แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ pump แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ pump แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

ผิดตั้งแต่อุปกรณ์การสอน MO Memoir : Thursday 6 September 2561

เมื่อวานตอนเย็น หลังจากสอนแลปเคมีปี ๒ บนชั้น ๓ เสร็จ ก็มีโอกาสแวะไปดูนิสิตปี ๓ ที่ทำแลปอยู่ชั้น ๑ เห็นนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังทดลองปรับอัตราการไหลของน้ำเพื่อวัดค่าความดันลด โดยใช้อุปกรณ์ในรูปที่ ๑ ข้างล่าง


รูปที่ ๑ ปั๊มน้ำและวาล์วที่ใช้ปรับอัตราการไหลของน้ำที่สามารถอ่านค่าได้จาก rotameter
 
ในชุดทดลองนี้ (เป็นอุปกรณ์ประกอบสำเร็จได้จากการจัดซื้อ) จะมีอุปกรณ์ระบบท่อหลากหลายชนิดและมีจุดวัดค่าความดันลดหรือ pressure drop คร่อมตัวอุปกรณ์ระบบท่อเหล่านั้น ในการทดลองนั้นนิสิตก็จะทำการปรับอัตราการไหลของน้ำให้มีค่าต่าง ๆ กันโดยการใช้วาล์วที่ติดตั้งอยู่ทางด้านขาออกของปั๊มก่อนเข้า rotameter (รูปที่ ๒) และทำการวัดค่าความดันลดคร่อมตัวอุปกรณ์ระบบท่อที่ค่าอัตราการไหลต่าง ๆ

รูปที่ ๒ วาล์วที่ใช้ในการปรับอัตราการไหลของน้ำ จะเห็นว่าเป็นชนิด gate valve

ถ้าไม่นับ needle valve ที่เป็นวาล์วขนาดเล็กที่ใช้สำหรับปรับอัตราการไหลได้ละเอียดแต่ปิดไม่สนิท (ต้องมี block valve อีกตัวร่วม) ถ้าต้องการปรับอัตราการไหลก็ควรใช้วาล์วพวก globe, ball และ butterfly ที่สามารถทำหน้าที่เป็น block valve (วาล์วปิด-เปิด) ได้ด้วย gate valve นั้นเหมาะสำหรับงานปิด-เปิด คือปิดเต็มที่และเปิดสุด จะไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นวาล์วปรับอัตราการไหลเพราะความสัมพันธ์ระหว่างระยะการเคลื่อนที่ของตัวแผ่น gate และอัตราการไหลนั้นมันไม่ดี และยังอาจเกิดปัญหา erosion ในกรณีของที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อยเป็นเวลานานได้ คือมันก็มีเหมือนกันในบางงาน เช่นการเปิดใช้ระบบท่อไอน้ำที่ใช้ gate valve ปิด-เปิด ที่ช่วงแรกที่ท่อเย็นอยู่นั้นต้องอุ่นท่อให้ร้อนก่อนด้วยการเปิดวาล์วเพียงเล็กน้อยแบบที่เรียกว่า crack open แต่เมื่อท่อร้อนได้ที่แล้วก็จะเปิดวาล์วกว้าง
 
การที่อุปกรณ์ที่ใช้สอนนั้นมันมีความไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ผู้สอนควรต้องให้ผู้เรียนที่มาใช้อุปกรณ์ดังกล่าวรู้ว่าอุปกรณ์นั้นมันมีความไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาได้ว่าตอนที่เรียนก็เห็นทำกันอย่างนี้ พอตอนจบไปทำงานแล้วไปเจองานคล้าย ๆ กันก็เลยลอกเอาสิ่งที่เคยเห็นตอนที่เรียนมาใช้

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทำความรู้จัก Equipment schedule (๑) Compressor และ Pump MO Memoir : Wednesday 6 June 2561


เวลาใครสักคนได้ยินคำว่า "Schedule" เชื่อว่าส่วนใหญ่คงนึกถึงความหมายที่เกี่ยวข้องกับ "เวลา" เช่นกำหนดการต่าง ๆ แต่อันที่จริงคำนี้ยังมีอีกความหมายคือ "รายการ" (รูปที่ ๑) ซึ่งในงานวิศวกรรมก็มีการใช้คำนี้ในความหมายหลังนี้ในคำว่า "Equipment schedule" ซึ่งหมายถึงรายการอุปกรณ์




รูปที่ ๑ ความหมายของคำว่า Schedule ในฐานะที่เป็นคำนาม (จาก Oxford Advanced Learner's Dictionary 4th ed. ฉบับพิมพ์ปีค.ศ. ๑๙๙๑)

Equipment schedule ในที่นี้เป็นรายการอุปกรณ์สำหรับโรงงานหรือหน่วยผลิตหนึ่ง ว่าประกอบด้วยอุปกรณ์อะไรบ้าง จำนวนเท่าใด ทำหน้าที่อะไร โดยมีรายละเอียดกำหนดคร่าว ๆ ซึ่งไม่เหมือนกับ specification ที่เป็นการกำหนดเจาะลึกรายละเอียดตัวอุปกรณ์ว่าแต่ละชิ้นส่วนต้องมีลักษณะเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างไรบ้างเพื่อให้ตรงกับการใช้งานจริง
 
ตัวอย่างเช่นในการเลือกซื้อปั๊ม ถ้าเป็น specification ก็จะมีการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น รูปแบบการทำงาน (centrifugal หรือ reciprocating) วัสดุที่ใช้สร้างชิ้นส่วนต่าง ๆ ระบบป้องกันการรั่วซึม (sealing) ชนิดของอุปกรณ์ขับเคลื่อน (driver) ความเร็วรอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อน ฯลฯ ดังนั้นปั๊มตัวไหนที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน specification ก็สามารถนำมาใช้งานได้ แต่พอเป็น schedule ก็อาจมีการระบุในส่วนของ น้ำหนักและ/หรือมิติ (ข้อมูลสำหรับการเคลื่อนย้าย) ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย ที่จะระบุได้หลังจากเลือกซื้อแล้ว หรือจะมองว่า specification นั้นเป็นตัวกำหนดว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นสำหรับแต่ละงานนั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไร Equipment schedule ก็จะเป็นตัวบอกว่าสำหรับแต่ละกระบวนการผลิตนั้นมีอุปกรณ์อะไรอยู่บ้างและเป็นจำนวนเท่าใด และข้อมูลบางอย่างก็อาจปรากฏอยู่ทั้ง specification และ schedule ก็ได้
 
บทความชุดนี้คงมีหลายตอน ในตอนแรกนี้จะขอยกกรณีของ compressor และ pump มาให้ดูเป็น "ตัวอย่าง" ก่อน (ซึ่งแปลว่าสามารถเอาไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับงานของแต่ละคนได้)
 
ตารางที่ ๑ เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ compressor เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 
"Item no." คือรหัสชื่ออุปกรณ์ เช่น C-100, C-212 ที่ปรกติก็จะประกอบด้วยตัวอักษรนำหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นอุปกรณ์อะไร และตัวเลขตามหลังที่บ่งบอกว่าใช้กับหน่วยผลิตใด
 
"Service name" คือใช้ทำหน้าที่อะไร เช่นอาจเป็น Recyle gas blower, 2nd stage compressor เป็นต้น
 
"No. required" คือให้บ่งบอกจำนวน เช่นในกรณีที่เป็น compressor ชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่เดียวกัน 3 ตัว เช่นสมมุติว่าโรงงานมี compressure อัดอากาศสำหรับใช้งานทั่วไปในโรงงาน (plant air) การตั้งชื่ออุปกรณ์ (Item no.) ก็อาจเป็น C-701A, C-701B และ C-701C แต่การกรอกข้อมูลในส่วนของ Item no. ก็จะเป็น C-701 แต่พอจำนวนจะกรอกเป็น 3
 
"Compressor of Blower" ตรงช่อง Type ให้ระบุว่าเป็น Compressor หรือ Blower ส่วนช่อง Shaft power ก็ให้ระบุกำลังที่ต้องใช้ในการขับเคลื่อน
 
ช่อง "Gas" ให้ระบุชนิดแก๊สและน้ำหนักโมเลกุลของแก๊สที่ทำการอัด (ข้อมูลสำคัญสำหรับการทำงานของทั้ง Blower และ Compressor)
 
"Suction" คือเงื่อนไขแก๊สด้านขาเข้า ว่ามีความดันและอุณหภูมิเท่าใด การระบุความดันตรงนี้ต้องดูด้วยว่าให้ระบุเป็นควานดันเกจ (gauge ที่ย่อว่า g) หรือความดันสัมบูรณ์ (absolute ที่ย่อว่า a)
 
"Discharge" คือเงื่อนไขแก๊สด้านขาออก ว่ามีความดันและอุณหภูมิเท่าใด และเช่นเดียวกันกับด้านขาเข้า การระบุความดันด้านขาออกนี้ต้องดูด้วยว่าให้ระบุเป็นควานดันเกจ (gauge ที่ย่อว่า g) หรือความดันสัมบูรณ์ (absolute ที่ย่อว่า a)
 
"Flow rate" คืออัตราการไหล เนื่องจากแก๊สนั้นปริมาตรเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิและความดัน ดังนั้นอัตราการไหลโดยปริมาตรด้านขาเข้าและขาออกจึงแตกต่างกัน แต่อัตราการไหลโดยน้ำหนัก (In weight) จะเท่ากัน และถ้าเป็นการระบุอัตราการไหลโดยปริมาตร (เช่นด้านขาเข้าดังตัวอย่างที่ยกมา) ก็ต้องระบุให้ชัดเจนด้วยว่าอัตราการไหลโดยปริมาตรนั้นเป็นปริมาณ ณ อุณหภูมิและความดันของแก๊สที่ไหลเข้า compressor (At suction (m3/hr)) หรือเป็นค่าที่ปรับแก้มาเป็นค่าที่ Normal Temperature and Pressure (NTP) แล้ว (At NTP (Nm3/hr)) แต่ทั้งนี้ควรต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยว่า "NTP" นั้นกำหนดค่าที่ความดันและอุณหภูมิเท่าใด (เพราะมันมีนิยามที่แตกต่างกันอยู่)
 
"Material & Construction" คือให้ระบุชนิดวัสดุที่ใช้ทำตัวอุปกรณ์ เช่นตัวเรือน (Casing) ตัวใบพัด (Impeller) ในกรณีของชนิด centrifugal หรือลูกสูบ (Piston) ในกรณีของชนิด reciprocating ชนิดของวิธีการป้องกันการรั่วซึม (seal) ว่าเป็นชนิดใดเช่น mechanical seal, labyrinth, carbon ring, gland packing เป็นต้น
 
"Driver" หรืออุปกรณ์ขับเคลื่อน ให้ระบุชนิด (Type) เช่นเป็น มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้อากาศอัดความดัน ระบบไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล เป็นต้น กำลังขับเคลื่อน (Output (kW)) และรอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อน (ในกรณีของพวก centrifugal รอบการหมุนของอุปกรณ์ขับเคลื่อนไม่จำเป็นต้องเท่ากับตัว impeller เพราะอาจมีการใช้สายพานหรือเฟืองทดรอบได้ และในกรณีของชนิด reciprocating นั้นรอบการหมุนของมอเตอร์อาจคงที่ แต่ไปปรับที่ระยะช่วงชักของลูกสูบเพื่อปรับอัตราการไหลได้)
 
"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการขนส่ง ในกรณีของพวกที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ดีเซล ตัว compressor และอุปกรณ์ขับเคลื่อนก็อาจรวมมาเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันก็ได้
 
"Supplier" คือผู้ผลิตอุปกรณ์ แม้ว่าคำนี้ถ้าแปลออกมามันจะแปลว่าผู้ขายก็ได้ แต่ควรจะบันทึกว่าใครเป็นผู้ที่ผลิตอุปกรณ์นั้นจะดีกว่า เพราะเป็นเรื่องปรกติที่ผู้ขายอุปกรณ์ก็ไม่ได้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นเสมอไป
 
"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่
 

ตารางที่ ๑ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ compressor
 

ตารางที่ ๒ เป็นตัวอย่างรายละเอียด Equipment schedule สำหรับ pump ซึ่งมีบางจุดก็คล้ายกับของ compressor เราลองมาไล่ดูทีละหัวข้อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน
 

"Item no." คือรหัสชื่ออุปกรณ์ เช่น P-501, P-701 ที่ปรกติก็จะประกอบด้วยตัวอักษรนำหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นอุปกรณ์อะไร และตัวเลขตามหลังที่บ่งบอกว่าใช้กับหน่วยผลิตใด
 

"Service name" คือใช้ทำหน้าที่อะไร เช่นอาจเป็น Reflux pump, Fuel oil feed pump เป็นต้น
 

"No. required" คือให้บ่งบอกจำนวน และเช่นเดียวกันในกรณีของ compressor ถ้าหากมีปั๊มชนิดเดียวกัน ทำหน้าที่เดียวกัน 2 ตัว ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องปรกติของปั๊มที่ทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ที่ต้องมีตัวสำรองเสมอ การตั้งชื่ออุปกรณ์ (Item no.) ก็อาจเป็น P-501A และ P-501B แต่การกรอกข้อมูลในส่วนของ Item no. ก็จะเป็น P-501 แต่พอจำนวนจะกรอกเป็น 2
 

"Type" คือชนิดของปั๊ม เช่น centrifugal, plunger (ลูกสูบ), diaphragm, gear, rotary ฯลฯ
 

ช่อง "Fluid name" ก็ให้กรอกของเหลวที่ปั๊มสูบ เช่น boiler feed water (BFW), caustic, seal oil ฯลฯ

ถัดไปคือ "Operating condition" หรือสภาวะการทำงานที่ประกอบด้วย อุณหภูมิ (Temperature), อัตราการไหล (Flow rate), ความหนาแน่น (Density), ความหนืด (Viscosity), มีของแข็งแขวนลอยหรือเป็น Slurry หรือไม่, ความดันด้านขาเข้า (Suction pressure) และความดันด้านขาออก (Discharge pressure) ที่เป็นความดันด้านขาออกในขณะทำงานที่สภาวะปรกติ
 

ช่อง "Total head as liquid column" ที่มีหน่วยเป็นระยะทาง (เช่น m ในตัวอย่างที่ยกมา) หมายถึงความดันสูงสุดด้านขาออก (ในกรณีของ centrifugal pump ก็จะเป็นค่าที่เมื่ออัตราการไหลเป็นศูนย์หรือวาล์วด้านขาออกปิด) ว่าเทียบเท่ากับความดันของของเหลวที่สูงกี่เมตร นิยามต้องนี้บางครั้งต้องระวังให้ดี โดยเฉพาะ "ของเหลว" นั้นหมายถึง "น้ำ" หรือของเหลวที่ปั๊มนั้นทำงานด้วยจริง เพราะความหนาแน่นมันต่างกัน และเป็นค่าที่อุณหภูมิเท่าใดด้วย เพราะของเหลวที่ร้อนจะมีความหนาแน่นต่ำกว่าาของเหลวที่เย็นกว่า 
  

ช่อง "NPSH" คือ Net Positive Suction Head นั่นเอง ว่าในระบบนั้นมีให้เท่าใด (AVA - Available) และในการทำงานจริงนั้นปั๊มต้องการเท่าใด (REQD - Required)
 

ช่อง "Design" ตรงนี้เป็นค่าของอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการออกแบบปั๊ม
 

"Material & Construction" เป็นข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำและโครงสร้าง (ว่ามีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่) เช่นในส่วนของตัวเรือน (casing), ใบพัด (impeller), เพลา (shaft)
 

การป้องกันการรั่วซึมระหว่างเพลากับตัวเรือน (ช่อง "shaft seal") ว่าใช้ระบบใด เช่น double mechanical seal, gland packing เป็นต้น
 

"Flushing" คือการใช้ของเหลว (ที่สะอาด) ชะเข้าไปตรงบริเวณที่ติดตั้ง mechanical seal ซึ่งอาจทำไปเพื่อระบายความร้อน (ด้วยการอัดของเหลวที่เย็นกว่า process fluid เข้าไป) ป้องกันไม่ให้ของแข็งที่มากับ process fluid นั้นเข้ามาสะสมและก่อความเสียหายให้กับ mechanical seal เป็นต้น ของเหลวที่นำมาใช้ในการ flushing นี้อาจมาจากแหล่งภายนอกที่มีระบบจ่ายต่างหาก หรือนำเอา process fluid ด้านขาออก (ที่มีความดันสูง) มากรองเอาของแข็งออกและ/หรือลดอุณหภูมิให้ต่ำลงมาใช้เป็นของเหลวสำหรับ flushing ก็ได้
 

"Insulation" เป็นการถามความต้องการว่าต้องหุ้มฉนวน (ร้อนหรือเย็น) ให้กับตัวปั๊มด้วยหรือไม่
 

ช่อง "Driver : Type & Output" ให้ระบุอุปกรณ์ขับเคลื่อนว่าเป็นอะไร เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า ไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล (เช่นในกรณีของปั๊มน้ำดับเพลิง) และกำลังของหน่วยขับเคลื่อน ตัวปั๊มที่เพลามอเตอร์กับเพลาของ impeller นั้นเป็นคนละท่อนกัน เมื่อได้มาแล้วก็ควรต้องมีการตรวจสอบการเชื่อมต่อตรง coupling ด้วยว่าต่อเพลาไว้ตรงแนวกันหรือไม่
 

"Approx weight" คือน้ำหนักโดยประมาณ 
  

"Supplier" คือผู้ผลิตอุปกรณ์ 
  

"Remarks" คือหมายเหตุ คือมีอะไรเป็นพิเศษที่ไม่ตรงกับช่องที่มีอยู่ ก็ให้มาเขียนไว้ที่นี่



สำหรับตอนที่ ๑ คงจะจบเพียงแค่นี้ก่อน
 

ตารางที่ ๒ ตัวอย่าง Equipment schedule สำหรับ pump

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Piping layout ตอน Pump piping (๓) MO Memoir : Thursday 23 February 2560

ปั๊มหอยโข่งส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันนั้นจะมีช่องทางให้ของเหลวไหลเข้า (suction eye) อยู่ตรงทางด้านหนึ่งของใบพัด (impeller) ของเหลวที่ไหลเข้ามาในช่องทางนี้จะถูกเหวี่ยงออกไปในแนวรัศมี (ตั้งฉากกับทิศทางการไหลเข้า) รูปแบบนี้เป็นรูปแบบโครงสร้างปั๊มที่เรียบง่ายที่สุดเรียกว่า end suction แต่ก็มีข้อเสียอยู่หน่อยตรงที่การไหลเข้ามาของของเหลวนั้นทำให้เกิดแรงกระทำในแนวแกนของเพลา (ที่เรียกว่า hydraulic trust)
 
ใบพัดปั๊มหอยโข่งอีกรูปแบบหนึ่งนั้นมีช่องทางให้ของเหลวไหลเข้าสองช่องทางอยู่คนละด้านของใบพัด (เรียกว่า double impeller) ของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน (ควรที่จะในปริมาณที่เท่า ๆ กันด้วย) ให้ไหลเข้าใบพัดในทิศทางตามแนวแกนจากสองฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ก่อนถูกเหวี่ยงออกไปในแนวรัศมีตรงกลาง การที่มีของเหลวในปริมาณที่เท่ากันไหลเข้าจากทิศทางที่ตรงข้ามกัน ทำให้เกิดแรงกระทำในแนวแกนเพลาสองแรงที่มีขนาดเท่ากันแต่ตรงข้ามกัน แรงที่กระทำต่อเพลาจจึงถูกหักล้างไป ปั๊มแบบนี้เรียกว่า double suction pump ตัวอย่างแผนผังการวางท่อของปั๊มชนิดนี้แสดงไว้ในรูปที่ ๑
  
สิ่งสำคัญในการวางท่อให้กับปั๊มชนิดนี้คือโปรไฟล์ความเร็วการไหลของของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มนั้นต้องมีความสมมาตร โดยของเหลวจะไหลเข้าในแนวรัศมีของใบพัดก่อนถูกแบ่งแยกออกไปทางซ้ายและขวาอย่างละครึ่ง แล้วเลี้ยวเข้าหาตรงกลางใบพัดตามแนวแกนเพลา ถ้าหากโปรไฟล์การไหลที่ไหลเข้าปั๊มนั้นไม่สมมาตร จะทำให้ของเหลวนั้นไหลเข้าด้านใดด้านหนึ่งของใบพัดมากกว่าอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นถ้าท่อจ่ายของเหลวให้ปั๊มนั้นอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบในแนวรัศมีของใบพัด ก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ ในการต่อท่อเข้าปั๊ม แต่ถ้าหากท่อนั้นไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกับระนาบในแนวรัศมีของใบพัด ก็ควรที่จะมีส่วนของท่อตรงที่มีความยาวอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางท่อที่เป็นตัวเชื่อมต่อเข้ากับปั๊ม ทั้งนี้เพื่อให้โปรไฟล์การไหลหลังจากผ่านข้องอข้อสุดท้ายมาแล้วนั้นมีความสมมาตรก่อนเข้าสู่ตัวปั๊ม และเนื่องจากของเหลวที่ไหลเข้าใบพัดนั้นถูกแบ่งครึ่งให้ลดลง จึงทำให้ป๊มชนิดนี้ต้องการ net positive suction head (NPSH) ลดลงด้วย
 

รูปที่ ๑ ตัวอย่างการวางท่อรับของเหลวเข้าสำหรับ double impeller pump

รูปที่ ๒ นั้นแสดงโครงสร้างของ multistage centrifugal pump (มีอยู่ด้วยกัน 5 stage พอมองออกไหมครับ) โดยใบพัดของ stage แรกเป็นชนิด double impeller (จากสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเลขที่ 1,912,452) ของเหลวจะไหลออกจาก stage ที่ 1 ตามลูกศรสีน้ำเงินไปยัง stage ที่ 2 จากนั้นจะไหลออกจาก stage ที่ 2 ตามลูกศรสีแดงไปยัง stage ที่ 3 จาก stage ที่ 3 นี้จะไหลตามลูกศรสีส้มไปยัง stage ที่ 4 และตามลูกศรีสีเขียวไปยัง stage ที่ 5 ก่อนไหลออกจากตัวปั๊ม

รูปที่ ๒ ตัวอย่างโครงสร้างของ multistage centrifugal pump ที่ใบพัด stage แรกเป็นชนิด double impeller

รูปที่ ๓ เป็นตัวอย่างการติดตั้ง eccentric reducer ที่ท่อด้านขาเข้าปั๊ม และการติดตั้ง pipe support และตำแหน่งสำหรับใส่ temporary strainer ทางด้านขาเข้าปั๊มโดยอยู่ถัดจาก block valve ด้านขาเข้า temporary strainer หรือตัวกรองชั่วคราวนี้ใช้เมื่อเริ่มต้นเดินเครื่องปั๊มหลังการก่อสร้างโรงงานหรือเมื่อมีการซ่อมบำรุงที่มีการทำงานเกี่ยวกับท่อ (เช่นเชื่อมต่อท่อใหม่) ตัวกรองนี้ทำหน้าที่ดักสิ่งสกปรกที่เป็นของแข็งที่ตกค้างอยู่ในท่อไม่ให้หลุดเข้าไปทำความเสียหายให้กับตัวใบพัดของปั๊ม โดยปรกติแล้วโรงงานที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ ๆ สิ่งแรกที่ต้องทำกันก็คือการทำความสะอาดท่อ เพราะเราไม่รู้ว่ามันการก่อสร้างนั้นมันทำให้มีอะไรตกค้างอยู่ในเส้นท่อบ้าง การทำความสะอาดก็อาจเริ่มได้จากการใช้ลมเป่าไล่ไปจนถึงการใช้น้ำ (ที่มักจะทำการเติมตอนทำ hydraulic test อยู่แล้ว) ชะล้างเอาเศษสิ่งของออก การเจอเศษลวดเชื่อมถูกชะออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ วิศวกรรุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเจอเศษไม้เป็นท่อน ๆ กับเสื้อที่คนงานก่อสร้างซุกเอาไว้ในท่อ (ทำนองว่าไม่พอใจคนคุมงาน ก็แกล้งด้วยการเอาอะไรต่อมิอะไรไปซุกไว้ในท่อก่อนประกอบท่อเข้าไป)
 
รูปที่ ๓ ตัวอย่างการติดตั้ง reducer, pipe support และ temporary strainer ที่ท่อทางเข้าปั๊ม
 
รูปที่ ๔ และ ๕ เป็นตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับระบบ common spare pump ต่างกันที่รูปที่ ๕ เป็นกรณีของปั๊มขนาดใหญ่ (ขนาดท่อตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป)
  
โดยปรกติในโรงงานที่เดินต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพักจนกว่าจะถึงระยะเวลาการซ่อมบำรุงใหญ่ประจำปีนั้น ปั๊มที่ใช้ในกระบวนการผลิตจะมีการติดตั้งปั๊มสำรองควบคู่เสมอ (เพราะตัวปั๊มมีชิ้นส่วนที่ต้องทำการเปลี่ยนและ/หรือซ่อมบำรุง ที่ไม่สามารถรอจนการหยุดซ่อมใหญ่ประจำปีได้) แต่สำหรับปั๊มหลักสองตัวที่เหมือนกัน ที่ใช้สูบของเหลวชนิดเดียวกัน ทำงานภายใต้สภาวะเดียวกัน ถ้าสามารถติดตั้งปั๊มหลักสองตัวนั้นให้อยู่ใกล้กันได้ ดังนั้นแทนที่จะทำมีปั๊มสำรองให้กับปั๊มหลักแต่ละตัว (คือมีปั๊มทั้งหมด ๔ ตัว เป็นปั๊มหลัก ๒ ตัว ปั๊มสำรอง ๒ ตัว) ก็มีปั๊มสำรองเพียงแค่ตัวเดียวพอที่วางไว้ระหว่างปั๊มหลักทั้งสอง (คือมีปั๊มเพียงแค่ ๓ ตัว เป็นปั๊มหลัก ๒ ตัว ปั๊มสำรอง ๑ ตัว) ปั๊มสำรองที่ติดตั้งในรูปแบบนี้เรียกว่า common spare pump ตัวอย่างบริเวณหนึ่งที่เคยเห็นมีการติดตั้งปั๊มรูปแบบดังกล่าวคือบริเวณ cooling tower ที่ใช้ปั๊มหลายตัวในการสูบน้ำจากบ่อน้ำใต้ cooling tower จ่ายไปยังส่วนต่าง ๆ ของโรงงาน
 

รูปที่ ๔ ตัวอย่างการวางท่อสำหรับระบบ common spare pump (ใช้งาน ๒ ตัว สำรองร่วม ๑ ตัว) สำหรับท่อขนาดต่ำกว่า 8 นิ้วลงมา

รูปที่ ๕ ตัวอย่างการวางท่อสำหรับระบบ common spare pump แบบเดียวกับรูปที่ ๔ แต่เป็นกรณีของท่อขนาดตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป

รูปที่ ๖ เป็นตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับ vertical pump ตรงนี้ถ้านึกภาพไม่ออกว่า vertical pump หน้าตาเป็นอย่างไร สามารถอ่านได้ใน Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๓๐๙ วันพุธที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง "Piping and Instrumentation Diagram (P&ID) ของอุปกรณ์ตอน Vertical can pump (ปั๊มหอยโข่งแนวตั้ง)"

รูปที่ ๖ ตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับ vertical pump

ก่อนจะจบเรื่อง piping layout ของปั๊มในตอนนี้ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย มีบางเรื่องที่ต้องขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้

๑. ตัวอย่าง piping layout สำหรับปั๊มทั้งหมดที่นำมาแสดงในที่นี้มีเป็นกรณีที่ระดับของเหลวนั้นอยู่สูงกว่าระดับตัวปั๊ม ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการเติมของเหลวเข้าปั๊มหรือไล่แก๊สออกจากระบบก่อนจะเริ่มเดินเครื่องปั๊ม (เพราะเพียงแค่เปิดวาล์วขาเข้า ของเหลวก็ไหลเข้าปั๊มแล้ว) แต่ถ้าเป็นปั๊มที่สูบของเหลวขึ้นมาจากระดับที่ต่ำกว่าตัวปั๊ม เช่นการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำของหอทำน้ำเย็น รูปแบบท่อด้านขาเข้าจะแตกต่างออกไป คือจะมีการติดตั้ง foot valve (วาล์วกันการไหลย้อนกลับที่ติดตั้งที่ปลายท่อ) และในกรณีของปั๊มขนาดใหญ่ มักจะมีระบบสำหรับทำการล่อน้ำต่อเข้ากับท่อด้านขาเข้าด้วย เพื่อให้สามารถเริ่มเดินเครื่องปั๊มได้ (คือมีการเดินท่อน้ำพร้อมกับวาล์วเปิดปิดติดตั้งถาวรเข้ากับท่อด้านขาเข้า เพื่อช่วยในการเติมน้ำเข้าท่อด้านขาเข้าให้เต็มก่อนเริ่มเดินเครื่องปั๊ม - รูปที่ ๗)

รูปที่ ๗ ปั๊มขนาดใหญ่ที่สูบน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ต่ำกว่าตัวปั๊ม (เช่นปั๊มสูงน้ำจากบ่อน้ำของ cooling tower ที่มีขนาดท่อได้ถึง 20 นิ้วหรือใหญ่กว่า) นอกจากจะติดตั้ง foot valve ไว้ที่ปลายท่อด้านจุ่มอยู่ในน้ำแล้ว ยังควรมีท่อเติมน้ำให้กับท่อด้านขาเข้า เพื่อช่วยในการล่อน้ำก่อนการเดินเครื่องปั๊ม แต่ถ้าเป็นปั๊มตัวเล็ก ๆ ก็จะใช้การกรอกน้ำที่จุดเติมน้ำของตัวปั๊ม

๒. นอกจากนี้ยังมีท่อที่ไม่ปรากฏในแบบต่าง ๆ ที่นำมาให้ดูคือท่อ minimum flow line หรือ kick back line ที่ใช้ในตอนเริ่มเดินเครื่องปั๊มหรือป้องกันไม่ให้ไม่มีของเหลวไหลผ่านปั๊มถ้าวาวล์ควบคุมปิดสนิท ความจำเป็นของการมีท่อเส้นนี้ต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไปจากรูปแบบการทำงานของปั๊มและอุณหภูมิของของเหลวที่ทำการสูบ 
  
๓. ปรกติหลังการก่อสร้างหรือถอดปั๊มออกมาเพื่อซ่อมบำรุง ในระบบท่อและตัวปั๊มจะมีอากาศอยู่ภายใน สำหรับปั๊มที่ทำงานกับสารไวไฟ หลังการประกอบกลับคืน จำเป็นต้องมีการไล่อากาศออกจากระบบท่อต่าง ๆ ก่อนป้อนของเหลวไวไฟเข้าระบบ และแก๊สที่ใช้กันทั่วไปในการไล่อากาศออกจากระบบคือไนโตรเจน ดังนั้นในบทความนี้จึงมีการใช้คำว่า "แก๊ส" ในบางเรื่องเพื่อสื่อว่าไม่ใช่ "อากาศ"
 
๔. ท้ายสุดนี้ขอทบทวนนิดนึง คำว่า "block valve" ที่ใช้ในที่นี้หมายถึงวาล์วที่ทำหน้าหลักคือปิดกั้นระบบท่อเพื่อแยกตัวอุปกรณ์ (isolation) ออกจากระบบ การใช้งานวาล์วชนิดนี้จะใช้เพียงแค่ปิดสนิทและเปิดเต็มที่ ส่วนจะเป็นวาล์วชนิดใด (gate, globe, ball หรือ butterfly) นั้นขึ้นอยู่กับระบบ
  
ปิดท้ายที่ว่างที่เหลือด้วยภาพถนนพญาไท หน้ามหาวิทยาลัย ที่ถ่ายไว้เมื่อบ่ายวันวานจากสะพานลอยก็แลัวกันครับ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Piping layout ตอน Pump piping (๒) MO Memoir : Tuesday 21 February 2560

ปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump) จะดูดของเหลวเข้าตรงกลางใบพัด ก่อนจะเหวี่ยงของเหลวออกจากใบพัดในทิศทางเส้นสัมผัสโค้งของการหมุน ดังนั้นปั๊มหอยโข่งจำนวนไม่น้อยจึงมีตัวเรือน (ตัว housing ที่ห่อหุ้มใบพัดอยู่) ที่มีลักษณะเป็นช่องทางสำหรับต่อท่อให้ของเหลวไหลเข้าที่อยู่ตรงตำแหน่งกลางใบพัด และช่องทางให้ของเหลวไหลออกที่อยู่ทางด้านข้างใบพัดในทิศทางเส้นสัมผัสโค้งของการหมุน ดังตัวอย่างในรูปที่ ๑ ข้างล่าง รูปแบบตัวเรือนแบบนี้อาจเรียกว่าเป็นรูปแบบตัวเรือนที่เรียบง่ายที่สุดก็ได้


รูปที่ ๑ ปั๊มหอยโข่งที่มีช่องทางสำหรับต่อท่อให้ของเหลวไหลเข้าที่อยู่ตรงตำแหน่งกลางใบพัด (ภาพนี้ถ่ายจากทางด้านมอเตอร์ เลยมองไม่เห็นช่องทางเข้า) และช่องทางให้ของเหลวไหลออกที่อยู่ทางด้านข้างใบพัดในทิศทางเส้นสัมผัสโค้งของการหมุน พึงสังเกตว่าช่องทางออกจะอยู่ต่ำกว่าตำแหน่งสูงสุดของตัวเรือน

รูปแบบตัวเรือนในรูปที่ ๑ นั้นมันมีข้อเสียอยู่อย่างคือตำแหน่งช่องทางออกนั้นอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของตัวเรือน ทำให้มีโอกาสที่จะมีอากาศหรือฟองแก๊สค้างอยู่ ณ ตำแหน่งสูงสุดของตัวเรือนได้ ปั๊มบางตัวจึงมีช่องไว้สำหรับระบายแก๊สที่ค้างอยู่ตรงตำแหน่งสูงสุดของตัวเรือนออก หรือถ้ามั่นใจว่าการหมุนเหวี่ยงของเหลวภายในตัวปั๊มสามารถไล่อากาศที่ค้างอยู่ในจุดสูงสุดนั้นออกได้หมดก็ไม่จำเป็นต้องมีช่องระบาย แต่ก็มีปั๊มบางชนิดเช่นกันที่ผู้ผลิตออกแบบตัวเรือนโดยแทนที่จะให้ของเหลวไหลออกในทิศทางเส้นสัมผัสโค้งการหมุนโดยตรง ก็ค่อย ๆ เบี่ยงให้ของเหลวไหลวที่ถูกเหวี่ยงออกมานั้นค่อย ๆ เลี้ยวไปยังท่อด้านขาออกที่อยู่ตรงตำแหน่งจุดสูงสุดของตัวเรือน ดังตัวอย่างในรูปที่ ๒

รูปที่ ๒ สำหรับปั๊มตัวนี้ ของเหลวที่ถูกเหวี่ยงออกมานั้นจะไม่พุ่งตรงออกไปตามทิศทางเส้นสัมผัสโค้งการหมุน แต่จะค่อย ๆ เลี้ยวขึ้นบนและไปออกทางช่องทางออกที่อยู่ ณ ตำแหน่งจุดสูงสุดของตัวเรือน (ตามลูกศรสีเหลือง) โครงสร้างแบบนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีฟองแก๊สค้างอยู่ในตัวเรือนได้

ปั๊มที่มีทางเข้า-ออกตามแบบรูปที่ ๑ และ ๒ เรียกว่าเป็นปั๊มแบบ "end suction top discharge" คือจุดต่อท่อให้ของเหลวไหลเข้าอยู่ตรงตำแหน่งกลางใบพัด และจุดต่อท่อให้ของเหลวไหลออกอยู่ทางด้านบน ตัวอย่างแผนผังการเดินท่อสำหรับปั๊มรูปแบบนี้สองตัวที่วางคู่กัน (ใช้งาน ๑ ตัว สำรอง ๑ ตัว) แสดงไว้ในรูปที่ ๓ และ ๔ สองรูปนี้คล้ายกันแตกต่างกันเพียงที่รูปที่ ๓ นั้นใช้กับกับกรณีของปั๊มขนาดเล็ก (วางท่อด้านขาออกอยู่เหนือตัวปั๊มและมอเตอร์ได้ แต่ต้องมีระยะความสูงเพียงพอที่จะไม่เกะกะการทำงานเมื่อต้องทำการซ่อมบำรุง) ส่วนรูปที่ ๔ นั้นใช้กับปั๊มขนาดใหญ่ (ขนาดท่อตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป) ในกรณีหลังนี้ปั๊มสองตัวจะวางห่างกันมากขึ้น (พึงสังเกตระยะห่างระหว่างปั๊มทั้งสอง จะเห็นว่าระยะในรูปที่ ๔ นั้นมากกว่าระยะในรูปที่ ๓) โดยท่อด้านขาออกจะถูกเบี่ยงออกมาไม่ให้อยู่เหนือตัวปั๊มและมอเตอร์ และเลือกที่จะติดวาล์วกันการไหลย้อนกลับอยู่ในช่วงท่อแนวนอนที่เป็นช่วงที่เบี่ยงออกมาจากตัวปั๊ม วาล์วกันการไหลย้อนกลับชนิด swing check valve นั้น ่เมื่อตัว disk เปิดเต็มที่ โมเมนต์การหมุนกลับลงมาปิดที่เกิดจากน้ำหนักของตัว disk เมื่อมีการไหลย้อนกลับนั้น ในกรณีที่ติดตั้งในท่อแนวนอนจะสูงกว่าเมื่อติดตั้งในแนวดิ่ง (โอกาสที่ disk จะค้างในตำแหน่งเปิดจะต่ำกว่า)
 
ในทั้งสองแบบที่แสดงนั้นมีการติดตั้งตัวกรองหรือ strainer เอาไว้ด้วย ตำแหน่งการติดตั้ง strainer จะอยู่ระหว่าง block valve ด้านขาเข้าและช่องเข้าปั๊ม ทั้งนี้เพื่อให้สามารถถอด strainer ออกมาทำความสะอาดได้เมื่อมันอุดตัน การติดตั้ง strainer นี้จะทำเมื่อของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มนั้นมีของแข็งที่ไม่ต้องการปะปนอยู่และต้องการแยกออกไป (ตรงนี้อย่าไปสับสนกับการปั๊ม slurry นะ เพราะในกรณีของการส่ง slurry เราต้องทำการปั๊มของเหลวที่มีของแข็งแขวนลอยอยู่นั้นไปตามระบบท่อ จะไปติดตั้ง strainer ดักไว้ทางเข้าปั๊มไม่ได้) การติดตั้ง strainer และวาล์วกันการไหลย้อนกลับนั้นจำเป็นต้องดูทิศทางการไหลด้วย (มันจะมีลูกศรกำกับอยู่ข้างลำตัว) ต้องระวังไม่ติดตั้งผิดด้าน

รูปที่ ๓ ตัวอย่าง piping layout ของปั๊มหอยโข่งสองตัว ที่ต่อท่อเข้าตรงกลางใบพัด ต่อท่อออกทางด้านบน

รูปที่ ๔ รูปแบบคล้ายกับรูปที่ ๓ เพียงแต่เบี่ยงท่อขาออกมาทางด้านข้าง ในกรณีที่มีที่ว่างเพียงพอระหว่างปั๊มสองตัว กรณีนี้เป็นกรณีของปั๊มขนาดใหญ่ (ท่อตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป)
 
รูปที่ ๕ ข้างล่างเป็นปั๊มรักษาความดันในระบบท่อน้ำดับเพลิงของอาคาร เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารสูง ปั๊มก็เลยต้องมีหลายขั้นตอนการอัดหน่อย ปั๊มตัวนี้ช่องทางให้น้ำเข้าและออกอยู่ทางด้านข้างคนละฟาก โดยอยู่ทางด้านบนของตัวเรือน (ตามที่ลูกศรชี้) แต่ถ้าดูจากแนวท่อที่ต้องมาในแนวนอนเพื่อต่อเข้าปั๊มแล้ว ก็ต้องจัดให้เป็นปั๊มแบบ side suction and discharge
 
รูปที่ ๕ ปั๊มตัวนี้ ตำแหน่งต่อท่อเข้าอยู่ทางด้านบน และตำแหน่งต่อท่อออกก็อยู่ทางด้านบนของตัวเรือนด้วย

รูปที่ ๖ เป็นตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับปั๊มหอยโข่งที่จุดต่อท่อรับของเหลวเข้าและจ่ายของเหลวออกนั้นอยู่ทางด้านบนของตัวปั๊มทั้งคู่ สิ่งหนึ่งที่ปรากฏในตัวอย่างนี้คือ reducer หรือข้อต่อลด reducer นั้นมีอยู่ด้วยกันสองแบบคือ concentric reducer ที่แนวแกนยาวของท่อเล็กกับท่อใหญ่นั้นอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน reducer ตัวนี้เมื่อนำมาต่อท่อจะทำให้แนวแกนท่อไปไม่เปลี่ยน แต่ระดับผิวท่อของท่อใหญ่และท่อเล็กจะอยู่คนละแนวกัน reducer อีกแบบคือ eccentric reducer ที่ระดับแนวแกนของท่อเล็กและท่อใหญ่จะเหลื่อมกันอยู่ แต่ระดับผิวท่อของท่อใหญ่และท่อเล็กทางด้านแบนราบของ reducer จะอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน การใช้ reducer นี้จะใช้เมื่อขนาดช่องทางเข้า-ออกของปั๊มนั้นเล็กกว่าขนาดท่อ (ถ้าพบว่าท่อที่เดินเข้าปั๊มนั้นมีขนาดเล็กกว่าช่องทางเข้าปั๊ม จะเกิดปัญหาของเหลวไหลเข้าปั๊มไม่ทันได้) 
  
สำหรับปั๊มที่ช่องทางเข้าอยู่ตรงกลางใบพัด และท่อที่ต่อเข้านั้นเป็นท่อที่เดินมาในแนวราบและมีความจำเป็นที่ต้องลดขนาดท่อให้เหมาะสมกับช่องทางเข้าปั๊ม จะใช้ eccentric reducer เป็นตัวลดขนาด ส่วนจะวางให้ด้านแบนราบของ eccentric reducer อยู่ด้านบนหรือด้านล่างนั้นขึ้นอยู่กับว่าระดับของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มนั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่าตัวปั๊ม ถ้าระดับของเหลวไหลเข้าปั๊มนั้นอยู่ต่ำกว่า (เช่นสูบน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ต่ำ) จะวาง eccentric reducer โดยให้ด้านแบนราบอยู่บน (ให้ฟองอากาศไหลออกผ่านปั๊ม) แต่ถ้าระดับของเหลวไหลเข้าปั๊มนั้นอยู่สูงกว่า จะวาง eccentric reducer โดยให้ด้านแบนราบอยู่ล่าง (ให้ฟองอากาศไหลย้อนกลับไปยังแหล่งจ่ายของเหลว) แต่ในรูปนี้มีบางจุดที่ผมไม่เข้าใจ คือในเมื่อมันเป็นท่อในแนวดิ่ง ทำให้จึงมีการระบุว่าถ้าเป็น "Tight condition (อันนี้ผมยังไม่เข้าใจความหมาย)" ให้ใช้ eccentric reducer

รูปที่ ๖ ตัวอย่าง piping layout ของปั๊มที่จุดต่อท่อเข้า-ออกนั้นอยู่ทางด้านบนทั้งคู่ 
  
รูปที่ ๗ และ ๘ เป็นปั๊มน้ำดับเพลิงของอาคาร ถังพักน้ำใต้อาคารมีระดับน้ำที่สูงกว่าตัวปั๊ม (เพื่อให้ปั๊มพร้อมทำงานเสมอ) ปั๊มตัวนี้เป็นปั๊มหอยโข่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล (เพราะเวลาไฟไหม้จะมีการตัดกระแสไฟฟ้าในอาคารเพื่อความปลอดภัยในการฉีดน้ำดับเพลิง) ช่องทางให้น้ำไหลเข้านั้นอยู่ในแนวรัศมี (รูปที่ ๗) โดยน้ำจะไหลเข้าทางด้านข้างแล้วเลี้ยวเข้าตรงกลางใบพัดของ stage แรก จากนั้นจะถูกเหวี่ยงออกอีกทางฟากหนึ่ง วกขึ้นบนก่อนเลี้ยวกลับเข้าตรงกลางใบพัดของ stage ที่สอง (รูปที่ ๘) ก่อนที่จะถูกเหวี่ยงออกไปในทางช่องทางออกที่อยู่ทางด้านข้างอีกฟากหนึ่งของตัวปั๊ม


รูปที่ ๗ ปั๊มน้ำดับเพลิงในอาคาร ปั๊มตัวนี้เป็นปั๊มหอยโข่ง 2 stage แต่ย้ายตำแหน่งต่อท่อรับน้ำเข้าอยู่ทางด้านข้าง ตรงส่วนบนสุดของท่อให้น้ำไหลจาก stage แรกมายัง stage ที่สองจะมีวาล์วสำหรับไล่อากาศในระบบท่อออก
 
รูปที่ ๘ มุมมองด้านน้ำไหลออกของปั๊มนรูปที่ ๗ ซึ่งก็อยู่ทางด้านข้างเช่นกัน

รูปที่ ๙ ตัวอย่างแผนผังท่อของปั๊มที่จุดรับของเหลวเข้าและจ่ายออกอยู่ทางด้านข้าง
รูปที่ ๙ เป็นตัวอย่างแผนผังการวางท่อสำหรับปั๊มที่ท่อรับของเหลวเข้าและจ่ายของเหลวออกอยู่ทางด้านข้าง ตรงรูปนี้มีอะไรแปลกอยู่หน่อยตรงที่มีการกล่าวถึงการใช้ eccentric reducer โดยให้ด้านราบอยู่ทางด้านล่าง (flat on bottom) แต่รูปที่วาดกลับวาดรูปเป็น concentric reducer
 
การติดตั้ง eccentric reducer ที่ท่อทางด้านขาเข้าปั๊ม ตามหลักการแล้วจะต้องทำในรูปแบบที่ไม่ทำให้อากาศหรือแก๊สค้างอยู่ในท่อด้านขาเข้าได้ ในกรณีที่ระดับของเหลวที่ปั๊มทำการสูบนั้นอยู่ต่ำกว่าตัวปั๊ม จะติดตั้งโดยให้ด้านแบนราบอยู่ทางด้านบน (flat on top) ดังเช่นในรูปที่ ๑๐ (ซ้าย) ทั้งนี้เพื่อให้อากาศหรือแก๊สที่อยู่ในท่อนั้น ถูกของเหลวที่ปั๊มดูดเข้ามาดันให้ไหลออกผ่านตัวปั๊มไปทางด้านขาออกของปั๊ม แต่ถ้าเป็นกรณีที่ระดับของเหลวนั้นอยู่สูงกว่าตัวปั๊ม ก็สามารถติดตั้งโดยให้ด้านแบนราบอยู่ทางด้านล่าง (flat on bottom) ก็ได้ดังเช่นในรูปที่ ๑๐ (ขวา) ทั้งนี้เพื่อให้เมื่อทำการเปิดวาล์วด้านขาเข้าให้ของเหลวไหลเข้าปั๊ม อากาศหรือแก๊สที่อยู่ในท่อด้านขาเข้าก็จะถูกของเหลวดันให้ลอยสวนทางออกไปทางด้านแหล่งจ่ายของเหลว แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรให้ท่อมีความลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้อากาศหรือฟองแก๊สในท่อด้านขาเข้านั้นเคลื่อนที่ออกไปได้ง่ายขึ้น

รูปที่ ๑๐ การติดตั้ง eccentric reducer ที่ท่อทางด้านขาเข้าปั๊ม โดยหลักแล้วต้องไม่ให้มีอากาศหรือแก๊สค้างอยู่ในท่อด้านขาเข้า รูปซ้ายเป็นกรณีที่ระดับของเหลวนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับตัวปั๊ม รูปขวาเป็นกรณีที่ระดับของเหลวอยู่สูงกว่าระดับตัวปั๊ม

แต่จะว่าไปมันก็มีคำถามเกิดขึ้นเหมือนกันว่าในกรณีที่ระดับของเหลวอยู่สูงกว่าตัวปั๊ม จำเป็นไหมถ้าต้องติดตั้ง eccentric reducer แล้วต้องหันให้ด้านแบบราบของ reducer อยู่ทางด้านล่างแบบรูปที่ ๑๐ (ขวา) เพราะถ้าพิจารณาในแง่ของฟองแก๊สแล้ว ถ้าวางให้ท่อมีความลาดเอียงขึ้นไปยังแหล่งจ่ายของเหลว การลอยย้อนขึ้นไปของฟองแก๊สกลับไปยังแห่ลงจ่ายของเหลวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ว่าจะหันด้านไหนของ reducer ขึ้นข้างบน แต่ถ้าเป็นกรณีที่ของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มนั้นอาจมี ๒ เฟสผสมกันอยู่ (เช่นของเหลวสองชนิดที่ไม่ผสมกัน เช่น น้ำกับน้ำมัน หรือกรณีที่ของเหลวอาจมีของแข็งปะปนอยู่) การติดตั้งโดยให้ด้านแบนราบของ eccentric reducer อยู่ทางด้านล่างก็ช่วยป้องกันไม่ให้เฟสที่หนักกว่านั้นตกค้างอยู่ตรงบริเวณตัว reducer ได้ เพราะการตกค้างของของแข็งหรือน้ำที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งอาจทำให้เนื้อโลหะตรงบริเวณนั้นถูกกัดกร่อนรวดเร็วกว่าบริเวณอื่นได้ เดาว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้บางราย (อย่างเช่นในเอกสารที่เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง) จึงเลือกที่จะหันด้านแบนราบของ eccentric reducer ลงล่างแม้ว่าระดับของเหลวที่จ่ายเข้าปั๊มจะสูงกว่าตัวปั๊มก็ตาม

เรื่องนี้ยังไม่จบ ยังมีตอนที่ ๓ ต่ออีก