แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Venting แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Venting แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๙) MO Memoir : Tuesday 8 July 2568

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน API 2000 7th Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน

ต่อไปขอเริ่มหัวข้อ A.3.3 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ (รูปที่ ๑)

หัวข้อ A.3.3.1 กล่าวว่าควรนำเอาการเปลี่ยนแปลงปริมาตรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมาร่วมพิจารณา ในการกำหนดความสามารถในการระบายในสภาวะปรกติ แหล่งหลักของการเปลี่ยนแปลงปริมาตรเหล่านี้มีดังนี้

- การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศ ที่ส่งผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนกับส่วนที่เป็นไอ

- การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของของเหลวภายใน ที่ส่งผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนกับส่วนที่เป็นไอ

ตรงนี้ขอขยายความเพิ่มเติม ความจุความร้อนของแก๊สหรือไอนั้นต่ำกว่าของเหลวมาก ด้วยปริมาณความร้อนที่ให้เท่ากัน ไอจะมีอุณหภูมิเพิ่มมากกว่าของเหลว และปริมาณไอหรือแก๊สก็เพิ่มตามอุณหภูมิด้วย ตัวอย่างเช่นถ้ามีถังที่มีของเหลงบรรจุอยู่และตั้งตากแดด ถ้าเราเอามือไปแตะผนังโลหะของถัง จะพบว่าผิวโลหะส่วนที่อยู่ใต้ระดับของเหลวนั้นจะเย็นกว่าผิวโลหะส่วนที่อยู่เหนือระดับผิวของเหลว การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศจึงส่งผลต่อส่วนที่เป็นไอมากกว่า

ส่วนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของเหลวอาจเกิดจากการป้อนของเหลวที่มีอุณหภูมิแตกต่างไปจากของเหลวที่บรรจุอยู่ก่อนหน้าในถัง ในกรณีที่ป้อนของเหลวที่ร้อนกว่าเข้าไป ความร้อนจากของเหลวใหม่ที่ป้อนเข้าไปนอกจากจะทำให้ส่วนที่เป็นไอมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังทำให้การระเหยของของเหลวที่บรรจุอยู่นั้นเพิ่มขึ้นด้วย

หัวข้อ A.3.3.2 กล่าวว่า สำหรับของเหลวทีเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั่วไป การถ่ายเทความร้อนให้กับส่วนที่เป็นไอนั้นไม่ได้รับการคาดหวังว่าจะก่อให้เกิดการควบแน่นของส่วนที่เป็นไอ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อปริมาตรที่ว่างของส่วนที่เป็นไอนั้นมีแก๊สที่ไม่ควบแน่นอยู่ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ การไม่มีการควบแน่นของไอในระหว่างการเย็นตัวลงเป็นข้อสมมุติที่สำคัญในการประยุกต์การใช้งานแนวปฏิบัติในภาคผนวกนี้

รูปที่ ๑ เริ่มต้นหัวข้อ A.3.3 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ

หัวข้อ A.3.3.3 (รูปที่ ๒) ในหลายกรณีด้วยกัน การเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมกระทันหันถือว่าเป็นกรณีควบคุมสำหรับการถ่ายเทความร้อนไปยังปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถัง อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตรจะมีค่ามากที่สุดที่ปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถังมีค่ามากที่สุด และเป็นขณะที่อุณหภูมิการทำงานมีค่าสูงสุด ดังนั้นในการคำนวณจะพิจารณาว่าถังนั้นเป็นถังเปล่าและมีอุณหภูมิที่ค่าอุณหภูมิการทำงานสูงสุด

ในย่อหน้านี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแวดล้อมกระทันหัน จากอากาศเย็นเปลี่ยนเป็นร้อนจัดกระทันหันมันไม่มีการเกิด แต่จากอากาศร้อนจัดเปลี่ยนเป็นเย็นกระทันหันนั้นมันเกิดได้ เช่นในวันที่ถังตากแดดมาทั้งวัน พอตอนเย็นก็มีพายุฝนเข้ามา น้ำฝนที่ตกลงมาก็ทำให้ปริมาตรที่ว่างที่เป็นไอภายในถังมีอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหดตัวจะมีค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อถังนั้นเป็นถังเปล่า และอยู่ที่ค่าอุณหภูมิการทำงานสูงสุด ในการออกแบบจึงให้ใช้เงื่อนไขนี้ในการคำนวณ

เป็นที่ยอมรับกันว่าในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ถังเก็บสามารถเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดพายุฝนกระทันหันในวันที่อากาศร้อนและแดดจ้า ในการเกิดสภาวะสุญญากาศนั้นพบว่าส่วนหลังคาสามารถมีอุณหภูมิลดต่ำลงจากเดิมได้ถึง 33ºC (หรือ 60ºF) และส่วนผนังลำตัวสามารถเย็นตัวลงจากเดิมได้ถึง 17ºC (หรือ 30ºF) (หน่วยอุณหภูมิเคลวิน K และแรงคิน ºR คือหน่วยอุณหภูมิสัมบูรณ์ โดยช่วง 1 K = 1ºC และ 1ºR = 1ºF)

การถ่ายเทความร้อนจากที่ว่างส่วนที่เป็นไอไปยังพื้นผิวที่เย็นตัวลง (คือส่วนหลังคาและผนังลำตัว) ซึ่งถือได้ว่าเป็นพื้นผิวที่มีอุณหภูมิคงที่เนื่องจากสามารถคาดการณ์ได้ว่าน้ำฝนที่ตกลงมานั้นให้การหล่อเย็นที่เพียงพอบนพื้นผิวด้านนอกของถัง อาจพิจารณาได้ว่าการถ่ายเทความร้อนจากที่ว่างส่วนที่เป็นไอมีรูปแบบเป็นการพาความร้อนแบบอิสระ สัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนเป็นตัวแปรที่สำคัญในการคำนวณ แต่ก็เป็นการยากที่จะทำนายค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนี้ได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง เนื่องจากการเลือกค่าสหสัมพันธ์ที่ใช้ในการระบุค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนั้นขึ้นอยู่อย่างมากกับ ชนิดของไหล, รูปแบบทางกายภาพ และคราบต่าง ๆ บนผนังที่เกี่ยวข้อง

การหาการเย็นตัวลงของที่ว่างส่วนที่เป็นไออาจอิงจากอัตราการถ่ายเทความร้อนสูงสุดหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุด ด้วยความไม่แน่นอนที่เป็นธรรมชาติของค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนนี้ จึงไม่คาดว่าด้วยการใช้เงื่อนไขขอบเขตทั้งสองจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนที่ไม่สามารถยอมรับได้เพิ่มเติมเข้ามา

รูปที่ ๒ เริ่มหัวข้อ A.3.3.3 (ยังมีต่อ)

อาจใช้ค่าอัตราการถ่ายเทความร้อนสูงสุด 63 W/m2 (20 Btu/h.ft2) เป็นเงื่อนไขค่าขอบเขต

อาจใช้ค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุด 56 K/h (100ºR/h) เป็นเงื่อนไขค่าขอบเขต (เย็นตัวลง)

อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตร (V dot) อันเป็นผลจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ สามารถคำนวณได้โดยใช้สมการ A.1, A.2 และ A.3 (รูปที่ ๓) โดยที่

V dot คืออัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาตรในหน่วย m3/s (ft3/hr)

n คือจำนวนโมลเริ่มต้นในปริมาตรส่วนที่เป็นที่ว่างภายในถังในหน่วย kmol (lbmol) (กิโลโมลหรือปอนด์โมล)

Rg คือค่าคงที่ของแก๊สสัมบูรณ์ซึ่งมีค่า 8.3145 kPa.m3/kgmol.K (1545 ft.lbf/ºR.lbmol)

ในระบบ SI หน่วยของมวลคือกิโลกรัม kg และหน่วยของแรงคือนิวตัน N

ในระบบอังกฤษ หน่วยของมวลคือ pound mass (lbm) หน่วยของแรงคือ pound force (lbf)

รูปที่ ๓ หัวข้อ A.3.3.3 (ต่อ)

T คืออุณหภูมิในหน่วย ºC (หรือ ºF)

คือเวลาในหน่วยวินาที (ชั่วโมง)

T0 คืออุณหภูมิเริ่มต้น ซึ่งสมมุติให้มีค่า 48.9 ºC (หรือ 120 ºF)

∆T คือผลต่างอุณหภูมิสูงสุด คำนวณได้จาก T0 - Tw

Tw คืออุณหภูมิของผนัง ซึ่งสมมุติให้มีค่า 15.6 ºC (หรือ 60 ºF)

h คือค่าสัมประสิทธิการถ่ายเทความร้อนในหน่วย W/m2.K (Btu/h.ft2.ºR)

Aexp คือพื้นที่ผิวถ่ายเทความร้อน m2 (ft2) (คือเฉพาะส่วนที่อยู่เหนือผิวของเหลว และต้องคำนึงถึงส่วนหลังคาด้วย)

Cp คือค่าความจุความร้อนโดยโมลที่ความดันคงที่ในหน่วย J/kgmol.K (Btu.lbmol.ºR)

Vtk คือปริมาตรของถังเก็บ m3 (ft3)

รูปที่ ๔ หัวข้อ A.3.3.3 (ต่อ)

ต่อไปเป็นรูปที่ ๔ สำหรับถังที่มีขนาดเล็กกว่า 3,180 m3 (20,000 bbl) ค่าความสามารถในการระบายที่ต้องมีอันเป็นผลจากการหดตัวเนื่องจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ถูกจำกัดด้วยอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูงสุดที่ 56 K/h (100 ºR/h) ของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอ ด้วยการใช้ค่าอุณหภูมิเริ่มต้น 48.9 ºC (120 ºF) จะได้ค่าความสามารถในการระบายมีค่าประมาณเท่ากับ 0.169 Nm3 ของอากาศต่อลูกบาศก์เมตร (มาจาก 1 SCFH ของอากาศต่อบาร์เรล) ของปริมาตรถังเปล่า

สำหรับถังที่มีปริมาตรเท่ากับหรือใหญ่กว่า 3,180 m3 (20,000 bbl) ค่าความสามารถในการระบายอันเป็นผลจากการหดตัวที่เกิดจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงถูกจำกัดด้วยอัตราการถ่ายเทความร้อน (h∆T) ที่ 63 W/m2 (20 But/h.ft2) อัตราการระบายที่แสดงในตาราง A.3 และ A.4 (รูปที่ ๕ และ ๖) สำหรับถังที่มีปริมาตรมากกว่า 3180 m3 (20,000 bbl) ถูกระบุโดยเริ่มจากการคำนวณอัตราการระบายสำหรับถังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้แสดงไว้ อัตราการระบายสำหรับถังขนาด 30,000 m3 (180,000 bbl) ได้มาจากการสมมุติค่า พื้นที่ผิว 4,324 m2 (45,000 ft2), อัตราการถ่ายเทความร้อน 63 W/m2 (20 Btu/h.ft2), อุณหภูมิเริ่มต้น 48.9 ºC (120 ºF), และใช้ค่าคุณสมบัติของอากาศที่ความดันบรรยากาศเป็นตัวแทนแก๊สที่อยู่ในปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอ ค่าความสามารถในการระบายที่คำนวณได้มีค่าประมาณเท่ากับ 0.61 m3/h ของอากาศต่อตารางเมตร (มาจาก 2 ft3/h ของอากาศต่อตารางฟุต) ของพื้นที่ผิวที่มีการถ่ายเทความร้อน สำหรับถังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้น ค่าความสามารถในการระบายนี้จะเทียบเท่ากับอัตราการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอที่ 28 K/h (50 ºR/h) อัตราการระบายของถังที่มีความจุระหว่าง 3,180 m2 (20,000 bbl) และ 30,000 m2 (180,000 bbl) จะประมาณโดยอิงจากค่าอัตราการระบายที่กำหนดโดยขนาดถังทั้งสองนี้

สำหรับถังที่มีขนาดใหญ่มากที่มีปริมาตรสูงเกินกว่า 30,000 m2 (180,000 bbl) คาดวาอัตราการถ่ายเทความร้อนจะมีความซับซ้อนมากกว่าการประมาณอย่างง่ายที่แสดงไว้ในภาคผนวกนี้ ดังนั้นผู้ใช้ควรอ้างอิงไปยังเนื้อหาหลักของมาตรฐานนี้สำหรับเป็นแนวทางที่เหมาะสม

สภาพแวดล้อมของอากาศภายนอกที่นำมาใช้ในการคำนวณค่าที่แสดงในตารางข้างต้น จะสมมุติให้เป็นที่สภาวะมาตรฐานคือที่ 15.6 ºC และ 101.3 kPa (60 ºF และ 14.7 psia)

รูปที่ ๕ ตาราง A.3 (คำอธิบายเพิ่มเติมอยู่ตอนท้าย) ตารางนี้ใช้หน่วย SI

 

รูปที่ ๖ ตาราง A.4 (คำอธิบายเพิ่มเติมอยู่ตอนท้าย) ตารางนี้ใช้หน่วยอังกฤษ

คำอธิบายในตาราง A.3

a การประมาณค่าในช่วงทำได้สำหรับถังที่มีความจุอยู่ในช่วงระหว่างค่าที่แสดงไว้ ภาคผนวกนี้ไม่ครอบคลุมถังที่มีความจุสูงเกินกว่า 30,000 m2 แนวปฏิบัติในภาคอุตสาหกรรมคือการใช้ปริมาตรของเหลวสูงสุด (ปริมาตรที่ไม่รวมส่วนหลังคาถัง) ในการกำหนดอัตราการระบายอากาศเข้า/ออก ค่าต่าง ๆ ในแต่ละหลักไม่ได้มาจากการเปลี่ยนหน่วยจากค่าในตาราง A.4 แต่เป็นค่าที่ถูกเลือกให้ใกล้เคียงกับปริมาตรที่แสดงไว้ในตาราง A.4 แต่ค่าอัตราการระบายจะอิงจากการคำนวณโดยตรงโดยใช้ค่าปริมาตรที่เลือกมา

คือหน่วยที่ใช้ในสหรัฐอเมริกามาแต่เดิมหรือหน่วยระบบอังกฤษ แต่พอจะปรับตัวเลขต่าง ๆ ที่เป็นเลขลงตัวในระบบอังกฤษให้เป็นเลขในระบบเมตริกที่เท่ากัน ทำให้เลขในระบบเมตริกนั้นมีจุดทศนิยมปรากฏขึ้น (ที่เห็นชัดคือค่าอุณหภูมิ) แต่ในส่วนของปริมาตรถัง เมื่อเปลี่ยนตัวเลขที่เป็นเลขลงตัวในระบบอังกฤษมาเป็นค่าในระบบเมตริก เลขในระบบเมตริกที่ได้มันจะมีจุดทศนิยมเกิดขึ้น จึงมีการปรับตัวเลขปริมาตรให้เป็นเลขกลม ๆ (คือเลขลงตัวที่ลงท้ายด้วยศูนย์) ที่ใกล้เคียงกับค่าในระบบอังกฤษ จากนั้นจึงใช้ตัวเลขกลม ๆ ที่ได้จากการปรับนั้นไปทำการคำนวณค่าความสามารถในการระบายที่ต้องมี

b ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ A.3.3

c สำหรับของเหลวที่มีค่าจุดวาบไฟ 37.8C หรือสูงกว่า อัตราการระบายออกที่ต้องมีกำหนดให้เท่ากับ 60% ของค่าอัตราการระบายเข้าที่ต้องมี ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ A.3.3

d สำหรับของเหลวที่มีค่าจุดวาบไฟต่ำกว่า 37.8C อัตราการระบายออกที่ต้องมีกำหนดให้เท่ากับค่าอัตราการระบายเข้าที่ต้องมี เพื่อยอมให้มีการระเหยกลายเป็นไอที่ผิวหน้าของเหลว และสำหรับไอภายในถังที่มีค่าความหนาแน่นจำเพาะที่สูงกว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ใช้ในการคำนวณเหล่านี้อิงจากหัวข้อ A.3.3

คำอธิบายในตาราง A.4 นั้นเหมือนกับของตาราง A.3 ต่างกันเพียงแค่ใช้หน่วยระบบอังกฤษ

ต่อไปเป็นหัวข้อ A.3.3.4 (รูปที่ ๗) สำหรับการถ่ายเทความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในปริมาตรส่วนที่เป็นไอ อัตราการขยายตัวนี้คาดว่าจะต่ำกว่าอัตราการหดตัวมาก เนื่องจากการให้ความร้อนจากสภาพอากาสภายนอกนั้นไม่ได้เกิดขั้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีเหล่านี้การเพิ่มอุณหภูมิของปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอที่เกิดจากอุณหภูมิของเหลวนั้นจะให้ผลกระทบที่สูงกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จำเป็นสำหรับถังที่มีของเหลวเติมเต็มบางส่วน (ทำให้มันมีปริมาตรที่ว่างส่วนที่เป็นไอเยอะ) นอกจากนี้อุณหภูมิของเหลวที่เพิ่มสูงขึ้นยังส่งผลให้ของเหลวนั้นระเหยกลายเป็นไอได้บางส่วนถ้าของเหลวนั้นเป็นของเหลวที่ระเหยได้ง่าย

ในกรณีของของเหลวที่ไม่ได้ระเหยง่าย อาจประมาณให้อัตราการขยายตัวโดยปริมาตรมีค่าเท่ากับ 60% ของอัตราการหดตัวโดยปริมาตรที่เกิดจากการถ่ายเทความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอก และให้มีค่าประมาณ 100% ของอัตราการหดตัวโดยปริมาตรในกรณีของของเหลวที่ระเหยได้ง่าย

ในการตั้งเกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นที่รับรู้ว่าความต้องการสำหรับการระบายออกนั้นใช้เกณฑ์ที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เป็นอนุรักษ์นิยมบางรายจะเชื่อว่าควรต้องนำเอาทั้งสภาพอากาศและผลิตภัณฑ์ที่ผิดปรกติเข้ามาร่วมการพิจารณา โดยเฉพาะพวกที่สามารถให้ไอระเหยที่สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซลีน นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ระบายที่ใหญ่ขี้นนั้นมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับราคาทั้งหมดของถังเก็บ แนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนี้ยังเพิ่มขอบเขตความปลอดภัยถ้าอัตราการไหลเข้าของของเหลวนั้นสูงกว่าค่าที่ออกแบบเอาไว้ไม่มาก

สำหรับตอนนี้ก็คงจบเพียงแค่นี้

รูปที่ ๗ หัวข้อ A.3.3.4

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2567

API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๓) MO Memoir : Saturday 17 August 2567

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน API 2000 7th Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน

เว้นไป ๔ เดือน พึ่งจะมีเวลามาเขียนเรื่องนี้ตอน ตอนนี้เป็นหัวข้อ 4.2.2 ถึง 4.4

โดยหัวข้อ 4.2.2 เป็นแนวทางเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาสาเหตุที่ทำให้ความดันในถังสูงเกิน โดยข้อ 4.2.2.1 เป็นการรวบรวมหัวข้อต่าง ๆ ที่จะกล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป ซึ่งได้แก่

a) การสูญเสียระบบทำความเย็น

b) ความร้อนที่เข้ามาเนื่องจากการใช้ปั๊มทำการหมุนเวียนของเหลว

c) การระเหยเนื่องจากความร้อนจากบรรยากาศภายนอกที่รั่วไหลเข้ามา

d) rollover (จะอธิบายโดยละเอียดอีกทีในหัวข้อ 4.2.2.5) และ

e) ความดันสูงเกินของที่ว่างรูปวงแหวนของถังที่มีผนังสองชั้น

รูปที่ ๑ หัวข้อ 4.2.2 ถึง 4.2.2.3

หัวข้อ 4.2.2.2 เป็นเรื่องของการสูญเสียระบบทำความเย็น การคำนวณภาระในการระบายความดันสูงเกินขึ้นอยู่กับชนิดของระบบทำความเย็นที่ใช้และขนาดความเสียหายของอุปกรณ์ที่อาจเกิดขึ้น สำหรับสถานการณ์การสูญเสียระบบทำความเย็น ควรต้องพิจารณาความร้อนที่ป้อนเข้าระบบในเวลาเดียวกันที่เป็นไปได้ทั้งหมด (ภายใต้สถานการณ์นั้น - ดูหมายเหตุ ๑) ให้ดูมาตรฐาน ISO 23251 (ดูหมายเหตุ ๒) เพื่อการคำนวณภาระในการระบายความดันเหล่านี้

หมายเหตุ

๑. ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "credible" ไม่ใช่ "possible" โดยความเห็นส่วนตัวแล้วถ้าจะให้ตีความ possible ก็คือทุกเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นมากกว่าศูนย์ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ แต่ในกรณีนี้ให้ดูเฉพาะเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้จริง

๒. มาตรฐาน ISO 23251 Petroleum, petrochemical and natural gas industries : Pressure-relieving and depressuring systems คือตัวเดียวกันกับ API RP 521

หัวข้อ 4.2.3 เป็นเรื่องของความร้อนที่เข้ามาเนื่องจากการใช้ปั๊มทำให้เกิดการไหลหมุนเวียน ในหัวข้อนี้กล่าวว่าในการทำงานของปั๊มนั้นพลังงานส่วนหนึ่งของปั๊มจะกลายเป็นพลังงานความร้อน ทำให้ของเหลวมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยทั่วไปความร้อนส่วนนี้จะถูกรวมเอาไว้ในการออกแบบระบบทำความเย็น แต่ถ้าไม่ถูกรวมเอาไว้ในการออกแบบระบบทำความเย็น ก็ต้องนำความร้อนส่วนนี้มาร่วมในการพิจารณาการระบายความดันส่วนเกินด้วย (การไหลหมุนเวียนของเหลวในถังเป็นการทำให้ของเหลวในถังมีอุณหภูมิและองค์ประกอบสม่ำเสมอ)

รูปที่ ๒ หัวข้อ 4.2.2.4 ถึง 4.2.2.6

หัวข้อ 4.2.2.4 (รูปที่ ๒) กล่าวถึงการระเหยเนื่องจากความร้อนจากสภาพแวดล้อมที่รั่วไหลเข้ามาภายใน โดยความร้อนนี้เข้ามาได้ทั้งทางพื้นดินและผ่านทางผนังถัง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะถูกรวมไว้ในการออกแบบระบบทำความเย็น แต่ถ้าไม่ได้ถูกรวมเอาไว้ก็ต้องนำเอาปริมาณไอระเหยที่เกิดขึ้นจากความร้อนเหล่านี้ไว้ในการออกแบบระบบระบายความดันด้วย

หัวข้อ 4.2.2.5 เป็นเรื่องของไอระเหยที่เกิดจากปรากฏการณ์ "Rollover" แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักปรากฏการณ์นี้ก่อนดีกว่าว่าคืออะไร

รูปที่ ๓ และ ๔ นำมาจากบทความเรื่อง "Rollover prevention model for stratified liquefied natural gas in storage tank" โดย Tomasz Wlodek และ Mariusz Laciak (ในวารสาร Energies 2023, 16, 7666) โดยรูปที่ ๓ แสดงลำดับขั้นตอนที่นำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์ rollover ส่วนรูปที่ ๔ แสดงตัวอย่างองค์ประกอบของแก๊สธรรมชาติเหลวที่มาจากแหล่งผลิตต่าง ๆ แต่ก่อนอื่นขอให้พิจารณารูปที่ ๓ ก่อน

รูปที่ ๓ ลำดับกระบวนการที่นำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์ rollover

เริ่มจากรูปที่ ๓ ซ้ายบน ความร้อนที่เข้าสู่ถังเก็บ (ทั้งจากผนังด้านข้างและจากพื้น) จะทำให้อุณหภูมิของเหลวในถังเก็บเพิ่มสูงขึ้น แต่ของเหลวที่อยู่ผิวบนนั้นสามารถระเหยออกไปได้ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง องค์ประกอบของ LNG มีทั้งไฮโดรคาร์บอนหนักและเบา แต่ในการระเหยนั้นไฮโดรคาร์บอนเบาจะระเหยออกมาก่อน ทำให้ของเหลวด้านบนมีความหนาแน่นสูงขึ้น ในขณะที่ของเหลวด้านล่างมีอุณหภูมิสูงกว่าก็จะมีความหนาแน่นต่ำกว่า ทำให้ของเหลวที่อยู่ด้านบนจมลงล่าง และของเหลวที่อยู่ด้านล่างนั้นลอยขึ้นบนและระเหยเพื่อระบายความร้อนออกไป การไหลเวียนแบบนี้เรียกว่า Natural Circulation (ของเหลวที่อยู่ด้านล่างนั้นมีความดันเนื่องจากน้ำหนักของของเหลวที่อยู่ด้านบนกดเอาไว้ ดังนั้นที่อุณหภูมิที่ทำให้ของเหลวที่อยู่ด้านบนกลายเป็นไอได้ ของเหลวที่อยู่ด้านล่างก็จะยังไม่เดือด)

ถ้าการไหลเวียนเกิดขึ้นทั่วทั้งถัง ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเกิดปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ทำให้เกิดการแยกชั้นเป็นของเหลวสองชนิดที่มีความหนาแน่นแตกต่างกันอยู่ในถัง เช่นการเติม LNG ที่มีความหนาแน่นต่ำเข้าไปในถังโดยเติมเข้าทางด้านล่างของถัง จากนั้นจึงค่อยเติม LNG ที่มีความหนาแน่นสูงกว่าเข้าทางด้านล่างของถังเช่นกัน ในกรณีนี้ถ้า LNG ที่เติมเข้าไปไม่มีการผสมเป็นเนื้อเดียวกัน LNG ที่มีความหนาแน่นต่ำจะอยู่ทางด้านบน โดย LNG ที่มีความหนาแน่นสูงกว่าจะอยู่ทางด้านล่าง (ความหนาแน่นของ LNG จะลดลงตามสัดส่วนมีเทนที่เพิ่มขึ้น - ดูรูปที่ ๔)

ในกรณีนี้ ความร้อนที่รั่วไหลเข้าถังเก็บจะทำให้องค์ประกอบเบาที่อยู่ใน LNG ส่วนบนระเหยออกไป ทำให้ความหนาแน่นของ LNG ส่วนบนเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ LNG ส่วนล่างนั้นมีความหนาแน่นลดต่ำลงเนื่องจากมีอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ไม่มีการระเหยองค์ประกอบเบาออกไป (เพราะมีความดันเนื่องจาก LNG ส่วนบนกดเอาไว้) ทำให้ความหนาแน่นของ LNG ทั้งส่วนบนและส่วนล่างนั้นปรับเข้าหากัน (รูปที่ ๓ ซ้ายล่าง) และเมื่อความหนาแน่นของ LNG ส่วนบนนั้นสูงกว่าของ LNG ส่วนล่าง LNG ส่วนบนก็จะจมลงสู่ด้านล่างทันทีทำให้ LNG ส่วนล่างนั้นลอยขึ้นด้านบน องค์ประกอบเบาของ LNG ส่วนล่างที่เดิมนั้นไม่สามารถระเหยออกมาได้เนื่องจากความดันกดเอาไว้ เมื่อความดันที่กดเอาไว้หายไป ก็จะระเหยกลายเป็นไอจำนวนมากออกมาทันที (รูปที่ ๓ ขวาล่าง) ทำให้ความดันในถังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "Rollover"

รูปที่ ๔ ตัวอย่างองค์ประกอบของแก๊สธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มาจากแหล่งต่าง ๆ

หัวข้อ 4.2.2.5 กล่าวว่าไม่มีวิธีการที่แม่นยำ (ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป) ในการคำนวณภาระการระบายความดันสำหรับเหตุการณ์นี้ แต่ European standard EN 1473 (Installation and equipment for liquefied natural gas. Design of onshore installations) ก็ได้ให้แนวทางสำหรับหาภาระการระบายที่ต้องมีสำหรับเหตุการณ์นี้ (ถ้าไม่มีการใช้แบบจำลองอื่นในการหาค่า) ดังนั้นโดยทั่วไปจึงมักใช้การออกแบบและการปฏิบัติงานที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่เห็นเกิดเหตุการณ์นี้

(ไนโตรเจนใช้ในการไล่อากาศออกจากถังเก็บก่อนเติม LNG เข้าถังเก็บ จึงทำให้ LNG ในถังเก็บนั้นมีไนโตรเจนละลายปนเปื้อนเข้ามาได้เล็กน้อย)

หัวข้อ 4.2.2.6 เป็นกรณีของความดันสูงเกินในช่องว่างรูปวงแหวนที่อยู่ระหว่างผนังถังชั้นใน (ที่เป็นที่เก็บของเหลว) และผนังถังชั้นนอก (ที่สัมผัสกับอากาศภายนอก) โดยในช่องว่างนี้อาจเป็นที่ว่างหรือมีวัสดุฉนวนความร้อนเติมอยู่ ดังนั้นอุณหภูมิในช่องว่างนี้ก็จะสูงกว่าอุณหภูมิของเหลวในถัง ถ้าหากมีของเหลวรั่วไหลเข้าไปในช่องว่างนี้ (เช่นการเติมจนล้นถังด้านใน หรือผนังถังด้านในมีรูรั่ว ก็จะทำให้ของเหลวที่รั่วไหลเข้ามาระเหยกลายเป็นไอได้ทันที

การคำนวณอัตราการรั่วไหลตรงนี้อาจทำได้ด้วยการสมมุติให้มีรูรั่วขนาด 20 มิลลิเมตร (หรือ 0.8 นิ้ว) ที่ก้นถังเพื่อใช้สำหรับหาภาระการระบายไอระเหยที่ต้องมี โดยข้อมูลเพิ่มเติมอ่านได้ใน European standard EN 14620 (Design and manufacture of site built, vertical, cylindrical, flatbottomed steel tanks for the storage of refrigerated, liquefied gases with operating temperatures between 0°C and -165°C)

รูปที่ ๕ หัวข้อ 4.2.3 ถึง 4.3

หัวข้อ 4.2.3 (รูปที่ ๕) เป็นแนวพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับกรณีการเกิดสุญญากาศภายใน โดยข้อ 4.2.3.1 กล่าวไว้ว่าควรพิจารณาสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้ และยังสามารถรวมกรณีภาระการทำความเย็นสูงสุดเอาไว้ด้วย โดยให้ไปดูที่หัวข้อ 4.2.3.2


หัวข้อ 4.2.3.2กล่าวถึงกรณีของภาระทำความเย็นสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ ไม่มีของเหลวไหลเข้าถัง และความร้อนจากภายนอกที่รั่วไหลเข้าถังนั้นมีค่าน้อยที่สุด (คือปริมาณความร้อนที่ไหลเข้านั้นต่ำกว่าปริมาณความร้อนที่ระบบทำความเย็นดึงออกไป) ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิภายในถังลดต่ำลง ความดันภายในถังก็จะลดต่ำลงตาม


หัวข้อ 4.3 กล่าวถึงข้อกำหนดคุณลักษณะของอุปกรณ์ระบายความดัน โดยกล่าวว่าวิธีการที่ได้บรรยายไว้ในหัวข้อ 3.6 สามารถนำมาใช้ได้กับถังเก็บที่มีระบบทำความเย็น

ต่อไปเป็นหัวข้อ 4.4 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดัน (รูปที่ ๖) โดยหัวข้อ 4.4.1 กล่าวว่าสามารถนำวิธีการที่กล่าวไว้ในหัวข้อ 3.7 มาใช้กับถังเก็บที่มีระบบทำความเย็นได้ เว้นแต่มีการดังแปลงดังนี้ (ข้อ 4.4.2 และ 4.4.3)

รูปที่ ๖ หัวข้อ 4.4 ถึง 4.4.2

หัวข้อ 4.4.2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกินหรือระบายสุญญากาศ โดยที่ตัวอุปกรณ์ควรรักษาไม่ให้เไอเย็นทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิในส่วนของหลังคาถัง หรือลดอุณหภูมิในส่วนของหลังคาถัง สำหรับถังที่มีฉนวนแขวนห้อยลงมาจากด้านบน ท่อทางเข้าของตัวอุปกรณ์ระบายความดันควรที่จะทะลุผ่านฉนวนที่แขวนห้อยอยู่นั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไอเย็นนั้นรั่วเข้าสู่ที่ว่างที่อุ่นกว่าที่อยู่ระหว่างหลังคาด้านบนและฉนวนที่แขวนห้อยอยู่ และต้องนำผลของตัวท่อนี้มาพิจารณาในการคำนวณความสามารถของวาล์วระบายความดันด้วย (เพราะมันเป็นสิ่งกีดขวางการไหลของแก๊สเข้าวาล์วระบายความดัน) ตัววาล์วระบายความดันควรได้รับการกำหนดขนาดสำหรับความดันที่คร่อมตัววาล์ว และควรพิจารณาความสูญเสียเนื่องจากท่อด้านขาเข้าและความดันต้านด้านขาออกทางหน้าแปลนด้านขาออกด้วย

รูปที่ ๗ หัวข้อ 4.4.3 ถึง 4.4.3.2

หัวข้อ 4.4.3 (รูปที่ ๗) เป็นเรื่องของท่อทางออกของระบบระบายความดัน โดยในข้อ 4.4.3.1 กล่าวว่าท่อระบายออกจากอุปกรณ์ระบายความดันหรือ "common discharge headers" (คือท่อที่รับการระบายความดันจากอุปกรณ์ระบายความดันหลายตัวก่อนที่จะระบายออกสู่อากาศ) ควรจะระบายออกสู่อากาศโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง (สิ่งกีดขวางตรงนี้น่าจะหมายถึงโครงสร้างอื่นที่อยู่ใกล้เคียงปลายท่อ) ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊สเย็นพุ่งเข้าปะทะตัวถังบรรจุหรือโครงสร้างใด ๆ ที่ติดตั้งบนหลังคา

หัวข้อ 4.4.3.2 ปล่องระบายของอุปกรณ์ระบายความดันควรได้รับการออกแบบและติดตั้งโดยที่สามารถป้องกันไม่ให้ น้ำ, น้ำแข็ง, หิมะ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นใดเกิดการสะสมและกีดขวางเส้นทางการไหล การระบายควรหันขึ้นบนเมื่อระบายออกสู่อากาศ ควรพิจารณาการมีฐานอิสระรองรับปล่องในแนวดิ่ง และควรมีการจัดหาวิธีการที่จะลด ผลกระทบทางความร้อนบนตัวถังบรรจุ และอุปกรณ์ใด ๆ ที่ติดตั้งบนหลังคาที่สามารถก่อให้เกิดการจุดระเบิดจากปล่องวาล์วระบายความดันได้

refrigerated tank ใช้สำหรับเก็บแก๊สที่มีจุดเดือดต่ำในปริมาณมากเช่นมีเทนและแอมโมเนีย เนื่องจากทั้งมีเทนและแอมโมเนียเป็นแก๊สที่เบากว่าอากาศ ดังนั้นจึงสามารถระบายออกสู่อากาศได้โดยตรง เพราะปรกติ tank farm ก็ตั้งอยู่ในที่โล่งที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูง ๆ ใด ๆ อยู่ใกล้ แก๊สที่วาล์วระบายความดันระบายออกมาจึงฟุ้งกระจายในอากาศได้อย่างรวดเร็ว

ปลายท่อที่หันขึ้นด้านบนก็เปิดโอกาสให้ทั้งน้ำฝนและหิมะเข้ามาสะสมภายในได้ถ้าไม่มีการป้องกัน การป้องกันอาจทำได้ด้วยการทำให้ปลายท่อเป็นรูปตัวที (Tee diffuser) ที่ระบายแก๊สออกทางด้านข้าง หรือใช้ Rain cap ที่จะเปิดด้วยแรงดันแก๊สที่ระบายออกมาและปิดตัวลงเมื่อแก๊สหยุดการไหล หรือการใช้ Weather cap ที่มีลักษณะคล้ายถุงครอบลงไปบนปลายท่อ และจะปลิวออกไปเมื่อมีการระบายแก๊สออกมา (รูปที่ ๘)

รูปที่ ๘ ตัวอย่างการป้องกันปลายท่อระบายที่หันขึ้นบน ไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้ามาในท่อ

สำหรับตอนที่ ๑๓ ก็ขอจบเพียงแค่นี้

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2567

API 2000 Venting Atmospheric and Low-Pressure Storage Tanks (ตอนที่ ๑๑) MO Memoir : Wednesday 10 January 2567

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความชุดนี้อิงจากมาตราฐาน API 2000 7th Edition, March 2014. Reaffirmed, April 2020 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ดังนั้นถ้าจะนำไปใช้งานจริงควรต้องตรวจสอบกับมาตรฐานฉบับล่าสุดที่ใช้ในช่วงเวลานั้นก่อน

หัวข้อ 3.6 เป็นเรื่องของข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ระบายความดัน

หัวข้อ 3.6.1 เกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดขนาด (รูปที่ ๑) ในย่อหน้าแรกกล่าวว่าอุปกรณ์ระบายความดันและสุญญากาศ (รวมทั้งช่องเปิด) ควรมีความเหมาะสมที่สามารถให้แก๊สระบายผ่านได้ตามอัตราที่ต้องการ เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินกรณีเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (คือกรณีฉุกเฉินมีได้หลายรูปแบบ แต่ให้พิจารณากรณีที่ต้องการอัตราการระบายที่สูงสุด) หรือการรวมกันอย่างสมเหตุสมผลหรือมีความเป็นไปได้ของกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ (คืออาจเกิดกรณีฉุกเฉินหลายกรณีพร้อมกัน แต่ต้องพิจารณาด้วยว่ามันมีความสมเหตุสมผลหรือโอกาสที่จะเกิดพร้อมกันหรือไม่) ตรงนี้ให้ดูหัวข้อ 3.2.5 (ตอนที่ ๕ และ ๖) และ 3.3.1 (ตอนที่ ๗)

ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าการจำลองสถานการณ์ในหัวข้อ 3.2.5 ผู้ใช้ควรต้องระบุว่าภาระการระบายความดันนั้นควรใช้อุปกรณ์ระบายความดันออกที่ใช้งานในการทำงานปรกติ (คืออาจใช้ท่อระบายความดันปรกติ หรือ Pressure-Vacuum valve แต่การกำหนดขนาดให้พิจารณาจากขนาดของสถานการณ์ฉุกเฉิน) หรือใช้อุปกรณ์ระบายความดันฉุกเฉิน การพิจารณาประเด็นนี้อาจมีความสำคัญถ้าการระบายความดันฉุกเฉินมีรูปแบบเป็นการเปิดหลังคาออกหรือใช้อุปกรณ์ระบายความดันที่ไม่ปิดกลับคืนได้ (เช่นพวก rupture-disk หรือ blow-off hatch)

รูปที่ ๑ หัวข้อ 3.6 และ 3.6.1

ย่อหน้าที่สามกล่าวว่าอาจกำหนดให้มีการใช้ระบบแก๊สเฉื่อยดังนี้กล่าวไว้ในหัวข้อ 3.5.3 เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงเอาอากาศเข้าไปในถังเก็บในระหว่างการเกิดสุญญากาศภายในถัง แต่ไม่ควรให้ความสำคัญกับระบบแก๊สเฉื่อยนี้ในการหาขนาดของอุปกรณ์ป้องกันสุญญากาศ (คือให้คิดเสมือนว่าไม่มีระบบแก๊สเฉื่อยช่วยป้องกัน แม้ว่าจะกำหนดให้มีติดตั้งอยู่ก็ตาม)

ย่อหน้าที่สี่กล่าวว่าไฮดรอกลิกส์ (hydraulics) ของช่องทางไหลเข้าและไหลออกสามารถส่งผลต่อการหาขนาดอุปกรณ์ระบายความดัน ซึ่งสามารถเป็นกระบวนการออกแบบแบบวนซ้ำ ส่วนย่อหน้าสุดท้ายกล่าวว่าเกณฑ์สำหรับสมการใช้คำนวณได้อธิบายไว้ในภาคผนวก D

ความหมายของคำว่า "ไฮดรอกลิกส์" ตรงนี้น่าจะหมายถึงการสูญเสียความดันทางด้านช่องทางเข้าและช่องทางออก ซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่นการเปลี่ยนแปลงขนาด, รูปร่างขอบของช่องทางเข้า (ขอบเหลี่ยมหรือมน, ปลายตรงหรือโค้งมน ฯลฯ), การมีข้องอ, การมีหลังคาปิดป้องกันฝนที่ทางออก ฯลฯ

รูปที่ ๒ หัวข้อ 3.6.2

หัวข้อ 3.6.2 (รูปที่ ๒) เป็นเรื่องการตั้งค่าการระบายความดันและสุญญากาศ หัวข้อ 3.6.2.1 กล่าวว่าค่าความดันเพื่อการระบายความดันและป้องกันสุญญากาศควรสอดคล้องกับความต้องก่ารของมาตรฐานที่ใช้ในการออกแบบและขึ้นรูปถัง อุปกรณ์ระบายความดันภายใต้สถานการณ์ปรกติและสภาวะฉุกเฉินควรมีความสามารถให้แก๊สไหลผ่านที่เพียงพอเพื่อป้องกันความดันสูงเกิน (หรือการเกิดสุญญากาศมากเกินไป) ไม่ให้เกินข้อกำหนดของมาตรฐานที่ใช้ในการออกแบบ มาตรฐานบางชนิดอาจมีความต้องการเฉพาะในขณะที่มาตรฐานอื่นไม่มี

หัวข้อ 3.6.2.2 ย่อหน้าแรกกล่าวว่าการปรึกษาหารือกันระหว่าง ผู้ออกแบบถัง, บุคคลผู้เป็นผู้ระบุอุปกรณ์ระบายความดัน และผู้ผลิตอุปกรณ์ระบายความดัน เป็นสิ่งที่ควรต้องทำอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ระบายความดันนั้นเหมาะสมกับการออกแบบถัง บ่อยครั้งที่มีความจำเป็นต้องตั้งให้ค่าความดัน (ที่อุปกรณ์ระบายความดันเริ่มเปิด) ต่ำกว่าค่าความดันที่ใช้ในการออกแบบถัง ทั้งนี้เพื่อให้ตัวอุปกรณ์ให้ค่าอัตราการไหลที่เพียงพอ ความดันการทำงานควรต่ำกว่าค่าความดันที่ตั้งไว้ (ความดันที่ตั้งให้ตัวอุปกรณ์เปิด) เพื่อให้รองรับการเปลี่ยนแปลงในระหว่างการทำงานตามปรกติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความดันในที่ว่างเหนือผิวของเหลวในถัง (เช่นการมีของเหลวไหลเข้า-ออกจากถัง)

ย่อหน้าที่สองกล่าวว่าเมื่อทำการออกแบบท่อทางเข้าหรือท่อทางออกสำหรับวาล์วระบายความดัน/สุญญากาศ ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อไปนี้ที่มีต่อ ความความดันที่ตั้งไว้เมื่อความดันสูง, ค่าความดันสำหรับสุญญากาศ และอัตราการไหล

ก) ความต้านทานการไหลของท่อ, ข้องอ, และอุปกรณ์อื่นที่ติดตั้ง

ข) ความดันต้านกลับ (back pressure) หรือสุญญากาศภายในระบบ

ตรงนี้คือตัวอุปกรณ์ระบายความดันอาจไม่ได้ติดตั้งโดยตรงเข้ากับถังเก็บ (เช่นจำเป็นต้องมีการต่อท่อยกสูงขึ้น, มีการติดตั้ง flame arrester, มีการติดตั้งวาล์วเพื่อการซ่อมบำรุง) หรือด้านขาออกนั้นจำเป็นต้องมีการหันไปในทิศทางที่ปลอดภัยหรือป้องกันน้ำฝน (เรื่องนี้จะมีการกล่าวถึงต่ออีก) หรือด้านขาออกมีการต่อเข้าระบบท่อร่วม (เช่นต่อเข้าระบบท่อที่ส่งต่อออกไปยังปล่อง (stack) ระบายหรือระบบเผาแก๊สทิ้ง (flare system) ซึ่งอาจมีความดันต้านกลับถ้าหากในเวลานั้นมีการระบายความดันจากถังใบอื่นเข้าสู่ระบบท่อเดียวกัน), หรือเข้าสู่อุปกรณ์อื่นเช่นระบบดักจับไอสาร

รูปที่ ๓ หัวข้อ 3.6.2.3 ถึง 3.6.2.7

หัวข้อ 3.6.2.3 (รูปที่ ๓) กล่าวว่าช่วงการทำงานที่คาดหวังไว้ของระบบควบคุมความดันใด ๆ (ที่ไม่ใช่ระบบป้องกันความดันสูงเกินหรือสุญญากาศ) ควรได้รับการพิจารณาเทียบกับค่าที่ตั้งไว้ของอุปกรณ์ระบายความดัน (คือช่วงความดันที่อุปกรณ์ระบายความดันเริ่มเปิดและปิด) ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการระบายความดันที่อาจก่อให้เกิดความลำคาญ (เช่นถี่เกินไป) และ/หรือการรั่วไหลที่บ่าวาล์ว (seat) ของอุปกรณ์ระบายความดัน

หัวข้อ 3.6.2.4 กล่าวว่าค่าความดันที่ตั้งไว้ของอุปกรณ์ระบายความดัน ไม่ควรสูงเกินค่าความดันสูงสุดที่สามารถเกิดขึ้นได้ที่ระดับเมื่อตัวอุปกรณ์อยู่ในตำแหน่งที่เมื่อดันที่จุดสูงสุดของถังเท่ากับค่าความดันระบุ (nominal pressure) สำหรับถังและถังนั้นมีของเหลวอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ออกแบบไว้ (เมื่อของเหลวในถังอยู่ที่ระดับสูงสุด ปริมาตรที่ว่างเหนือผิวของเหลวจะมีค่าน้อยสุด กล่าวคือสำหรับไอระเหยที่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราเท่ากันและปริมาตรเท่ากัน ถ้าที่ว่างเหนือผิวของเหลวมีปริมาตรมาก ความดันก็จะเพิ่มไม่มาก แต่ถ้าที่ว่างเหนือผิวของเหลวมีปริมาตรเหลือน้อย ความดันจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าและสูงกว่า) ความดันเนื่องจากความแตกต่างของระดับความสูง (static head) อาจมีนัยสำคัญ (ถ้าไอระเหยนั้นมาจากสารที่มีความหนาแน่นสูงกว่าอากาศอย่างมีนัยสำคัญ เช่นไอระหยของไฮโดรคาร์บอนเหลว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่องระบายออกนั้นถูกต่อท่อขึ้นไปยังระดับที่สูงกว่าถังเก็บ (เช่นถังที่ตั้งอยู่ในอาคาร ท่อทางออกของอุปกรณ์ระบายความดันอาจต้องโผล่ออกไปนอกอาคารหรืะทะลุหลังคาขึ้นไป)

หัวข้อ 3.6.2.5 กล่าวว่าสำหรับถังที่สร้างตามมาตรฐาน API 650 (Welded Tanks for Oil Storage) และไม่ได้ถูกครอบคลุมไว้ด้วย API 650:2007, Appendix F (คือมาตรฐานมันมีการเปลี่ยนแปลงและ/หรือแก้ไขเพิ่มเติมเป็นระยะ ดังนั้นถังที่สร้างตามมาตรฐานที่บังคับใช้ ณ เวลานั้น อาจจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานเมื่อมีการปรับปรุง/แก้ไขมาตรฐาน) อุปกรณ์ระบายความดันที่เลือกควรที่จะจำกัดความดันในถังเพื่อป้องกันการยกตัวและการบิดตัวของหลังคาถัง การยกตัวและการบิดตัวของหลังคาถังเป็นสภาวะที่สามารถระบุได้ด้วยน้ำหนักของถัง แรงทั้งหมดที่กระทำโดยความดันภายในไม่ควรมีค่าเกินน้ำหนักของฝาถังและสิ่งยึดเกาะต่าง ๆ (เช่นทางเดินและราวจับ) ตัวอย่างเช่นความดันเกจควรถูกจำกัดไว้ที่ค่าประมาณ 350 Pa (ปาสคาล) หรือประมาณ 3.5 มิลลิบาร์หรือ 1.4 นิ้วน้ำ (คือความดันเทียบเท่าความสูงของน้ำ 1.4 นิ้ว) สำหรับหลังคาเหล็กกล้าคาร์บอนหน้า 4.76 มิลลิเมตร (3/16 นิ้ว)

หัวข้อ 3.6.2.6 กล่าวว่าสำหรับถังที่สร้างตามมาตรฐาน EN 14015 ค่าความดันที่ตั้งไว้ของวาล์วควรจะเลือกให้มีค่าที่ทำให้ ณ ความสามารถในการระบายที่ต้องการนั้น ความดันในถังจะต้องไม่เกินค่าความดันออกแบบ (มาตรฐาน EN 14015 Specification for the design and manufacture of site built, vertical, cylindrical, flat-bottmed, abover ground, welded, steel tnaks for the storate of liquids at ambient temperature and above เป็นมาตรฐานของทางสหภาพยุโรป)

หัวข้อ 3.6.2.7 กล่าวว่าโดยทั่วไปค่าความดันที่ตั้งไว้และค่าความดันที่เริ่มทำการระบายสำหรับการระบายความดันสุญญากาศ ควรมีค่าที่สามารถป้องกันการเกิดอันตรายต่อถัง และควรจำกัดความเป็นสุญญากาศอยู่ที่ระดับที่ไม่มากเกินกว่าค่าความดันที่ใช้ออกแบบถัง อุปกรณ์ระบายความดันสุญญากาศของถังควรตั้งให้เปิดที่ค่าความดันหรือระดับสุญญากาศที่ทำให้มั่นใจได้ว่าความเป็นสุญญากาศในถังจะไม่เกินค่าความดันสุญญากาศที่ใช้ออกแบบถังเมื่ออัตราการไหลเข้าของอากาศผ่านตัวอุปกรณ์ (ระบายความดัน) อยู่ที่ค่าอัตราการไหลสูงสุดที่ได้กำหนดไว้

รูปที่ ๔ หัวข้อ 3.6.3 ถึง 3.6.4

หัวข้อ 3.6.3 การออกแบบ (รูปที่ ๔) ย่อหน้าแรกกล่าวว่า อุปกรณ์ระบายความดันสูงเกินหรือสุญญากาศควรได้รับการออกแบบที่ทำให้ยังสามารถปกป้องถังเก็บได้ในกรณีที่เกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนสำคัญ

ในกรณีที่สภาวะอุณหภูมิห้องสามารถทำให้เกิดการสะสมของวัสดุที่สามารถป้องกันไม่ให้วาล์วเปิด (เช่นกรณีของยางมะตอยที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ในตอนที่ ๑๐) ผู้ใช้ควรพิจารณาการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อป้องกันการทำงานผิดปรกติของตัวอุปกรณ์

หัวข้อ 3.6.4 เกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการขึ้นรูป หัวข้อนี้กล่าวว่าวัสดุที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์ระบายความดันรวมทั้งระบบท่อที่เกี่ยวข้องควรเลือกให้เหมาะกับวัสดุที่ทำการเก็บ ณ ความดันและอุณหภูมิการทำงาน และตัววัสดุนั้นควรต้องเข้าได้กับสารในถังเก็บ และผลิตภัณฑ์อื่นที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณของอุปกรณ์ระบายความดันเมื่อทำการระบายความดัน

จะว่าไปความหมายของคำว่า "เข้ากันได้ (compatible)" กับ "ทนต่อ (resistant to)" ก็ไม่ได้เหมือนกัน การที่บอกว่าวัสดุหนึ่งทนต่อสารเคมี นั่นคือสารเคมีนั้นไม่สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่วัสดุนั้นได้ หรืออัตราการเสียหายอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับอายุการใช้ คือมองที่ตัววัสดุเป็นหลัก แต่ความหมายของคำว่า "เข้ากันได้" มันจะไปรวมถึงการที่สารเคมีที่บรรจุอยู่นั้นไม่ทนต่อวัสดุ ตัวอย่างเช่นกรณีของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่โลหะหลายชนิด (โดยเฉพาะพวกทองแดงทองเหลือง) ที่ไปทำให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายตัวโดยทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ในขณะที่ตัวมันเองไม่เป็นอะไร

รูปที่ ๕ หัวข้อ 3.7.1

ต่อไปเป็นหัวข้อ 3.7 (รูปที่ ๕) ที่เป็นเรื่องของการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดันและช่องเปิดระบายความดัน

เริ่มจากหัวข้อ 3.7.1 เรื่องทั่วไป ที่กล่าวว่าอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกินและสุญญากาศ และช่องเปิดระบายความดัน ควรได้รับการติดตั้งดังต่อไปนี้

a) ตัวอุปกรณ์ควรมีการเชื่อมต่อโดยตรงกับที่ว่างที่เป็นไอ และต้องไม่ถูกปิดกั้นด้วยของเหลวในถังเก็บ (คือท่อด้านขาเข้าต้องไม่มีข้องอหรือความลาดเอียงที่ทำให้ไอของเหลวที่ระเหยมานั้นมาควบแน่นเป็นของเหลวทางด้านทางเข้าของอุปกรณ์ระบายความดันได้)

b) วาล์วเปิดปิดหรืออุปกรณ์ตัดแยกระบบใด ๆ ที่อยู่ในเส้นทางระบายความดัน ควรที่จะถูกล็อกหรือตรึงให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ในกรณีที่ไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดันสำรอง สิ่งนี้ทำให้ด้วยการล็อกหรือยึดตรึงให้วาล์วเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งเปิด เมื่อมีการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดันสำรอง ควรใช้ วาล์วชนิดหลายทิศทาง, วาล์วอินเตอร์ล็อก, หรือวาล์วปิดกั้นที่มีการปิดผนึกและขั้นตอนการทำงาน ที่ทำให้การแยกอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกินหรือสุญญากาศตัวหนึ่ง ไม่ไปลดความสามารถในการระบายความดันของอุปกรณ์ตัวที่เหลือให้ต่ำกว่าความสามารถในการระบายที่ต้องการ

ตัวอย่างเช่นในกรณีของวาล์วระบายความดัน ถ้าไม่มีวาล์วปิด-เปิดด้านขาเข้า ก็จะมั่นใจได้ว่าตัววาล์วระบายความดันมีการเชื่อมต่อกับที่ว่างเหนือผิวของเหลวตลอดเวลา แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องถอดวาล์วระบายความดันตัวนี้มาตรวจหรือซ่อมบำรุง ก็จะมีไอระเหยออกมาทางช่องเปิดที่ถอดตัววาล์วออกไป เพื่อแก้ปัญหานี้แนวทางหนึ่งคือติดตั้งวาล์วระบายความดันสองตัว แต่ใช้เพียงตัวเดียว อีกตัวสำรองไว้ใช้เวลาที่ต้องถอดตัวที่ใช้งานอยู่เดิมมาซ่อมบำรุง

การเลือกใช้วาล์วสามทางที่ต้องเลือกเปิดไปด้านขาออกด้านใดด้านหนึ่ง (ดังตัวอย่างในรูปที่ ๖) ติดตั้งด้านขาเข้าวาล์วระบายความดันก็เป็นวิธีการหนึ่ง หรือการออกแบบระบบอินเตอร์ล็อกที่ทำให้เมื่อต้องปิดวาล์วตัวหนึ่งก็ต้องไปเปิดวาล์วอีกตัวหนึ่งแทน


รูปที่ ๖ ตัวอย่าง selector valve ใช้กับวาล์วระบายความดัน ที่เมื่อเลือกปิดด้านใดด้านหนึ่งก็จะไปเปิดอีกทางด้านหนึ่งแทน

c) วาล์วปิดกั้นใด ๆ ที่อยู่ทางด้านขาเข้าของ PV valve ต้องเป็นชนิด "full bore" คือพื้นที่การไหลที่น้อยที่สุดต้องเท่ากับหรือมากกว่าพื้นที่ด้านขาเข้าของ PV valve ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียความดันและการไหลแบบปั่นป่วน วาล์วปิดกั้นใด ๆ ทางด้านขาออกของ PV valve ก็ต้องเป็นชนิด "full bore" ด้วยเช่นกัน และวาล์วเหล่านี้ต้องมีความเหมาะสมกับการใช้งาน (คือไม่ว่าจะเป็นชนิดวัสดุ ความดันและอุณหภูมิการทำงาน)

d) การออกแบบจะต้องมั่นใจว่าส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งด้านขาเข้าและขาออก (รวมทั้งวาล์วปิดกั้น) ต้องยอมให้อุปกรณ์ระบายความดันสามารถระบายความดันได้ ณ อัตราการไหลที่ต้องการ การสูญเสียความดันด้านขาเข้าและขาออกในระหว่างการระบายความดันควรต้องนำมาพิจารณาเมื่อทำการหาขนาดวาล์วระบายความดันสูงเกินและสุญญากาศ ท่อทางเข้าที่ยื่นลึกลงไปในตัวถังเก็บ, ความดันลดคร่อมวาล์วปิดกั้นใด ๆ ทางด้านขาเข้าของวาล์วระบายความดันและท่อด้านขาเข้า ต้องนำมาพิจารณาเพื่อระบุการสูญเสียเหล่านี้

คือถ้าจุดทางเข้าของวาล์วระบายความดันไม่ใช่ตำแหน่งฝาถัง แต่มีการต่อท่อให้ปลายยื่นลงไปต่ำกว่าระดับฝาถัง ความสูญเสียความดันทางด้านขาเข้าจะมีมากกว่าเมื่อจุดทางเข้าอยู่ที่ตำแหน่งฝาถัง ท่อด้านขาเข้าที่อาจจำเป็นต้องติดตั้งเพื่อยกระดับวาล์วระบายความดันให้สูงขึ้นก็สามารถเพิ่มการสูญเสียความดันด้านขาเข้าได้ (ในบางกรณีอาจต้องยกระดับวาล์วระบายความดันให้สูงขึ้น เพื่อให้ท่อด้านขาออกสามารถเอียงลงสู่ท่อระบายร่วมได้ เพื่อให้ของเหลวที่อาจเกิดการควบแน่นเมื่อไอเย็นตัวลงนั้น ไหลออกไปจากตัววาล์วระบายความดัน)

รูปที่ ๗ หัวข้อ 3.7.2

หัวข้อ 3.7.2 เป็นเรื่องของท่อด้านระบายออก (รูปที่ ๗) กล่าวว่าท่อด้านระบายออกของอุปกรณ์ระบายความดัน, ท่อระบายร่วม, หรือช่องเปิดระบายความดัน ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

a) ต้องระบายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย ตำแหน่งและทิศทางการระบายออกต้องป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของไอที่ลุกติดไฟได้ที่ระดับพื้นดินหรือในพื้นที่ปิดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงท่อระบายที่หันลงด้านล่าง (เพื่อป้องกันฝนที่ตกลงมาไหลเข้า) หรือเป็นรูปคอห่านถ้าหากมีโอกาสที่จะมีการปลดปล่อยไอสารที่ลุกติดไฟได้ในปริมาณมากออกมา ตำแหน่งและทิศทางการระบายควรต้องออกไปยังพื้นที่ที่ป้องกันไม่ให้เกิดเปลวไฟลนบน ตัวบุคคล, ถังเก็บ, ระบบท่อ, อุปกรณ์และโครงสร้างต่าง ๆ มีหลายมาตรฐานที่ควรนำมาพิจารณา (เช่น API 500, TRbF 20, NFPA 30, IEC 60079-10) เพื่อระบุวิธีการะบายออกที่ปลอดภัยของลำแก๊สที่ระบายออกมาจากถังเก็บ

คือในกรณีของสารที่ระบายออกมานั้นลุกติดไฟได้และมีการระบายออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นในกรณีที่ถังเก็บถูกไฟคลอก แก๊สที่ระบายออกมามีโอกาสที่จะลุกติดไฟได้อย่างต่อเนื่องที่ปลายท่อด้านขาออก จึงต้องหันทิศทางปลายท่อไม่ให้เปลวไฟที่อาจเกิดขึ้นนั้นไปลนหรือทำความเสียหายให้กับบุคคลหรืออุปกรณ์รอบตัว

b) ควรได้รับการป้องกันจากความเสียหายทางกล

c) ควรได้รับการป้องกันหรือกำจัดความชื้นในอากาศและน้ำที่ควบแน่นจากตัวอุปกรณ์ระบายความดันและระบบท่อที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจทำได้ด้วยการใช้ฝาปิดกันนั้นฝนแบบหลว ๆ หรือมีช่องระบาย แต่ก็ควรนำการสูญเสียความดันเนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้ (เช่นฝาปิด) มาพิจารณาด้วย ถ้าจัดให้มีจุดระบายของเหลวที่ตำแหน่งต่ำสุด จะต้องหันไปในทิศทางที่ป้องกันไม่ให้เปลวไฟที่อาจเกิดขึ้นนั้นลดไปบน ตัวถัง, ระบบท่อ, อุปกรณ์และโครงสร้าง การเลือกฝาปิดกันน้ำฝนควรได้รับการพิจารณาอย่างระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ปิดกั้นการไหลเพื่อระบายความดันสูงเกินหรือป้องกันการเกิดสุญญากาศ

เรื่องรูระบายของเหลวที่ตำแหน่งต่ำสุดด้านขาออกอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง "รูระบายของเหลวที่ท่อด้านขาออกของ Safety valve" เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กล่าวคือในกรณีที่แก๊สที่ระบายออกมานั้นลุกติดไฟได้ ในจังหวะที่มีการระบายความดันนั้นจะมีแก๊สบางส่วนไหลออกมาทางรูนี้ได้ และถ้าแก๊สที่ไหลออกมาทางรูนี้ลุกติดไฟ เปลวไฟที่เกิดขึ้นไม่ควรจะไปลนที่ตัวถังหรือโครงสร้างใด ๆ ที่อยู่รอบข้าง

d) ไอที่ระเหยออกมาจากถังควรได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดการแข็งตัว

รูปที่ ๘ หัวข้อ 3.7.2 (ต่อ)

e) ถ้าถังเก็บนั้นติดตั้งอยู่ภายในอาคาร อุปกรณ์ระบายควรต้องระบายความดันออกไปนอกอาคาร และไม่ควรใช้ถังที่มีรอยเชื่อมต่อระหว่างหลังคากับส่วนลำตัวที่เป็นจุดอ่อนเพื่อใช้ในการระบายความดันฉุกเฉินกับถังที่ตั้งในอาคาร (เพราะฝาถังมันจะปลิวไปทำความเสียหายให้กับโครงสร้างอาคารและสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบภายในอาคารได้)

f) ท่อระบายความดันจากอุปกรณ์ระบายความดันจากถังหนึ่งถังหรือมากกว่าอาจเชื่อมต่อเข้ากับท่อระบายหลักเดียวกันได้ถ้าหากท่อระบายหลักนั้นมีลักษณะเป็นไปตามบทบัญญัติอื่นของหัวข้อย่อยนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเกิดจุดที่ของเหลวสามารถสะสมจนกระทั่งทำให้เกิดความดันย้อนกลับที่สูงเพียงพอที่ทำให้วาล์วระบายความดันไม่สามารถทำงานได้อย่างปรกติ ช่องระบาย, รูระบาย, รูระบายขนาดเล็ก (bleeder), และอุปกรณ์ระบายความดัน ใด ๆ ไม่ควรถูกต่อเข้ากับท่อระบายร่วมถ้าหากสามารถเกิดความดันย้อนกลับที่ทำให้อุปกรณ์ระบายความดันบนถังนั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างปรกติ จะต้องนำเอาความดันย้อนกลับที่เกิดขึ้นในการระบายความดันมาร่วมพิจารณาในการหาขนาด ท่อระบายร่วม, ขนาดของอุปกรณ์ระบายความดัน, การตั้งค่าความดันชดเชยของอุปกรณ์ระบายความดันที่ไม่สมดุล (ดูมาตรฐาน ISO 16852) การพิจารณาควรต้องคำนึงถึงโอกาสที่วาล์วระบายความดันสูงเกิน/ป้องกันสุญญากาศจะยอมให้ของเหลวในท่อระบายร่วมไหลเข้าไปในถังเก็บ การออกแบบระบบควรต้องประเมินการเข้ากันได้ของของไหล (กล่าวคือไม่ใช่เอาของไหลที่ทำปฏิกิริยากันมาระบายเข้าท่อระบายร่วมเดียวกัน) และการเคลื่อนที่ของเปลวไปที่อาจทำให้ต้องมีการติดตั้ง detonation arrester

ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาที่เร่งตนเอง ดังนั้นเวลาที่เปลวไฟเคลื่อนที่ไปในท่อมันจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากความเร็วในการเคลื่อนที่นั้นต่ำกว่าความเร็วเสียงจะเรียกว่าเป็น deflagration ซึ่งใช้ flame arrester ดักเอาไว้ได้ แต่ถ้าผ่านความเร็วเสียงเมื่อใดมันจะทำให้เกิด shock wave เรียกว่าเป็น detonation ซึ่งตรงนี้ต้องใชเ detonation arrester เป็นตัวดักเอาไว้

g) ดูมาตรฐาน ISO 16852 สำหรับการประยุกต์ใช้งานที่ถูกต้องของ flame arrester กับท่อระบายด้านขาอออก ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ flame arrester สามารถพบได้ในมาตรฐาน NFPA 69, UL 525 และ TRbF 20

h) ท่อด้านระบายออกทั้งหมดควรได้รับการรองรับที่เพียงพอและต้องไม่ก่อให้เกิดแรงกระทำมากเกินไปต่อตัวอุปกรณ์ระบายความดัน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของน้ำหนักท่อหรือจากโมเมนต์การบิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการระบายความดัน

ตัวอย่างความเสียหายที่เกิดจากโมเมนต์แรงบิดที่เกิดขึ้นระหว่างการระบายความดันนี้อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง "พังเพราะข้องอเพียงตัวเดียว" เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

รูปที่ ๘ หัวข้อ 3.7.3 - 3.7.5

หัวข้อ 3.7.3 การตรวจยืนยันค่าความดันที่ตั้งไว้ (รูปที่ ๘) หัวข้อนี้กล่าวว่าค่าความดันที่ตั้งไว้ของอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกิน/ป้องกันสุญญากาศทุกตัว ควรได้รับการยืนยันก่อนนำเอาอุปกรณ์ไปติดตั้งใช้งาน ด้วยวิธีการตามมาตรฐานของผู้ใช้งานและข้อปฏิบัติต่าง ๆ (กล่าวคืออย่างเชื่อค่าที่ผู้ผลิตบอกมาโดยไม่ทดสอบยืนยันด้วยตนเอง)

หัวข้อ 3.7.4 การติดตั้ง หัวข้อนี้กล่าวว่าการติดตั้งอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกิน/ป้องกันสุญญากาศ ควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้

a) ในบางกรณีน้ำหนักถ่วงอาจถูกส่งแยกเป็นชิ้นส่วนต่างหาก เพื่อป้องกันความเสียหายกับโครงสร้างภายใน ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังในการติดตั้งน้ำหนักถ่วงให้เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิต (คือการตั้งค่าแรงที่ใช้ในการทำให้ชิ้นส่วนที่คุมเส้นทางการไหลนั้นเปิดหรือปิด อาจทำได้ด้วยการใช้สปริงหรือน้ำหนักกดกระทำต่อชิ้นส่วนที่คุมเส้นทางการไหลนั้น)

b) อาจมีการติดตั้งบรรจุภัณฑ์ไว้ภายในและ/หรือภายนอกตัวอุปกรณ์เพื่อการป้องกันในระหว่างการขนส่ง ซึ่งต้องนำออกก่อนใช้งานตัวอุปกรณ์ระบายความดัน

c) อ่านคำแนะนำของผู้ผลิตก่อนทำการติดตั้ง

หัวข้อ 3.7.5 เป็นเรื่องของการตรวจสอบและการซ่อมบำรุง หัวข้อนี้กล่าวว่า การตรวจสอบและการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ระบายความดันสูงเกิน/สุญญากาศควรต้องทำตามแนวปฏิบัติของการซ่อมบำรุงเพื่อการป้องกันของผู้ใช้งาน และวิธีการปฏิบัติงานที่เหมาะสมที่สุด การตรวจสอบควรมีการกำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมกับสภาวะการใช้งาน ควรศึกษาแนวทางการตรวจสอบและการซ่อมบำรุงตามที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ให้ไว้

ตอนที่ ๑๑ นี้คงพอแค่นี้