แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ spectacle plate แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ spectacle plate แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เพลิงไหม้จากการรั่วที่หน้าแปลน (๒) MO Memoir : Tuesday 5 November 2567

การตัดแยกระบบหรือการทำ Isolation เป็นขั้นตอนการทำงานที่สำคัญในการป้องกันไม่ให้ process fluid รั่วไหลเข้าสู่ vessel หรือ downstream process ที่ต้องการทำการซ่อมบำรุง และอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำหน้าที่ดังกล่าวคือตัว spade (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ การติดตั้ง (ซ้ายบน) Spade, (ขวาบน) Ring Spacer และ (ล่าง) Spectacle plate ระหว่างหน้าแปลน (รูปจาก https://www.haihaopiping.com/spectacle-flange-spades-and-ring-spacers.html)

หน้าตาของ spade เป็นดังรูปที่ ๑ ซ้ายบน คือเป็นแผ่นโลหะกลมมีด้ามโผล่ยื่นออกมา ขนาดของแผ่นกลมสามารถปิดท่อที่ต้องการตัดแยกระบบแต่สามารถสอดไว้ระหว่างน็อตของหน้าแปลนได้ ในกรณีของท่อที่มีขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นมากพอ อาจใช้การง้างท่อเพื่อสอดตัว spade เมื่อต้องการติดตั้ง แต่ในกรณีของท่อขนาดใหญ่หรือท่อที่ไม่มีความยืดหยุ่นมากพอ ก็ต้องเว้นที่ว่างระหว่างหน้าแปลนเอาไว้สำหรับใส่ตัว spade เมื่อต้องการติดตั้ง โดยขณะที่กระบวนการเดินเครื่องตามปรกติก็ต้องใส่ตัว ring spacer เข้าไปแทน (รูปที่ ๑ ขวาบน) เพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างหน้าแปลน แล้วทำการบีบอัดด้วยน็อตของตัวหน้าแปลน (แต่ต้องไม่ลืมที่ต้องมีที่ว่างสำหรับใส่ปะเก็นระหว่างหน้าแปลนและตัว ring spacer ด้วย)

สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นปัญหาในการทำงานคือจะรู้ได้อย่างไรว่าที่สอดระหว่างหน้าแปลนนั้นเป็น spade หรือ ring spacer การแก้ปัญหาก็ทำได้ด้วยการทำให้โครงสร้างส่วนที่โผล่ยื่นพ้นหน้าแปลนออกมานั้นมีรูปแบบไม่เหมือนกัน หรือก็เอา spade และ ring spacer มาเชื่อมติดกันเป็น spectacle plate แบบรูปที่ ๑ ล่างไปเลย ถ้าเห็นด้านที่เป็น spade โผล่ยื่นออกมาก็แสดงว่าด้านที่เป็น ring spacer นั้นถูกสอดอยู่ระหว่างหน้าแปลน และเช่นเดียวกันถ้าเห็นด้านที่เป็น ring spacer โผล่ยื่นออกมาก็แสดงว่าด้านที่เป็น spade นั้นถูกสอดอยู่ระหว่างหน้าแปลน

หมายเหตุ : การตัดแยกระบบหรือ isolation นั้นปรกติจะไม่ไว้วางใจการใช้วาล์วเพียงตัวเดียวในการปิดกั้น เพราะถือว่าวาล์วอาจมีความบกพร่องที่ทำให้ปิดได้ไม่สนิท ในกรณีที่ต้องมีการตัดแยกระบบบ่อยหรือมีความยากลำบากในการติดตั้ง spade ก็อาจใช้ระบบ double block and bleed valves คือใช้ block valve สองตัวต่ออนุกรมกัน และมีท่อ vent หรือ drain เพื่อระบาย process fluid ที่อาจรั่วไหลผ่าน block valve ทางด้าน process ให้ระบายไปยังจุดที่ปลอดภัย

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากบทความเรื่อง "Leakage and fire from a flange with a special shape at the reactor outlet at a gas oil mediumpressure hydrocracker" ที่เผยแพร่ในเว็บ Failure Knowledge Database ของประเทศญี่ปุ่น (https://www.shippai.org/fkd/en/cfen/CC1300006.html) โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ Ichihara, Chiba ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ที่ต้องปูเรื่อง spade และ ring spacer ก่อนก็เพื่อให้ผู้ที่ยังเรียนอยู่หรือไม่ได้ทำงานทางด้านนี้มองเห็นภาพได้ว่าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มันไปปรากฏอยู่ในระบบท่อด้วยเหตุผลใด

รูปที่ ๒ คำบรรยายเหตุการณ์ที่เกิด

หน่วยผลิตที่เกิดเหตุนั้นสร้างขึ้นในปีค.ศ. ๑๙๖๒ (พ.ศ. ๒๕๐๕) เพื่อใช้เป็นหน่วยกำจัดกำมะถันออกจากน้ำมันหนัก (desulphurization unit) ต่อมาในปีค.ศ. ๑๙๘๒ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ถูกปรับเปลี่ยนมาทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยกำจัดกำมะถันและ "decomposition unit" สำหรับ heavy gas oil ก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ในปีค.ศ. ๒๐๐๒

คำ "decomposition unit" ที่ใช้บทความหมายถึงหน่วย hydrocraker ที่เรียกกันในปัจจุบัน คือการกำจัดสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ที่ปนอยู่ในน้ำมันจะใช้แก๊สไฮโดรเจนทำปฏิกิริยาโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยเพื่อดึงเอากำมะถันออกมาในรูปแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) โดยปฏิกิริยาจะเกิดที่อุณหภูมิและความดันที่สูง และด้วยการที่โมเลกุลของน้ำมันหนักแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่แต่ก็มีความไม่อิ่มตัวสูง (มีพันธะ C=C มาก) จึงแตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็กลงได้ยาก เพราะการที่โมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความไม่อิ่มตัวสูงมากขึ้น ดังนั้นถ้าสารตั้งต้นมีความไม่อิ่มตัวสูงอยู่แล้ว การจะทำให้แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลงจึงทำได้ยากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงต้องทำลดความไม่อิ่มตัวของสารตั้งต้นลงก่อนด้วยการเติมไฮโดรเจนเข้าไปยังตำแหน่งพันธะที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งปฏิกิริยานี้ก็เกิดที่อุณหภูมิและความดันที่สูงเช่นกัน

ก่อนเกิดเหตุนั้น ได้มีการลดอัตราการไหลของสารตั้งต้นและลดอุณหภูมิของระบบลงจาก 370ºC เหลือเป็น 340ºC และเมื่อเวลาประมาณ ๒๒.๓๐ น แก๊สความดันสูงและอุณหภูมิสูงได้รั่วไหลออกจากหน้าแปลนที่มี spacer ติดตั้งอยู่ ตำแหน่งหน้าแปลนนี้อยู่ทางด้านขาออกของ reactor ในช่วงแรกนั้นเปลวไฟที่เกิดขึ้นมีขนาดเล็ก แต่ด้วยความร้อนของเปลวไฟจึงทำให้ bolt ที่ยึดหน้าแปลนไว้เกิดการยืดตัวออก ทำให้แรงกดหน้าแปลนให้แนบสนิทนั้นลดลง การรั่วไหลจึงเกิดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความเสียหายขยายเป็นวงที่กว้างขึ้น เพลิงสงบเมื่อเวลา ๕.๓๐ น ของวันถัดมา

หน่วยนี้มีการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงครั้งสุดท้ายในปีค.ศ. ๒๐๐๑ (พ.ศ. ๒๕๔๔) หรือก่อนเกิดเหตุประมาณ ๑ ปี และเมื่อทำการถอด spacer ออกจากหน้าแปลนที่เกิดเหตุก็พบว่าระยะห่างระหว่างหน้าแปลนนั้นมีความแตกต่างถึง 8 mm แทนที่จะขนานกัน ทำให้เวลาที่ใส่ spacer กลับคืนเข้าไปแล้วขัน bolt คืนเดิมนั้น ความตึงของ bolt แต่ะละตัวจะไม่เท่ากัน (คือด้านที่ห่างมากกว่าจะมีความตึงมากกว่า เพราะต้องใช้แรงมากกว่าในการดึงให้หน้าแปลนเคลื่อนเข้าหากัน)

บทความกล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วไหลคาดว่าเป็นเพราะตัว spacer มีการหดตัวมากกว่าตัว bolt เมื่ออุณหภูมิของระบบลดต่ำลง คือถ้า bolt หดตัวด้วยขนาดเดียวกันหรือมากกว่าตัว spacer ตัว spacer ก็จะยังคงถูกบีบอัดเอาไว้ แต่พอ bolt หดตัวน้อยกว่า ก็เลยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างหน้าผิวสัมผัส

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือในเมื่อหน้าแปลนมันไม่ขนานกัน แล้วทำไมจึงฝืนขันน็อตเพื่อให้หน้าแปลนมันแนบติดกัน ตรงนี้ผู้เขียนบทความเล่าไว้ว่ สมัยที่เป็นวิศวกรจบใหม่เข้าทำงานนั้น ในกรณีที่พบว่าหน้าแปลนนั้นไม่ขนานกันอันเป็นผลจากความเครียด (strain) ของระบบท่อ ก็จะใช้รอกโซ่ดึงหน้าแปลนเข้าหากันแล้วทำการขันน็อตให้แน่น ซึ่งแสดงว่าวิธีการทำงานดังกล่าวยังมีการปฏิบัติอยู่จนกระทั่งวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

ตรงนี้ก็มีข้อควรพิจารณาคือ การใช้การดึงหน้าแปลนที่ไม่ขนานกันให้แนบเข้าหากันนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ เพราะตอนที่ประกอบท่อเมื่อสร้างโรงงานนั้นสามารถจัดให้ผิวหน้าแปลนขนานกันได้ แต่พอโรงงานมีการใช้งานก็จะทำให้ท่อมีการขยายตัว ซึ่งสามารถทำให้ท่อเกิดการเคลื่อนออกไปจากตำแหน่งเดิมเมื่อแรกสร้าง และไม่คืนกลับตำแหน่งเดิมแม้ว่าโรงงานจะหยุดการเดินเครื่อง ทำให้เมื่อถอดน็อตยึดหน้าแปลนออกหน้าแปลนจึงไม่ขนานกัน ดังนั้นการทำเช่นนี้จึงอาจเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ถ้าความเบี่ยงเบนนั้นไม่มากเกินไป บทความไม่ได้กล่าวว่าท่อที่เกิดเหตุนั้นเป็นท่อขนาดกี่นิ้ว จึงไม่สามารถเทียบว่าระยะเบี่ยงเบน 8 mm ที่พบนั้นจัดว่ามากไปหรือไม่สำหรับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อที่เกิดเหตุ โดยความเห็นส่วนตัวคิดว่าประเด็นหน้าแปลนไม่ขนานนี้น่าจะเป็นตัวการหลักให้เกิดการรั่วไหลมากกว่าการหดตัวของ spacer

ในบทความต้นฉบับ มีความคิดเห็นหนึ่งของผู้เขียนที่ผู้อ่านควรต้องพิจารณาให้ดี คือผู้เขียนบทความกล่าวว่าการใส่ spacer ไว้ที่หน้าแปลนดังกล่าวก็เพื่อใช้ในการตัดแยก reactor ออกจากระบบเมื่อต้องทำการซ่อมบำรุง และน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าหากใช้ "ท่อสั้น ๆ" แทนการใช้ spacer แม้ว่าจะต้องมีหน้าแปลนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่ก็ตาม สำหรับผู้ที่นึกภาพตรงนี้ไม่ออกขอให้ดูรูปที่ ๓ ประกอบ

รูปที่ ๓ (ซ้าย) การใช้ ring spacer (สีเขียว) ใส่ระหว่างหน้าแปลนเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับใส่ spade เมื่อต้องทำการแยก vessel ออกจาก process (ขวา) การใช่ท่อสั้น (สีส้ม) ที่จะถอดออกเมื่อต้องการแยก vessel ออกจาก process

คือในระหว่างการซ่อมบำรุงนั้นต้องมีการป้องกันไม่ process fluid รั่วไหลออกมายังด้านที่ทำการซ่อมบำรุง (เช่นตัว vessel) วิธีการที่ดีที่สุดคือไม่ให้มีการเชื่อมต่อทางกายภาพ (physical connection) ระหว่างกัน กล่าวคือถ้ามีชิ้นส่วนท่อสั้นเชื่อมระหว่างด้าน process กับด้าน vessel ก็ให้ถอดชิ้นส่วนท่อสั้นนั้นออก (ถอดตัวสีส้มในรูปที่ ๓) แต่ปลายท่อด้าน process ก็ต้องปิดด้วย blind flange ให้แน่นหนาสามารถกันการรั่วไหลได้ด้วย

การให้มีท่อสั้นที่สามารถถอดออกได้นั้นก็อาจทำไม่ได้ในกรณีที่พื้นที่มีจำกัด หรือในกรณีที่ท่อมีขนาดใหญ่ ก็จะทำให้ท่อสั้นที่ต้องถอดออกนั้นมีน้ำหนักมากตามไปด้วย การใช้ spade หรือ spectacle plate จะมึความสะดวกมากกว่า หรือในกรณีที่มีการปฏิบัติงานเป็นประจำ การใช้ double block and bleed valves ก็เป็นที่ยอมรับกัน เพราะรอยต่อที่ปิดสนิทไม่มีการรั่วซึมอยู่แล้ว พอไปถอดออกแล้วประกอบใหม่ ก็ต้องมาลุ้นกันใหม่ว่าประกอบใหม่แล้วจะมีการรั่วซึมอีกหรือไม่

การติดตั้ง orifice plate ที่ใช้วัดอัตราการไหลก็มีการติดตั้งแบบเดียวกับ ring spacer คือสอดไว้ระหว่างหน้าแปลน คือถ้าเอาแนวความคิดเดียวกันมาใช้ก็จะกลายเป็นว่าการติดตั้ง orifice plate อาจทำให้เกิดการรั่วไหลแบบนี้ได้ ดังนั้นควรเปลี่ยนไปใช้ venturi flow meter จะดีกว่า

อีกประเด็นคือ ตัวหน้าแปลนเองก็เป็นจุดที่สามารถเกิดการรั่วไหลได้อยู่แล้ว อันเป็นผลจากการคลายตัวของน็อตยึดหน้าแปลนด้วยหลากหลายสาเหตุ (เช่นที่ได้เล่าไปในตอนที่ ๑)

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

ความเห็นเกี่ยวกับการทำ Isolation MO Memoir : Friday 1 March 2562

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ารู้สึกดีใจครับที่เห็นศิษย์เก่าของภาควิชารายหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรม ได้พยายามที่จะถ่ายทอดความรู้ออกมาในรูปบทความง่าย ๆ เพื่อให้คนที่กำลังเรียนอยู่นั้นสามารถอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก (บทความของเขาอยู่บน medium.com ครับ) ซึ่งตอนนี้เขากำลังเขียนบทความในชุด "วิศวกรมือใหม่หัดเขียน P&ID" อยู่ (ถ้าอยากรู้ว่าเขาเขียนอะไรไปบ้างแล้ว ก็เอาข้อความ "วิศวกรมือใหม่หัดเขียน P&ID" ไปให้ google ค้นหาได้เลยครับ) ตรงนี้ขอแนะนำให้ใครที่กำลังจะไปฝึกงานน่าจะแวะเข้าไปอ่านและติดตามผลงานของเขาหน่อยครับ
 
เมื่อวานเขาก็ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำ "Isolation" ระบบ (คือการตัดขาดการเชื่อมต่ออุปกรณ์จากกระบวนการผลิต เพื่อไม่ให้มี process fluid รั่วไหลออกจากระบบ และรั่วเข้ามาในอุปกรณ์ที่ทำการ Isolate นั้นได้) ซึ่งตัวผมเองก็มีความเห็นในบางประเด็นและได้มีการสนทนากับเขาทางหน้า facebook เมื่อช่วงเช้าวันนี้ แต่ด้วยเห็นว่าความเห็นที่คุยกับเขานั้นน่าจะพอมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง และไม่อยากให้มันสูญหายไปกับหน้า facebook ของผม ก็เลยขอนำมาบันทึกไว้บนหน้า blog เสียหน่อย เรื่องที่คุยกับเขามีอยู่ ๔ เรื่องด้วยกันดังนี้ครับ

เรื่องที่ ๑ วาล์วสำหรับการทำ Isolation

ชนิดของวาล์วที่จะใช้เป็น block valve (คือทำหน้าที่ปิด-เปิดเป็นหลัก) ขึ้นอยู่กับชนิดของ fluid สภาพแวดล้อมการทำงาน ขนาดท่อ และขนาดท่อ
 
ball valve เองก็มีข้อเสียหลายอย่างในตัวมัน ไม่ว่าจะมี fluid ค้างอยู่ในตัวลูกบอลได้เมื่อปิดวาล์ว และแม้ว่าจะมีการเจาะรูลูกบอลทางด้านdownstream เพื่อระบายความดันในลูกบอล ก็จะทำให้ต้องระวังในการติดตั้ง เพราะมันจะต้องตั้งให้ถูกต้องกับทิศทางการไหล (ดูรูปที่ ๑ ที่ใส่เพิ่มเติมจากการสนทนาเมื่อเช้า)
 
การเจาะรูลูกบอลทางด้าน downstream แม้ว่าจะระบายความดันเนื่องจากแก๊สได้ แต่ของเหลวยังคงค้างในตัวลูกบอลได้
 
นอกจากนี้ก้านหมุนลูกบอลยังกินพื้นที่ทำงานโดยรอบที่กว้างด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเปิด-ปิดวาล์วได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประตูน้ำที่การประปาติดไว้ที่ทางเข้าออกมิเตอร์น้ำครับ เขาจะให้ gate valve เพราะว่ามันไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับการหมุนเปิด-เปิดวาล์ว
 
การที่ ball valve สามารถเปิดเต็มที่ได้อย่างรวดเร็วนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือถ้าเป็นการระบายความดันสู่บรรยากาศ มันจะช่วยลดความดันได้เร็ว
 
แต่ถ้าเป็นระบบที่ด้าน upstream มีความดันสูงกว่าด้าน downstream การเปิดวาล์วอย่างรวดเร็วอาจทำให้ของไหลด้าน upstream นั้นไหลพุ่งไปอย่างรวดเร็ว 
  
และเมื่อต้องเปลี่ยนทิศทาง (เช่นตรงข้องอ) ก็อาจทำให้ระบบท่อเสียหายได้
 
การระเบิดที่ TPI ปี ๒๕๓๑ เข้าใจว่าเกิดการจากที่ operator คิดว่า ball valve นั้นปิดได้ง่าย จึงคิดจะกำจัดสิ่งอุดตันในท่อด้วยการให้ความดันใน process นั้นดันให้สิ่งอุดตันหลุดออกผ่าน ball valve แล้วก็รีบปิดวาล์ว แต่เอาเข้าจริง ๆ พอสิ่งอุดตันหลุดออกมาแล้วก็ไม่สามารถปิดวาล์วได้ (น่าจะเป็นท่อขนาด 8 นิ้ว) ก็เลยทำให้เฮกเซนรั่วออกมาในปริมาณมากก่อนเกิดการระเบิด

รูปที่ ๑ ball valve แบบมีการเจาะรูที่ตัวลูกบอลว่าจะให้สารที่อยู่ในตัวลูกบอลระบายออกทางด้าน downstream (ซ้าย) หรือทำการปรับความดันในตัวลูกบอลให้เท่ากับทางด้าน upstream (ขวา) รูปนี้นำมาจากเอกสาร "Process Ball Valve Vent Options" ของบริษัท Swagelok ในรูปแบบ downstream vent (ซ้าย) นั้น ถ้า fluid เป็นแก๊สมันก็ยังมีแก๊สตกค้างอยู่ได้เล็กน้อยในตัวลูกบอล แต่ถ้าเป็นของเหลว ของเหลวที่อยู่ที่ระดับต่ำกว่ารูระบายจะยังคงค้างอยู่ในตัวลูกบอลได้ ซึ่งปริมาณที่ค้างก็เพิ่มตามขนาดลูกบอล ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นถ้าของเหลวนั้นเป็นสารพิษและ/หรือไวไฟ

เรื่องที่ ๒ Single block หรือ Single block + Bleed valve

ในข้อเขียนของ Prof. T.A. Kletz อดีต safety office ของ ICI ที่มาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหลังเกษีณจากบริษัท จะย้ำเป็นประจำครับว่าไม่ให้ไว้ใจ single block ในการทำ isolation แม้ว่าจะเป็นกรณีของ process fluid ที่เราเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เพราะเอาเข้าจริง ๆ จากcase study ที่แกนำมาเผยแพร่นั้นแสดงให้เห็นว่าการรั่วไหลของ process fluid ที่มีอันตรายเข้าไปปนเปื้อนในระบบ utility (เช่นน้ำหล่อเย็น อากาศ) มีให้เห็นเสมอ
 
แม้ว่าจะเป็นกรณีของ single block + bleed valve ก็ตาม เพราะท่อด้าน bleed valve นั้นมันเล็กกว่าท่อด้าน downstream ดังนั้นถ้ามีการรั่วผ่าน block valve มาได้ การไหลต่อไปยังด้าน downstream จึงน่าจะง่ายกว่าการรั่วออกทาง bleed valve
 
ซึ่งกรณีแบบนี้ส่วนตัวเห็นว่าถ้าไม่ได้เป็นการทำที่รีบเข้าไปช่วยชีวิตคนอื่น ก็อย่างเสียงดีกว่า เพราะจะว่าไปแล้วแม้ว่าจะเป็น double block + bleed valve ก็ยังมีกรณีที่มันไม่ work ถึงต้องมีการเพิ่ม slip plate ไว้ทางด้าน downstream ของ block valve ตัวที่สองอีก
 
เรื่องที่ ๓ Slip plate/slip ring กับ Spectacle plate

ถ้าท่อมีความยืดหยุ่น (ซึ่งมักเป็นท่อขนาดเล็ก) สามารถง้างหน้าแปลนแล้วแทรก slip plate ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง slip ring เอาไว้
 
แต่ถ้าเป็นระบบที่มีความดันสูง ซึ่งตัว slip plate นั้นจะต้องสามารถรับความดันนั้นได้ด้วย นั่นหมายความว่ามันจะต้องหนาด้วย ระยะช่องว่างที่สามารถง้างหน้าแปลนได้อาจไม่กว้างพอที่จะสอดมันเข้าไป (มันต้องมีปะเก็นปะกบด้านหน้า-หลังด้วย) ก็จำเป็นต้องติดตั้ง slip ring เอาไว้ โดยต้องทำตั้งแต่ตอนออกแบบระบบท่อ
 
ข้อดีของการใช้ slip plate/slip ring ก็คือมันไม่มีอะไรโผล่ยื่นออกมาให้เกะกะทางเดิน แต่มันก็มีข้อเสียคือถ้าไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ที่ด้ามอย่างชัดเจนเราจะบอกไม่ได้ว่าเราติดตั้งอะไรอยู่ และสำหรับท่อหุ้มฉนวน มันอาจถูกฉนวนปิดคลุมจนลืมไปว่ามีอะไรติดตั้งอยู่
 
spectacle plate แม้ว่าติดตั้งแล้วมันจะดูเกะกะ แต่ก็ทำให้รู้ว่าขณะนั้นท่อถูกปิดกั้นหรือเปิดอยู่และยังไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาเมื่อต้องการเปลี่ยนจากเปิดเป็นปิดหรือปิดเป็นเปิด 
  
และจะว่าไปน้ำหนักของพวกนี้ก็ไม่ได้ไปเพิ่มอะไรมากนักจากน้ำหนักหน้าแปลนที่มันแทรกอยู่

เรื่องที่ ๔ spool piece

จะเรียกว่าการไม่ให้มี physical connection ระหว่าง upstream กับ downstream เป็นวิธีการ isolate ที่ดีที่สุดก็ได้ แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องมี blind flange ติดตั้งอยู่ที่ปลายท่อด้าน process side โดย blind flange นั้นต้องสามารถรับความดันของด้าน process side ได้และต้องไม่มีการรั่วไหล
 
กรณีของการไม่ปิด blind flange ให้ดีที่ทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุดเห็นจะได้แก่กรณีของ piper alpha เมื่อปี ๒๕๓๑ ในทะเลเหนือที่มีการรั่วไหลของเมทานอลออกทาง blind flange ที่ปิดไม่แน่น จนก่อให้เกิดการระเบิดและเพลิงลุกไหม้รุนแรงตามมา

ความเห็นส่วนตัวที่คุยไปกับเขาเมื่อเช้าก็มีเพียงเท่านี้ครับ :) :) :)