แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อสร้าง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ก่อสร้าง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562

ตรงตามแบบ (ตอนที่ ๓) MO Memoir : Thursday 24 January 2562

ปรกติผมก็ไม่ค่อยได้ไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารนี้หรอกครับ เพราะคนเยอะมาก จะไปก่อนเที่ยงก็ยังไม่ค่อยหิว แต่ถ้าไปหลังบ่ายโมงกับข้าวก็ไม่ค่อยเหลือแล้ว พอจะไปได้บ้างก็ช่วงปิดเทอม สัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสแวะไปอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยถ่ายรูปพัดลมที่อยู่ที่ชั้น ๒ ของอาคารโรงอาหารมาให้ดูกัน (รูปที่ ๑) สังเกตเห็นอะไรอยู่หลังพัดลมไหมครับ :) :) :)

รูปที่ ๑ พัดลมเครื่องหนึ่งบนชั้น ๒ ของอาคารโรงอาหาร เห็นอะไรอยู่หลังพัดลมไหมครับ

รูปที่ ๒ สิ่งที่ติดตั้งอยู่ข้างหลังพัดลมคือป้ายบอกเส้นทางไปยังทางออกฉุกเฉิน

สิ่งที่อยู่ข้างหลังพัดลมคือป้ายบอกทางออกฉุกเฉิน ที่บอกว่าเส้นทางออกฉุกเฉินจากตัวอาหารอยู่ทางด้านไหน ซึ่งมันก็ควรติดตั้งในตำแหน่งที่ผู้คนที่ใช้อาคารนั้น "เห็นได้ชัด
  
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างผู้ติดป้ายทางออกฉุกเฉินกับผู้ติดพัดลมนั้นใครมาติดก่อนกัน แต่คงไม่ใช่ทีมเดียวกันแน่ ถ้ามองในฐานะผู้รับเหมาก็ต้องทำงานให้ถูกต้องตามแบบที่ผู้ว่าจ้างกำหนดไว้ การมีการแก้แบบย่อมหมายถึงความล่าช้าในการทำงานและการได้เงินค่าจ้าง ยิ่งเป็นการว่าจ้างของหน่วยราชการที่ว่ากันตามตัวอักษรด้วย การไม่ทำงานตรงตามตัวอักษรก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ ดังนั้นถ้าหากเขาสามารถทำงานในสถานที่จริงได้โดยไม่ติดขัดอะไร เขาก็จะทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องสนว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นจะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นหรือไม่ ซึ่งมองในแง่หนึ่ง การพิจารณาว่าสิ่งที่จะทำขึ้นมาใหม่นั้นจะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นหรือไม่นั้นควรเป็นสิ่งที่ผู้ออกแบบควรต้องเป็นฝ่ายพิจารณามากกว่าก็ได้
 
แต่ถ้ามองจากอีกมุมมองหนึ่งหนึ่ง มันก็จะเป็นการบอกถึงความเป็น "มืออาชีพ" ของผู้รับเหมา ที่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าแบบที่ได้รับมานั้นเมื่อนำมาปฏิบัติจริงมันดูแปลก ๆ หรือมีปัญหา ก็ควรที่ต้องทำการทักท้วงไปยังผู้ว่าจ้างก่อนที่จะเดินหน้าทำงานต่อไป ว่าจะยืนยันให้ทำตามนั้นหรือควรแก้ไขแบบเสียก่อน
 
ปัญหาแบบนี้อาจจะเกิดจากการที่ในระบบราชการนั้น ผู้ออกแบบ ผู้เปิดซองประมูลงาน และผู้ตรวจรับงาน ต่างเป็นกรรมการคนละชุดกัน และไม่มีใครมีหน้าที่มาคอยตรวจสอบการทำงานของผู้รับเหมาในขณะที่งานกำลังดำเนินการอยู่ มันก็เลยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เห็นได้ทั่วไปเป็นประจำ ที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดน่าจะได้แก่สัญญาณไฟจราจรหรือป้ายเครื่องหมายจราจรต่าง ๆ หาไม่ยากหรอกครับที่จะเห็นสัญญาณไฟไปติดตั้งไว้หลังต้นไม้บ้าง หลังป้ายบ้าง หรือติดตั้งป้ายบังกันบ้าง หรือติดตั้งในตำแหน่งที่ยากจะมองเห็น ตัวอย่างสุดท้ายนี้ถ้านึกภาพไม่ออกก็ไปดูได้ที่สัญญาณไฟจราจรให้คนข้ามถนนได้ครับ ในหลาย ๆ ที่เลยรถคันแรกที่มาจอดที่ทางข้ามจะมองไม่เห็นว่าสัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวหรือยัง เพราะมันติดตั้งอยู่บนเสาสูงเหนือตัวรถตรงทางข้าม ไม่ได้มีเสาอีกต้นหนึ่งที่ต่ำกว่าที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าออกไป ที่ง่ายต่อการสังเกตมากกว่าแบบเดียวกับสัญญาณไฟที่ทางแยก

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ซ่อมให้เหมือนเดิมก็พังเหมือนเดิม MO Memoir : Sunday 14 August 2559

ถ้าเรามัวแต่คิดว่าเวลามีอะไรเสียก็ทำเพียงแค่แต่ซ่อมให้เหมือนเดิม เพราะเงินค่าซ่อมไม่ใช่เงินของตัวเอง (หรือคิดว่าตัวเองมีเงินเยอะ) มันก็ไม่แปลกที่จะพบแต่การซ่อมแซมสิ่งเดิมแบบไม่รู้จบ ถ้าหากไม่เคยคิดหาข้อเท็จจริงว่าทำไมมันถึงเสีย เพราะในหลายกรณีที่เคยประสบพบว่าความเสียหายนั้นมันเกิดจากการใช้งานที่ผิดพลาดหรือไม่ก็การออกแบบที่ผิดพลาด ซึ่งถ้าไม่มีการแก้ไขวิธีการทำงานหรือแก้ไขแบบ มันก็ไม่แปลกที่มันจะเกิดความเสียหายแบบเดิม ๆ อีก
 
ตอนเพิ่งจะเริ่มงานใหม่ ๆ ก็ได้ยินปัญหาขดลวดหม้อแปลง variac ไหม้เป็นประจำ ทำให้ต้องมีการส่งไปซ่อมอยู่เสมอ พอลงไปตรวจสอบก็พบว่าเกิดจากการใช้ขดลวดความร้อนที่สั้นเกินไป ทำให้ความต้านทานด้านขาออกต่ำ พอเพิ่มความต่างศักย์ให้สูงขึ้น กระแสด้านขาออกเลยสูงเกินขีดจำกัด ขดลวดหม้อแปลงก็เลยไหม้ พอให้แก้ไขด้วยการใช้ขดลวดความร้อนที่ถูกขนาด (ไม่ตัดสั้น) และติดตั้งฟิวส์ป้องกัน variac ปัญหาดังกล่าวก็หมดไป
 
ตอนที่ได้ยินว่าทางมหาวิทยาลัยจะทำการก่อสร้างหลังคาให้กับทางเดินเท้าจากอาคารจอดรถแห่งแรกที่สร้างขึ้นมายังโรงเรียนประถม ก็รู้สึกดีใจ เพราะทางเดินทางด้านนั้นมันไม่มีที่ให้หลบแดดหลบฝนเอาเสียเลย แต่พอเห็นเขาสร้างเสร็จแล้วก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่ามันจะอยู่ได้นานเท่าใด และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเพียงแค่เจอกับฤดูฝนปีแรก ฝ้าเพดานก็ไปเสียแล้ว
 
จะว่าไปก็ยังไม่เคยเห็นฝ้าเพดานที่ไหนที่ออกแบบมาทนน้ำ แม้แต่ฝ้าเพดานในอาคารที่มีท่อระบายน้ำจากชั้นบนอยู่ระหว่างฝ้ากับเพดาน เจอน้ำหยดใส่ไม่เท่าไรก็ออกอาการให้เห็น ยิ่งเป็นฝ้าเพดานใต้หลังคาหรือที่เป็นชายคายื่นออกมานอกอาคาร ยิ่งต้องคำนึงถึงเรื่องฝนสาด
 
รูปที่ ๑ ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖
 
รูปที่ ๒ ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เช่นกัน
 
รูปที่ ๓ ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เช่นกัน

ทางเดินช่วงนี้ใช้ที่นั่งชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ด้านตะวันออกของสนามกีฬามาทำเป็นทางเดินเชื่อมจากชั้นสองของอาคารจอดรถที่อยู่ทางด้านทิศใต้ของสนามกีฬา กั้นเป็นทางเดินมีหลังคาไปจนสุดทางด้านทิศเหนือของสนามกีฬาเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอาคารสนามกีฬาในร่มที่อยู่ทางด้านทิศเหนือ ปรกติสนามฟุตบอลก็จะวางตัวตามแนวเหนือ-ใต้ (แดดจะได้ไม่ส่องเข้าหน้าผู้รักษาประตู) หลังคาทางเดินก็ทำเป็นทรงเพิงหมาแหงนเชิดขึ้นไปทางทิศตะวันตก
 
ฝนมรสุมบ้านเราจะเคลื่อนตัวจากทางทิศตะวันตกไปตะวันออก (แตกต่างจากฝนจากพายุที่เข้ามาทางทะเลจีนใต้ที่เคลื่อนตัวจากทางทิศตะวันออกไปทางตะวันตก) หลังคาทางเดินนี้เนื่องจากอยู่โดดเด่นบนโครงสร้างที่สูงโดยไม่มีอะไรบังลม แถมเชิดหน้าขึ้นรับลมฝนที่มาจากทางตะวันตกอีก ผลก็คือเวลาที่เกิดฝนฟ้าคะนอง น้ำฝนจะไหลซึมมาเปียกฝ้าใต้หลังคาเป็นประจำ เจอแบบนี้บ่อยครั้งเข้า ฝ้าเพดานก็ผุพัง (ที่ถ่ายรูปมาให้ดูนี่ไม่เท่าไรนะครับ มันเคยมีมากกว่านี้อีก) พอพังทีก็มีการปิดทางเดินซ่อมแซมที พอเจอฝนอีกทีมันก็พังอีกเหมือนเดิม ซ่อมครั้งสุดท้ายนี่ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งที่สองหรือสาม แต่มันก็อยู่ได้ไม่นาน พอฝนฤดูกาลใหม่มา มันก็พังเหมือนเดิม
 
ทางเดินนี้มันสร้างเป็นที่แรกก่อนจะมีการสร้างทางเดินไปทั่วมหาวิทยาลัย ที่แปลกใจก็คือคนออกแบบไม่รู้หรือไงว่าฝ้าแบบนี้มันไม่ทนน้ำ พอเอาฝ้าแบบนี้ไปใช้กับทางเดินในส่วนอื่นของมหาวิทยาลัย ก็เลยเกิดความเสียหายแบบเดียวกันนี้อีก มีอยู่ที่หนึ่งเห็นเปิดออกมาทั้งแผ่น และเชื่อว่าเหตุการณ์ทำนองนี้คงเกิดซ้ำไปเรื่อย ๆ
 
แต่ครั้นจะไม่ทำฝ้าก็คงเกรงว่าจะดูไม่สวยงาม (โคมดาวน์ไลท์มันต้องฝังอยู่ในฝ้า และพอมีฝ้าแล้วก็ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินสายไฟไม่เรียบร้อยให้เห็นด้วย) หรือไม่ก็จะมีนกมาอาศัยโครงหลังคาเป็นที่ทำรัง

วันนี้ก็ไม่มีอะไร แค่เอาภาพถ่ายที่บันทึกเอาไว้ห่างกัน ๓ ปีมาให้ชมกันเล่นแค่นั้นเอง :) :) :)
 
รูปที่ ๔ ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖
 
รูปที่ ๕ ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ เช่นกัน


รูปที่ ๖ ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความบกพร่องที่ปรากฏให้เห็นหลังฝนตก MO Memoir : Monday 8 August 2559

อันที่จริงก็เดินผ่านตรงนี้อยู่เป็นประจำ เวลาไปกินข้าวเที่ยง บ่ายวันนี้บังเอิญมายืนเล่นแถวนี้ พอเห็นรอย ๒ รอยบนพื้นก็เลยทำให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้

รูปที่ ๑ ร่องที่เซาะเอาไว้บนพื้นเพื่อให้น้ำไหลลงรางระบายได้
มีอยู่ปีหนึ่งผู้บริหารรายหนึ่งเดินมาถึงตรงนี้หลังจากฝนตกไปเมื่อคืนก่อนหน้า มาเห็นน้ำขังอยู่บนพื้น ก็เลยเรียกเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ (ที่มีห้องทำงานอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น) มาต่อว่า ว่าทำไปปล่อยให้มีน้ำขังตรงนั้น
 
เจ้าหน้าที่เขาก็งงครับ ว่าอยู่ดี ๆ มาต่อว่าแกทำไป ทำไมไม่ไปต่อว่าวิศวกรที่คุมงานก่อสร้างหรืออาจารย์ผู้ทำหน้าที่ตรวจรับงาน ว่าคุมงานก่อสร้างอย่างไร หรือตรวจรับได้อย่างไร กับพื้นถนนที่เทปูนแล้วเป็นแอ่งอยู่ตรงกลาง พื้นบริเวณนี้ก็เพิ่งมีการเทคอนกรีตใหม่ในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารสองอาคารที่อยู่ข้างเคียง และอันที่จริงมองด้วยตาเปล่ามันก็ดูยาก แต่ถ้าเทน้ำลงไปหรือมีฝนตก จะเห็นเลยว่าน้ำไหลไปขังเป็นแอ่งต่ำอยู่ตรงกลางแทนที่จะไหลลงรางระบายน้ำข้าง ๆ เพราะพื้นมันลาดเอียงขึ้นไปทางขอบรางระบายน้ำ (อันที่จริงผู้บริหารคนนั้นก็เป็นวิศวกรโยธาด้วย งานในสายวิชาชีพของแกเองแท้ ๆ และตึกอีกสองตึกที่สร้างอยู่ข้าง ๆ ก็มีปัญหาหลังฝนตกเช่นกัน)
 
รูปที่ ๒ ร่องหนึ่งเซาะปูนมาจนเจอขอบเหล็กสำหรับวางฝารางระบายน้ำ


รูปที่ ๓ อีกร่องหนึ่งก็เซาะพื้นปูนจนมาเจอขอบเหล็กฉากที่ใช้เป็นที่วางฝารางระบายน้ำเช่นกัน
 
สุดท้ายก็มีใครก็ไม่รู้เหมือนกันมาเซาะพื้นถนนให้เป็นร่องสองร่อง โดยหวังให้น้ำที่ขังอยู่ในแอ่งตอนกลางไหลลงรางระบายน้ำได้ (มาทำเมื่อไรผมก็ลืมสังเกต) แต่พอเซาะไปแล้วก็ปรากฏว่าเจอเข้ากับเหล็กฉากที่เขาใช้ทำเป็นขอบสำหรับวางตะแกรงรางระบายน้ำ
 
ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะต่อว่าใคร เพียงแต่เอามาเล่าให้ฟัง เผื่อใครต้องไปควบคุมการก่อสร้างหรือทำหน้าที่ตรวจรับมอบงาน จะได้รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรที่ควรต้องดูบ้าง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เพราะการตามแก้ปัญหามักจะทำให้ลงท้ายด้วยความไม่สวยงามของสิ่งก่อสร้างนั้น
 
ที่ว่างที่เหลือก็ขอแถมภาพบรรยากาศก่อนฝนตกหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็แล้วกัน


วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

MO Memoir รวมบทความชุดที่ ๒ จิปาถะงานช่าง MO Memoir 2559 Mar 13 Sun

"รวมบทความชุดที่ ๒ นี้ก็ยังคงเป็นการนำบทความต่าง ๆ ที่เผยแพร่อยู่ใน blog "MO Memoir : Memoir of metal oxide catalyst research group" (www.tamagozzilla.blogspot.com) โดยได้คัดเลือกเอาประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับงานช่างด้านต่าง ๆ (ไม่รวมในส่วนของงานวิศวกรรมเคมีโดยตรง) มารวบรวมไว้ด้วยกัน
 
"วิศวกรทำได้ทุกอย่าง ยกเว้น .... ข้อสอบ" เป็นคำพูดเล่น ๆ ที่แต่ก่อนจะได้ยินกันเป็นประจำ การเรียนวิศวกรรมศาสตร์สมัยที่ผมเรียนนั้น ใครที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์สาขาวิชาไหนก็จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์สาขาด้านนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในวิศวกรรมศาสตร์สาขาอื่น เพราะงานทางวิศวกรรมนั้นมันเป็นงานที่ต้องมีความร่วมมือประสานกัน ไม่ได้มองกันเพียงแค่ "ทำเพียงแค่สร้างให้เสร็จ" แต่ยังต้องคำนึงไปถึงการใช้งานจริงในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่อาจต้องประสบ และการซ่อมบำรุง แต่ในปัจจุบันไม่รู้ว่าความคิดที่ว่า "ฉันเรียนสาขานี้ ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ในสาขาที่ฉันไม่ได้เรียน" มันเกิดขึ้นเมื่อใด มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับตัวผู้เรียน แต่มันเกิดขึ้นกับตัวผู้สอนด้วย และก็ดูเหมือนว่ามันจะมีเพิ่มมากขึ้นทุกที และเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่ว่า "ฉันทำวิจัยเรื่องนี้ ดังนั้นเรื่องที่ฉันไม่ได้ทำวิจัยไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้"
 
การที่วิศวกรสักคนต้องมีความรู้เรื่องใดบ้างนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่ "ฉันเรียนมาแค่นี้ ดังนั้นเรื่องที่ฉันไม่ได้เรียน ฉันไม่รู้ก็ไม่เป็นไร" แต่มันขึ้นอยู่กับว่าในหน้าที่การงานที่ต้องทำ (หรืออาจต้องไปประสบ) นั้น คุณต้องไปพบเจอกับอะไร งานบางอย่างอาจไม่ต้องลงมือทำเอง แต่ก็ควรต้องมีความรู้พื้นฐานบ้างเพื่อที่จะได้สื่อสารกับผู้อื่นที่ทำงานด้านนั้นได้เข้าใจ สำหรับผู้ที่จบการศึกษาไม่ว่าจะเป็นในสาขาใดแล้ว นอกจากความรู้ในด้านสาขาที่ร่ำเรียนมา อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ควรต้องมีคือ "ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยตนเอง" โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและงานในหน้าที่ แต่มันไม่ได้หมายความแบบว่าคนจบบัญชี ทำงานบัญชีให้บริษัทก่อสร้าง จะต้องสามารถออกแบบโครงสร้างได้ แต่อย่างน้อยเขาควรรู้ว่าเวลาที่วิศวกรสั่งสิ่งของต่าง ๆ มันเป็นสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับงานอะไร"

ข้อความข้างบนนำมาจากคำนำของรวมบทความชุดที่ ๒ ที่ต้องเรียกว่าจิปาถะก็คงเป็นเพราะเป็นการรวมบทความเรื่องราวต่าง ๆ ทาง ไฟฟ้า เครื่องกล โยธา สำรวจ และการบริหาร ในมุมมองของวิศวกรเคมีผู้หนึ่ง ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดบทความฉบับ pdf จากลิงค์ข้างล่างได้เลยครับ

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก Project Design Questionnaire ตอนที่ ๓ MO Memoir : Tuesday 10 March 2558

เมื่อวานได้นั่งคุยกับศิษย์เก่าที่ทำงานเป็น process engineer อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวมาบตาพุด สิ่งหนึ่งที่เขาบอกกับผมคือการที่เขาที่ได้งานทำที่บริษัทนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทความที่ผมเขียนลง blog โดยเฉพาะเนื้อหาภาคปฏิบัติและทางด้านเครื่องกล เพราะโดนเข้าอย่างจังตอนสอบสัมภาษณ์ (ดีใจจังเลยที่ทราบว่าสิ่งที่เขียนไปนั้นมีคนเอาไปใช้ประโยชน์ได้) เสียดายที่ตอนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไม่ได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนและส่งให้เขาอ่าน (คงเห็นว่ามันไม่อยู่ในเนื้อหาวิชาที่จะสอบมั้ง) เพิ่งจะเร่งอ่านก็ตอนจะไปสอบสัมภาษณ์งานและตอนที่กำลังทำงานนี่แหละ หน่วยงานที่เขาเข้าไปทำด้วยนั้นเป็นวิศวกรเครื่องกลเกือบทั้งหมด มีวิศวกรเคมีเพียงแค่ ๒ คนเท่านั้นเอง
  
ตรงนี้ผมก็บอกกับเขาว่าจะว่าไปแล้ววิศวกรเคมีกับเครื่องกลนั้นก็เรียนคล้ายกันมาก เนื้อหาหลาย ๆ เรื่องนั้นมันซ้ำซ้อนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพวกปั๊ม คอมเพรสเซอร์ การทำความเย็น ท่อ วาล์ว ฯลฯ จะแตกต่างกันก็ตรงที่การออกแบบอุปกรณ์แยกสาร แต่ว่าวิศวกรรุ่นหลัง ๆ (เท่าที่เจอ ไม่ว่าสาขาใดก็ตาม) มักจะชอบใช้ข้ออ้างว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องในสาขาวิชาที่ฉันเรียน และตัวอาจารย์ผู้สอนเองก็มักคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาเฉพาะทางที่เขาจบมา (บางทีในการรับอาจารย์ ทางมหาวิทยาลัยก็ดูที่ว่าจะทำ paper ได้กี่ฉบับ คือมุ้งเน้นไปที่การทำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาเป็นหลัก ไม่ได้เน้นว่าจะสามารถสอนเนื้อหาปริญญาตรีให้บัณฑิตที่จบนั้นไปทำงานในสภาพเจอของจริงได้หรือไม่)
  
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่างงานทำบุญที่วัด ผมก็ได้พบกับญาติที่ทำงานเป็นวิศวกรโยธา คุมงานก่อสร้าง เขาก็พูดเหมือน ๆ กันว่าไม่ว่าวิศวกรจะจบสาขาใดก็ตาม ก็จำเป็นต้องมีความรู้ในศาสตร์ของวิศวกรสาขาอื่นบ้าง ไม่เช่นนั้นจะทำงานประสานกันไม่ได้ คนทำงานด้านโยธาก็ต้องรู้เรื่องไฟฟ้ากำลังบ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เข้าใจความต้องการของวิศวกรไฟฟ้า
  
งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเคมี มันเป็นงานที่รวบรวมศาสตร์ทางวิศวกรรมศาสตร์หลากหลายสาขาเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโยธา (ที่ต้องออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน) ไฟฟ้า (ทั้งไฟฟ้ากำลัง อิเล็กทรอนิกส์ และวัดคุม) เครื่องกล (ระบบท่อ ระบบปรับอากาศ ไอน้ำ และอุปกรณ์จักรกลต่าง ๆ) สิ่งแวดล้อม (ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ และการจัดการด้านของเสีย) เคมี (กระบวนการผลิตและการออกแบบอุปกรณ์) วิศวกรที่จบมาจากแต่ละสาขานั้นคงไม่สามารถเรียนรู้ลึกในศาสตร์สาขาอื่นที่ต้องทำงานร่วมกันได้หมด แต่อย่างน้อยเขาก็ควรมีความรู้พอที่พูดคุยกับวิศวกรสาขาอื่นและทำความเข้าใจในสิ่งที่วิศวกรศาสตร์สาขาอื่นต้องการสื่อนั้นได้
  
สิ่งต่าง ๆ ที่ผมเขียนไปนั้น สำหรับคนที่มีประสบการณ์การทำงานมานานก็คงจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่วัตถุประสงค์ของสิ่งที่เขียนก็คือเพื่อให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ (ซึ่งอาจจะเป็นวิศวกรจบใหม่ หรือคนที่ต้องมาเริ่มงานด้านใหม่ที่ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรง) ได้พอมีจุดเริ่มต้นบ้างหรือพอมองเห็นภาพบ้าง ว่าสิ่งที่เขามีโอกาสจะต้องเผชิญนั้นมีอะไรได้บ้าง แต่ก็อย่าไปยึดถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว เพราะบางเรื่องมันก็เปลี่ยนไปตามเวลา ตามกฎข้อบังคับและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ถือเสียว่าเป็นเรื่องในอดีตเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน

Memoir ฉบับนี้เป็นตอนที่ ๓ ของเรื่อง "ทำความรู้จัก Project Design Questionnaire" โดยเป็นคำถามในส่วนของงานโครงสร้าง และงานไฟฟ้ากำลัง ส่วนตอนที่ ๔ จะเป็นตอนจบของบทความชุดนี้

เริ่มจากหน้า Page 10 of 21 ที่เป็นส่วนของโครงสร้างในหัวข้อ 4.0 STRUCTURES


โครงสร้างในที่นี้เป็นโครงสร้างที่เป็นอาคารหรือรองรับน้ำหนักอุปกรณ์ (ไม่เกี่ยวข้องกับถนน) วัสดุหลัก ๆ ที่ใช้ทำโครงสร้างมีอยู่ด้วยกันสองชนิดคือคอนกรีตและเหล็ก
  
ในกรณีของโครงสร้างคอนกรีตนั้น ส่วนที่เป็นเสาและคานก็มักต้องหล่อขึ้นรูปกันหน้างาน ชิ้นส่วนพื้นและผนังอาจทำเป็นแผ่นสำเร็จรูปมาประกอบที่หลังก็ได้ (แต่ที่เห็นเป็นประจำคือทำพื้นสำเร็จรูปมาปู ส่วนผนังก็ก่ออิฐเอาหน้างาน) ที่เคยเห็นมียกเว้นก็เป็นกรณีของพื้นอาคารที่ต้องรองรับน้ำหนักมากหรือกำแพงที่ต้องรับแรงระเบิด (เช่นกำแพงห้องควบคุมของพนักงานปฏิบัติการที่ตั้งอยู่ในหรือใกล้กับ process area) ก็ใช้วิธีผูกเหล็กเส้นต่อเชื่อมกับเข้ากับเหล็กเส้นของคาน/เสา แล้วเทปูนหล่อพร้อมกันให้เป็นชิ้นเดียว อาคารคอนกรีตนั้นมันต้องสร้างชั้นล่างให้เสร็จก่อนแล้วจึงสร้างชั้นบนต่อขึ้นไปได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงก็คือระยะเวลาที่ต้องรอให้คอนกรีต (หลังการเท) นั้นมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะถอดแบบได้ ซึ่งเวลาตรงนี้เราไปเร่งไม่ได้ (อย่างน้อย ๗ หรือ ๑๔ วันก็ขึ้นอยู่กับชนิดของปูนซิเมนต์ที่ใช้)
  
โครงสร้างเหล็กมันมีข้อดีอย่างคือสามารถขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนย่อย ๆ ในโรงประกอบ แล้วค่อยขนมาประกอบให้เป็นโครงสร้างสำเร็จรูปที่หน้างานได้ สำหรับโครงสร้างที่มีหลายชั้นก็สามารถขึ้นรูปคู่ขนานกันไปได้ การทำแบบนี้มันก็ดีตรงที่การขึ้นรูปนั้นทำในโรงประกอบ ทำให้ไม่ต้องกังวลกับสภาพอากาศ (ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนหรือหิมะ) แต่ต้องมั่นใจหน่อยว่าเมื่อขึ้นรูปแต่ละชิ้นส่วนเสร็จแล้วจะสามารถขนมาประกอบที่หน้างานได้ ไม่ใช่ประกอบเป็นชิ้นใหญ่เกินไปแล้วขนเข้าสถานที่ก่อสร้างไม่ได้เพราะเส้นทางไม่เอื้ออำนวย ในกรณีแบบนี้ก็ต้องมาขึ้นรูปกันหน้างานอยู่ดี บ้านเรานั้นไม่ค่อยนิยมการใช้โครงสร้างเหล็กเท่าใดนัก เข้าใจว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะต้นทุนที่สูงกว่า และอีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขึ้นรูปโครงสร้างเหล็กต้องใช้ช่างฝีมือที่ฝึกมาเฉพาะทางในการเชื่อมโลหะ (แต่ละคนค่าแรงสูง) ไม่เหมือนงานคอนกรีตที่ไม่ต้องการแรงงานมีฝีมือเท่าใดนัก
  
จุดหนึ่งที่อยากชี้ให้เห็นของคำถามในหน้านี้ก็คือมีการถามว่าสำหรับโครงสร้างคอนกรีตแล้วจะให้สร้างจนมีระดับความสูงเท่าใด (Concrete To Elev.) และที่ระดับความสูงเท่าใดจะใช้โครงสร้างเหล็ก (Steel Above Elev.)

อันที่จริงตั้งแต่ระดับพื้นขึ้นไปเราจะใช้โครงสร้างคอนกรีตหรือโครงสร้างเหล็กเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่มีมันมีประเด็นในเรื่องของเพลิงไหม้ที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ตรงนี้ขอให้ลองไปดูคำถามในหน้าถัดไปหรือหน้า Page 11 of 21 ที่เป็นคำถามเกี่ยวกับการป้องกันไฟในหัวข้อ 5.0 FIREPROOFING

เสาและคานคอนกรีตนั้นทนไฟได้ดีกว่าเหล็ก เหล็กนั้นเมื่อเจอเปลวไฟจะสูญเสียความแข็งแรงอย่างรวดเร็ว ถ้าใช้เหล็กเป็นเสา เสาก็จะยุบตัวลงมา ถ้าใช้เป็นโครงหลังคา โครงหลังคาก็จะยุบตัวลงมา และนี่คือสิ่งที่พนักงานดับเพลิงต้องระมัดระวังเวลาที่เข้าไปดับเพลิงในอาคารที่มีการใช้โครงสร้างเหล็กเป็นโครงหลังคา (เช่นโกดังสินค้าหรือห้างร้านขนาดใหญ่)
  
เปลวไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงเหลวที่ไหม้อยู่บนพื้น (เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง) จะมีความสูงของเหลวไฟในระดับหนึ่ง (ไม่ขึ้นอยู่กับชนิดสาร) ถ้าใช้โครงสร้างเหล็กเป็นเสาตั้งแต่ระดับพื้นขึ้นมาจำเป็นต้องมีการหุ้มเหล็กที่เป็นเสานั้นด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันไฟ (อันนี้รวมไปถึง skirt ของ pressure vessel ที่ตั้งในแนวดิ่งเช่นหอกลั่นด้วย) ที่เคยเห็นเขาทำก็คือจะใช้นอตตัวเมียตัวใหญ่หน่อย เชื่อมติดไว้รอบ ๆ เสาเหล็กนั้น จากนั้นก็นำตะแกรงลวดมาพันรอบเสาโดยใช้นอตเหล็กที่เชื่อมยึดเข้าไปนั้นเป็นจุดสำหรับมัดตะแกรงลวดให้อยู่ในตำแหน่ง จากนั้นก็ทำแม่แบบล้อมรอบตะแกรงลวดอีกชั้นแล้วจึงค่อยหล่อคอนกรีตกันไฟรอบเสาต้นนั้น ถ้าไม่อยากทำเช่นนี้ก็สร้างเป็นโครงคอนกรีตจากพื้นขึ้นไปจนถึงความสูงระดับหนึ่ง จากนั้นขึ้นไปจึงค่อยเปลี่ยนเป็นโครงสร้างเหล็ก (pipe rack ในบางที่ก็เห็นเป็นเช่นนี้)
  
โครงเหล็กของหลังคาอาคารก็จำเป็นต้องมีการหุ้มฉนวนความร้อนจากเปลวไปเช่นเดียวกัน เพราะในระหว่างเกิดเพลิงไหม้ แก๊สร้อนจากการเผาไหม้จะลอยขึ้นด้านบนและสะสมใต้หลังคา ความร้อนดังกล่าวสามารถทำให้โครงเหล็กของอาคารสูญเสียความแข็งแรงจนอาคารยุบตัวลงมาได้ ตรงนี้จะแตกต่างจากพวก pipe rack ที่อยู่ในที่โล่ง เพราะแก๊สร้อนจะกระจายออกไป

ต่อไปเป็นหน้า Page 12 of 21 หัวข้อ 3.0 BUILDINGS ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร
  

คำถามตรงนี้เริ่มจากคำถามว่ามีการใช้อาคารเพื่อวัตถุประสงค์ใดบ้าง ต้องการพื้นที่เท่าใด จะใช้วัสดุอะไรสร้าง แต่คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่อง "ความดัน"

เรื่องเกี่ยวกับการปรับความดันภายในตัวอาคารนี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๐๔ วันพุธที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง "การปรับความดันในห้องทำงาน-ห้องปฏิบัติการ" ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับความดันในระหว่างการทำงานตามปรกติ แต่คำถามที่อยู่ท้ายหน้า 12 นั้นเป็นการรับความดันเมื่อมีความผิดปรกติเกิดขึ้น เช่น เกิดการระเบิด (ไม่ว่าจะในหรือนอกอาคาร)
  
ถ้าคาดหวังว่าจะเกิดการระเบิดในอาคาร (Internal over-pressure เช่นในห้องทดลอง) ก็ต้องหาทางระบายแรงระเบิดออกสู่ภายนอก (เช่นยอมให้มีหน้าต่างหรือผนังด้านใดด้านหนึ่งเปิดออกไปเพื่อไม่ให้โครงสร้างส่วนใหญ่เสียหาย) แต่ถ้าคาดหวังว่าจะเกิดการระเบิดนอกอาคาร (External over-pressure เช่นห้องควบคุมของโรงงานที่ตั้งอยู่กลาง process area) ก็ต้องออกแบบให้โครงสร้างอาคารรับแรงอัดจากภายนอกได้ (คนอยู่ภายในห้องไม่ควรได้รับผลจากแรงอัดของการระเบิด)

ถัดไปเป็นหน้า Page 13 of 21 ซึ่งยังคงเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับอาคาร


HVAC ในที่นี้เข้าใจว่าย่อมาจาก Heating, Ventilation, and Air Conditioning เป็นการระบุว่าตัวอาคารต้องการการปรับอากาศในรูปแบบใดบ้าง

คำว่า Hazardous Area Class นี้ไม่ชัดเจนว่าเป็นอันตรายแบบไหน (สารเคมี ชีวภาพ หรือกัมมันตภาพรังสี) หรือเกี่ยวข้องกับการออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้า
  
อาคารบางอาคารก็อาจมีความต้องการพิเศษเกี่ยวกับเสียง เช่นอาคารที่สร้างให้กับเครื่องจักร (เช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล) อาจต้องคำนึงถึงความการป้องกันไม่ให้เสียงเครื่องจักรในขณะทำงานดังออกมาภายนอกนมากเกินไป ในขณะที่อาคารที่ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์ทดลอง อาจต้องคำนึงการไม่ให้เสียงจากภายนอกดังเข้ามารบกวนสัตว์เลี้ยงที่อยู่ข้างใน

ถัดไปเป็นหน้า Page 14 of 21 หัวข้อ 7.0 ELECTRICALS ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า
  

เริ่มจากคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของไฟฟ้า (ผลิตเองหรือรับจากภายนอก) ความต่างศักย์ ความถี่ ตำแหน่งที่จะเชื่อมต่อเข้าโรงงาน ฯลฯ
  
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความต่างศักย์ของระบบไฟฟ้าแรงสูงในบ้านเราเคยเล่าเอาไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๘๐ วันศุกร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗ เรื่อง "เก็บตกงานไฟฟ้ากำลัง" ส่วนทางโรงงานเมื่อรับไฟฟ้าแรงสูงเข้ามาแล้วจะลดความต่างศักย์ให้เหลือเท่าใดนั้นคงขึ้นอยู่กับขนาดของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ พวกมอเตอร์ขนาดใหญ่ก็อาจต้องใช้ไฟแรงสูงอยู่ (เพื่อลดปริมาณกระแส) ส่วนความถี่นั้นจะไปส่งผลต่อความเร็วรอบการหมุนของมอเตอร์เหนี่ยวนำ (induction motor) ซึ่งอาจส่งผลต่อสมรรถนะที่จะได้ของอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้มอเตอร์เหนี่ยวนำขับเคลื่อน เช่นปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump)
  
ตรงขนาดของหม้อแปลง (transformer) นั้นจะระบุเป็น kVA (ผลคูณระหว่างกระแสกับความต่างศักย์) ในกรณีของบ้านเรานั้นจะกำหนดให้ระบบไฟฟ้าของโรงงานต้องมี power factor ไม่ต่ำกว่า 0.8 ดังนั้นถ้าความต้องการพลังงานของทั้งโรงงานรวมกันได้เท่ากับ 120 kW ก็ต้องใช้หม้อแปลงขนาดที่เล็กที่สุดคือ 150 kVA (มาจาก 120/0.8) แต่ในทางปฏิบัติเท่าที่เคยเห็นนั้นมักจะเผื่อเอาไว้อีกเท่าตัว คือจะติดตั้งหม้อแปลงขนาด 300 kVA แต่ถ้าเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองก็จะใช้ขนาดเพียงแค่ 120 kW ก็พอ

หน้า Page 15 of 21 ก็ยังอยู่ในหัวข้อไฟฟ้ากำลังอยู่โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับระบบไฟฉุกเฉิน
  

ระบบไฟฉุกเฉินนั้นไม่จำเป็นต้องสำรองให้กับทั้งโรงงาน แต่อาจเลือกเฉพาะหน่วยที่สำคัญเท่านั้นที่ทำให้สามารถหยุดเดินเครื่องโรงงานได้อย่างปลอดภัย (เช่น ระบบทำความเย็น ระบบควบคุม แสงสว่างเท่าที่จำเป็น)
  
"Switch gear" คืออุปกรณ์สำหรับตัดต่อไฟแรงสูง ปรกติการเปิดวงจรไฟฟ้าทำโดยการแยกขั้วสัมผัสที่เป็นโลหะออกจากกัน แต่สำหรับไฟแรงสูง (ความต่างศักย์สูง) แม้ว่าขั้วโลหะจะแยกออกจากกันแล้วก็ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้อยู่ โดยไหลผ่านทางประกายไฟฟ้าที่กระโดดข้ามระหว่างขั้วโลหะ (หรือที่เรียกว่าอาร์ค - arcs) ดังนั้นระบบตัดไฟแรงสูงจึงต้องสามารถจัดการกับ (คือดับ) ประกายไฟฟ้าที่กระโดยข้ามขั้วโลหะนี้ได้เพื่อเป็นการตัดการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าที่ปลอดภัย วิธีการดับประกายไฟฟ้านี้มีด้วยการหลายวิธี เช่นใช้แก๊ส SF6 ใช้สุญญากาศ ใช้น้ำมัน หรือใช้อากาศฉีดพ่นผ่าน ซึ่งขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ด้วยเหตุผลว่าเพราะรู้แต่เพียงคร่าว ๆ ไม่ได้รู้ละเอียด

Page 16 of 21 เป็นหน้าคำถามสุดท้ายของระบบไฟฟ้า
  

คำถามเริ่มจากการจำแนกพื้นที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า (Area classification) เรื่องนี้เคยเล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๔๐ วันพุธที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Electricalsafety for chemical process"
  
ต่อไปเป็นคำถามเกี่ยวกับไฟแสงสว่าง ถามถึงความสว่างที่ต้องการซึ่งแต่ละบริเวณอาจต้องการความสว่างขั้นต่ำที่แตกต่างกัน (เช่นในสำนักงานที่ต้องอ่านหนังสือหรือเขียนแบบ ต้องการความสว่างที่มากกว่าตามทางเดินหรือห้องน้ำ) และชนิดของหลอดไฟที่จะใช้ (เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้และสีของแสง) และการติดตั้งไฟเตือนอากาศยานสำหรับโครงสร้างที่สูง (เช่นปล่องระบายแก๊สทิ้ง flare stack หอกลั่นที่สูงมาก)
  
คำถามถัดไปเกี่ยวข้องกับการเดินสายไฟว่าจะเดินปักเสาบนพื้นดินหรือเดินใต้ดิน ระบบการติดต่อสื่อสาร ความต้องการพิเศษสำหรับฤดูหนาว (บ้านเราไม่มีปัญหาเรื่องฤดูหนาว แต่จะมีปัญหาเรื่องฤดูฝนมากกว่า) และความต้องการพิเศษอื่น ๆ
  
และตอนที่ ๓ ของเรื่องนี้คงต้องจบแค่นี้ ตอนที่ ๔ ในฉบับต่อไปจะเป็นตอนจบของเรื่องนี้

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก Project Design Questionnaire ตอนที่ ๒ MO Memoir : Tuesday 3 March 2558

ผมจบมาทางด้านวิศวกรรมเคมี แต่ตอนจบใหม่ ๆ ต้องไปทำงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี เลยทำให้ต้องไปเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากความรู้เฉพาะทางที่เรียนมาจากในภาควิชา อันที่จริงเรื่องราวที่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมนั้นก็ได้อาศัยพื้นฐานที่เรียนมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีปี ๑ ปี ๒ คือมันอยู่ในวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมต่าง ๆ ที่นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกคนต้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านวัสดุศาสตร์ที่เรียนทั้งโลหะ (เน้นเหล็กเป็นหลัก) คอนกรีต และพลาสติก การขึ้นรูปชิ้นงานที่มีทั้งงานช่างฝีมือ งานกลึงและหล่อโลหะ รวมทั้งความรู้ทางด้านกลศาสตร์ (ไม่ว่าจะเป็นสถิตยศาสตร์วิศวกรรม (Engineering Static) พลศาสตร์วิศวกรรม (Engineering Dynamics) หรือกลศาสตร์ของวัสดุ (Mechanics of Materials)) วิชาเขียนแบบ รวมไปถึงวิชาพวกไฟฟ้ากำลัง การเรียนนั้นมีทั้งหาซื้อตำรามาอ่านเอง เรียนรู้ด้วยการสอบถามวิศวกรรุ่นพี่ และประเภทครูพักลักจำ
  
ที่ต้องเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนก็เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปมันไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับงานวิศวกรเคมีเท่าใดนัก แต่เห็นว่าวิศวกรเคมีที่ทำงานออกแบบนั้นควรจะต้องมีความรู้เอาไว้บ้าง จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองออกแบบบนคอมพิวเตอร์หรือบนกระดาษนั้น สุดท้ายมันสามารถสร้างได้จริงหรือไม่ ดังนั้นเนื้อหาที่เขียนแม้ว่าจะพยายามตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ก็ยังอาจมีผิดพลาดได้ (ขอออกตัวไว้ก่อน) และคงไม่สามารถเขียนลงลึกลงไปในศาสตร์ทางด้านนั้นได้

ต่อไปเป็นหน้า Page 6 of 21 ในหัวข้อ 3.0 CIVIL WORK ที่เป็นงานโยธา


คำถามแรกเลยที่ปรากฏคือความสามารถในการรับน้ำหนักของพื้นดิน ตรงนี้มันเกี่ยวข้องกับการออกแบบฐานราก ตามด้วยคำถามเกี่ยวกับร้อยละการเพิ่มขึ้นของค่าความเร็วลมและแผ่นดินไหวเหนือค่าเฉลี่ย
  
จากนั้นเข้าสู่เรื่องฐานรากด้วยคำถามเกี่ยวกับความลึกที่น้อยที่สุดของฐานราก (ลึกมากกว่านั้นไม่เป็นไร) และถ้ามีการใช้เสาเข็ม (pile) จะออกแบบให้รับน้ำหนักได้เท่าใด ใช้ชนิดไหน ความยาวเท่าใด (คือความลึกที่จะจมลงไปในชั้นดิน) ส่วนจะเป็นเข็มตอก (driven pile) หรือเข็มเจาะ (bore pile) ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ก่อสร้างและการออกแบบ เสาเข็มทำหน้าที่รับน้ำหนักของโครงสร้างที่อยู่เหนือพื้นดินและถ่ายลงสู่พื้นดิน หน้าที่หลักของเสาเข็มคือรับแรงในแนวดิ่ง แต่อาจต้องรับแรงในแนวข้างได้ถ้าหากพื้นดินมีการเคลื่อนตัวในแนวราบ เช่นเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เรื่องเสาเข็มนี้เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๗๓ วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "เก็บตกจากงานตอกเสาเข็ม" (ก็เกือบครบปีแล้วซินะ)
  
หน่วย kips เป็นหน่วยเก่า บางทีก็เขียนเป็น kip เท่ากับน้ำหนัก 1000 ปอนด์ (lb) (หรือครึ่งหนึ่งของ short ton โดยที่ 1 short ton = 2000 ปอนด์) ถ้าแปลงเป็นหน่วย SI ก็จะได้ว่า (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Kip_(unit))
  
1 kip = 4448.2216 newtons (N) = 4.4482216 kilonewtons (kN)
  
เวลาของที่ของแข็งอยู่ในของไหลจะมีแรงลอยตัวเทียบเท่ากับน้ำหนักของไหลที่มีปริมาตรเท่ากับปริมาตรของแข็งที่แทนที่ของไหลนั้น ในกรณีที่ของไหลนั้นเป็นของเหลวเช่นน้ำ แรงลอยตัวนี้จะมีขนาดที่มีนัยสำคัญเพราะของเหลวมีความหนาแน่นสูง (อันที่จริงในอากาศมันก็มี แต่น้อยมาก) สำหรับเสาเข็มหรือฐานรากที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน จะมีแรงลอยตัวกระทำในแนวดิ่ง (คือยกเสาเข็มขึ้น) เทียบเท่ากับน้ำหนักของน้ำปริมาตรเท่ากับปริมาตรเสาเข็มที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน แรงนี้คือ uplift load (ซึ่งสวนทางกับ vertical load หรือน้ำหนักกดลงในแนวดิ่งที่เสาเข็มแบกรับเอาไว้)

ถัดจากเสาเข็มก็เป็นเรื่องความเร็วลม ซึ่งสำคัญต่อการออกแบบโครงสร้างที่อยู่เหนือพื้นดิน จะเห็นว่าความเร็วลมนั้นขึ้นอยู่กับระดับความสูงจากพื้นดิน และในบางบริเวณลักษณะภูมิประเทศยังเป็นตัวกำหนดความเร็วและทิศทางของลมด้วย แรงลมที่กระทำต่อโครงสร้างนั้นยังขึ้นอยู่กับรูปร่างของโครงสร้าง เช่นหอกลั่น ปล่องควันหรือ flare จะมีรูปร่างทรงกระบอกเรียวยาว ในขณะที่อาคารต่าง ๆ นั้นมักจะมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม
   
ถัดไปก็เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหว สำหรับประเทศไทยแล้วปัญหาเรื่องแผ่นดินไหวรุนแรงนั้นยังไม่เคยมีประวัติ แต่จากการที่มันไม่ค่อยมีแผ่นดินไหวนั้นจึงอาจทำให้คิดว่ามัน "จะไม่มี" แผ่นดินไหว ก็เลยทำให้การออกแบบโครงสร้างนั้นไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ พอเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาทีก็เลยเป็นปัญหา (อย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นที่ภาคเหนือเมื่อไม่นานมานี้) ที่ทำให้อาคารจำนวนมากได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอาคารเก่าและอาคารขนาดเล็ก
และปิดท้ายของแบบสอบถามในหน้านี้คือระดับความสูงของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่จะสูงกว่าระดับพื้นทาง (paving) แบบสอบถามระบุว่าจะใช้ระดับความสูง (และความลาดเอียง) ตามที่แจ้งมานี้ เว้นแต่ว่าจะมีการระบุเป็นอย่างอื่น

ต่อไปเป็นหน้า Page 7 of 21



คำถามในหน้านี้เริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับความสามารถในการรับแรงของคอนกรีตที่จะใช้ในการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ พึงสังเกตนะว่าคอนกรีตที่ใช้ทำอ่างเก็บน้ำจะต้องรับแรงได้มากที่สุด (เพราะน้ำมีน้ำหนักมาก) ส่วนคอนกรีตกันไฟ (fireproofing) นั้นไม่ได้มีไว้รับแรง มันทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ฉนวนกันความร้อนจากเปลวไฟเพื่อไม่ให้โครงสร้างโลหะร้อนจนสูญเสียความแข็งแรง (เช่นโครงหลังคาที่เป็นเหล็ก เสาโครงสร้างที่เป็นเหล็ก)
    
สารเคมีตัวหนึ่งที่ทำอันตรายกับคอนกรีตได้คือซัลเฟต (sulphate SO42-) บริเวณหนึ่งที่มีซัลเฟตมากคือในทะเล สิ่งก่อสร้างที่สร้างลงไปในทะเล หรือในบริเวณที่น้ำอาจมีความเข้มข้นซัลเฟตสูง (เช่นใกล้ปากแม่น้ำที่มีน้ำเค็มไหลย้อนเข้าเวลาน้ำลง) จึงจำเป็นต้องใช้คอนกรีตที่ทนต่อการกัดกร่อนของซัลเฟตในน้ำทะเลได้ (Portland cement ประเภท 5)
   
ส่วนครึ่งล่างของหน้านี้เป็นคำถามเกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้ทำผิวทางและความหนาของแต่ละชั้น ซึ่งแบ่งย่อยไปตามบริเวณต่าง ๆ เช่นรอบ ๆ ปั๊ม เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน โครงสร้างรองรับท่อ (pipe rack) บริเวณรอบแทงค์เก็บของเหลว (inside dike area) ทางเดิน ถนน ที่จอดรถ ฯลฯ คำถามตรง Slope และความลาดเอียงเกี่ยวข้องกับการระบายของเหลวออกจากบริเวณ (ของเหลวนั้นอาจเป็นน้ำฝน หรือของเหลวที่รั่วไหลจากอุปกรณ์ลงสู่พื้น)

ต่อไปเป็นหน้า Page 8 of 21



หน้านี้เริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับถนนและระบบระบายน้ำ
   
ในส่วนของถนนนั้นมีคำถามเกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้ทำถนน ความกว้างของผิวจราจร และความกว้างของไหล่ทาง (ถนนที่สร้างบนพื้นราบนั้น ไหล่ทางมักจะใช้เป็น ทางเดินเท้า ฝังท่อระบายน้ำ ท่อน้ำประปา หรือสายเคเบิลต่าง ๆ รวมไปทั้งใช้ปักเสาไฟฟ้า ถ้าเป็นถนนที่ถมดินสูงขึ้นจากพื้นผิวด้านข้าง ไหล่ทางยังทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ดินเคลื่อนตัวออกไปทางด้านข้างซึ่งจะทำให้ถนนทรุดได้เมื่อมีรถหนักวิ่งผ่าน)
  
ถนนคอนกรีต (อ่าน คอน-กรีต นะ ไม่ใช่ คอ-นก-รีต) ถ้าสร้างดีก็จะอยู่ได้ยาวนาน เรียกว่าใช้กันจนลืม ถนนลาดยางมะตอยจะมีอายุการใช้งาน ต้องมีการซ่อมผิวจราจรเป็นระยะ แต่ถนนลาดยางมะตอยมันมีข้อดีตรงที่ขุดง่าย ซ่อมง่าย ดังนั้นในบางแห่ง ณ ตำแหน่งที่มีท่อลอดใต้ผิวจราจรที่ท่อนั้นอาจต้องมีการซ่อมบำรุง ผิวจราจรตรงนั้นก็จะเป็นถนนลาดยางมะตอยในขณะที่บริเวณอื่นเป็นคอนกรีต (ใครอยู่มาบตาพุดก็ลองสังเกตดูนะครับ ว่าผิวจราจรที่อยู่เหนือแนวท่อแก๊สที่ขึ้นจากทะเลไปยังโรงแยกแก๊สนั้นเป็นยางมะตอยหรือคอนกรีต)
   
OSBL คือ outside battery limit ส่วน ISBL คือ inside battery limit คำว่า Battery limit ในที่นี้คือเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของโรงงาน เป็นเส้นแบ่งส่วนที่ตัวโรงงานเองเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกับส่วนที่ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ เรื่องนี้เคยอธิบายไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๙๒๘ วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง "ทำความรู้จักProcessDesign Questionnaire ตอนที่๓"
   
คำถามสุดท้ายของหน้านี้เป็นคำถามเกี่ยวกับระบบระบายน้ำว่าจะให้เป็นระบบไหน ของที่มีอยู่เดิมนั้นสามารถนำมาใช้กับโครงการที่สร้างขึ้นใหม่ได้หรือไม่ ระบบระบายน้ำฝนในบ้านเราที่เห็นใช้กันทั่วไปก็มักจะเป็นระบบรางระบายน้ำรูปตัวยูที่มีฝาปิดด้านบนตลอดแนวราง (ถ้ามีรถหนักทับวิ่งฝาก็จะแตกได้) ซึ่งมักจะใช้กับระบบขนาดเล็กบนทางเท้าที่ไม่มีรถหนักวิ่งผ่าน กับระบบท่อใต้ดินและบ่อพัก แต่ถ้ามีที่ว่างหรือเป็นบริเวณริมรั้ว ก็อาจทำเป็นรางรูปตัววี (น้ำไหลได้เร็วแบบคลอง)
   
หน้าสุดท้ายของชุดนี้คือหน้า Page 9 of 21



คำถามในหน้านี้เกี่ยวข้องกับรั้วที่จะสร้าง และความต้องการพิเศษสำหรับงานโยธา (ที่อาจจะมีเพิ่มในอนาคตหรือเพื่อการซ่อมบำรุง)
 
เรื่องการออกแบบรั้วโรงงานว่าจะให้เป็นแบบโปร่ง (มองจากภายนอกเห็นภายในได้) หรือเป็นแบบทึบ (ไม่ให้คนข้างนอกเห็นอะไรภายใน) ควรที่ต้องคำนึงถึงชุมชนที่อยู่รอบข้าง เพราะการปิดกั้นสายตาก็ก่อให้เกิดความอึดอัดกับผู้อยู่อาศัยในบริเวณรอบ ๆ ได้ และยังอาจก่อให้เกิดข่าวในทางไม่ดีว่าอาจมีการทำสิ่งไม่ดีอยู่ภายใน จึงต้องปิดบังไม่ให้คนภายนอกรับรู้ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็จะทำให้โรงงานมีปัญหากับชุมชนรอบข้างได้