แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสาเข็ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสาเข็ม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก Project Design Questionnaire ตอนที่ ๒ MO Memoir : Tuesday 3 March 2558

ผมจบมาทางด้านวิศวกรรมเคมี แต่ตอนจบใหม่ ๆ ต้องไปทำงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี เลยทำให้ต้องไปเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากความรู้เฉพาะทางที่เรียนมาจากในภาควิชา อันที่จริงเรื่องราวที่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมนั้นก็ได้อาศัยพื้นฐานที่เรียนมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีปี ๑ ปี ๒ คือมันอยู่ในวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกคนต้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านวัสดุศาสตร์ที่เรียนทั้งโลหะ (เน้นเหล็กเป็นหลัก) คอนกรีต และพลาสติก การขึ้นรูปชิ้นงานที่มีทั้งงานช่างฝีมือ งานกลึงและหล่อโลหะ รวมทั้งความรู้ทางด้านกลศาสตร์ (ไม่ว่าจะเป็นสถิตยศาสตร์วิศวกรรม (Engineering Static) พลศาสตร์วิศวกรรม (Engineering Dynamics) หรือกลศาสตร์ของวัสดุ (Mechanics of Materials)) วิชาเขียนแบบ รวมไปถึงวิชาพวกไฟฟ้ากำลัง การเรียนนั้นมีทั้งหาซื้อตำรามาอ่านเอง เรียนรู้ด้วยการสอบถามวิศวกรรุ่นพี่ และประเภทครูพักลักจำ
  
ที่ต้องเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนก็เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปมันไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับงานวิศวกรเคมีเท่าใดนัก แต่เห็นว่าวิศวกรเคมีที่ทำงานออกแบบนั้นควรจะต้องมีความรู้เอาไว้บ้าง จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองออกแบบบนคอมพิวเตอร์หรือบนกระดาษนั้น สุดท้ายมันสามารถสร้างได้จริงหรือไม่ ดังนั้นเนื้อหาที่เขียนแม้ว่าจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ก็ยังอาจมีผิดพลาดได้ (ขอออกตัวไว้ก่อน) และคงไม่สามารถเขียนลงลึกลงไปในศาสตร์ทางด้านนั้นได้

ต่อไปเป็นหน้า Page 6 of 21 ในหัวข้อ 3.0 CIVIL WORK ที่เป็นงานโยธา


คำถามแรกเลยที่ปรากฏคือความสามารถในการรับน้ำหนักของพื้นดิน ตรงนี้มันเกี่ยวข้องกับการออกแบบฐานราก ตามด้วยคำถามเกี่ยวกับร้อยละการเพิ่มขึ้นของค่าความเร็วลมและแผ่นดินไหวเหนือค่าเฉลี่ย
  
จากนั้นเข้าสู่เรื่องฐานรากด้วยคำถามเกี่ยวกับความลึกที่น้อยที่สุดของฐานราก (ลึกมากกว่านั้นไม่เป็นไร) และถ้ามีการใช้เสาเข็ม (pile) จะออกแบบให้รับน้ำหนักได้เท่าใด ใช้ชนิดไหน ความยาวเท่าใด (คือความลึกที่จะจมลงไปในชั้นดิน) ส่วนจะเป็นเข็มตอก (driven pile) หรือเข็มเจาะ (bore pile) ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ก่อสร้างและการออกแบบ เสาเข็มทำหน้าที่รับน้ำหนักของโครงสร้างที่อยู่เหนือพื้นดินและถ่ายลงสู่พื้นดิน หน้าที่หลักของเสาเข็มคือรับแรงในแนวดิ่ง แต่อาจต้องรับแรงในแนวข้างได้ถ้าหากพื้นดินมีการเคลื่อนตัวในแนวราบ เช่นเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เรื่องเสาเข็มนี้เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๗๓ วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "เก็บตกจากงานตอกเสาเข็ม" (ก็เกือบครบปีแล้วซินะ)
  
หน่วย kips เป็นหน่วยเก่า บางทีก็เขียนเป็น kip เท่ากับน้ำหนัก 1000 ปอนด์ (lb) (หรือครึ่งหนึ่งของ short ton โดยที่ 1 short ton = 2000 ปอนด์) ถ้าแปลงเป็นหน่วย SI ก็จะได้ว่า (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Kip_(unit))
  
1 kip = 4448.2216 newtons (N) = 4.4482216 kilonewtons (kN)
  
เวลาของที่ของแข็งอยู่ในของไหลจะมีแรงลอยตัวเทียบเท่ากับน้ำหนักของไหลที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของแข็งที่แทนที่ของไหลนั้น ในกรณีที่ของไหลนั้นเป็นของเหลวเช่นน้ำ แรงลอยตัวนี้จะมีขนาดที่มีนัยสำคัญเพราะของเหลวมีความหนาแน่นสูง (อันที่จริงในอากาศมันก็มี แต่น้อยมาก) สำหรับเสาเข็มหรือฐานรากที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน จะมีแรงลอยตัวกระทำในแนวดิ่ง (คือยกเสาเข็มขึ้น) เทียบเท่ากับน้ำหนักของน้ำปริมาตรเท่ากับปริมาตรเสาเข็มที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน แรงนี้คือ uplift load (ซึ่งสวนทางกับ vertical load หรือน้ำหนักกดลงในแนวดิ่งที่เสาเข็มแบกรับเอาไว้)

ถัดจากเสาเข็มก็เป็นเรื่องความเร็วลม ซึ่งสำคัญต่อการออกแบบโครงสร้างที่อยู่เหนือพื้นดิน จะเห็นว่าความเร็วลมนั้นขึ้นอยู่กับระดับความสูงจากพื้นดิน และในบางบริเวณลักษณะภูมิประเทศยังเป็นตัวกำหนดความเร็วและทิศทางของลมด้วย แรงลมที่กระทำต่อโครงสร้างนั้นยังขึ้นอยู่กับรูปร่างของโครงสร้าง เช่นหอกลั่น ปล่องควันหรือ flare จะมีรูปร่างทรงกระบอกเรียวยาว ในขณะที่อาคารต่าง ๆ นั้นมักจะมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม
   
ถัดไปก็เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหว สำหรับประเทศไทยแล้วปัญหาเรื่องแผ่นดินไหวรุนแรงนั้นยังไม่เคยมีประวัติ แต่จากการที่มันไม่ค่อยมีแผ่นดินไหวนั้นจึงอาจทำให้คิดว่ามัน "จะไม่มี" แผ่นดินไหว ก็เลยทำให้การออกแบบโครงสร้างนั้นไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ พอเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาทีก็เลยเป็นปัญหา (อย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นที่ภาคเหนือเมื่อไม่นานมานี้) ที่ทำให้อาคารจำนวนมากได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอาคารเก่าและอาคารขนาดเล็ก
และปิดท้ายของแบบสอบถามในหน้านี้คือระดับความสูงของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่จะสูงกว่าระดับพื้นทาง (paving) แบบสอบถามระบุว่าจะใช้ระดับความสูง (และความลาดเอียง) ตามที่แจ้งมานี้ เว้นแต่ว่าจะมีการระบุเป็นอย่างอื่น

ต่อไปเป็นหน้า Page 7 of 21



คำถามในหน้านี้เริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับความสามารถในการรับแรงของคอนกรีตที่จะใช้ในการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ พึงสังเกตนะว่าคอนกรีตที่ใช้ทำอ่างเก็บน้ำจะต้องรับแรงได้มากที่สุด (เพราะน้ำมีน้ำหนักมาก) ส่วนคอนกรีตกันไฟ (fireproofing) นั้นไม่ได้มีไว้รับแรง มันทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ฉนวนกันความร้อนจากเปลวไฟเพื่อไม่ให้โครงสร้างโลหะร้อนจนสูญเสียความแข็งแรง (เช่นโครงหลังคาที่เป็นเหล็ก เสาโครงสร้างที่เป็นเหล็ก)
    
สารเคมีตัวหนึ่งที่ทำอันตรายกับคอนกรีตได้คือซัลเฟต (sulphate SO42-) บริเวณหนึ่งที่มีซัลเฟตมากคือในทะเล สิ่งก่อสร้างที่สร้างลงไปในทะเล หรือในบริเวณที่น้ำอาจมีความเข้มข้นซัลเฟตสูง (เช่นใกล้ปากแม่น้ำที่มีน้ำเค็มไหลย้อนเข้าเวลาน้ำลง) จึงจำเป็นต้องใช้คอนกรีตที่ทนต่อการกัดกร่อนของซัลเฟตในน้ำทะเลได้ (Portland cement ประเภท 5)
   
ส่วนครึ่งล่างของหน้านี้เป็นคำถามเกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้ทำผิวทางและความหนาของแต่ละชั้น ซึ่งแบ่งย่อยไปตามบริเวณต่าง ๆ เช่นรอบ ๆ ปั๊ม เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน โครงสร้างรองรับท่อ (pipe rack) บริเวณรอบแทงค์เก็บของเหลว (inside dike area) ทางเดิน ถนน ที่จอดรถ ฯลฯ คำถามตรง Slope และความลาดเอียงเกี่ยวข้องกับการระบายของเหลวออกจากบริเวณ (ของเหลวนั้นอาจเป็นน้ำฝน หรือของเหลวที่รั่วไหลจากอุปกรณ์ลงสู่พื้น)

ต่อไปเป็นหน้า Page 8 of 21



หน้านี้เริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับถนนและระบบระบายน้ำ
   
ในส่วนของถนนนั้นมีคำถามเกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้ทำถนน ความกว้างของผิวจราจร และความกว้างของไหล่ทาง (ถนนที่สร้างบนพื้นราบนั้น ไหล่ทางมักจะใช้เป็น ทางเดินเท้า ฝังท่อระบายน้ำ ท่อน้ำประปา หรือสายเคเบิลต่าง ๆ รวมไปทั้งใช้ปักเสาไฟฟ้า ถ้าเป็นถนนที่ถมดินสูงขึ้นจากพื้นผิวด้านข้าง ไหล่ทางยังทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ดินเคลื่อนตัวออกไปทางด้านข้างซึ่งจะทำให้ถนนทรุดได้เมื่อมีรถหนักวิ่งผ่าน)
  
ถนนคอนกรีต (อ่าน คอน-กรีต นะ ไม่ใช่ คอ-นก-รีต) ถ้าสร้างดีก็จะอยู่ได้ยาวนาน เรียกว่าใช้กันจนลืม ถนนลาดยางมะตอยจะมีอายุการใช้งาน ต้องมีการซ่อมผิวจราจรเป็นระยะ แต่ถนนลาดยางมะตอยมันมีข้อดีตรงที่ขุดง่าย ซ่อมง่าย ดังนั้นในบางแห่ง ณ ตำแหน่งที่มีท่อลอดใต้ผิวจราจรที่ท่อนั้นอาจต้องมีการซ่อมบำรุง ผิวจราจรตรงนั้นก็จะเป็นถนนลาดยางมะตอยในขณะที่บริเวณอื่นเป็นคอนกรีต (ใครอยู่มาบตาพุดก็ลองสังเกตดูนะครับ ว่าผิวจราจรที่อยู่เหนือแนวท่อแก๊สที่ขึ้นจากทะเลไปยังโรงแยกแก๊สนั้นเป็นยางมะตอยหรือคอนกรีต)
   
OSBL คือ outside battery limit ส่วน ISBL คือ inside battery limit คำว่า Battery limit ในที่นี้คือเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของโรงงาน เป็นเส้นแบ่งส่วนที่ตัวโรงงานเองเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกับส่วนที่ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ เรื่องนี้เคยอธิบายไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๒๘ วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง "ทำความรู้จักProcessDesign Questionnaire ตอนที่๓"
   
คำถามสุดท้ายของหน้านี้เป็นคำถามเกี่ยวกับระบบระบายน้ำว่าจะให้เป็นระบบไหน ของที่มีอยู่เดิมนั้นสามารถนำมาใช้กับโครงการที่สร้างขึ้นใหม่ได้หรือไม่ ระบบระบายน้ำฝนในบ้านเราที่เห็นใช้กันทั่วไปก็มักจะเป็นระบบรางระบายน้ำรูปตัวยูที่มีฝาปิดด้านบนตลอดแนวราง (ถ้ามีรถหนักทับวิ่งฝาก็จะแตกได้) ซึ่งมักจะใช้กับระบบขนาดเล็กบนทางเท้าที่ไม่มีรถหนักวิ่งผ่าน กับระบบท่อใต้ดินและบ่อพัก แต่ถ้ามีที่ว่างหรือเป็นบริเวณริมรั้ว ก็อาจทำเป็นรางรูปตัววี (น้ำไหลได้เร็วแบบคลอง)
   
หน้าสุดท้ายของชุดนี้คือหน้า Page 9 of 21



คำถามในหน้านี้เกี่ยวข้องกับรั้วที่จะสร้าง และความต้องการพิเศษสำหรับงานโยธา (ที่อาจจะมีเพิ่มในอนาคตหรือเพื่อการซ่อมบำรุง)
 
เรื่องการออกแบบรั้วโรงงานว่าจะให้เป็นแบบโปร่ง (มองจากภายนอกเห็นภายในได้) หรือเป็นแบบทึบ (ไม่ให้คนข้างนอกเห็นอะไรภายใน) ควรที่ต้องคำนึงถึงชุมชนที่อยู่รอบข้าง เพราะการปิดกั้นสายตาก็ก่อให้เกิดความอึดอัดกับผู้อยู่อาศัยในบริเวณรอบ ๆ ได้ และยังอาจก่อให้เกิดข่าวในทางไม่ดีว่าอาจมีการทำสิ่งไม่ดีอยู่ภายใน จึงต้องปิดบังไม่ให้คนภายนอกรับรู้ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็จะทำให้โรงงานมีปัญหากับชุมชนรอบข้างได้

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

เก็บตกจากงานตอกเสาเข็ม MO Memoir 2557 Mar 19 Wed

เมื่อต้นสัปดาห์ได้มีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวที่สถานที่ก่อสร้างแห่งหนึ่ง มีอยู่บริเวณหนึ่งที่เขาเพิ่งจะตอกเสาเข็มเสร็จ ก็เลยถือโอกาสเอาสิ่งที่ได้พบปะพูดคุยกับวิศวกรโยธาที่ทำหน้าที่กำกับดูแลงานดังกล่าว มาเล่าให้วิศวกรเคมีฟังแบบง่าย ๆ เพื่อที่เวลาที่ฟังวิศวกรสาขาอื่นพูดนั้น จะได้รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันอยู่

ในการสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมากหรือต้องรับน้ำหนักมากนั้น (เช่นตัวอาคาร แทงค์เก็บของเหลว เสารั้ว ฐานสำหรับติดตั้งสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ) จำเป็นที่ต้องมีการถ่ายน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างผ่านฐานรากลงไปยังชั้นพื้นดินที่มีเสถียรภาพ ที่มีเสถียรภาพในที่นี้คือไม่มีการทรุดตัว (บางที่อาจเป็นชั้นหินก็ได้) ส่วนชั้นดินที่มีเสถียรภาพนี้จะอยู่ลึกที่ระดับไหนนั้นขึ้นกับแต่ละท้องที่ ถ้าเป็นที่ราบลุ่มอย่างเช่นในกรุงเทพก็อยู่ลึกลงไปประมาณ ๒๐ เมตร แต่ในบางท้องที่ที่อยู่บนที่สูงนั้นอาจจะเป็นระดับผิวบนสุดเลยก็ได้
   
ถ้าชั้นพื้นดินที่มีเสถียรภาพนั้นอยู่ไม่ลึกมากหรืออยู่ตื้น การทำฐานราก (โครงสร้างที่ทำหน้าที่ถ่ายน้ำหนักของตัวสิ่งก่อสร้างลงสูงพื้นดิน) ก็มักจะใช้ระบบ "ฐานแผ่หรือฐานรากแผ่ (Spread footing หรือ Shallow footing)" แต่ถ้าอยู่ลึกลงไปมากก็จะทำการถ่ายน้ำหนักผ่านสิ่งที่เรียกว่า "เสาเข็ม (Pile)"

รูปที่ ๑ รูปซ้ายเป็นรูปแบบฐานแผ่ ถ้าชั้นดินที่แน่นนั้นอยู่ไม่ลึก ก็อาจทำการขุดเปิดผิวหน้าดินลงไปถึงชั้นดินดังกล่าว แล้วก็หล่อฐานขึ้นบนชั้นดินนั้น แล้วค่อยหล่อเสาโครงสร้างอาคารขึ้นต่อจากฐานดังกล่าว ผมเคยเห็นทั้งแบบที่ฐานของเสาแต่ละต้นเป็นอิสระต่อกัน และแบบที่หล่อฐานแผ่เป็นผืนคอนกรีตชิ้นเดียว (สำหรับวางเครื่องอุปกรณ์หนักหลายชิ้นในพื้นที่เดียวกัน) ส่วนรูปขวาเป็นรูปแบบเสาเข็ม ใชัในกรณีที่ชั้นดินที่ไม่มีการทรุดตัวนั้นอยู่ลึกจากผิวหน้าดินลงไปมาก

ระบบเสาเข็มที่ผมเห็นอยู่บ่อยครั้งมีอยู่สองระบบ คือระบบเข็มตอก (Driven precast concrete pile หรือ Prestressed concrete pile) ที่ใช้เสาเข็มสำเร็จรูปตอกอัดลงไปในพื้นดิน และระบบเข็มเจาะ (Bored pile หรือ Bored and cast in place pile) ที่ใช้วิธีการเจาะดินให้เป็นหลุมแล้วค่อยหล่อเสาเข็มในหลุมที่เจาะนั้น
เสาเข็มตอกนั้นถ้าเป็นโครงสร้างขนาดเล็ก (เช่นรั้วหรืออาคารขนาดเล็ก) ก็อาจเป็นเสาเข็มไม้ แต่ถ้าเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ก็มักจะต้องเป็นเสาเข็มคอนกรีต โดยจะทำการตอกเสาเข็มให้จมลงไปในดินถึงระดับที่ต้องการ การเลือกใช้เข็มตอกจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งก่อสร้างในบริเวณรอบข้าง เพราะในขณะตอกเสาเข็มจะมีการสั่นสะเทือนไปยังบริเวณรอบข้างมาก อาจทำให้อาคารข้างเคียงเกิดความเสียหายได้ และในกรณีที่ต้องการเสาเข็มที่ยาวมาก ก็ต้องคำนึงถึงเส้นทางการลำเลียงเสาเข็มมายังตำแหน่งก่อสร้างด้วย เพราะยิ่งเสาเข็มยิ่งยาว รถที่บรรทุกก็ต้องการวงเลี้ยวที่กว้างขึ้น
    
ถ้าตำแหน่งที่ถ่ายน้ำหนักลงเสาเข็มนั้นไม่ได้รับน้ำหนักมาก ก็อาจใช้เสาเข็มเพียงต้นเดียว แต่ถ้าต้องรับน้ำหนักมากก็จะใช้วิธีการตอกเสาเข็มหลายต้นอยู่เคียงข้างกัน เพื่อกระจายน้ำหนักไปยังเสาเข็มแต่ละต้น
    
ส่วนเข็มเจาะนั้นจะใช้วิธีขุดเจาะพื้นดินให้กลายเป็นหลุมลึก (ระหว่างเจาะจะมีท่อเหล็กเป็นปลอกผนังกันดินพัง) เมื่อได้ระดับความลึกที่ต้องการก็จะใส่เหล็กเส้นที่ผูกเอาไว้ลงไปในท่อเหล็ก ตามด้วยการเทคอนกรีตลงไป ซึ่งเป็นการหล่อเสาเข็มในหลุมที่เจาะนั้น เข็มเจาะนั้นจะมีขนาดหน้าตัดได้ใหญ่กว่าเข็มตอก ขึ้นอยู่กับว่าจะให้รับน้ำหนักมากแค่ไหน และในบริเวณที่มีอาคารอยู่ข้างเคียงนั้น จะนิยมเข็มเจาะมากกว่า เพราะมันสั่นสะเทือนน้อยกว่า
(หมายเหตุ : ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.coe.or.th/e_engineers/knc_detail.php?id=56)


รูปที่ ๒ หัวเสาเข็มที่โผล่ขึ้นมาที่ความสูงต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าชั้นดินที่แข็งและรับน้ำหนักได้นั้นอยู่ลึกลงไปเท่าใด

ก่อนที่จะทำการออกแบบฐานรากนั้น จำเป็นที่ต้องมีการทดสอบพื้นดินก่อนว่ารับน้ำหนักได้เท่าใด หรือชั้นดินที่รับน้ำหนักได้นั้นอยู่ลึกลงไปเท่าใด ซึ่งการทดสอบนี้ก็ทำเฉพาะบางตำแหน่งเท่านั้น และก็ไม่ได้หมายความว่าที่ตำแหน่งเคียงข้างที่อยู่ใกล้กันนั้น ใต้พื้นดินจะมีสภาพเหมือนกับตำแหน่งที่ทดสอบด้วย อย่างเช่นตอนผมสร้างบ้านนั้น เข็มเจาะแต่ละต้นห่างกันเพียงแค่ 4 เมตร ยังพบว่าชั้นดินที่รับน้ำหนักได้นั้นยังอยู่ที่ความลึกแตกต่างกัน ทำให้เมื่อหย่อนเหล็กเส้นลงไปในหลุมที่เจาะ เหล็กเส้นก็โผล่มาสูงต่ำไม่เท่ากัน ในกรณีที่เป็นเข็มตอกนั้น จำเป็นที่ต้องรู้ว่าชั้นดินที่รับน้ำหนักได้นั้นอยู่ลึกลงไปเท่าใด จะได้สั่งเสาเข็มที่มีความยาวที่เหมาะสม คืออย่าให้สั้นเกินไป เพราะถ้าไปเจอตรงไหนที่มันลึกกว่าตำแหน่งทดสอบ จะกลายเป็นว่าเสาเข็มที่สั่งมานั้นสั้นเกินไป เสาเข็มที่ตอกลงไปลึกแล้วมันถอนคืนไม่ได้ ต้องปล่อยเลยตามเลย
    
แต่ถ้าเสาเข็มยาวเกินไปนั้นไม่มีปัญหา พอมันลงไปลึกถึงระดับชั้นดินที่รับน้ำหนักได้แล้ว (ซึ่งแต่ละตำแหน่งไม่จำเป็นต้องเท่ากัน) เขาก็จะหยุดตอก ดังนั้นอย่าแปลกใจที่จะไปเห็นว่าทำไมเขาตอกเสาเข็มแต่ละต้นลึกไม่เท่ากัน (ดังรูปที่ ๒) ส่วนหัวเสาเข็มที่โผล่ยื่นออกมานั้นเขาค่อยตัดออกทีหลังให้เสมอกัน แล้วค่อยหล่อ "Footing" บนหัวเสาเข็มนั้น เพื่อไว้สำหรับหล่อเสาอาคารต่อขึ้นไป
    
ตรงนี้จะมีศัพท์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับงานตอกเสาเข็มคือ "Blow count" คือเป็นตรวจสอบว่าเสาเข็มจมลงไปถึงระดับชั้นดินที่รับน้ำหนักได้หรือยัง โดยดูจากการระยะการจมลึกของเสาเข็มต่อจำนวนครั้งการตอก (เช่นตอก 10 ครั้งจมลงไปได้ลึกเท่าใด) ถ้าหากระยะการจมลึกนั้นน้อยกว่าระยะที่กำหนดไว้ ก็จะหยุดตอก เพราะถ้าฝืนตอกต่อไป เสาเข็มจะไม่เคลื่อนตัวจมลึกลงไป แต่จะหักแทนได้ (รูปที่ ๓) การคำนวณ Blow count นี้ต้องให้วิศวกรโยธาคำนวณ เพราะมันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่นน้ำหนักของลูกตุ้มที่ใช้ตอกเป็นต้น


รูปที่ ๓ เสาเข็มที่หักจากการตอก คาดว่าเป็นเพราะไปเจอพื้นหินแข็งที่อยู่ตื้นมาก (เปลี่ยนจากชั้นดินเป็นชั้นหิน)

บริเวณก่อสร้างที่ผมไปเยี่ยมชมนั้นอยู่ใกล้กับเชิงเขา เท่าที่ทราบก็คือพื้นที่บริเวณนั้นชั้นดินไม่ค่อยทรุดตัว บางแห่งเป็นแอ่งทรายขนาดใหญ่ ขนาดทำบ่อทรายขุดขายได้ ชั้นดินที่ไม่ทรุดตัวนั้นอยู่ค่อนข้างตื้น ดังนั้นบางอาคาร (ที่กินพื้นที่ค่อนข้างมาก) เขาจึงใช้วิธีทำฐานแผ่ คือเปิดหน้าดินไปจนถึงชั้นดินที่คงตัว แล้วก็หล่อฐานแผ่จากระดับนั้น ส่วนบริเวณที่เป็นโครงสร้างขนาดเล็ก (ไม่ได้กินพื้นที่มาก) เขาใช้วิธีตอกเสาเข็ม เสาเข็มที่เขาเอามาตอกก็เห็นยาวแค่ประมาณ ๔ เมตร แต่กระนั้นก็ยังไม่วายเจอกับพื้นแข็ง (สงสัยว่าเป็นพื้นหิน) อยู่ข้างใต้ ทำให้แทนที่เสาเข็มจะค่อย ๆ จมได้ช้าลง กลับกลายเป็นหยุดอยู่กับที่ พอตอกซ้ำลงไปแทนที่เสาเข็มจะจม ก็กลายเป็นหักแทน (รูปที่ ๓)
    
อีกปัญหาหนึ่งที่เขาเจอก็คือความแน่นของพื้นด้านล่างไม่สม่ำเสมอ บางตำแหน่งตัวเสาเข็มลงไปตรงรอยต่อระหว่างพื้นที่แข็ง (ที่แรงต้านเสาเข็มสูง) กับพื้นที่อ่อนกว่า (แรงต้านเสาเข็มต่ำกว่า) พอตอกลงไปเสาเข็มแทนที่จะจมลงไปตรง ๆ กลับมีการแฉลบออกข้างแทน ทำให้เห็นเสาเข็มที่ตอกลงไปนั้นเอียง (ที่ลูกศรสีเหลืองชี้ในรูปที่ ๔)


รูปที่ ๔ ปัญหาของที่คาดว่าเกิดจากการมีชั้นหินแข็งอยู่ข้างเคียงตำแหน่งตอกเสาเข็ม ทำให้เสาเข็มที่ตอกเกิดการแฉลบเอียง
ตำแหน่งที่ผมไปดูนั้นเขาไว้สร้างอะไรเหรอ คำตอบก็คือมันเป็นส่วนของกระบวนการผลิตที่เขาขอให้ผมเข้าไปช่วยให้คำปรึกษา (มีการกระซิบมาด้วยว่าเป็นงานการกุศล และต้องไม่มีสิทธิถอนตัวด้วย) ครั้งก่อนหน้านี้ที่ผมไปเยี่ยมนั้นเขายังไม่ได้มีการตอกเสาเข็มอะไร มีแค่ปักป้ายบอกว่าเป็นพื้นที่สำหรับอะไร ซึ่งคำตอบก็อยู่ในรูปข้างล่างนี้เอง

รูปที่ ๕ ป้ายบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวเตรียมไว้สำหรับโครงสร้างอะไร