แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Slam Dunk แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Slam Dunk แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

สถานีรถไฟ Kamakurakokomae MO Memoir : Friday 22 September 2566

จุดตัดระหว่างถนนกับทางรถไฟในโลกนี้มีไม่รู้กี่ที่ แต่ด้วยการ์ตูนเรื่องเดียวจึงทำให้มีคนจากหลากหลายมุมโลกมาถ่ายรูปที่นี่ (รวมทั้งผมด้วย ในฐานะคุณพ่อที่ไปเที่ยวเป็นเพื่อนลูก)

ตอนแรกเห็นโปรแกรมลูกที่จะไป Kamakura ก็นึกเพียงแค่ว่าจะได้ไปเยี่ยมชมพระพุทธรูปที่นั่นอีกครั้งหลังจากที่ไปมาครั้งสุดท้ายเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๙ (ก็ ๒๗ ปีมาแล้ว) การเดินทางเริ่มจากนั่ง JR จากโตเกียวไปจนถึง Kamakura แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟท้องถิ่นสาย Enoshima เพื่อไปยังสถานี Kamakurakokomae

สถานีนี้มีเพียงชานชาลาเดียว อยู่ติดถนนเลียบชายฝั่งทะเล แต่ทางด้านตะวันออกของสถานีจะมีรางให้รถสับหลีกกัน รถที่มาจากฝั่งตะวันออกต้องรอให้รถที่มาจากฝั่งตะวันตกเข้าเทียบสถานีและส่งผู้โดยสารก่อน พอขบวนนั้นผ่านไปแล้วรถที่มาจากฝั่งตะวันออกจึงจะเข้าสู่สถานีได้ จุดตัดที่เป็นจุดยอดนิยมที่คนมาถ่ายรูปกันก็อยู่ตรงปากทางเข้าสถานีด้านตะวันออก (ที่เป็นทางเข้า-ออกหลัก) วันที่ไปนั้นมีคนมายืนรอเต็มไปหมดจนเจ้าหน้าที่ต้องมาบอกคอยให้ช่วยหลบไปจากผิวการจราจร โดยเฉพาะช่วงที่รถไฟกำลังจะผ่าน จะมีคนออกมายืนรอถ่ายรูปกันกลางถนน เพื่อให้ได้บรรยากาศดังภาพในการ์ตูนข้างล่าง

อันที่จริงที่นี่นอกจากจุดตัดทางรถไฟนี้ก็ยังมีสันกำแพงทางเดินริมทะเลอีกที่หนึ่งที่ใช้เป็นฉากปั่นจักรยานบนสันกำแพง แต่จุดนี้ไม่ใกล้สถานีรถไฟ ต้องเดินเลียบไปไกลหน่อย ก็เลยไม่ค่อยมีคนไปเท่าใดนัก

Memoir ฉบับนี้ก็ถือว่าเป็นบันทึกความทรงจำของตนเอง ว่าไปทำอะไรที่ไหนมาด้วยเหตุผลใด

รูปที่ ๑ รูปจุดตัดทางรถไฟที่เมือง Kamakura ที่ปรากฏในมังงะเรื่อง Slam Dunk ที่ต่อมากลายเป็นจุดถ่ายรูปขวัญใจมหาชน

รูปที่ ๒ ทางเข้า-ออกหลักของสถานีที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก เป็นทางเดินเท้า

รูปที่ ๓ เดินมาจนสุดทางเจอถนน ก็คือจุดถ่ายรูปขวัญใจมหาชน ที่ต่างกำลังรอจังหวะรถไฟวิ่งผ่าน

รูปที่ ๔ ส่วนผมเองขอเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศตัวสถานี รูปนี้พอข้ามทางรถไฟก็เดินไปทางทิศตะวันตกวนกลับไปที่ตัวสถานีใหม่ โดยถนนอยู่อีกฟากของราง

รูปที่ ๕ มองย้อนกลับไปยังจุดถ่ายรูปขวัญใจมหาชน ตรงมุมขวาบนที่มีคนยืนอยู่เยอะ ๆ

รูปที่ ๖ ตัวอาคารสถานีตรงทางเข้าด้านทิศตะวันออก 

รูปที่ ๗ เดินมาสุดปลายสถานีด้านทิศตะวันตก ตรงนี้ก็มีทางขึ้น-ลงด้วยสำหรับผู้ใช้บัตร แต่ถ้าจะซื้อตั๋วต้องไปเข้าอีกทางด้านหนึ่ง

รูปที่ ๘ บรรยากาศบริเวณตอนกลางตัวสถานี

รูปที่ ๙ ชายหาดฝั่งตรงข้ามสถานี รูปนี้มองไปยังทิศตะวันตก

รูปที่ ๑๐ หาดทรายเดียวกันเมื่อมองกลับไปยังทิศตะวันออก

รูปที่ ๑๑ กำลังจะข้ามกลับไปยังฝั่งสถานี ก็มีรถไฟออกจากสถานีพอดี

รูปที่ ๑๒ จังหวะรถไฟวิ่งผ่านจุดตัดขวัญใจมหาชน ที่เขาถ่ายรูปกันคืออีกฝั่งหนึ่ง ไม่ใช่ฝั่งนี้

รูปที่ ๑๓ พอขบวนนั้นวิ่งออกไป ขบวนใหม่ที่รอหลีกอยู่ก็วิ่งเข้ามา

รูปที่ ๑๔ ป้ายชื่อสถานีบนชานชาลา ถ่ายเก็บเอาไว้ระหว่างรอรถไฟ

รูปที่ ๑๕ มองจากชานชาลาไปยังทิศตะวันตก

รูปที่ ๑๖ ในที่สุดรถไฟที่รออยู่ก็มาแล้ว (หมายเหตุ : เวลาที่ปรากฏในรูปเป็นเวลาเมืองไทยที่ช้ากว่าท้องถิ่นสองชั่วโมงเศษ เป็นเพราะไม่ได้ตั้งเวลาให้ตรงกับที่เมืองไทยและญี่ปุ่น)

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2566

สถานีรถไฟ Hase MO Memoir : Saturday 2 September 2566

การเดินทางเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากลงมาจากฮอกไกโดก็มาพักค้างที่เมืองหลวง และใช้เวลาหนึ่งวันไปตามรอยมังงะเรื่อง Slam Dunk ที่ลูกสาวคนโตอยากแวะไปดู (ว่าแต่การ์ตูนเรื่องนี้มันจบไปก่อนหนูเกิดอีกนะ) โดยนั่งรถไฟไปที่คามาคุระก่อนตั้งแต่เช้า หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จก็อาศัยรถไฟท้องถิ่นไปยังสถานที่ที่ใช้เป็นฉากในการ์ตูน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยหรือเปล่า (แถมอากาศดีอีกต่างหาก) ทั้งเมืองเลยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งคนญึ่ปุ่นและต่างชาติ ขึ้นรถไฟท้องถิ่นที่สถานีไหนก็คนเต็มตลอดไม่ว่าจะเป็นที่ตัวชานชาลาหรือตัวรถ

หลังจากตามล่าหามุมที่ใช้เป็นฉากปั่นจักรยานบนสันกำแพงกั้นระหว่างถนนกับทะเลได้แล้ว จุดถัดไปคือจุดทางข้ามรถไฟ ซึ่งต้องนั่งรถไฟไปยังอีกสถานีหนึ่ง (สถานี Kamakurakokomae ที่มีฉากจุดตัดถนนกับทางรถไฟ) โดยต้องเดินกลับมาขึ้นรถที่สถานีรถไฟ Hase

ตอนเดินเลียบฝั่งทะเลมายังสถานีก็ไม่ค่อยมีคนเท่าไรนัก แต่ที่ตัวสถานีระหว่างรอรถไฟก็มีคนมาใช้บริการเยอะเหมือนกัน

ถ่ายรูปสถานีรถไฟเมืองไทยไว้หลายสถานีแล้ว วันนี้เป็นบรรยากาศสถานีรถไฟที่ประเทศญี่ปุ่นบ้าง ที่เอามาเขียนไว้ก็เพื่อจะได้ไม่ลืมว่าวันนั้นผ่านไปแถวนั้นด้วยเหตุผลอะไรแต่นั้นเอง

(หมายเหตุ : เวลาที่กล้องบันทึกในรูป ช้ากว่าเวลาท้องถิ่นสองชั่วโมงเศษ)

รูปที่ ๑ ทางเข้าอาคารสถานี

รูปที่ ๒ ตอนเดินมาสถานี มีรถสองขบวนจอดรอหลีกกันอยู่พอดี เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย ประแจที่เห็นข้างหน้าที่ด้านซ้ายมีตัวอักษร S บนป้ายฟ้าและมีเส้นพาดกลาง เป็นประแจแบบที่เรียกว่า spring swith หรือ spring loaded switch

รูปที่ ๓ ขบวนหนึ่งออกไปแล้ว อีกขบวนก็กำลังวิ่งออกเช่นกัน ถ้าสังเกตทิศทางที่ประแจมันเปิดอยู่ มันจะให้รถที่วิ่งจากมุมล่างของภาพออกไปทางซ้าย แต่รถที่วิ่งตรงลงมานั้นล้อมันจะดันให้ประแจเปิดให้รถวิ่งผ่านได้

รูปที่ ๔ ถ่ายรูปทักทายคนขับหน่อย

รูปที่ ๕ รถไฟผ่านไปแล้ว ทางเปิดให้คนและรถผ่านทางได้

รูปที่ ๖ เส้นทางที่รถไฟขบวนดังกล่าวมุ่งหน้าไป

รูปที่ ๗ ถ่ายรูป spring switch เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย

รูปที่ ๘ มาอยู่ในสถานีแล้ว ที่ปลายชานชาลาฝั่งนี้จะมีทางให้เดินข้ามไปยังชานชาลาอีกฝั่งหนึ่ง (ทางเดินที่เห็นอยู่ก่อนถนนที่มีรถวิ่ง

รูปที่ ๙ สุดปลายชานชาลาอีกฟากหนึ่ง

รูปที่ ๑๐ ฝั่งนี้ก็ติดกับถนน มีรั้วกั้นเพื่อบอกไม่ให้คนใช้เป็นทางผ่านเข้า-ออก (ถ้าเป็นบ้านเราเปิดโล่งแบบนี้คงมีคนใช้เป็นทางลัดแน่ ๆ