แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ isolation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ isolation แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ดีที่สุดคือออกไปดูของจริง MO Memoir : Thursday 30 July 2563


HAZOP ที่ย่อมาจากชื่อเต็มว่า Hazard and Operability Study เป็นเทคนิคที่ได้รับการพัฒนามาจากบริษัท ICI ของประเทศอังกฤษ และหนึ่งในทีมผู้พัฒนาและทำให้เทคนิคนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปเห็นจะได้แก่ Prof. T.A. Kletz ที่เป็น safety adivisor คนแรกของ ICI ตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานอยู่ในหน่วย Heavy Organic Chemicals Division และเป็นผู้ที่ได้ออกจดหมายข่าว ICI Safety Newsletter ที่ได้นำเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังในที่นี้

เทคนิคนี้จะทำการพิจารณาว่า ถ้าหากการทำงานนั้นมีการเบี่ยงเบนไปจากที่ต้องการ จะเกิดอะไรขึ้นตามมาได้บ้าง การพิจารณาก็จะอาศัยแบบที่เรียกว่า P&ID ที่ย่อมาจาก Piping and Instrumentation Diagram เป็นหลัก จากนั้นก็จะอาศัยความรู้และประสบการณ์จากผู้เข้าร่วมมาช่วยกันพิจารณา แต่ทั้งนี้แบบ P&ID ที่นำมาพิจารณาก็ต้องตรงกับความเป็นจริงด้วย แต่จะว่าไปแล้วแม้ว่าแบบ P&ID ที่นำมาพิจารณานั้นจะตรงกับความเป็นจริง แต่มันก็มีหลาย ๆ สิ่งที่มันไม่ปรากฏอยู่ในแบบ P&ID ซึ่งสิ่งที่ไม่ปรากฏนี้สามารถที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังเช่น ๒ เรื่องที่จะยกมาเล่าในวันนี้

เรื่องที่ ๑ เมื่อวาล์วอยู่ห่างกันและมองไม่เห็นกัน

ระบบ double block and bleed valves เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการ isolation (คือตัดการเชื่อมต่อจากระบบ) ระบบนี้จะประกอบด้วย block valve สองตัวและ bleed valve หนึ่งตัวอยู่ระหว่างกลาง (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ เหตุการณ์ drain valve ของระบบ double block and bleed valves เปิดค้างเอาไว้ (จาก ICI Safety Newsletter เดือนเมษายน ค.. ๑๙๗๔ (.. ๒๕๑๗))

คำว่า block valve ในที่นี้หมายถึงวาล์วที่ทำหน้าที่เปิด-ปิด ส่วนจะเป็นวาล์วชนิดไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง (ซึ่งมันขึ้นอยู่กับชนิดชนิดของ fluid, อุณหภูมิ และความดัน ในท่อนั้น) ส่วน bleed valve นั้นหมายถึงวาล์วที่ทำหน้าที่ระบายของเหลวหรือแก๊สที่รั่วผ่าน block valve ด้านระบบ ถ้า fluid เป็นของเหลวเขาก็อาจเรียกว่า drain valve และถ้า fluid เป็นแก๊สก็อาจเรียกว่า vent valve และเช่นกันที่ว่ามันจะเป็นวาล์วชนิดไหนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับท่อขนาดใหญ่นั้นขนาดของ bleed valve นั้นจะเล็กกว่าขนาดของ block valve มาก
  
การทำ isolation ด้วยการใช้ระบบ double block and bleed valves มันดีกว่าการสอด slip plate ตรงที่ว่ามันไม่ต้องมีการถอดท่อ และประหยัดเวลาทำงาน โดยในการทำ isolation นั้นจะ "ปิด" block valve ทั้งสองตัว และ "เปิด" bleed valve ทิ้งเอาไว้ หน้าที่ของ bleed valve ก็คือถ้าหากมี process fluid รั่วผ่าน block valve ด้าน process ได้ process fluid นั้นก็จะถูกระบายออกทาง bleed valve ทำให้ยากที่จะรั่วไหลผ่าน block valve ด้านที่ต้องการแยกออกจากระบบได้ ปลายท่อด้าน bleed valve จะระบาย process fluid ที่อาจรั่วออกมานั้นไปที่ไหน ก็คงต้องพิจารณาดูจากปริมาณที่อาจรั่วและอันตรายของ process fluid นั้น ดังนั้นปลายท่อด้าน bleed valve จึงอาจไม่ได้ต่อถาวรเข้ากับท่อระบายใด ๆ แต่อาจเปิดไว้เพื่อให้ของเหลวที่อาจมีรั่วไหลนั้นไหลลงภาชนะรองรับ หรือต่อสายยางให้ของเหลวหรือแก๊สที่อาจมีรั่วออกมาให้ระบายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย
  
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะป้องกันได้ 100% เพราะมันก็เคยมีกรณีเหมือนกันว่าระบบนี้ไม่ได้ทำงานดังที่คาดหวัง ซึ่งได้เคยเล่าเอาไว้ในเรื่อง "แม้แต่ Double block and bleed ก็อย่าวางใจ" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒
  
ในเหตุการณ์แรกนี้ ตัว bleed valve (ซึ่งก็คือ drain valve) ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเปิด block valve เพื่อให้ proces fluid ไหลเข้าระบบ process fluid ก็เลยรั่วไหลออกทาง bleed valve ตามด้วยการเกิดเพลิงไหม้ แม้ว่ารายงานการสอบสวนจะโทษว่าเป็นความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติงาน แต่ก็ยอมรับว่ารูปแบบการติดตั้งวาล์วนั้นไม่เหมาะสม คืออยู่ห่างกันและมองไม่เห็นกัน (ซึ่งตรงนี้คงเป็นคำอธิบายว่าทำไมเมื่อเกิดการรั่วไหลผ่านทาง bleed valve ผู้ที่เปิด block valve ด้าน proces fluid จึงไม่ทราบว่ามันมีการรั่วไหลเกิดขึ้น เพราะถ้าเขารู้ เขาก็น่าจะรีบปิดวาล์วที่กำลังเปิดอยู่
  
แผนผังท่อในรูปที่ ๑ ยังแสดงให้เห็นการออกแบบที่ไม่ดีบางอย่างด้วย กล่าวคือ block valve ด้านขาเข้า (คือด้าน process fluid) อยู่ต่ำกว่าด้านขาออก (คือด้าน equipment) ดังนั้นในกรณีที่ process fluid เป็นของเหลว มันก็จะสามารถค้างในเส้นท่อที่อยู่ระหว่าง block valve ด้านขาเข้าและ bleed valve ได้

เรื่องที่ ๒ เพราะหลังคามันชันเกินไป

น้ำฝนมันไม่ค้างบนพื้นผิวที่ลาดเอียง แต่หิมะมันค้างบนพื้นผิวที่ลาดเอียงไม่มากได้ และถ้ามันสะสมมากเกินไป หลังคาก็อาจรับน้ำหนักไม่ไหวและพังลงมาได้
 
รูปที่ ๒ เหตุการณ์ที่ถังเก็บยุบตัวจากแรงกดอากาศ เนื่องจากท่อระบายอากาศที่มีอยู่ ๓ ท่อนั้นอุดตันหมด (จาก ICI Safety Newsletter เดือนตุลาคม ค.. ๑๙๘๑ (.. ๒๕๒๔))
  
ในประเทศที่มีหิมะตกนั้น การออกแบบหลังคาก็ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของหิมะที่จะสะสมบนหลังคาด้วย วิธีการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้หิมะสะสมบนหลังคาก็คือการทำให้หลังคามีความลาดเอียงค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้หิมะที่ก่อตัวสูงขึ้นถึงระดับหนึ่งจะไหลลงมาเอง ถังเก็บประเภท floating roof tank ในบ้านเราไม่จำเป็นต้องมี cone roof tank ปิดคลุมอีกชั้นหนึ่ง เพราะบ้านเราไม่มีหิมะตก ส่วนฝนที่ตกลงมานั้นก็สามารถไหลลงท่อระบายได้ แต่ในพื้นที่ที่มีหิมะตกมากนั้นก็ต้องสร้าง cone roof ปิดคลุมเอาไว้ เพื่อให้ให้ตัว floating roof ต้องรับน้ำหนักหิมะที่มากเกินไปจนอาจทำให้ตัว floating roof จมได้

รูปที่ ๓ เหตุการณ์ในรูปที่ ๒ ไม่ได้ให้ภาพประกอบ แต่คาดว่าน่าจะเป็นทำนองนี้

ในเหตุการณ์นี้ ถัง (tank) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๔๓ เมตร ถูกแรงกดอากาศกดจนยุบตัว (ที่เขาใช้คำว่า was sucked in) แม้ว่าถังนี้จะมีท่อ vent (ที่ไว้ระบายอากาศในถังออกเมื่อเติมของเหลวเข้าถัง และให้อากาศข้างนอกไหลเข้าเมื่อสูบของเหลวออกจากถัง เพื่อรักษาความดันภายในถังให้เท่ากับภายนอกถัง) ถึง ๓ ท่อด้วยกัน ตัวท่อ vent เหล่านี้มีการติดตั้งตะแกรงลวดเพื่อป้องกันไม่ให้นกเข้าไปทำรัง แต่เนื่องจากมันไม่เคยถูกทำความสะอาดเลย จึงทำให้มีคราบของแข็งเกาะติดจนเกือบอุดตัน
  
สาเหตุที่มันไม่เคยถูกทำความสะอาดก็เพราะ หลังคานั้นค่อนข้างจะลาดชัด และบนหลังคาไม่มี handrail สำหรับให้คนที่ต้องขึ้นไปทำงานบนหลังคานั้นยึดเกาะ ก็เลยทำให้ไม่มีใครอยากจะขึ้นไป แต่ถ้ามีคนขึ้นไปทำความสะอาด ก็คงจะไม่มีเหตุการณ์ถังยุบตัว แต่คงเกิดเหตุการณ์คนทำงานตกจากหลังคาแทน
  
ของเหลวบางชนิดนั้นมันสามารถเกิดปฏิกิริยาการพอมิเมอร์ไรซ์กลายเป็นของแข็งได้ ดังนั้นในการเก็บจึงต้องมีการผสมตัวยับยั้ง (inhibitor) เข้าไปในของเหลว เพื่อไม่ให้มันเกิดการรวมตัวเป็นของแข็ง แต่ตัวยับยั้งนี้มันไม่ระเหยตามไอของเหลวที่ระบายออกทาง vent ดังนั้นถ้าไอของเหลวนี้ไปควบแน่นที่บริเวณท่อ vent มันก็สามารถรวมตัวกันเป็นของแข็งอุดตันท่อ vent ได้

เรื่องที่ ๓ รองน้ำที่นี่มันสะดวกดี

ระบบหัวฉีดน้ำดับเพลิงอัตโนมัติที่เรียกว่า sprinkler system นั้นมีอยู่ ๒ แบบ แบบแรกนั้นเรียกว่ารูปแบบเปียก (wet sprinkler system) จะมีน้ำอยู่เต็มท่อไปจนถึงหัวฉีด เรียกว่าหัวฉีดทำงานเมื่อใดก็จะมีน้ำฉีดออกมาทันที แต่สำหรับประเทศที่อากาศหนาวจัดจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้นั้น รูปแบบนี้อาจไม่เหมาะสม เพราะเมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็งมันจะขยายตัว จนสามารถทำให้ท่อนั้นแตกได้ ดังนั้นเขาก็จะใช้อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นรูปแบบแห้ง (dry sprinkler system) ที่จะจ่ายน้ำเข้าระบบเมื่อมีความต้องการ รูปแบบหลังนี้น้ำจะใช้เวลาเดินทางหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องท่อแตกในหน้าหนาว
  
ระบบเปียกนั้นจะมีปั๊มตัวเล็กรักษาความดันในระบบท่อที่เรียกว่า jogging pump เมื่อความดันในระบบท่อลดลงเข่นจากการรั่วซึม ตัว jogging pump ก็จะทำงานเพื่อรักษาความดันให้คงเดิม แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์หัวฉีดทำงาน ตัว jogging pump จะเพิ่มความดันให้ไม่ได้ ความดันจะตกลงอีกจนกระทั่ง fire pump ซึ่งก็คือปั๊มจ่ายน้ำหลักทำงาน
  
รูปที่ ๔ สัญญาณเตือนที่หาต้นตอไม่ได้ อันเป็นผลจากการติดตั้งระบบตรวจสอบการทำงานของสัญญาณ (จาก ICI Safety Newsletter เดือนพฤศจิกายน ค.. ๑๙๘๑ (.. ๒๕๒๔))

ระบบนี้อาจมีการติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเอาไว้ด้วย ที่เมื่อความดันในท่อจ่ายน้ำลดต่ำลง (อันเป็นผลจากการที่หัวฉีดทำงาน) ก็จะมีสัญญาณเตือนแจ้ง ในเหตุการณ์นี้เพื่อให้สามารถทดสอบการทำงานของสัญญาณเตือนได้ จึงได้มีการติดตั้งวาล์วเพิ่ม ๑ ตัวเพื่อไว้ระบายน้ำในท่อดับเพลิงทิ้งซึ่งจะทำให้ความดันในท่อลดต่ำลง เพื่อไว้ใช้ทดสอบการทำงานของระบบสัญญาณเตือน
  
หลังจากนั้นก็พบสัญญาณเตือนปลอม (false alarm) เป็นประจำโดยหาสาเหตุที่มาไม่ได้ จนกระทั่งมาพบว่า
  
พนักงานทำความสะอาดใช้ก๊อกน้ำนี้สำหรับเติมน้ำใส่ถัง (คงเพื่อเอาไปทำความสะอาด)

เรื่องแบบนี้ตัวผมเองก็เคยเจอมาหลายครั้ง เช่นตอนที่นิสิตมีปัญหาเกี่ยวกับการเก็บตัวอย่างแก๊สไปวิเคราะห์ด้วยเครื่อง gas chromatograph แล้วได้ผลการวิเคราะห์ออกมาแปลก ๆ แต่มันสามารถทำซ้ำได้ พอสอบถามว่าทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้หรือเปล่า เขาก็ตอบว่าทำตาม แต่พอไปให้เขาทำการเก็บตัวอย่างให้ดูก็เลยเห็นปัญหา กล่าวคือเขาทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ให้ทำทุกขั้นตอน แต่มีการเพิ่มขั้นตอนพิเศษหรือเทคนิคบางอย่างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงาน และเจ้าตัวขั้นตอนพิเศษหรือเทคนิคบางอย่างนี้มันก่อให้เกิดปัญหา ก็เลยต้องไปปรับแก้ตัวขั้นตอนพิเศษหรือเทคนิคเหล่านั้นเพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลอยเรือยางสำรวจถังลูกโลก MO Memoir : Tuesday 12 March 2562

การเก็บแก๊สที่สามารถใช้ความดันอัดให้เป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิห้อง (เช่นไฮโดรคาร์บอน C3-C4) นิยมใช้การเก็บในถังความดัน ถ้าเก็บในปริมาณไม่มากก็นิยมใช้ถังทรงกระบอกที่มีฝาโค้งปิดหัวท้าย (ที่เรียกว่า bullet type) แต่ถ้าต้องการเก็บในปริมาณมากในถังขนาดใหญ่ก็มักจะใช้ถังลูกโลก (ที่เรียกว่า spherical tank) ที่เป็นถังรูปทรงกลม ข้อดีของถังลูกโลก คือ ที่ผนังหนาเท่ากัน ถังลูกโลกจะสามารถรับความดันได้มากกว่าชนิด bullet type
 
ถังทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่วางตั้งนั้น พื้นถังจะเป็นพื้นราบ การตรวจสอบผิวโลหะด้านในของถังทำได้ด้วยการสร้างนั่งร้านให้อยู่ใกล้กับพื้นผิวผนังได้ (ซึ่งก่อสร้างได้ง่ายบนพื้นราบ) แต่ในกรณีของถังลูกโลกนั้นพื้นผิวของถังเป็นส่วนโค้งทั้งหมด การสร้างนั่งร้านให้เข้าไปใกล้พื้นผิวผนังบริเวณกลางถังคงไม่สะดวกเท่าใดนัก ก็เลยมีการแข่งขันประกวดความคิดที่นำไปสู่วิธีการที่ปลอดภัยและสะดวกในการเข้าไปตรวจสอบพื้นผิวผนังด้านในของถังลูกโลก และวิธีการที่ชนะการแข่งขันก็คือ การใช้เรือยาง (inflatable boat) ลอยบนผิวน้ำในถังลูกโลก (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ (ซ้าย) การลอยเรือตรวจสอบผนังด้านในของถังลูกโลก (วาดขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพสิ่งที่บรรยายไว้ในหัวข้อ 46/6 ของ ICI Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๗๒ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ถ้าเป็นถังลำตัวทรงกระบอก (ขวา) ก็สามารถสร้างนั่งร้านได้ง่าย

เรื่องที่เล่าวันนี้นำมาจากหัวข้อ 46/6 ของ ICI Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๗๒ (พ.ศ. ๒๕๑๕) หรือเมื่อประมาณ ๔๗ ปีที่แล้ว โดยผู้ชนะการประกวดเสนอให้ทำการเติมน้ำจนเต็มถังลูกโลก จากนั้นก็ให้ผู้เข้าไปตรวจสอบสภาพภายในถังนั้นใช้เรือยางลอยเข้าไปสำรวจ โดยเริ่มจากด้านบนก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ปล่อยน้ำออกเพื่อสำรวจผนังที่ระดับต่ำลงมา และทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนสำรวจทั่วทั้งถัง (รูปที่ ๒)

 
รูปที่ ๒ การลอยเรือตรวจสอบผนังด้านในของถังลูกโลก จาก ICI Newsletter ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๗๒ (พ.ศ. ๒๕๑๕)

รายละเอียดการวางแผนการทำงานดังกล่าวมีการอธิบายเพิ่มเติมไว้บางประเด็นในหัวข้อ 49/3 ของ ICI Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ซึ่งขอนำมาขยายความเพิ่มเติมตรงนี้

๑. ในบทความไม่ได้กล่าวว่าถังลูกโลกนั้นใช้เก็บสารอะไร ประเด็นแรกที่ต้องพิจารณาก็คือโครงสร้างของถังนั้นสามารถรับน้ำหนักของน้ำที่เติมเข้าไปจนเต็มถังได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่นความหนาแน่นของแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) อยู่ระหว่าง 500 kg/m3 (โพรเพนบริสุทธิ์ที่เป็นของเหลว) ถึง 600 kg/m3 (บิวเทนบริสุทธิ์ที่เป็นของเหลว) ในขณะที่น้ำมีความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 1000 kg/m3 ซึ่งสูงกว่าประมาณสองเท่า ดังนั้นถ้าเติมน้ำจนเต็มถังจะทำให้โครงสร้างต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าปรกติถึง 2 เท่า
 
ภาชนะรับความดัน (pressure vessel) ถ้าประกอบเสร็จจากโรงงานก็มักจะได้รับการทดสอบความสามารถในการรับความดันจากโรงงาน และวิธีการหลักที่มักเป็นตัวเลือกแรกก็คือ hydraulic test ที่ใช้การเติมน้ำเข้าไปจนเต็มก่อนเพิ่มความดัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็มั่นใจว่าภาชนะนั้นสามารถรับน้ำหนักของน้ำที่บรรจุอยู่ได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างรองรับน้ำหนักภาชนะ (เช่นพื้นและฐานรากต่าง ๆ) ณ สถานที่ติดตั้งจริงจะสามารถรองรับน้ำหนักภาชนะนั้นที่มีน้ำบรรจุเต็มได้
 
แต่ถ้าเป็นภาชนะรับความดันที่ประกอบขื้น ณ ตำแหน่งติดตั้งจริง (เช่นถังลูกโลก) และการออกแบบฐานรากนั้นก็คำนึงถึงการทดสอบความแข็งแรงด้วยการเติมน้ำจนเต็มภาชนะ ก็จะมั่นใจได้ว่าการเติมน้ำเข้าไปจนเต็มภาชนะนั้นจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวภาชนะรับความดันหรือโครงสร้างรองรับ

๒. ประเด็นเกี่ยวกับการที่จะทำให้เรือนั้นลอยอยู่บริเวณใกล้กับผนัง ซึ่งตรงนี้ก็แก้ไขด้วยการใช้แม่เหล็กช่วยยึดตัวเรือเข้ากับผนัง

๓. ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของผู้เข้าไปตรวจ ซึ่งก็ป้องกันด้วยการให้สวมเสื้อชูชีพ มีสายนิรภัย และมีผู้คอยเฝ้ามองอยู่ทางด้านนอก

๔. ประเด็นเรื่องการเติมน้ำจะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความชื้นในการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าไม่เป็นปัญหา เพราะปรกติจะต้องมีการเติมน้ำเข้าไปจนเต็มลูกโลกอยู่แล้วก่อนจะให้ใครเข้าไปตรวจสอบ (ประเด็นนี้ในบทความไม่ได้อธิบายว่าเติมน้ำเข้าไปทำไม แต่เดาว่าเป็นการเติมน้ำเพื่อเข้าไปไล่แก๊สเชื้อเพลิงหรือสารเคมีเดิมที่บรรจุอยู่ในถัง เพราะการใช้แก๊สเฉื่อยเข้าไปไล่แก๊สเชื้อเพลิงในถังขนาดใหญ่นั้นจะสิ้นเปลืองแก๊สและใช้เวลามากกว่าจะเจือจางจนหมด และยังต้องตามด้วยการแทนที่แก๊สเฉื่อยด้วยอากาศอีก แต่ถ้าใช้น้ำในการไล่ พอระบายน้ำออกอากาศก็สามารถไหลเข้าไปในที่ว่างได้เองทางช่องทางด้านบนที่เปิดอยู่

รูปที่ ๓ ICI Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖)

การมองหาวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งคำถามอะไร บทความหัวข้อ 49/3 ใน ICI Newsletter ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖) เปรียบเปรยว่าจะเป็นคนขับรถรางหรือคนขับรถบัส รถรางนั้นต้องวิ่งไปตามราง ถ้าหากมีสิ่งกีดขวางเส้นทาง ก็ต้องหาทางนำสิ่งกีดขวางนั้นออกจากเส้นทาง ไม่งั้นก็ไปสู่จุดหมายปลายทางไม่ได้ ในขณะนี้รถบัสนั้นถ้าหากเส้นทางที่เดินทางอยู่ประจำนั้นมีสิ่งกีดขวาง ก็สามารถที่จะเลือกเส้นใช้ทางใหม่หรือวิ่งอ้อมสิ่งกีดขวางนั้นไป ทำให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เช่นกัน อย่างเช่นในกรณีการตรวจสอบนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคำถามที่ตั้งขึ้นมานั้นไปยึดติดวิธีการ (คือมีวิธีการอยู่ในหัวแล้ว) หรือไปยึดติดที่หลักการ (คือทำอย่างไรจึงจะให้คนตรวจสอบเข้าไปใกล้ผนังได้)
 
บทความในหัวข้อ 49/3 ยังมีเรื่องสืบเนื่องจากบทความในหัวข้อ 49/2 (ที่เล่าไว้ในเรื่อง "Isolation ด้วยวาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียว") ที่กล่าวถึงวิธีการป้องกันการรั่วไหลด้วยวิธีการอื่น เช่นการทำให้ของเหลวในท่อนั้นแข็งตัวด้วยการให้ความเย็นจากภายนอกท่อ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงด้วยว่าโลหะที่ใช้ทำท่อนั้นสามารถทนอุณหภูมิต่ำได้หรือไม่ เช่นถ้าหากคิดจะใช้ไนโตรเจนเหลว (อุณหภูมิ -196ºC) ทำให้ของเหลวในท่อนั้นแข็งตัว ก็ต้องระวังไม่ให้ท่อนั้นเย็นจัดจนเกินไป เพราะความเย็นอาจทำให้ท่อนั้นเปราะและแตกหักง่าย วิธีการนี้น่าจะเหมาะสำหรับการซ่อมบำรุงเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วน
 
อีกวิธีการหนึ่งคือใช้การบีบอัดท่อให้แบน (nipping) เพื่อปิดกั้นการไหล กรณีนี้น่าจะเหมาะกับการปิดกั้นระบบและรอจนกว่าจะมีการหยุดเดินเครื่องจึงค่อยทำการเปลี่ยน แต่ก่อนที่จะทำการบีบท่อก็ควรต้องพิจารณาดูก่อนว่าเนื้อโลหะที่ใช้ทำท่อนั้นเหมาะสมต่อการบีบอัดหรือไม่ ไม่ใช่ว่าพอบีบแล้วแทนที่ท่อจะแบน กลับกลายเป็นแตกแทน

ปิดท้ายที่ว่างของหน้าของ Memoir ฉบับนี้ด้วยภาพบรรยากาศการนำเสนอรายงานวิชา 2105689 Safe Process Operation and Design ของนิสิตปริญญาโท (ภาคในเวลาราชการ) ณ ห้อง ๕๐๒ ตึก ๑๐๐ ปี เมื่อวันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ที่ผ่านมาก็แล้วกันครับ

 

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

Isolation ด้วยวาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียว MO Memoir : Sunday 10 March 2562

un-or-tho-dox adj. not in accordance with what is orthodox conventional, traditional

ดิกชันนารี Oxford Advanced Learner's Dictionary of Current English ฉบับจัดพิมพ์เมื่อปีค.ศ. ๑๙๘๘ ให้นิยามของคำว่า unortodox ไว้ในย่อหน้าข้างต้น ถ้าแปลเป็นไทยก็คงจะออกมาทำนอง "ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ"
 
ในการทำ isolation ระบบเพื่อการซ่อมบำรุงนั้นมักจะย้ำกันนักหนาว่าอย่าไว้วางใจใช้เพียงแต่วาล์วตัวเดียวว่าจะปิดได้สนิท เพราะมันก็เคยมีกรณีที่ใช้วาล์ว ๓ ตัวต่ออนุกรมกัน (Memoi rฉบับวันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๒) หรือใช้ระบบ double block and bleed (Memoir ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๒) ที่มีการรั่วไหลจากด้าน process ย้อนออกมาทางด้าน equipment ได้ ยิ่งเป็นกรณีของวาล์วกันการไหลย้อนกลับ (เรียกแบบอังกฤษก็คือ non-return valve หรือแบบอเมริกันก็คือ check valve) ที่มักจะมีชื่อเสียงในทางลบด้วยแล้วว่า "มักจะเปิดเมื่อควรจะปิด และมักจะปิดเมื่อควรจะเปิด" ก็ยิ่งอย่าไปคาดหวังอะไร
 
แต่กรณีที่นำมาเล่าในวันนี้ เป็นกรณีพิเศษที่ใช้เพียงแค่วาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียว ป้องกันไม่ให้ process fluid รั่วไหลออกมานอกระบบในขณะที่ทำการเปลี่ยนวาล์วที่อยู่ทางด้าน upstream ของวาล์วกันการไหลย้อนกลับ กรณีแบบนี้เห็นว่าถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งแล้ว อย่าเสี่ยงทำแบบนี้ดีกว่า และคงเหมาะสำหรับกรณีของท่อขนาดเล็กที่ถ้าต้องหยุดเดินเครื่องโรงงานทั้งโรงเพื่อเปลี่ยนวาล์วเพียงตัวเดียวก็ไม่น่าจะคุ้ม
 
การแก้ปัญหานี้ทาง Prof. Kletz เห็นว่าเป็นการใช้วิธีการ "lateral thinking" ที่ถ้าแปลตรงตัวก็คงจะได้ว่า "การคิดทางคู่ขนาน" แต่ก็มีคนแปลว่า "คิดนอกกรอบ" แต่ไม่ว่าจะแปลออกมาอย่างไรก็ตามมันก็นำไปสู่การทำงานแบบที่เรียกว่า unorthodox ก็คือ ถ้ายึดเอาวิธีการเป็นหลักในการพิจารณา มันเป็นสิ่งที่สอนกันต่อมาว่าไม่ควรทำเพราะมันก็ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง แต่ถ้ายึดเอาหลักการหรือวัตถุประสงค์เป็นหลักในการพิจารณา มันก็ไม่ผิดอะไร

รูปที่ ๑ ระบบที่ต้องการเปลี่ยนวาล์ว เป็นท่อขนาด 1" ที่วาล์วตัวหนึ่งติดค้างอยู่ในตำแหน่งเปิดและต้องการเปลี่ยน ด้าน process เป็นแก๊สที่ติดไฟได้ที่ความดัน 260 psig (ประมาณ 17.5 bar.g) โดยมีวาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียวขวางกั้นระหว่าง process fluid กับวาล์วที่ต้องการเปลี่ยน (วาดขึ้นใหม่โดยอิงจากรูปใน ICI Safety Newsletter ฉบับที่ ๔๙ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖) เรื่องที่ 49/2)
 
ระบบที่เป็นปัญหานั้นแสดงไว้ในรูปที่ ๑ ที่เป็นท่อขนาด 1 นิ้ว โดยวาล์วตัวหนึ่งติดค้างอยู่ในตำแหน่งเปิด (คือไม่สามารถหมุนปิดได้) ด้าน process เป็นแก๊สที่ติดไฟได้ที่ความดัน 260 psig (ประมาณ 17.5 bar.g) โดยมีวาล์วกันการไหลย้อนกลับเพียงตัวเดียวขวางกั้นระหว่าง process fluid กับวาล์วที่ต้องการเปลี่ยน พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าจะเปลี่ยนวาล์วตัวที่มีปัญหา ก็ต้องพึ่งวาล์วกันการไหลย้อนกลับในการป้องกันไม่ให้แก๊สด้าน process fluid รั่วไหลออกมา

รูปที่ ๒ การเปลี่ยนวาล์วที่อยู่ทางด้าน upstream ของวาล์วกันการไหลย้อนกลับ โดยใช้เพียงแค่วาล์วกันการไหลย้อนกลับป้องกันไม่ให้ process fluid รั่วออกมา นำมาจากบทความที่ ๔๙/๓ ใน ICI Safety Newsletter ฉบับที่ ๔๙ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ. ๒๕๑๖)

ที่นี้ลองมาดูว่าเขาทำกันอย่างไร ต้นฉบับภาษาอังกฤษแสดงไว้ในรูปที่ ๒ แต่ส่วนนี้ขอแปลเป็นภาษาไทยไปทีละข้อให้กับผู้ที่ไม่ถนัดกับศัพท์ภาษาอังกฤษ

๑. ก่อนที่จะเริ่มการทำงาน มีการเขียนข้อควรระวังต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรโดยละเอียดโดยใช้ line diagram และวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ได้รับการกลั่นกรองและเห็นชอบจากระดับเบื้องบนเหนือขึ้นไป (ในที่นี้คือ technical safety manager และ assistant work manager ที่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ก็ควรต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในงาน)
 
ประเด็นนี้ในบทความให้ความสำคัญกับเรื่องการเขียนเป็น "ลายลักษณ์อักษร" เพราะจะเป็นการย้ำเตือนว่าต้องทำอะไรกันบ้าง เพราะถ้าไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน พอถึงเวลาทำงานจริงก็อาจมีการหลงลืมข้ามขั้นตอนกันได้ โดยเฉพาะกับงานที่ต้องทำแข่งกับเวลาเช่นในกรณีนี้

๒. มีการเอ็กซ์เรย์ (ในที่นี้ใช้คำว่า radiographed) วาล์วกันการไหลย้อนกลับ เพื่อตรวจว่าวาล์วกันการไหลย้อนกลับดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ดีและสามารป้องกันการรั่วไหลได้
 
ประเด็นนี้บทความไม่ได้มีการระบุไว้ชัดเจนว่าทำการเอ็กซ์เรย์เมื่อใด แต่เดาว่าควรที่จะมีการเอ็กซ์เรย์อย่างน้อยสองครั้ง คือครั้งแรกกระทำก่อนที่จะวางแผน คือถ้าพบว่าวาล์วกันการไหลย้อนกลับมันรั่ว มันก็ทำอะไรต่อไม่ได้ และครั้งที่สองคือก่อนที่จะถอดวาล์ว เพื่อเป็นการยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่วางแผนการทำงานจนกระทั่งก่อนถึงเวลาลงมือนั้น วาล์วกันการไหลย้อนกลับยังคงอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม

๓. ใช้ความระมัดระวังไม่ให้ความดันด้าน upstream มีการแกว่งไปมาในระหว่างช่วงเวลาทำการเอ็กซ์เรย์และลงมือปฏิบัติงาน
 
คำว่า "upstream" ในที่นี้เห็นว่าความหมายไม่ชัดเจนเท่าใด เพราะถ้าพิจารณาการทำงานปรกติ ด้านวาล์วที่ต้องการเปลี่ยนจะอยู่ทางด้าน upstream ของวาล์วกันการไหลย้อนกลับ แต่ถ้าเป็นการถอดเปลี่ยนวาล์ว ด้านวาล์วกันการไหลย้อนกลับจะเป็นด้าน upstream แต่ดูจากเนื้อหาแล้วเดาว่าควรจะเป็นแบบหลังคือด้านวาล์วกันการไหลย้อนกลับเป็นด้าน upstream
 
การที่ต้องระวังไม่ให้ความดันด้าน upstream มีการแกว่งไปมาเดาว่าคงเป็นเพราะเพื่อป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนปิดกั้นการไหลของวาล์วกันการไหลย้อนกลับมีการขยับตัว เพราะถ้ามีการขยับเมื่อใดก็จะเกิดการรั่วไหลเกิดขึ้น

๔. vent valve ถูกล็อคให้อยู่ในตำแหน่งเปิด เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่มีการรั่วไหลผ่านวาล์วกันการไหลย้อนกลับ ในขณะที่วาล์วตัวอื่นนั้นถูกล็อคให้อยู่ในตำแหน่งปิด
 
ตรงนี้ควรคำนึงด้วยว่าท่อ vent นี้ควรที่จะระบายแก๊สออกสู่บริเวณที่ปลอดภัยถ้าหากมีการรั่วไหล ไม่ใช่ปล่อยให้รั่ว ไหลออกมาใกล้กับบริเวณที่ทำงาน

๕. การถอดข้อต่อต้องค่อย ๆ ถอดด้วยความระมัดระวัง เผื่อว่าถ้าเกิดการรั่วไหลจะได้ขันปิดได้ดังเดิม

นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่มีการนำมาพิจารณาอีกดังนี้

๖. จะไม่มีการใส่ slip plate เนื่องจากเห็นว่าสามารถเปลี่ยนวาล์วได้รวดเร็ว (วาล์วสำหรับท่อ 1 นิ้ว ตัวหน้าแปลนก็น่าจะมีนอตยึดเพียงแค่ 4 ตัว) แต่ถ้าเป็นท่อขนาดใหญ่ก็ควรพิจารณาการใส่ slip plate
ตรงนี้เดาว่าในกรณีของท่อขนาดใหญ่นั้นควรพิจารณาใส่ slip plate ทางด้านวาล์วกันการไหลย้อนกลับ (รูปที่ ๓) กล่าวคือทำการถอดนอตวาล์วที่ต้องการเปลี่ยนทางด้านวาล์วกันการไหลย้อนกลับก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องถอดหมด เอาเพียงแค่สอด slip plate ได้ก็พอ จากนั้นจึงค่อยไปถอดนอตฝั่งทางด้าน vent ให้เสร็จ (ซึ่งคงเป็นงานที่ต้องใช้เวลาเพราะวาล์วตัวใหญ่ขึ้นก็มีนอตที่ต้องถอดมากขึ้น การมี slip plate จะช่วยป้องกันการรั่วไหลถ้าหากมีการรั่วไหลผ่านวาล์วกันการไหลย้อนกลับ) แล้วจึงค่อยมาถอดนอตฝั่ง slip plateออกเพื่อนำวาล์วตัวเก่าออกและรีบใส่ตัวใหม่เข้าไปแทน
 
ผมเองคิดว่าในขณะเดียวกันก็ควรต้องระวังไม่ให้มีการสั่นสะเทือนไปถึงตัววาล์วกันการไหลย้อนกลับด้วย เพราะอาจทำให้กลไกที่ปิดกั้นการไหลอยู่นั้นเกิดการขยับตัวเนื่องจากการสั่น ทำให้เกิดการรั่วไหลออกมาได้ (บทความไม่ได้มีการระบุว่าเป็นวาล์วกันการไหลย้อนกลับเป็นแบบ swing หรือ lift)

รูปที่ ๓ ตำแหน่งที่คาดว่าเป็นตำแหน่งที่จะใส่ slip plate ถ้าหากวาล์วมีขนาดใหญ่

๗. มีการทดลองปฏิบัติกับระบบเสมือนจริง แต่ใช้ fluid ที่ไม่มีอันตราย (ถ้า process fluid เป็นแก๊สก็อาจใช้อากาศหรือแก๊สไนโตรเจน แต่ถ้า process fluid เป็นของเหลวก็อาจใช้น้ำ)

๘. มีแผนรองรับในกรณีที่หากมีการรั่วไหลผ่านวาล์วกันการไหลย้อนกลับในขณะทำงาน (ซึ่งคงเป็นกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างการถอดนอตหรือใส่นอต) ด้วยการใช้น้ำหรือน้ำมันหนัก (คือพวกที่มีจุดวาบไฟสูง) อัดสวนทางเข้าไปเพื่อลดการรั่วไหลผ่านวาล์วกันการไหลย้อนกลับ แต่ทั้งนี้ของเหลวที่อัดสวนทางเข้าไปนั้นควรที่จะมีอุณหภูมิจุดเดือดสูงกว่าอุณหภูมิของ process fluid ที่รั่วออกมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวที่อัดสวนทางเข้าไปนั้นเดือดกลายเป็นไอเมื่อพบกับ process fluid ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของมัน

เรื่องนี้ยังไม่จบสมบูรณ์ ยังมีตอนต่ออีกเล็กน้อย เพราะยังมีอีกบางประเด็นที่ควรค่าแก่การพิจารณา แต่ Prof. Kletz ไปเขียนรวมอยู่กับเรื่อง "ลอยเรือสำรวจภายในถังลูกโลก" ที่วางแผนไว้ว่าจะเขียนเป็นเรื่องต่อไป สำหรับฉบับนี้ก็คงจะขอจบลงเพียงแค่นี้

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562

แม้แต่ Double block and bleed ก็อย่าวางใจ MO Memoir : Thursday 7 March 2562

หลักการการทำ isolation อุปกรณ์หรือระบบนั้นคือทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถป้องกันไม่ให้มีการรั่วไหลของ process fluid จากด้าน process (ด้านที่มีความดัน) ไปยังด้านอุปกรณ์หรือระบบ (ด้านความดันบรรยากาศ) ตลอดระยะเวลาที่ทำการ isolation นั้น ซึ่งบางวิธีการนั้นเหมาะสำหรับการ isolate เป็นเวลาสั้น ๆ (เช่นการถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ขนาดเล็ก) แต่ไม่เหมาะกับการ isolate เป็นเวลานาน (เช่นการถอดชิ้นส่วนออกไปซ่อมหรือการส่งคนเข้าไปในอุปกรณ์)
 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะใช้การทำ isolation รูปแบบใด ๆ ก็ตามก็ต้องทำอย่างเหมาะสม เพราะถ้าทำไม่ถูกต้องมันก็จะไม่ช่วยป้องกันการรั่วไหลเข้าฝั่งด้านที่ต้องการ isolate ได้ ดังตัวอย่างที่จะยกมาในที่นี้ที่เป็นกรณีของ Double Block and Bleed (DBB) ที่แม้ว่าจะได้รับการจัดว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่เรียกว่า Proved isolation ก็ตาม
 
ตัวอย่างที่นำมาเล่านำมาจาก ICI Newsletter ที่จัดทำโดย Prof. Trevor A. Kletz สมัยที่ท่านยังทำงานอยู่กับบริษัท ICI สหราชอาณาจักร หลายเนื้อหาที่ปรากฏในจดหมายข่าวดังกล่าวถูกนำมาเล่าไว้อีกในหนังสือต่าง ๆ ที่ Prof. Kletz เขียนขึ้นภายหลัง เช่น What Went Wrong? และ Still Going Wrong! สำหรับผู้ที่สนใจจะอ่านเอกสารต้นฉบับสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ http://psc.tamu.edu/trevor-kletz ซึ่งเป็นเว็บของ Mary Kay O'connor Process Safety Center

. Pressure drop ในท่อ vent มากเกินไป

กรณีแรกนี้นำมาจาก ICI Newsletter ๓๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑) หรือเมื่อ ๕๑ ปีที่แล้ว เป็นกรณีของการใช้ Double Block and Bleed กับระบบแก๊สที่มีความดัน ที่แม้ว่าจะทำการล็อคตัว block valve ให้เปิด และตัว bleed valve ให้เปิด แต่ก็ยังพบว่ามีการรั่วไหลของแก๊สจากด้าน process ไปยังด้าน equipment ได้
 
สาเหตุที่ทำให้มีแก๊สรั่วผ่านไปด้าน equipment ได้นั้น สาเหตุแรกคือตัว block valve ไม่สามารถปิดได้สนิท (ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรต้องระมัดระวังอยู่แล้ว) แต่สาเหตุที่สองที่ไม่ได้คาดเอาไว้ก่อนก็คือ ท่อด้าน bleed มีขนาดเล็กเกินไป ประกอบกับท่อนำแก๊สที่รั่วจากด้าน process ผ่าน bleed valve ไปยังปล่องระบาย (stack) มีขนาดเล็กและยาวด้วย (รูปที่ ๑) ทำให้การระบายแก๊สเกิดได้ไม่ดี ความดันแก๊สที่สะสมระหว่าง block valve ทั้งสองตัวจึงมากพอที่จะทำให้แก๊สนั้นรั่วเข้าสู่ด้าน equipment แทนที่จะไหลผ่านทาง bleed valve

รูปที่ ๑ แก๊สสะสมระหว่าง block valve เนื่องจากท่อ vent มีขนาดเล็กเกินไป ทำให้แก๊สที่สะสมนั้นมีความดันสูงพอที่จะรั่วไหลผ่าน block valve เข้าสู่ด้าน equipment ได้

รูปที่ ๒ ICI Newsletter ๓๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑)

. แก๊สไหลย้อนจากทางท่อ vent ร่วม

กรณีที่สองนี้นำมาจาก ICI Newsletter ๔ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๖๙ (พ.ศ. ๒๕๑๒) หรือเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว เป็นกรณีของการใช้ระบบที่ bleed valve หลายตัวระบายแก๊สลงสู่ระบบ vent ร่วมกัน
 
กรณีนี้เกิดจากการที่มีแก๊สรั่วผ่านvent valve ของระบบหนึ่งออกมามาก จนทำให้ความดันในท่อ vent ร่วมนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนกระทั่งเกิดการไหลย้อนผ่าน bleed valve ของอุปกรณ์ตัวอื่นที่ต่อท่อ vent เข้ากับท่อ vent ร่วมนั้น (รูปที่ ๓)

รูปที่ ๓ แผนผังของระบบที่ระบายแก๊สผ่าน bleed line ลงท่อ vent ร่วม
 
รูปที่ ๔ ICI Newsletter ๔ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๖๙ (พ.ศ. ๒๕๑๒) ในย่อหน้าสุดท้ายใช้คำว่า "leaking vent valve" เดาว่าระบบ double block and bleed นั้นคงมีการต่อท่อถาวรจาก bleed valve เข้าท่อ vent ร่วม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดในขณะใช้งานปรกติที่ bleed valve จะปิดอยู่ (บทความถึงใช้คำว่า "รั่ว") และความดันด้าน process นั้นคงไม่สูงมาก จึงทำให้แก๊สที่ระบายออกสู่ท่อ vent ร่วมนั้นสามารถไหลย้อนเข้าไปทางด้าน process ได้
 
สองตัวอย่างที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่าในการทำ isolation ด้วย double and bleed นั้น ต้องมั่นใจว่าเส้นทางด้าน bleed นั้นมีความต้านทานการไหลต่ำกว่าเส้นทางรั่วผ่าน block valve ที่ปิดกั้น equipment และในขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้มีการไหลย้อนจากทางด้าน vent (หรือ drain) เข้ามาด้วย
ขนาดของ bleed valve ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดของท่อ ตัวอย่างหนึ่งที่ทาง ICI เผยแพร่ไว้เมื่อปีค.ศ. ๑๙๗๑ (พ.ศ. ๒๕๑๔) หรือเมื่อ ๔๘ ปีที่แล้วแสดงไว้ในรูปที่ ๕ ข้างล่าง ส่วนเกณฑ์ปัจจุบันควรเป็นเท่าไรนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์กันอีกหรือไม่ แต่คิดว่าคงไม่มีการปรับให้มีขนาดเล็กลง

รูปที่ ๕ ICI Newsletter สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๗๑ (พ.ศ. ๒๕๑๔) เส้น blow-off ในรูปนี้คือเส้นทาง bleed นั่นเอง

อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น วิธีการทำ isolation นั้นมีหลายวิธีการด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดก็ตาม ก็ควรต้องทราบถึงข้อจำกัดหรือความเหมาะสมของวิธีการนั้น ๆ แม้ว่าตัว Prof. Kletz เองจะเน้นย้ำเรื่องการใช้ slip plate ในการทำ isolation ระบบ แต่จดหมายข่าวของแกเองก็มีการกล่าวถึงเทคนิคการใช้เพียงแค่วาล์วกันการไหลย้อนกลับ (checl valve หรือ non-return valve) เพียงตัวเดียวในการทำ isolation ซึ่งเอาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง