ตอนสายของวันอาทิตย์ที่
๒๒ มิถุนายน พ.ศ.
๒๕๔๐ (ค.ศ.
๑๙๙๗)
เวลาประมาณ
๑๐ โมงเศษ
ได้เกิดการรั่วไหลของแก๊สก่อนที่จะเกิดการระเบิดตามมาในอีกไม่กี่นาที
ณ โรงงานผลิตโอเลฟินส์ของบริษัท
Shell ในมลรัฐเท็กซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา
อุบัติเหตุครั้งนี้แม้ว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิตแต่ก็มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ
เช่นสาเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วไหลนั้นต้นตอมาจากความเสียหายของชิ้นส่วนเล็ก
ๆ ชิ้นส่วนหนึ่ง
และความเสียหายดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก
แต่เคยได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลายครั้งแม้ว่าจะเกิดที่โรงงานอื่นแต่ก็เป็นของเครือบริษัทเดียวกัน
ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดก่อนหน้านั้นไม่ได้มีการเผยแพร่ให้รับทราบกันอย่างทั่วถึง
และมีการประเมินผลกระทบที่ตามมาต่ำเกินไป
อาจเป็นเพราะว่าเหตุที่เกิดก่อนหน้านี้มีการตรวจพบก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรงตามมา
เรื่องที่นำมาเล่านี้นำมาจาก
EPA/OSHA Joint
Chemical Accident Investigation Report : Shell Chemical Company, Deer
Park, Texas เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายน
พ.ศ.
๒๕๔๑ (ค.ศ.
๑๙๙๘)
ที่เป็นรายงานการสอบสวนที่เกิดขึ้นที่
Olefin Plant Number
III (OP-III) แต่ก่อนอื่นจะขอปูพื้นฐานกระบวนการผลิตเอทิลีน
โดยจะเน้นเฉพาะส่วนเพิ่มความดันให้กับแก๊ส
ซึ่งเป็นจุดต้นตอของการรั่วไหลในเหตุการณ์นี้
แต่สำหรับผู้ที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง
"ทำความรู้จักกระบวนการผลิตเอทิลีน ตอนที่ ๙ Charge gas compression ภาค ๑"
(Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑๗๗
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม
๒๕๕๙)
"ทำความรู้จักกระบวนการผลิตเอทิลีน ตอนที่ ๑๐ Charge gas compression ภาค ๒"
(Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑๗๘
วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน
๒๕๕๙) และ
"ทำความรู้จักกระบวนการผลิตเอทิลีน ตอนที่ ๑๑ Charge gas compression ภาค ๓"
(Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑๘๑
วันพุธที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๙)
ในการผลิตเอทิลีน
(Ethylene C2H4
หรือ Ethene)
นั้นจะนำไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่มาให้ความร้อนใน
Pyrolysis furnace
จนไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่นั้นแตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลงจนกลายเป็นเอทิลีนร่วมกับโอเลฟินส์ตัวอื่น
เช่นโพรพิลีน (Propylene
C3H6 หรือ Propene)
เพื่อให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าได้ดี
ความดันการเกิดปฏิกิริยาจึงไม่สูงมาก
(มากกว่าความดันบรรยากาศไม่มาก
ทั้งนี้เพราะในปฏิกิริยานี้จำนวนโมลของผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงกว่าสารตั้งต้น)
การผลิตในส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้อุณหภูมิสูง
(Hot side)
ก็เรียกว่าตั้งแต่ระดับประมาณอุณหภูมิห้องไปจนถึงเกือบ
1000ºC
(ขึ้นกับชนิดไฮโดรคาร์บอนที่ใช้เป็นสารตั้งต้น)
แก๊สผลิตภัณฑ์ร้อนที่ออกมาจาก
Pyrolysis furnace
นั้นจะถูกลดอุณหภูมิให้ต่ำลง
(โดยใช้การดึงเอาความร้อนกลับไปใช้ประโยชน์)
ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการอัดเพิ่มความดัน
การอัดเพิ่มความดันนี้ก็เพื่อทำให้สามารถทำให้แก๊สเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิที่ไม่ต่ำเกินไป
และให้มีความดันมากพอที่แก๊สจะไหลผ่านระบบกลั่นแยกต่าง
ๆ ไปจนถึงปลายทางสายการผลิต
การผลิตส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้อุณหภูมิต่ำ
ก็เรียกว่าประมาณอุณหภูมิห้องไปจนต่ำสุดก็ประมาณระดับ
-100ºC
เพื่อที่จะรักษาประสิทธิภาพการอัดแก๊สและป้องกันไม่ให้เอทิลีนเกิดปฏิกิริยาถ้าอุณหภูมิแก๊สสูงเกินไป
การอัดแก๊สให้ได้ระดับความดันที่ต้องการจึงต้องค่อย
ๆ เพิ่มความดันทีละขั้น
อย่างเช่นในโรงงานที่เกิดเหตุนี้ใช้การอัด
5 ขั้นตอนด้วยกัน
โดยในระหว่างแต่ละขั้นตอนการอัดนั้นจะมีการแยกเอาส่วนที่เป็นของเหลวที่ควบแน่นออกมาเมื่อลดอุณหภูมิแก๊สความดันสูงที่ออกมาจากขั้นตอนการอัดแต่ละขั้น
รูปที่ ๑ เป็นแผนผังของโรงงานที่เกิดเหตุ
ส่วนรูปที่ ๒ เป็นแผนผังของหน่วยเพิ่มความดัน
รูปที่ ๑
แผนผังหน่วยการผลิตที่เกิดเหตุ
ส่วนด้านทิศใต้เป็นส่วนที่เรียกว่า
"Hot side"
คือเป็นด้านที่รับวัตถุดิบ
(ไฮโดรคาร์บอน)
เข้ามา ให้ความร้อนใน
Pyrolysis furnace
เพื่อให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่แตกตัวเป็นเอทิลีน
หน่วยนี้จะทำงานที่ความดันต่ำ
(สูงกว่าบรรยากาศไม่มาก)
จากนั้นแก๊สที่ออกจาก
Pyrolysis furnace
จะเข้าสู่หน่วยเพิ่มความดัน
(Process gas
compressor) ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือ
(เรียกว่า
"Cold side")
เพื่อเพิ่มความดันแก๊สให้สูงขึ้นก่อนส่งต่อเข้าระบบทำความเย็น
และการกลั่นแยกต่อไป
รูปที่ ๒
แผนผังกระบวนการอัดแก๊สที่มีการอัดเพิ่มความดัน
5 ขั้นตอนด้วยกัน
กระบวนการอัดแก๊สของโรงงานนี้เป็นกระบวนการอัด
5 ขั้นตอน
(รูปที่
๒) ใช้กังหันไอน้ำ
(Steam turbine)
ขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์
5
ตัวที่ต่อร่วมแกนกัน
การผลิตเอทิลีนนั้นเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานความร้อนสูง
และเมื่อได้ผลิตภัณฑ์แล้วก็ต้องลดอุณหภูมิให้ต่ำลงก่อนทำการกลั่นแยก
การลดอุณหภูมินี้ก็มีทั้งการนำความร้อนนั้นไปผลิตไอน้ำความดันสูงและถ่ายเทให้กับสายอื่นที่ต้องการอุ่นให้ร้อนขึ้น
ส่วนหนึ่งของไอน้ำความดันสูงที่ได้มาก็นำมาใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องอัดแก๊ส
(จะได้ลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าไปด้วยในตัว)
แก๊สที่ผ่านการอัดแต่ละขั้นตอนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ซึ่งต้องลดให้ต่ำลงก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป
(ในรูปที่
๒ ไม่ได้เขียนส่วนที่เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเอาไว้)
แก๊สร้อนที่มีความดันสูงขึ้นเมื่อทำให้เย็นลงก็จะมีไฮโดรคาร์บอนหนักบางส่วนควบแน่นออกมา
ซึ่งต้องแยกออกจากแก๊สก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนอัดถัดไปโดยใช้
Liquid knock-out
drum
อุปกรณ์สำคัญอีกตัวหนึ่งที่ต้องติดตั้งไว้ทางท่อด้านขาออกของปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์ก็คือวาล์วกันการไหลย้อนกลับ
(check valve หรือ
non-return valve)
ทั้งนี้เพราะด้านขาออกมีความดันสูงกว่าด้านขาเข้า
ถ้าหากปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน
(ไม่ว่าจะเป็นด้วยการกดปุ่มหยุดหรือไฟฟ้าดับก็ตาม)
ของไหลความดันสูงทางด้านขาออกก็จะไหลย้อนกลับเข้าสู่ตัวปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์ได้
และสามารถทำให้อุปกรณ์หมุนกลับทิศทาง
ซึ่งถ้าหมุนด้วยความเร็วรอบสูงเกินไปก็จะเกิดความเสียหายต่อตัวอุปกรณ์ได้
หรืออาจทำให้ระบบท่อและ/หรืออุปกรณ์ด้านขาเข้าที่ไม่ได้ออกแบบไว้รองรับความดันที่สูงเกินนั้นเกิดความเสียหายได้
รูปที่ ๓
เหตุการณ์ในขณะเริ่มต้นเดินเครื่องเครื่องคอมเพรสเซอร์ใหม่หลังไฟฟ้าดับ
ทีนี้เราลองกลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงโอเลฟินส์ดังกล่าว
เริ่มจากการที่เกิดเหตุไฟฟ้าดับเมื่อเวลาประมาณ
๐๒.๑๕
น อันเป็นผลจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดจากพายุฝนฟ้าคะนอง
ในช่วงเวลาดังกล่าวระบบไฟฟ้าสำรองได้ทำงานเพื่อจ่ายไฟให้กับระบบที่สำคัญบางส่วน
ในช่วงเวลานี้ยังมี pyrolysis
furnace บางตัวทำงานอยู่
ซึ่งจำเป็นต้องให้มีแก๊สไหลผ่านเพื่อรับความร้อน
แต่เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ที่จะดูดเอาแก๊สนั้นส่งต่อไปยังหน่วยกลั่นแยกไม่ทำงาน
จึงต้องระบายแก๊สออกไปเผาทิ้งที่ระบบ
flare
ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียและก่อให้เกิดควันดำมาก
(เพราะหม้อไอน้ำที่ผลิตไอน้ำเพื่อไปเจือจางการเผาไหม้ที่ปากปล่อง
flare หยุดทำงาน)
ดังนั้นโอเปอร์เรเตอร์จึงได้ตัดสินใจที่จะเริ่มเดินเครื่องคอมเพรสเซอร์ใหม่อีกครั้งเพื่อลดการสูญเสียและปัญหาการเกิดควันดำ
เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ขับเคลื่อนด้วยการใช้กังหันไอน้ำ
ดังนั้นการเริ่มเดินเครื่องจึงเริ่มด้วย
"Slow roll"
หรือค่อย ๆ หมุนอย่างช้า
ๆ ก่อน (รูปที่
๓)
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับพวก
Induction motor
ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายที่สุดจะหมุนด้วยความเร็วรอบคงที่ที่ขึ้นอยู่กับความถี่กระแสไฟฟ้า
ในช่วงที่มอเตอร์เริ่มหมุนนั้นกระแสจะไหลเข้าขดลวดสูงมาก
แต่เมื่อหมุนจนได้ความเร็วรอบแล้วกระแสจะลดต่ำลงมาก
ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้มอเตอร์พวกนี้ขับเคลื่อน
ตอนเริ่มเดินเครื่องจึงต้องทำให้มอเตอร์หมุนจนถึงความเร็วรอบให้เร็วที่สุด
และให้มี load
ตอนเริ่มเดินเครื่องต่ำสุด
เพื่อไม่ให้กระแสตอนเริ่มเดินเครื่องนั้นสูงมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ในกรณีของปั๊มหอยโข่ง
เวลาเริ่มเดินเครื่องจึงมักจะปิดวาล์วด้านขาออกของปั๊มหรือเปิด
minimum flow line
เอาไว้ เพื่อให้มอเตอร์มี
load
ต่ำสุดซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออัตราการของของเหลวเป็นศูนย์
ในกรณีของคอมเพรสเซอร์ที่ถ้าเป็นการอัดอากาศธรรมดา
ก็จะใช้การเปิดท่อทางออกสู่บรรยากาศเพื่อให้มอเตอร์มี
load ต่ำสุดเช่นกัน
เพราะเป็นการดูดอากาศที่ความดันบรรยากาศและปล่อยออกไปที่ความดันบรรยากาศเช่นเดิม
แต่ถ้าเป็นการขับเคลื่อนด้วยกังหันไอน้ำจะแตกต่างออกไป
เพราะไอน้ำจะทำให้ตัวกังหันไอน้ำร้อนขึ้น
และเมื่อโลหะร้อนก็จะมีการขยายตัว
ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากชิ้นส่วนโลหะแต่ละชิ้นส่วนขยายตัวแตกต่างกัน
จึงจำเป็นที่ต้องให้อุปกรณ์ค่อย
ๆ ร้อนขึ้นอย่างช้า ๆ
(ทำนองเดียวกับการเปิดไอน้ำเข้าระบบท่อที่เย็น
ที่ต้องค่อย ๆ
เปิดเพื่ออุ่นท่อให้ร้อนและลดการเกิด
water hammer
เนื่องจากไอน้ำควบแน่นในปริมาณมากในระบบท่อที่เย็น)
ขั้นตอนนี้คือขั้นตอน
"Slow roll"
ที่เขียนไว้ในรูปที่
๓ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะกินเวลาอย่างน้อย
2 ถึง
4 ชั่วโมง
พวก
rotating machinery
หรือเครื่องจักรกลที่มีชิ้นส่วนที่หมุนจะมีช่วงความเร็วเชิงมุมของการหมุนช่วงหนึ่งที่เรียกว่า
"critical
speed" (รูปที่ ๔)
ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะมีการสั่นด้วยความถี่ธรรมชาติที่ค่า
ๆ หนึ่ง
และเมื่อใดก็ตามที่ความเร็วเชิงมุมนี้สอดคล้องกับความถี่การสั่นตามธรรมชาติ
ก็จะทำชิ้นส่วนนั้นเกิดการสั่นที่รุนแรงขึ้น
ถ้าความเร็วรอบการหมุนอยู่นอกช่วงนี้
(ไม่ว่าจะเป็นช้ากว่าหรือเร็วกว่า)
การสั่นก็จะลดลง
ในกรณีของอุปกรณ์ที่สามารถเพิ่มความเร็วรอบการหมุนได้เร็ว
ช่วงเวลาที่ชิ้นส่วนมีความเร็วรอบในช่วง
critical speed
ก็จะสั้น
แต่ถ้าเป็นกรณีของอุปกรณ์ที่ต้องเพิ่มความเร็วรอบการหมุนอย่างช้า
ๆ เช่นกรณีของกังหันแก๊สในที่นี้
ช่วงเวลาที่ความเร็วรอบการหมุนอยู่ในช่วง
critical speed
ก็จะนานมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวอุปกรณ์
จึงได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดการสั่นสะเทือน
(vibration sensor)
ที่จะหยุดการทำงานของอุปกรณ์ถ้าตรวจพบการสั่นที่สูงมากเกินไป
และในระหว่างการเริ่มต้นเดินเครื่องคอมเพรสเซอร์นี้
vibration sensor
ก็ได้ตรวจพบการสั่นสะเทือนที่มากเกินไป
จึงได้ทำการหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลายครั้ง
แต่เนื่องจากโอเปอร์เรเตอร์เข้าใจว่าสาเหตุเกิดจากการเร่งความเร็วรอบผ่าน
critical speed
ที่ช้าเกินไป จึงได้ทำการ
reset
สัญญาณและเริ่มต้นเดินเครื่องใหม่
อนึ่งในรายงานการสอบสวนบันทึกไว้ว่า
โอเปอร์เรเตอร์ที่ทำหน้าที่เดินเครื่องคอมเพรสเซอร์นั้นได้ข้ามขั้นตอนหนึ่งไปก็คือการระบายของเหลวที่ควบแน่นออกจากระบบ
เพราะถ้ามีของเหลวเหล่านี้สะสมมากเกินไป
มันจะสามารถหลุดรอดเข้าไปในตัวกังหันไอน้ำและคอมเพรสเซอร์ได้
ซึ่งจะนำไปสู่การสั่นอย่างรุนแรง
ค่าการสั่นปรกติจะอยู่ที่
0.2 mil
แต่ตรวจวัดการสั่นได้ถึง
1.0 mil
หน่วย
"mil"
ในที่นี้คือ
1 ใน
1000 นิ้วนะ
ไม่ใช่มิลลิเมตรที่เขียนย่อว่า
mm
รูปที่ ๔
ช่วงความเร็ววิกฤตหรือ
Critical speed ของ
rotating machinery
เมื่อปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์หยุดทำงานนั้น
ของไหลทางด้านความดันสูงจะไหลย้อนกลับ
การไหลย้อนกลับนี้จะทำให้วาล์วกันการไหลย้อนกลับปิดตัว
ในกรณีของวาล์วกันการไหลย้อนกลับแบบ
swing check valve
นั้น ตัว valve
disc
จะปิดตัวเร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความดันด้านขาเข้าว่าลดลงเร็วแค่ไหน
ถ้าของไหลเป็นแก๊ส
ความเร็วในการปิดก็จะเร็วกว่ากรณีที่ของไหลเป็นของเหลว
(แบบเดียวกับที่เราเห็นการเติมของเหลวเข้าไปใน
pressure gauge
เพื่อหน่วงการสั่นของอุปกรณ์เวลาที่ใช้กับระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันอย่างรวดเร็ว)
และในส่วนของคอมเพรสเซอร์นั้นยังมีเรื่องการเกิด
surging
เข้ามาเกี่ยวข้องอีก
(อ่านเพิ่มเติมได้ในเรื่อง
"Centrifugal compressor กับการเกิด Surge และการป้องกัน"
Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๗๘
วันเสาร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์
๒๕๕๖)

รูปที่ ๕
ตัวอย่างรูปร่างหน้าตาของ
Pneumatically-assisted
swing check valve
ที่มีกระบอกสูบลมช่วยในการดึงให้วาล์วอยู่ในตำแหน่งปิดสนิท/ป้องกันการกระแทกของ
valve disc ในขณะปิด
ตัวกระบอกสูบลมนี้จะมีวาล์วปรับแต่งการปิดว่าจะให้ปิดช้าหรือเร็วแค่ไหน
ส่วน counterweight
หรือน้ำหนักถ่วงนั้นถ้าติดตั้งอยู่ทางฝั่งเดียวกับ
valve disc
ก็จะช่วยให้วาล์วเคลื่อนตัวเพื่อปิดได้ง่ายขึ้น
แต่ก็จะทำให้ต้องใช้แรงดันมากขึ้นเพื่อดันให้วาล์วเปิด
ในทางกลับกันถ้าน้ำหนักถ่วงนั้นอยู่คนละฟากของ
valve disc
ก็จะช่วยให้วาล์วเปิดได้ง่ายขึ้น
แต่ก็จะปิดได้ยากขึ้น (รูปจาก
https://www.made-in-china.com)
รูปที่
๕ เป็นตัวอย่างหนึ่งของ
swing check valve
ที่มีอุปกรณ์ประกอบคือ
Counter weight
หรือน้ำหนักถ่วง และ
Pneumatic cylinder
หรือกระบอกสูบลม
ตัวน้ำหนักถ่วงนี้ไม่เพียงแต่จะใช้ช่วยในการเปิดหรือปิดวาล์ว
(ขึ้นอยู่กับว่าติดตั้งน้ำหนักถ่วงไว้ทางด้านไหน)
แต่ยังช่วงแสดงให้เห็นด้วยว่าในขณะนั้นวาล์วเปิดหรือปิดอยู่
ส่วนตัวกระบอกสูบลมนั้นก็ทำหน้าที่ทั้งช่วยเพิ่มแรงต้านทานการเปิด
(ลดปัญหาการเปิดปิดอย่างรวดเร็ว)
และยังช่วงหน่วงการปิด
(ไม่ให้ปิดกระแทกแรง)
เพลา (shaft)
ที่ติดตั้งน้ำหนักถ่วงนี้อาจเป็นเพลาตัวเดียวกับที่ติดตั้ง
valve disc
หรืออาจเป็นคนละตัวกัน
ตัว
valve disc
อยู่ข้างในตัววาล์วในขณะที่
counter weight
อยู่ข้างนอก ดังนั้นเพื่อให้
counter weight
หมุนไปตามการเคลื่อนตัวของ
valve disc
จึงจำเป็นที่ต้องให้การเคลื่อนตัวของ
valve disc
นั้นทำให้เพลาที่ใช้เป็นแกนหมุน
หมุนตามไปด้วย
ดังนั้นจำเป็นต้องมีการตรึงตัว
valve disc
และแขนติดตั้ง counter
weight เข้ากับตัวเพลา
วิธีการหนึ่งที่ใช้กันที่เหมาะสำหรับการส่งกำลังและสามารถรับแรงได้ดีคือการใช้ระบบ
key, key seat/key
way (รูปที่ ๖)
โดยตัว key
นั้นทำหน้าที่ส่งผ่านแรงการหมุนจากชิ้นส่วนหนึ่งไปยังอีกชิ้นส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้ตรงจุดที่เพลาโผล่ทะลุตัววาล์วออกมา
ก็ต้องมีการป้องกันไม่ให้ของไหลข้างในรั่วไหลออกมาข้างนอกได้
โดยที่ยังต้องให้เพลานั้นหมุนได้โดยมีแรงเสียดทานน้อยที่สุด
เทคนิคหนึ่งที่ใช้กันตรงนี้ก็คือการใช้
stuffing box
(สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จัก
stuffinb box
ของให้อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน
Memoir ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๓๑๐ วันพฤหัสบดีที่
๑๒ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง "Piping
and Instrumentation Diagram (P&ID) ของอุปกรณ์
ตอน Auxiliary
piping ของปั๊มหอยโข่ง")
สำหรับตอนที่
๑
นี้ก็ถือว่าเป็นการแนะนำให้รู้จักกับตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก่อนก็แล้วกัน
ส่วนที่ว่าแล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อก็ขอเอาไว้เล่าต่อในตอนที่
๒