกิริยาพื้นที่ผิวมากขึ้น โดยกรด HNO3 เข้าไปชะล้างสารประกอบออกไซด์ที่ไปอุดตันอยู่ตามรูพรุนของ TS-1 ออกไป ทำให้รูพรุนเหล่านั้นเปิดออก พื้นที่ผิวจึงเพิ่มมากขึ้น


. ผลของความเร็วรอบการปั่นกวน

ความเร็วรอบการปั่นกวนส่งผลต่อความเร็วในการละลายเข้าไปในเฟสน้ำของเบนซีน

ถ้ากวนช้าเบนซีนก็จะใช้เวลานานกว่าที่จะละลายเข้าไปในเฟสน้ำจนอิ่มตัว ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเป็นเหมือนการใส่กาแฟสักช้อนลงไปในน้ำร้อน ถ้าเราไม่ทำการกวนน้ำนั้น กาแฟก็สามารถละลายเข้าไปในน้ำจนหมดได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าการใช้ช้อนกวนน้ำ


. การมีแผ่น baffle

สำหรับผู้ที่เรียนเรื่องถังปั่นกวนนั้น จะเรียนกันมาว่าการมีแผ่น baffle ในถังปั่นกวนจะช่วยให้การผสมกันนั้นดีขึ้น แต่การมีแผ่น baffle นั้นเหมาะแก่การผสมของเหลวต่างชนิดกันให้ละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ในกรณีของการปั่นกวนของเหลวที่มีของแข็งแขวนลอยอยู่นั้น (เช่นในกรณีของเราที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาแขวนลอยอยู่ในชั้นน้ำ การติดตั้งแผ่น baffle จะทำให้เกิดมุมอับที่อนุภาคของแข็งสามารถจะไปตกตะกอนสะสมอยู่ ทำให้ของแข็งเหล่านั้นไม่ได้ถูกกวนผสมในเฟสของเหลว


. ค่า conversion ของ H2O2

ที่ถูกต้องนั้นเราต้องบอกว่าเป็นค่า conversion ของH2O2 ไปเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์ (conversion of H2O2 to organic product(s)) ซึ่งในกรณีของเรานั้นมีอยู่เพียงผลิตภัณฑ์เดียวคือฟีนอล

ในภาวะที่ไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา H2O2 เป็นสารที่สลายตัวได้อย่างช้า ๆ ที่อุณหภูมิสูงขึ้นก็สลายตัวได้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภายในเวลาการทำปฏิกิริยา ๒ ชั่วโมงมันจะสลายตัวไปจนหมด (ลองคิดดูว่าขวดที่ใช้อยู่นั้นซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร ปัจจุบันก็ยังมีความเข้มข้นประมาณได้ว่าเท่าเดิม)

เนื่องจากเราถือว่า H2O2 เป็นสารตั้งต้นที่ไม่สามารถนำกลับ (recycle) มาใช้ใหม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เรามองก็คือทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้ H2O2 ที่ใส่เข้าไปใน reactor ให้ได้มากที่สุด

ตัวอย่างเช่นถ้าเราได้ค่า conversion ของ H2O2 เป็น 30% H2O2 ส่วนที่เหลืออีก 70% นั้นไม่ว่าจะยังคงเหลืออยู่โดยไม่สลายตัว หรือสลายตัวไปจนหมด ก็ถือว่ามีค่าเท่ากัน เพราะถึงแม้เหลืออยู่ก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้


. Calibration curve

ประเด็นที่กรรมการสอบยกมานั้นเป็นประเด็นที่สำคัญที่ผมต้องยอมรับว่าคาดไม่ถึงเหมือนกัน

กล่าวคือในการแสดงผลตัวเลขของ Excel นั้นเราสามารถกำหนดความละเอียดของค่าที่แสดงได้

ตัวอย่างเช่นถ้าเรากำหนดให้ไม่ต้องแสดงจุดทศนิยม ให้แสดงเป็นเลขจำนวนเต็มเท่านั้น ถ้าหากค่าที่แท้จริงนั้นเป็นค่าที่มีจุดทศนิยม เครื่องก็จะทำการปัดเศษให้เป็นเลขจำนวนเต็มที่ใกล้ที่สุด เช่นตัวเลขในช่วง 1.51-2.49 จะถูกปัดเป็น 2

นั่นคือถ้าเครื่องแสดงผลออกมาเป็น 2 (ไม่มีจุดทศนิยม) แต่ว่าตัวเลขที่เป็นจริงนั้นอาจเป็นได้ตั้งแต่ 1.51-2.49 ซึ่งทำให้ผลการคำนวณนั้นผิดพลาดไปได้ถึง 25%

แต่ถ้าเครื่องแสดงผลออกมาเป็น 2.0 (มีทศนิยม 1 ตำแหน่ง) แสดงว่าตัวเลขที่เป็นจริงนั้นอาจเป็นได้ตั้งแต่ 1.95-2.04 ซึ่งค่าความคลาดเคลื่อนจะอยู่ประมาณ 2.5%

ดังนั้นตรงจุดนี้สิ่งที่ต้องกลับไปตรวจสอบคือค่าตัวเลขถ้าให้ความละเอียดถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 2 นั้นจะเป็นเท่าไร และคงต้องทำการคำนวณค่า conversion กันใหม่อีกที

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีคัดเลือกผู้สมัครเข้าเรียนต่อโท-เอก MO Memoir : Thursday 1 July 2553

เปิดภาคการศึกษาใหม่ได้เพียงยังไม่ถึงเดือน ปรากฏว่าเทศกาลประชาสัมพันธ์หลักสูตรหาผู้สมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอกก็เริ่มกันแล้ว Memoir ฉบับนี้ก็เลยขอเล่าเรื่องความเป็นมาของวิธีการคัดเลือกผู้สมัครเข้าเรียนต่อต่อโท-เอกของภาควิชาเรานั้นว่ามีที่มาอย่างไร และมีเหตุผลใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนมีรูปแบบดังปัจจุบัน


พวกคุณอาจสงสัยว่าทำไมถึงต้องเล่าให้ฟังทั้ง ๆ ที่พวกคุณก็ได้เข้ามาเรียนแล้ว เหตุผลการมีอยู่หลายประการด้วยกัน อย่างแรกก็คือเป็นการบันทึกเรื่องราวประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของผมให้พวกคุณได้รับทราบ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกคุณในอนาคต อย่างที่สองก็คือเป็นการแก้ไขข่าวลือต่าง ๆ ที่มีผู้ปล่อยออกมาเป็นระยะ ทั้งจากในภาควิชาเองและจากนอกภาควิชา และอย่างที่สามก็คือเพื่อให้ผู้ที่สนใจจะเข้ามาเรียนต่อที่นี้ ได้ทราบวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนต่อ (ถ้าบังเอิญเขาแวะมาอ่านบทความนี้ใน blog ของกลุ่มนะ)

ภาควิชาของเรานั้นรับผู้สมัครที่จบทางสาขาวิศวกรรมเคมี (ที่เราเรียกว่านิสิตสายตรง) และผู้ที่จบทางด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขาอื่นและผู้จบทางด้านวิทยาศาสตร์ (ที่เราเรียกว่านิสิตสายอ้อม) ในยุคแรกของการรับสมัครนั้นจะใช้การสอบข้อเขียนเพื่อคัดเลือก ซึ่งจะสอบกันสองวิชาคือคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ โดยการออกข้อสอบนั้นจะใช้กรรมการกลางเป็นคนออกข้อสอบ จากนั้นจึงนำเอาผู้สอบผ่านข้อเขียนมาเข้ารับการสอบสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่งโดยใช้กรรมการกลางเป็นคนสัมภาษณ์เช่นเดียวกัน จำนวนที่จะรับจะมีการกำหนดเป็นตัวเลขเอาไว้ และเมื่อได้นิสิตใหม่เข้ามาแล้ว นิสิตใหม่จะต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะทำวิทยานิพนธ์ด้วยภายในระยะเวลาที่กำหนด (คือ ๒ ปี) ไม่เช่นนั้นจะต้องพ้นสภาพนิสิตไป

วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่ในสมัยนั้นใคร ๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ และในปัจจุบันก็อาจกล่าวได้ว่าส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) ก็ยังทำแบบนี้อยู่ แต่ในภาควิชาของเรานั้นพบว่าวิธีการดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาหลายประการ

ปัญหาประการแรกคือการออกข้อสอบที่ไม่เป็นกลาง โดยเฉพาะในส่วนของวิชาคณิตศาสตร์ กล่าวคือเราประกาศรับสมัครผู้จบจากหลากหลายสาขาวิชา ดังนั้นข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์จึงควรเป็นข้อสอบที่ทุกสาขาวิชาที่ประกาศรับสมัครนั้นได้เรียนมาเหมือนกัน (จะว่าไปแล้วควรเป็นระดับเพียงแค่คณิตศาสตร์ปี ๑ เท่านั้นเอง) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกรรมการผู้ออกข้อสอบนั้นจบมาทางด้านวิศวกรรมเคมี และบ่อยครั้งที่ผู้ออกข้อสอบออกข้อสอบซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ทางวิศวกรรมเคมี (หรือวิศวบางสาขา) เท่านั้นที่ใช้ ทำให้ผู้ที่จบมาทางด้านสาขาอื่นไม่สามารถทำข้อสอบเหล่านั้นได้เพราะไม่ได้เรียนมา ตรงนี้อาจมีคนแย้งว่า "ก็ในเมื่อเราต้องการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาต่อทางด้านวิศวกรรมเคมี ทำไมจะออกข้อสอบรูปแบบเช่นนี้ไม่ได้"

ข้อโต้แย้งดังกล่าวนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะไปขัดกับประกาศรับสมัครที่บอกว่ารับผู้จบทางด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขาอื่นและวิทยาศาสตร์ด้วย ถ้าต้องการผู้สมัครที่มีความรู้โดดเด่นทางด้านวิศวกรรมเคมีเท่านั้นก็ควรไประบุไว้ที่ประกาศรับสมัครเลยว่ารับเฉพาะผู้ที่จบทางด้านวิศวกรรมเคมีเท่านั้น การไปประกาศว่ารับทุกสาขาแต่ท้ายสุดแล้วกลับออกข้อสอบให้ผู้สมัครที่จบมาทางสาขาที่ไม่ใช่วิศวกรรมเคมีทำข้อสอบไม่ได้มันเหมือนกับไปหลอกให้เขามาสมัครเพื่อเอาเงินค่าสมัคร แล้วใช้การออกข้อสอบที่เขาทำไม่ได้เพื่อให้เขาสอบตกไป ดังนั้นจึงมีอยู่หลายครั้งที่การคัดเลือกผู้สอบผ่านข้อเขียนจึงต้องใช้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว หรือถ้าผู้สมัครเข้ามามีจำนวนไม่มากก็จะให้ผ่านการสอบข้อเขียนทุกคน
แต่ในท้ายที่สุดแล้วเราก็ยกเลิกการสอบข้อเขียนด้วยเหตุผลที่จะอธิบายต่อไป

ปัญหาประการที่สองคือเกณฑ์ผ่านการสอบสัมภาษณ์ของกรรมการกลาง ซึ่งต้องยอมรับกันว่ามันไม่มีมาตรฐาน เป็นเพียงแค่ความพอใจหรือมุมมองของกรรมการแต่ละคน ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย (หรือที่เรียกว่าเอนทรานซ์นั้น) ถ้ากรรมการสอบชุดแรกให้ผู้เข้าสอบผ่านการสอบก็จะไม่มีปัญหาใด แต่ถ้าจะให้ผู้เข้าสอบนั้นไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์ กรรมการสอบชุดแรกจะต้องเขียนเหตุผลแสดงรายละเอียดว่าทำไมถึงไม่ให้ผ่าน และส่งต่อให้กรรมการชุดใหญ่พิจารณาและเรียกผู้เข้าสอบนั้นมาสอบใหม่อีกครั้งกับกรรมการชุดใหม่อีกชุด เพื่อตรวจสอบเหตุผลของกรรมการชุดแรกว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาว่าผู้สมัครผู้นั้นผ่านการสอบสัมภาษณ์หรือไม่

การรับผู้เข้าศึกษาต่อระดับโท-เอกนั้นจะยากกว่าการรับผู้เข้าศึกษาต่อป.ตรีตรงที่ เรื่องที่จะเรียนหรือทำวิจัยในระดับโท-เอกนั้นมีความหลากหลายมาก ขึ้นกับอาจารย์แต่ละคน ดังนั้นอาจารย์แต่ละคนจึงมีความต้องการนิสิตที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน การสอบสัมภาษณ์โดยใช้กรรมการกลางจึงเป็นการสอบที่มองจากมุมมองของกรรมการกลางแต่ละคนเท่านั้น ตรงนี้จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาว่ามีการบ่นจากอาจารย์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ว่าทำไมจึงให้คนนี้สอบผ่านมาได้ ส่วนคนที่น่าจะรับเข้ามากลับสอบไม่ผ่าน

ปัญหาประการที่สามคือจำนวนนิสิตที่จะรับไม่ตรงกับความต้องการของอาจารย์ในแต่ละปีและก็บอกไม่ได้ว่าทำไปจึงประกาศรับไปเท่านั้น กล่าวคือบางปีอาจารย์อาจมีหัวข้อทำวิจัยมาก แต่จำนวนที่รับเข้ามาไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็มีการบ่นว่าทำไปรับมาน้อย บางปีอาจารย์ก็ไม่ค่อยอยากทำงานหรือไม่ก็ไม่มีหัวข้อวิจัย ก็เลยไม่ค่อยอยากรับนิสิต ทำให้นิสิตหาอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้ ก็มีคนบ่นอีกว่าทำไปรับเข้ามาเยอะ (ทั้ง ๆ ที่รับเข้ามาเท่ากับปีก่อนหน้า) ดังนั้นใครเป็นคนรับเข้ามาก็ต้องรับผิดชอบหาหัวข้อให้นิสิตเหล่านั้น เรียกว่ากรรมการสอบคัดเลือกโดนด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง

สุดท้ายทางภาควิชาก็เลยมีมติยกเลิกการสอบข้อเขียน เหลือแต่เพียงการสอบสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว ภาควิชาทำหน้าที่เพียงแค่งานธุรการเกี่ยวกับการประกาศรับสมัคร การเตรียมการสอบ และการส่งผลสอบเท่านั้น จำนวนนิสิตที่จะรับใช้วิธีสอบถามความต้องการของอาจารย์แต่ละคน และนำตัวเลขเหล่านั้นมารวมกัน ส่วนการสอบสัมภาษณ์นั้นอาจารย์คนไหนอยากได้นิสิตแบบไหนก็ให้มาสอบสัมภาษณ์เอง จะได้ไม่ต้องบ่นเรื่องคุณภาพนิสิต ถ้าไม่มาสอบสัมภาษณ์หรือไม่ฝากให้อาจารย์คนอื่นสอบแทน แล้วไม่ได้นิสิตเข้ามาทำวิจัยด้วยก็อย่าว่ากัน พอคัดเลือกนิสิตได้แล้วก็ส่งชื่อให้กับภาควิชาเพื่อเดินเรื่องงานธุรการประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านต่อไป ส่วนอาจารย์คนนั้นก็ต้องรับนิสิตที่ตัวเองส่งรายชื่อนั้นไปทำวิจัยด้วย

เราใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาสามประการที่กล่าวมาข้างต้นอยู่หลายปี แต่ท้ายสุดก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีก ทำให้ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบการคัดเลือกใหม่ ปัญหาดังกล่าวคือ "รูปแบบการสอนของอาจารย์และรูปแบบการเรียนที่นิสิตต้องการนั้นมันไม่ตรงกัน" หรือที่ผมมักเรียกว่า "ความถี่ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนไม่ตรงกัน" และปัญหาเรื่อง "ไม่ชอบหัวข้อทำวิจัย"

กล่าวคือหลังจากที่เปลี่ยนมาใช้การสอบสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว ในช่วงเช้าของวันสอบสัมภาษณ์ก็จะให้ผู้สมัครเข้ามารับทราบข้อมูลว่าแต่ละกลุ่มวิจัยหรืออาจารย์แต่ละคนนั้นทำวิจัยเรื่องอะไรอยู่ และรับนิสิตเข้าทำวิจัยกี่คน จากนั้นก็จะทำการสอบสัมภาษณ์ในช่วงบ่าย ผลที่ตามมาคือผู้สมัครนั้นไม่มีเวลาที่จะพิจารณาข้อมูลที่ได้รับหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม จำนวนไม่น้อยที่เลือกกลุ่มวิจัยโดยดูจากจำนวนที่กลุ่มนั้นรับเป็นหลัก กล่าวคือถ้ากลุ่มไหนรับมากก็จะเลือกกลุ่มนั้น (เพราะคิดว่ามีโอกาสได้สูง) แทนที่จะเลือกจากหัวข้อที่ตนเองชอบ แต่งานนี้จะไปโทษผู้สมัครก็ไม่ได้ เพราะเสียเงินค่าสมัครสอบมาแล้ว ยังไงก็ต้องหาทางเข้าเรียนให้ได้ก่อน ปัญหาที่จะเกิดตามมาค่อยแก้กันทีหลัง ขืนไปเลือกหัวข้อที่ตนเองชอบแต่มีการรับเข้าน้อยมาก โอกาสได้เรียนต่อก็จะต่ำ เหมือนกับเสียเงินค่าสมัครไปฟรี ๆ (เรื่องการหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะเลือกเรียนด้วยที่จัดเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ขอยกไปเป็นหัวข้อ Memoir ต่างหากที่จะออกเป็นฉบับต่อไป)

สุดท้ายเราก็เลยแก้ปัญหาด้วยการจัดการส่งอาจารย์ออกไปประชาสัมพันธ์หลักสูตรและจัดงาน "เปิดบ้าน" หรือที่นิยมเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Open House" เพื่อให้ผู้สนใจเข้าสมัครได้มีเวลาสืบหาข้อมูล ได้พบกับผู้ที่เรียนอยู่แล้วและอาจารย์ผู้สอน และมีเวลาพิจารณาตัดสินใจเลือกกลุ่มวิจัยที่จะเรียนด้วย

การจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตรและจัดงาน Open House นั้นเรียกว่าแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของนิสิตที่อาจารย์รับเข้าไป และรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างอาจารย์กับนิสิตได้เยอะเหมือนกัน (แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่นะ คอยอ่านต่อในเรื่องการหาอาจารย์ที่ปรึกษาก็แล้วกัน) แต่ต่อมาก็มีผู้ที่ไม่พอใจกับรูปแบบดังกล่าว เพราะมันไปทำให้ "เกรดเฉลี่ย" ของนิสิตที่รับเข้ามาทั้งหมดนั้นมันดูไม่ดี

กล่าวคือในช่วงแรก ๆ นั้นเรารับผู้ที่จบปริญญาตรีด้วยเกรดเฉลี่ย ๒.๐๐ ขึ้นไป (ก็ทุกคนที่จบนั่นแหละ) อาจารย์บางคนก็ดูเกรดเพียงอย่างเดียว (คือเลือกเกรดสูงไว้ก่อน หรือไม่ก็เลือกเกรดต่ำไว้ก่อน) บางคนก็ดูสถาบันที่ผู้สมัครจบมากกว่าเกรด บางคนก็ดูหลาย ๆ อย่างรวมกัน ซึ่งทำให้เราได้นิสิตที่จบมาด้วยเกรดป.ตรีหลากหลายมาก (ตั้งแต่ ๒.๐๐ ไปจนถึงเกียรตินิยมอันดับ ๑) ทีนี้เวลาที่ผู้บริหารเขาเอาไปคุยข่มกัน หรือเอาไปโฆษณาคนข้างนอก หรือเวลาที่เขาประเมินการทำงานของผู้บริหาร เขาก็จะคุยช่มกันว่าคนที่มาเรียนกับเขานั้นมีเกรดเฉลี่ยสูงเท่านั้นเท่านี้ (แต่ไม่ยอมบอกว่ากำหนดเกรดขั้นต่ำที่จะรับสมัครอยู่ที่ใด หรือรับทั้งหมดกี่คน) ก็เลยมีการคิดหาวิธีทำให้ค่าเกรดเฉลี่ยของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามานั้นสูงขึ้น และวิธีการง่าย ๆ ก็คือการกำหนดเกรดป.ตรีขั้นต่ำที่จะสมัครได้

ปีแรกที่มีการกำหนดเกรดนั้น ก็มีการคัดค้านกันอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ออกมาทำนองเป็นว่าขอให้ลองใช้ดูก่อนแล้วค่อยปรับแก้กันอีกที การเพิ่มเกรดขั้นต่ำครั้งแรกนั้นตั้งไว้ที่ ๒.๗๕ ผลที่ตามมาก็คือ "เกรดเฉลี่ย" ของผู้ที่รับเข้ามานั้นสูงขึ้น มีการคุยกันใหญ่ว่าผลงานของเขาทำให้ได้นิสิตคุณภาพสูงขึ้น แต่เกรดเฉลี่ยที่สูงขึ้นนั้นก็สูงกว่าสมัยที่กำหนดเกรดเฉลี่ยขั้นต่ำไว้ที่ ๒.๐๐ เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังไม่สามารถรับนิสิตได้ครบจำนวนตามต้องการ (ดูเหมือนว่าจะขาดไปประมาณ ๒๐-๓๐ คน) ทำให้ต้องมีการเปิดรับเพิ่มในภาคการศึกษาปลาย สุดท้ายก็ต้องนำเอาเกรดขั้นต่ำมาพิจารณากันใหม่ ก่อนที่จะได้ข้อสรุปอยู่ตรงที่ ๒.๕๐ ดังเช่นปัจจุบัน

ตอนนี้ได้ยินคนปล่อยข่าวว่าระบบนี้ทำให้ได้นิสิตที่มีคุณภาพไม่ดีเพราะไม่มีการสอบข้อเขียน จริง ๆ แล้วนิสิตที่รับเข้ามานั้นจะมีคุณภาพอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้รับ เพราะเป็นคนรับเข้ามาเอง ตัวเองเลือกคนมีคุณภาพไม่ตรงความต้องการของตัวเองแล้วไปโทษระบบได้อย่างไร พอโต้แย้งตรงนี้ไม่ขึ้นก็ไปโวยต่อว่าผลการเรียนวิชาต่าง ๆ นั้นออกมาไม่ดี ซึ่งการที่นิสิตมีผลการเรียนออกมาไม่ดีนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่โยนความผิดทั้งหมดไปที่นิสิต และอีกอย่างคืออาจารย์ผู้สอนก็ต้องรับผิดชอบผลการเรียนที่ให้แก่นิสิตแต่ละคน ถ้าคิดว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะสอบผ่านก็ต้องให้เขาสอบตก หรือถ้าต้องพ้นสภาพนิสิตก็ต้องยอมรับความจริงเพื่อการควบคุมคุณภาพ (แต่ต้องชี้แจงได้นะว่าการสอบนั้นเป็นการสอบที่มีมาตรฐาน เทียบเคียงกับก่อนหน้าได้ ไม่ใช่ใช้ความไม่พอใจส่วนตัวแกล้งนิสิต) ไม่ใช่ให้เหตุผลว่าต้อง "จำใจให้ผ่าน" เพราะกลัวว่าจะมีปัญหา ตรงนี้ถ้าคิดว่าการให้นิสิตสอบตกนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกต้องแน่นอนแล้วทำไมจึงต้องกลัวว่าจะมีปัญหา

ฉบับต่อไปจะเล่าเรื่องการเลือกอาจารย์ที่ปรึกษา เผื่อว่าพวกคุณมีน้อง ๆ หรือเพื่อน ๆ สนใจจะมาเรียนต่อที่ภาควิชานี้ จะได้ให้คำแนะนำที่อาจเป็นประโยชน์แก่เขาได้

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

สอบจบแล้ว MO Memoir : Friday 23 April 2553

ก็ขอแสดงความยินดีกับทั้ง ๓ คนที่สอบปกป้องวิทยานิพนธ์ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้ก็คงเหลือแต่การแก้ไขรูปเล่มกับการทำการทดลองเพิ่มเติมเล้กน้อยตามที่กรรมการสอบเสนอแนะ


ในส่วนของผู้เรียนนั้นถือได้ว่าการสอบวิทยานิพนธ์เป็นการสอบวัดผลการเรียน ซึ่งเมื่อสอบผ่านก็ถือว่าการเรียนสิ้นสุดลงแล้ว

แต่ในส่วนของผู้สอนนั้นผมถือว่าการสอบวิทยานิพนธ์เป็นการเริ่มต้นการวัดผลการสอน ซึ่งเมื่อผู้เรียนสอบผ่านก็จะเป็นการวัดผลผู้สอนว่าการสอนที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร


เมื่อวันพุธที่ผ่านมามีคนถามผมในที่ประชุมว่า มีนิสิตของภาควิชามาสมัครเรียนต่อโท-เอกด้วยหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่ามีเหมือนกัน และผมก็บอกนิสิตเหล่านั้นว่า ในด้านความสามารถในการเรียนต่อแล้วผมไว้ใจพวกเขา เพราะสอนมากับมือเป็นเวลาถึง ๓ ปี แต่การสอนระดับปริญญาตรีกับระดับโท-เอกนั้นไม่เหมือนกัน ความขัดแย้งระหว่างนิสิตและอาจารย์นั้นค่อนข้างจะสูง (ถ้านิสัยการทำงานไม่เหมือนกัน) ผมก็บอกนิสิตป.ตรีที่เข้ามานั่งคุยด้วยไปตรง ๆ ว่า บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าเราเก็บความรู้สึกดี ๆ ตลอดช่วงเวลา ๓ ปีที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป ดีกว่าจะมาขัดแย้งกันในระหว่างการเรียนต่ออีก ๒ ปี ซึ่งมันสามารถทำลายความรู้สึกดี ๆ ใน ๓ ปีก่อนหน้านั้นจนหมด จนทำให้ไม่อยากมองหน้ากันไปตลอดชีวิต

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงต้องให้คนที่อยากมาเรียนกับผม ควรที่จะต้องไปพูดคุยกับผู้ที่ทำงานกับผมก่อน เพื่อให้ทราบนิสัยการทำงานของผม ถ้าคิดว่าจะทำงานเข้าด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ควรมาเรียนด้วยกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใด ๆ ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจไม่มาเรียน ซึ่งผมถือว่าเป็นการดีต่อกันทั้งสองฝ่าย


การเรียนระดับโท-เอกนั้นจะจบหรือไม่จบสามารถพูดได้ว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาเพียงคนเดียว เมื่อนิสิตได้เข้าเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนใดแล้วก็มักกังวลว่าถ้าไม่ทำตามที่อาจารย์สั่ง (แม้ว่าตัวเองจะไม่ชอบก็ตาม) หรือแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับอาจารย์ที่ปรึกษา ก็อาจโดนอาจารย์ที่ปรึกษากลั่นแกล้งให้ไม่จบได้ ดังนั้นตัวนิสิตเองก็ต้องทนจำยอมรับสภาพไปจนกว่าอาจารย์ลงลายมือชื่อในเอกสารการสอบที่เกี่ยวข้องจนครบถ้วน

และเมื่อนิสิตได้ลายมือชื่อจากอาจารย์ครบถ้วนและส่งเอกสารทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย อาจารย์ผู้สอนก็จะทราบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบนิสิตกับอาจารย์ นิสิตนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับตัวอาจารย์ผู้สอน

พวกคุณอาจเห็นผมโดยบังเอิญในที่ใดที่หนึ่งสักแห่ง แล้วเดินเข้ามาทักหาย (แบบเต็มใจ) หรือเมื่อเห็นผมแล้วก็เดินหลีกไปเพราะไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากพูดคุยด้วยอีกแล้ว


ความรู้สึกไม่ดีที่นิสิตมีต่อผมนั้น ผมนำกลับมาคิดพิจารณาเสมอ ถ้าผมคิดว่าสิ่งที่บอกให้เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ไปทำให้เขาไม่ชอบหน้าผมชนิดที่เรียกว่าจบแล้วก็ไม่อยากเจอหน้ากันอีกเลย ผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลย (ที่ผ่านมานั้นผมเคยบอกให้พวกคุณทำในสิ่งใดที่ไม่ดีบ้างหรือเปล่า) แต่ถ้าสิ่งที่บอกให้ทำนั้นเป็นความผิดพลาดของผมเอง ก็จะนำกลับมาแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับรุ่นถัดไป


ขอให้พวกคุณที่ผ่านการสอบแล้วได้มีชีวิตที่เป็นสุขต่อไป ขอให้โชคดีทุกคน