แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ball valve แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ball valve แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วาล์วที่เชื้อเชิญให้เปิด MO Memoir : Thursday 13 February 2568

เย็นวันนี้ก่อนเข้าบ้านก็แวะไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ที่จอดรถเป็นอาคาร พอจอดรถเสร็จเดินมาหยิบถุงจะเอาไปใส่ของที่ซื้อ ก็มองไปเห็นวาล์วตัวหนึ่งพร้อมป้ายแขวนดังรูปข้างล่าง

 

อันที่จริงถ้าไม่ต้องการให้คนมาเปิดวาล์วตัวนี้เล่น การทำป้ายแขวนเตือนอย่างเดียวแบบนี้คงไม่พอ ถ้าจะให้ดีก็ถอดก้านหมุนวาล์วออกไปเลย หรือไม่ก็ใช้แบบที่สามารถคล้องกุญแจล็อคได้จะปลอดภัยกว่า

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564

นานาสาระเรื่องการเปิดวาล์ว (๒) MO Memoir : Wednesday 2 June 2564

ผมเขียนเรื่องนี้ครั้งแรกลง blog เอาไว้เมื่อเกือบ ๗ ปีที่แล้ว (วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) ตอนนั้นจะเน้นไปที่คำขยายต่าง ๆ (ภาษาอังกฤษ) ที่เกี่ยวข้องกับการเปิด-ปิดวาล์ว เช่นการเปิดเพียงเล็กน้อย การเปิดเพียงแค่รู้สึกว่าวาล์วเปิดแล้ว การค่อย ๆ เปิด-ปิด ฯลฯ เพราะว่ามันจำเป็นเมื่อต้องเขียนคู่มือการทำงานเป็นลายลักษณ์อักษร มาวันนี้จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งคือ จากวาล์วที่เห็นติดตั้งอยู่ในระบบนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าวาล์วตัวนั้นเปิดหรือปิดอยู่

คำตอบสั้น ๆ ก็คือ มันไม่มีสูตรลัดพิเศษ เพราะมันขึ้นอยู่กับการออกแบบ "Stem"

"Stem" ของวาล์วคือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลผ่านวาล์ว (ที่อาจเป็น disk, plug หรือ ball) และกลไกที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลผ่านวาล์ว (ที่กลไกนี้อาจเป็น hand wheel, handle หรือระบบ actuator ต่าง ๆ ที่ใช้กับวาล์วควบคุม) ในกรณีของ gate valve และ globe valve นั้น การทำให้ตัว disk หรือ plug ที่ปิดกั้นช่องทางการไหลนั้นเคลื่อนที่ขึ้น (เพื่อเปิด) หรือเคลื่อนที่ลง (เพื่อปิด) อาจใช้ การเคลื่อนที่ "ขึ้น-ลง" หรือการ "หมุน" ตัว stem ก็ได้ ส่วนในกรณีของ ball valve, plug valve และ butterfly valve นั้นจะใช้การ "หมุน" ตัว stem เพื่อไปทำให้ตัว ball, plug หรือ disk เปิดหรือปิดช่องทางการไหล

รูปที่ ๑ เป็น gate valve ชนิด rising stem with outside screw เวลาที่เราหมุน hand wheel นั้น ตัว hand wheel จะอยู่ที่เดิม แต่ตัวสกรูที่อยู่ตรงกลางตัว hand wheel จะยื่นออกมาหรือหดตัวเข้าไปก็ขึ้นอยู่กับว่าเราหมุนเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว ถ้ามันโผล่ยื่นออกมา วาล์วก็จะเปิด แต่มันหดหายเข้าไปข้างใน วาล์วก็จะปิด วาล์วแบบนี้มันดูง่ายว่าเปิดหรือปิดอยู่ แต่มันก็มีข้อเสียข้อหนึ่งคือใช้พื้นที่มากหน่อยในการติดตั้ง (ต้องมีที่ว่างให้ตัว stem เคลื่อนที่)

สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ เวลาที่เราเปิดวาล์วนั้น เราจะหมุน hand wheel จนกระทั่งหมุนต่อไม่ได้ คือเห็นตัว stem โผล่ยื่นออกมาจนไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อได้แล้ว ซึ่งตรงนี้แม้ว่าวาล์วจะเปิด "เกือบเต็มที่" ในขณะที่เราต้องการให้มันเปิด "เต็มที่" มันก็ไม่ส่งผลอะไรกับการทำงานของระบบนั้น แต่สำหรับการปิดวาล์วนั้นเราจำเป็นต้องรู้ว่าต้องเห็นตัว stem หดตัวเข้าไปจนถึงตำแหน่งไหนจึงจะทำให้วาล์ว "ปิดสนิท" โดยเฉพาะกรณีของ gate valve ที่อาจมีสิ่งสกปรกที่เป็นของแข็งค้างอยู่ในร่องสำหรับให้ตัว disk เคลื่อนที่ ทำให้ตัว disk ไม่สามารถเคลื่อนตัวจนปิดวาล์วได้สนิท ของไหลในระบบยังสามารถไหลผ่านช่องว่างเล็ก ๆ นี้ได้ อุบัติเหตุหนึ่งที่เกิดจากการที่วาล์วปิดไม่สนิทนี้ (คือโอเปอร์เรเตอร์หมุน hand wheel จนกระทั่งมันปิดไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยคิดว่าวาล์วปิดสนิทแล้ว แต่ในความเป็นจริงมีสิ่งสกปรกขวางอยู่ในร่อง) เคยเล่าไว้ในบทความชุด "เพลิงไหม้และการระเบิดที่ BP Oil (Grangemouth) Refinery 2530 (1987) Case 1-4 เพลิงไหม้ที่ระบบ Flare" ที่เขียนไว้ในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ การป้องกันได้ด้วยการติดตั้งตัวชี้บอกระดับการเปิดของวาล์วเพื่อให้รู้ว่าวาล์วปิดสนิทแล้วหรือยัง

รูปที่ ๒ เป็น globe valve ชนิด rising stem เช่นกัน แต่เป็นชนิด inside screw เวลาที่เราหมุน hand wheel ตัว hand wheel ก็จะเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับว่าเราหมุนเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว ถ้าเห็น hand wheel ยกตัวขึ้นสูงก็อาจเดาได้ว่าวาล์วตัวนั้นเปิดอยู่ แต่ถ้าเห็น hand wheel อยู่ที่ระดับต่ำ ๆ มันก็ยากที่จะบอกว่าวาล์วตัวนั้นเปิดอยู่เล็กน้อยหรือปิดอยู่ (เว้นแต่ว่าเคยทำงานกับวาล์วตัวนั้นจนจำตำแหน่งปิดสนิทได้) ต้องใช้การทดลองหมุน hand wheel เอา ส่วนหมุนด้านไหนเพื่อเปิดหรือปิด ก็ให้นึกถึงเวลาที่เราหมุนก็อกน้ำที่บ้านหรืออ่างล้างมือ มันหมุนในทิศทางเดียวกัน

รูปที่ ๑ Rising stem with outside screw gate valve ตัวที่ ๑ และ ๒ นั้นเปิดอยู่ ส่วนตัวที่ ๓ และ ๔ นั้นปิดอยู่


รูปที่ ๒ Rising stem with inside screw globe valve ตัวที่ ๑ และ ๒ นั้นเปิดอยู่ ส่วนตัวที่ ๓ นั้นปิดอยู่ ตัว steam trap ในรูปนั้นติดผิดทิศทาง ตัวนี้มันต้องเอาด้านที่มี name plate อยู่ด้านบน

วาล์วที่ดูจากภายนอกไม่ได้ว่าเปิดหรือปิดอยู่คือวาล์วชนิด non-rising stem ในกรณีของ non-rising stem นั้นการหมุน hand wheel คือการหมุนตัว stem ที่จะทำให้ตัว disk หรือ plug เคลื่อนขึ้นหรือลงโดยที่ตัว stem ไม่ได้มีการโผล่ยื่นออกมาเหนือตัว hand wheel และตัว hand wheel ก็ยังคงอยู่ที่ระดับเดิม ไม่มีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง ข้อดีของ stem แบบนี้ก็คือใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยกว่า แต่ข้อเสียก็คือดูด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าวาล์วปิดหรือเปิดอยู่ ต้องใช้การลองหมุนวาล์วดูเอาเอง ถ้าสงสัยว่าวาล์วแบบนี้เป็นอย่างไร ลองดูได้ที่มิเตอร์ประปาหน้าบ้าน

อุบัติเหตุหนึ่งที่เกิดจากการใช้วาล์ว non-rising stem คือกรณีของการรั่วไหลของน้ำมันผ่านวาล์วระบายน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติที่คลังน้ำมัน Caribbean Petroleum Corporation (CAPECO) ที่เมือง Bayamón, Puerto Rico ในคืนวันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ (ค.ศ. ๒๐๐๙) จนทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงตามมา (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง "UVCE case 6 Puerto Rico 2552(2009) MO Memoir : Sunday 17 February 2562") สาเหตุเป็นเพราะวาล์วระบายน้ำฝนตัวหนึ่งเป็นชนิด non-rising stem เมื่อโอเปอร์เรเตอร์ตรวจด้วยการขับรถผ่านแล้วไม่เห็น stem โผล่ออกมา ก็เข้าใจว่าวาล์วปิดอยู่ ทั้ง ๆ นี้ในความเป็นจริงวาล์วมันเปิดอยู่ (วาล์วระบายตัวฝนตัวอื่นใช้แบบ rising stem ยกเว้นวาล์วตัวนี้)

ดังนั้นการจำว่าให้ดูตำแหน่งของ stem เพื่อที่จะบอกว่า gate valve นั้นเปิดหรือปิดอยู่ มันใช้ได้กับกรณีของ rising stem มันใช้ไม่ได้ถ้าไปเจอกับ gate valve ที่เป็น non-rising stem

ต่อไปจะมาดูกรณีของ ball valve กันบ้าง

รูปที่ ๓ ball valve ตัวนี้ด้านบนของ stem เป็นหัวสี่เหลี่ยมจตุรัส (ที่สามารถถอด handle ออกแล้วสวมใหม่ในทิศทางตั้งฉากกับทิศเดิมได้) โดยมีการบากร่องเพื่อให้รู้ว่า ball อยู่ในตำแหน่งเปิดหรือปิด

Ball valve ตัวเล็ก ๆ จะมี handle ยึดติดมากับตัววาล์ว การดูว่า ball valve เปิดหรือปิดก็ดูว่า handle นั้นอยู่ในแนวเดียวกับท่อหรืออยู่ขวางท่อ ถ้าอยู่ในแนวเดียวกับท่อมันก็เปิดอยู่ ถ้าขวางท่อมันก็ปิดอยู่ แต่ก็เคยเจอเหมือนกันกรณีที่มีการถอด handle ออกมาแล้วใส่ผิด (เช่นในระหว่างการติดตั้ง) ทำให้มันสลับกัน

ball valve ตัวใหญ่จะสามารถถอดตัว handle ออกจากวาล์วได้ หรือไม่ก็ไม่ได้ยึดติดมากับตัววาล์ว โดยส่งมาแยกชิ้นอยู่ พอจะหมุนเปิดหรือปิดก็จะเอา handle มาสวมเข้ากับหัว stem บนตัววาล์ว (คือพอวาล์วตัวใหญ่ขึ้น handle มันจะยาวเกะกะมาก บางทีเขาก็เอาโซ่แขวนห้อย ๆ ไว้อยู่ข้าง ๆ ตัววาล์ว ball valve ขนาด 4" ความยาว handle ก็จะอยู่ที่ประมาณ 60 cm แล้ว) ดังนั้นการดูว่าวาล์วเปิดหรือปิดก็ต้องไปดูว่า stem อยู่ที่ตำแหน่งใด อย่างเข่นในรูปที่ ๓ ด้านบนของ stem เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูสำหรับสวมบนตัว handle ก็จะมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเช่นกัน ทำให้เราสามารถสวม handle เข้ากับ stem ได้สองทิศทาง ส่วนที่ว่าการหมุนนั้นจะเป็นการเปิดหรือปิดวาล์วก็ให้ดูที่ร่องบากบนหัว stem ว่ามันอยู่ในแนวท่อ (คือเปิด) หรือขวางแนวท่อ (คือปิด)

รูปที่ ๔ ball valve ตัวนี้ด้านบนของตัว stem ทำเป็นรูป Double "D" ที่เห็นได้ชัดจากรูปร่างรูของด้ามจับข้างล่าง

วาล์วของบางบริษัทแก้ปัญหาว่ามองทิศทางของร่องบากยาก ก็ใช้วิธีทำให้รูปร่างส่วนหัวของ stem มันมีรูปทรงที่บ่งบอกตำแหน่งวาล์วเลยว่าเปิดหรือปิดอยู่ ดังเช่นตัวอย่างที่ยกมาในรูปที่ ๔ ที่เขาทำให้ส่วนด้านบนของ stem มีรูปร่างที่เขาเรียกว่า Double "D" คือเปรียบเสมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ฝั่งด้านกว้างแทนที่จะเป็นเส้นตรงกลับเป็นเส้นโค้งนูนออกแทน โดยที่เมื่อหันแนวยาวไปตามแนวท่อก็แสดงว่าวาล์วเปิดอยู่ และถ้าแนวยาวมันหันขวางแนวท่อก็แสดงว่าวาล์วปิดอยู่

เรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้คือสามารถติดตั้ง swing check valve เข้ากับท่อในแนวดิ่งได้ แต่ต้องเป็นแบบไหลจากล่างขึ้นบน แต่ถ้ากังวลว่ามันอาจจะเปิดค้างได้ ก็อาจติดตั้ง counter weight ช่วยครับ (ถ้าวาล์วที่ใช้มันยอมให้ติดตั้งได้) แต่ถ้ากังวลเรื่องมันจะเปิดค้างก็หันไปใช้พวกที่ออกแบบสำหรับติดตั้งกับท่อในแนวดิ่งเลยก็แล้วกัน (เช่น vertical lift check valve)

รูปที่ ๕ swing check valve ตัวนี้ติดตั้งในแนวดิ่ง โดยทิศทางการไหลเป็นจากล่างขึ้นบน ตัวนี้ทำหน้าที่เป็น vacuum breaker กล่าวคือถ้าความดันในระบบต่ำกว่าความดันบรรยากาศ มันจะยอมให้อากาศภายนอกไหลเข้าไปข้างในระบบได้

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

ความเห็นเกี่ยวกับการทำ Isolation MO Memoir : Friday 1 March 2562

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ารู้สึกดีใจครับที่เห็นศิษย์เก่าของภาควิชารายหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ในภาคอุตสาหกรรม ได้พยายามที่จะถ่ายทอดความรู้ออกมาในรูปบทความง่าย ๆ เพื่อให้คนที่กำลังเรียนอยู่นั้นสามารถอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก (บทความของเขาอยู่บน medium.com ครับ) ซึ่งตอนนี้เขากำลังเขียนบทความในชุด "วิศวกรมือใหม่หัดเขียน P&ID" อยู่ (ถ้าอยากรู้ว่าเขาเขียนอะไรไปบ้างแล้ว ก็เอาข้อความ "วิศวกรมือใหม่หัดเขียน P&ID" ไปให้ google ค้นหาได้เลยครับ) ตรงนี้ขอแนะนำให้ใครที่กำลังจะไปฝึกงานน่าจะแวะเข้าไปอ่านและติดตามผลงานของเขาหน่อยครับ
 
เมื่อวานเขาก็ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำ "Isolation" ระบบ (คือการตัดขาดการเชื่อมต่ออุปกรณ์จากกระบวนการผลิต เพื่อไม่ให้มี process fluid รั่วไหลออกจากระบบ และรั่วเข้ามาในอุปกรณ์ที่ทำการ Isolate นั้นได้) ซึ่งตัวผมเองก็มีความเห็นในบางประเด็นและได้มีการสนทนากับเขาทางหน้า facebook เมื่อช่วงเช้าวันนี้ แต่ด้วยเห็นว่าความเห็นที่คุยกับเขานั้นน่าจะพอมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง และไม่อยากให้มันสูญหายไปกับหน้า facebook ของผม ก็เลยขอนำมาบันทึกไว้บนหน้า blog เสียหน่อย เรื่องที่คุยกับเขามีอยู่ ๔ เรื่องด้วยกันดังนี้ครับ

เรื่องที่ ๑ วาล์วสำหรับการทำ Isolation

ชนิดของวาล์วที่จะใช้เป็น block valve (คือทำหน้าที่ปิด-เปิดเป็นหลัก) ขึ้นอยู่กับชนิดของ fluid สภาพแวดล้อมการทำงาน ขนาดท่อ และขนาดท่อ
 
ball valve เองก็มีข้อเสียหลายอย่างในตัวมัน ไม่ว่าจะมี fluid ค้างอยู่ในตัวลูกบอลได้เมื่อปิดวาล์ว และแม้ว่าจะมีการเจาะรูลูกบอลทางด้านdownstream เพื่อระบายความดันในลูกบอล ก็จะทำให้ต้องระวังในการติดตั้ง เพราะมันจะต้องตั้งให้ถูกต้องกับทิศทางการไหล (ดูรูปที่ ๑ ที่ใส่เพิ่มเติมจากการสนทนาเมื่อเช้า)
 
การเจาะรูลูกบอลทางด้าน downstream แม้ว่าจะระบายความดันเนื่องจากแก๊สได้ แต่ของเหลวยังคงค้างในตัวลูกบอลได้
 
นอกจากนี้ก้านหมุนลูกบอลยังกินพื้นที่ทำงานโดยรอบที่กว้างด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเปิด-ปิดวาล์วได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประตูน้ำที่การประปาติดไว้ที่ทางเข้าออกมิเตอร์น้ำครับ เขาจะให้ gate valve เพราะว่ามันไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับการหมุนเปิด-เปิดวาล์ว
 
การที่ ball valve สามารถเปิดเต็มที่ได้อย่างรวดเร็วนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือถ้าเป็นการระบายความดันสู่บรรยากาศ มันจะช่วยลดความดันได้เร็ว
 
แต่ถ้าเป็นระบบที่ด้าน upstream มีความดันสูงกว่าด้าน downstream การเปิดวาล์วอย่างรวดเร็วอาจทำให้ของไหลด้าน upstream นั้นไหลพุ่งไปอย่างรวดเร็ว 
  
และเมื่อต้องเปลี่ยนทิศทาง (เช่นตรงข้องอ) ก็อาจทำให้ระบบท่อเสียหายได้
 
การระเบิดที่ TPI ปี ๒๕๓๑ เข้าใจว่าเกิดการจากที่ operator คิดว่า ball valve นั้นปิดได้ง่าย จึงคิดจะกำจัดสิ่งอุดตันในท่อด้วยการให้ความดันใน process นั้นดันให้สิ่งอุดตันหลุดออกผ่าน ball valve แล้วก็รีบปิดวาล์ว แต่เอาเข้าจริง ๆ พอสิ่งอุดตันหลุดออกมาแล้วก็ไม่สามารถปิดวาล์วได้ (น่าจะเป็นท่อขนาด 8 นิ้ว) ก็เลยทำให้เฮกเซนรั่วออกมาในปริมาณมากก่อนเกิดการระเบิด

รูปที่ ๑ ball valve แบบมีการเจาะรูที่ตัวลูกบอลว่าจะให้สารที่อยู่ในตัวลูกบอลระบายออกทางด้าน downstream (ซ้าย) หรือทำการปรับความดันในตัวลูกบอลให้เท่ากับทางด้าน upstream (ขวา) รูปนี้นำมาจากเอกสาร "Process Ball Valve Vent Options" ของบริษัท Swagelok ในรูปแบบ downstream vent (ซ้าย) นั้น ถ้า fluid เป็นแก๊สมันก็ยังมีแก๊สตกค้างอยู่ได้เล็กน้อยในตัวลูกบอล แต่ถ้าเป็นของเหลว ของเหลวที่อยู่ที่ระดับต่ำกว่ารูระบายจะยังคงค้างอยู่ในตัวลูกบอลได้ ซึ่งปริมาณที่ค้างก็เพิ่มตามขนาดลูกบอล ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นถ้าของเหลวนั้นเป็นสารพิษและ/หรือไวไฟ

เรื่องที่ ๒ Single block หรือ Single block + Bleed valve

ในข้อเขียนของ Prof. T.A. Kletz อดีต safety office ของ ICI ที่มาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหลังเกษีณจากบริษัท จะย้ำเป็นประจำครับว่าไม่ให้ไว้ใจ single block ในการทำ isolation แม้ว่าจะเป็นกรณีของ process fluid ที่เราเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ เพราะเอาเข้าจริง ๆ จากcase study ที่แกนำมาเผยแพร่นั้นแสดงให้เห็นว่าการรั่วไหลของ process fluid ที่มีอันตรายเข้าไปปนเปื้อนในระบบ utility (เช่นน้ำหล่อเย็น อากาศ) มีให้เห็นเสมอ
 
แม้ว่าจะเป็นกรณีของ single block + bleed valve ก็ตาม เพราะท่อด้าน bleed valve นั้นมันเล็กกว่าท่อด้าน downstream ดังนั้นถ้ามีการรั่วผ่าน block valve มาได้ การไหลต่อไปยังด้าน downstream จึงน่าจะง่ายกว่าการรั่วออกทาง bleed valve
 
ซึ่งกรณีแบบนี้ส่วนตัวเห็นว่าถ้าไม่ได้เป็นการทำที่รีบเข้าไปช่วยชีวิตคนอื่น ก็อย่างเสียงดีกว่า เพราะจะว่าไปแล้วแม้ว่าจะเป็น double block + bleed valve ก็ยังมีกรณีที่มันไม่ work ถึงต้องมีการเพิ่ม slip plate ไว้ทางด้าน downstream ของ block valve ตัวที่สองอีก
 
เรื่องที่ ๓ Slip plate/slip ring กับ Spectacle plate

ถ้าท่อมีความยืดหยุ่น (ซึ่งมักเป็นท่อขนาดเล็ก) สามารถง้างหน้าแปลนแล้วแทรก slip plate ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง slip ring เอาไว้
 
แต่ถ้าเป็นระบบที่มีความดันสูง ซึ่งตัว slip plate นั้นจะต้องสามารถรับความดันนั้นได้ด้วย นั่นหมายความว่ามันจะต้องหนาด้วย ระยะช่องว่างที่สามารถง้างหน้าแปลนได้อาจไม่กว้างพอที่จะสอดมันเข้าไป (มันต้องมีปะเก็นปะกบด้านหน้า-หลังด้วย) ก็จำเป็นต้องติดตั้ง slip ring เอาไว้ โดยต้องทำตั้งแต่ตอนออกแบบระบบท่อ
 
ข้อดีของการใช้ slip plate/slip ring ก็คือมันไม่มีอะไรโผล่ยื่นออกมาให้เกะกะทางเดิน แต่มันก็มีข้อเสียคือถ้าไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ที่ด้ามอย่างชัดเจนเราจะบอกไม่ได้ว่าเราติดตั้งอะไรอยู่ และสำหรับท่อหุ้มฉนวน มันอาจถูกฉนวนปิดคลุมจนลืมไปว่ามีอะไรติดตั้งอยู่
 
spectacle plate แม้ว่าติดตั้งแล้วมันจะดูเกะกะ แต่ก็ทำให้รู้ว่าขณะนั้นท่อถูกปิดกั้นหรือเปิดอยู่และยังไม่ต้องไปเสียเวลาค้นหาเมื่อต้องการเปลี่ยนจากเปิดเป็นปิดหรือปิดเป็นเปิด 
  
และจะว่าไปน้ำหนักของพวกนี้ก็ไม่ได้ไปเพิ่มอะไรมากนักจากน้ำหนักหน้าแปลนที่มันแทรกอยู่

เรื่องที่ ๔ spool piece

จะเรียกว่าการไม่ให้มี physical connection ระหว่าง upstream กับ downstream เป็นวิธีการ isolate ที่ดีที่สุดก็ได้ แต่ทั้งนี้จำเป็นต้องมี blind flange ติดตั้งอยู่ที่ปลายท่อด้าน process side โดย blind flange นั้นต้องสามารถรับความดันของด้าน process side ได้และต้องไม่มีการรั่วไหล
 
กรณีของการไม่ปิด blind flange ให้ดีที่ทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุดเห็นจะได้แก่กรณีของ piper alpha เมื่อปี ๒๕๓๑ ในทะเลเหนือที่มีการรั่วไหลของเมทานอลออกทาง blind flange ที่ปิดไม่แน่น จนก่อให้เกิดการระเบิดและเพลิงลุกไหม้รุนแรงตามมา

ความเห็นส่วนตัวที่คุยไปกับเขาเมื่อเช้าก็มีเพียงเท่านี้ครับ :) :) :)

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

ผิดตั้งแต่อุปกรณ์การสอน MO Memoir : Thursday 6 September 2561

เมื่อวานตอนเย็น หลังจากสอนแลปเคมีปี ๒ บนชั้น ๓ เสร็จ ก็มีโอกาสแวะไปดูนิสิตปี ๓ ที่ทำแลปอยู่ชั้น ๑ เห็นนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังทดลองปรับอัตราการไหลของน้ำเพื่อวัดค่าความดันลด โดยใช้อุปกรณ์ในรูปที่ ๑ ข้างล่าง


รูปที่ ๑ ปั๊มน้ำและวาล์วที่ใช้ปรับอัตราการไหลของน้ำที่สามารถอ่านค่าได้จาก rotameter
 
ในชุดทดลองนี้ (เป็นอุปกรณ์ประกอบสำเร็จได้จากการจัดซื้อ) จะมีอุปกรณ์ระบบท่อหลากหลายชนิดและมีจุดวัดค่าความดันลดหรือ pressure drop คร่อมตัวอุปกรณ์ระบบท่อเหล่านั้น ในการทดลองนั้นนิสิตก็จะทำการปรับอัตราการไหลของน้ำให้มีค่าต่าง ๆ กันโดยการใช้วาล์วที่ติดตั้งอยู่ทางด้านขาออกของปั๊มก่อนเข้า rotameter (รูปที่ ๒) และทำการวัดค่าความดันลดคร่อมตัวอุปกรณ์ระบบท่อที่ค่าอัตราการไหลต่าง ๆ

รูปที่ ๒ วาล์วที่ใช้ในการปรับอัตราการไหลของน้ำ จะเห็นว่าเป็นชนิด gate valve

ถ้าไม่นับ needle valve ที่เป็นวาล์วขนาดเล็กที่ใช้สำหรับปรับอัตราการไหลได้ละเอียดแต่ปิดไม่สนิท (ต้องมี block valve อีกตัวร่วม) ถ้าต้องการปรับอัตราการไหลก็ควรใช้วาล์วพวก globe, ball และ butterfly ที่สามารถทำหน้าที่เป็น block valve (วาล์วปิด-เปิด) ได้ด้วย gate valve นั้นเหมาะสำหรับงานปิด-เปิด คือปิดเต็มที่และเปิดสุด จะไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นวาล์วปรับอัตราการไหลเพราะความสัมพันธ์ระหว่างระยะการเคลื่อนที่ของตัวแผ่น gate และอัตราการไหลนั้นมันไม่ดี และยังอาจเกิดปัญหา erosion ในกรณีของที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อยเป็นเวลานานได้ คือมันก็มีเหมือนกันในบางงาน เช่นการเปิดใช้ระบบท่อไอน้ำที่ใช้ gate valve ปิด-เปิด ที่ช่วงแรกที่ท่อเย็นอยู่นั้นต้องอุ่นท่อให้ร้อนก่อนด้วยการเปิดวาล์วเพียงเล็กน้อยแบบที่เรียกว่า crack open แต่เมื่อท่อร้อนได้ที่แล้วก็จะเปิดวาล์วกว้าง
 
การที่อุปกรณ์ที่ใช้สอนนั้นมันมีความไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ผู้สอนควรต้องให้ผู้เรียนที่มาใช้อุปกรณ์ดังกล่าวรู้ว่าอุปกรณ์นั้นมันมีความไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาได้ว่าตอนที่เรียนก็เห็นทำกันอย่างนี้ พอตอนจบไปทำงานแล้วไปเจองานคล้าย ๆ กันก็เลยลอกเอาสิ่งที่เคยเห็นตอนที่เรียนมาใช้

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อุบัติเหตุจากโครงสร้างวาล์ว (๒) MO Memoir : Tuesday 26 December 2560

"ถ้าเราไม่เรียนรู้ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เราก็มีสิทธิที่จะทำผิดแบบเดียวกันนั้นซ้ำอีก"


รูปที่ ๗ ตัวอย่างโครงสร้างวาล์วเหล็กหล่อที่เกิดอุบัติเหตุ (ภาพจากบทความ)
 
ฉบับนี้ยังคงเป็นเรื่องเล่าวารสาร Loss Prevention Bulletin โดยเป็นฉบับ vol. 31 ปีค.ศ. 1980 (พ.ศ. ๒๕๒๓) ในหัวข้อ "Valve limitations" ที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนบทความ และเพื่อให้เรื่องต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว (ที่มีอยู่ ๓ เรื่อง) ก็จะขอนับลำดับเรื่องและรูปภาพต่อจากฉบับที่แล้ว

เรื่องที่ ๔ เปิดแต่ไม่เปิด

กรดกำมะถัน (H2SO4) เข้มข้นเป็นกรดตัวหนึ่งที่มีการใช้กันมากในอุตสาหกรรม โดยปรกตินั้นเหล็กจะไม่ทนต่อกรด แต่ในกรณีของกรดกำมะถันเข้มข้น (ที่ไม่ได้มีอุณหภูมิสูงเกินไปและในระบบที่อัตราการไหลไม่สูง) สามารถใช้โลหะเหล็กในระบบท่อและวาล์วที่ใช้ในการลำเลียงและเก็บรักษากรดกำมะถันได้ (กรดเข้มข้นมันไม่ค่อยจะมี H3O+ ที่จะไปดึงอิเล็กตรอนจาก Fe ที่ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนและไอออน Fe2+) และโลหะตัวหนึ่งที่นำมาใช้กันก็คือเหล็กหล่อ (cast iron) ที่ใช้ในการหล่อขึ้นรูป valve body และ bonnet
 
วาล์วชนิด rising-stem นั้น (รูปที่ ๗ และ ๙) ปลายข้างหนึ่งของตัว stem จะยึดอยู่กับแผ่น gate หรือ wedge (ในกรณีของ gate valve) หรือ plug (ในกรณีของ globe valve) และปลายอีกข้างหนึ่งนั้นจะมีการทำเกลียวที่ขันร้อยผ่านกับ hand wheel เวลาที่หมุน hand wheel เพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว ตัว hand wheel จะไม่มีการเลื่อนระดับขึ้นลง จะมีเฉพาะตัว stem (ที่เห็นเป็นสกรูในรูปที่ ๙) ที่เลื่อนขึ้น (เวลาเปิดวาล์ว) หรือลง (เวลาปิดวาล์ว) ให้เห็น
 
เหตุเกิดระหว่างการซ่อมบำรุงที่ต้องมีการระบายกรดกำมะถันที่ตกค้างอยู่ในระบบออก ในการนี้ผู้ปฏิบัติงานได้ทำการเปิดวาล์วระบาย (ที่เป็นชนิด rising-stem gate valve ที่มีโครงสร้างแบบที่แสดงในรูปที่ ๗) โดยไม่พบว่ามีกรดกำมะถันไหลออกมาทางรูระบาย ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจว่าในระบบไม่มีกรดกำมะถันตกค้างอยู่ แต่เมื่อทำการถอดระบบท่อกลับพบว่ามีกรดกำมะถันรั่วไหลออกมา
 
จากการตรวจสอบพบว่าตัวสลัก (pin) ที่ใช้ในการยึดตัวแผ่น gate นั้นหลุดออกจากตำแหน่ง ทำให้เมื่อทำการหมุน hand wheel นั้นจึงมีเพียงเฉพาะตัว stem ที่เลื่อนขึ้น โดยที่ตัวแผ่น gate ยังคงอยู่ในตำแหน่งปิดเหมือนเดิม ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเมื่อไม่เห็นมีกรดในระบบไหลออกมาจึงเข้าใจว่าในระบบนั้นไม่มีกรดค้างอยู่แล้ว วิธีการที่เหมาะสมกว่าในการยึดตัว stem เข้ากับแผ่น gate คือการทำเป็นเหมือนสลักยึดเข้าด้วยกันดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๘ ข้างล่าง


รูปที่ ๘ ตัวอย่างการยึด stem เข้ากับแผ่น gate โดยไม่ต้องใช้หมุดหรือการขันเกลียว แต่ทำเป็นสลักที่สวมเข้าด้วยกัน  (ภาพจาก http://www.williamsvalve.com/images/drawingbmgatev.jpg)

รูปที่ ๙ Gate valve ชนิด rising-stem คือตัว hand wheel จะอยู่กับที่โดยที่ตัว stem หรือสกรูที่เห็นในภาพจะเลื่อนขึ้นเมื่อเปิดวาล์ว และเลื่อนต่ำลงเมื่อปิดวาล์ว ตัว bonnet ของวาล์วยึดเข้ากับ valve body ด้วยการใช้นอตหลายตัวยึด ซึ่งความตึงของนอตแต่ละตัวนั้นควรที่จะเท่ากัน
 
เรื่องที่ ๕ ขันนอตตึงไม่เท่ากัน

คาร์บอนที่ผสมอยู่ในเนื้อเหล็กส่งผลต่อทั้งความแข็งและจุดหลอมเหลวของเหล็ก เหล็กที่มีคาร์บอนผสมอยู่สูงจะมีความแข็งเพิ่มขึ้น แต่ความเหนียวจะลดลง (คือแตกหักได้ง่ายขึ้นแทนที่จะยืดตัวออก) และในขณะเดียวกันจะมีจุดหลอมเหลวที่ลดต่ำลง ทำให้เหมาะแก่การขึ้นรูปด้วยการหล่อ (เพราะไม่ต้องใช้อุณหภูมิสูงมากในการหลอมเหลวและไหลเข้าเติมเต็มช่องว่างในแม่แบบได้ง่าย)
 
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับระบบท่อกรดกำมะถันเข้มข้นเช่นเดิม โดยเป็นวาล์วแบบเดียวกับในเรื่องที่ ๔ (วาล์วที่ทำจากเหล็กหล่อหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า cast iron) ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ ๓ วันได้มีการซ่อมบำรุงวาล์ว โดยในการซ่อมบำรุงนั้นมีการถอด bonnet ออกจาก valve body (ดูตัวอย่างวาล์วได้ในรูปที่ ๙ ที่คิดว่าน่าจะมีหน้าตาใกล้เคียงกับในรูปที่ ๘) และเมื่อซ่อมบำรุงเสร็จแล้วก็ทำการประกอบ bonnet เข้าที่เดิม ๓ วันหลังจากซ่อมบำรุง ตัว bonnet เกิดการแตก ทำให้กรดกำมะถันรั่วไหลออกมา
  
ผลการตรวจสอบพบว่านอตที่ใช้ในการยึด bonnet เข้ากับ valve body นั้นถูกขันตึงไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความเค้นตรงบริเวณส่วนที่หน้าแปลนของ bonnet ที่นำไปสู่การแตกร้าว
 
โดยหลักแล้วในการขันนอตหน้าแปลน (หรือการขันนอตหลายตัวที่ยึดกันเป็นวงเช่นนอตยึดล้อรถยนต์) จะค่อย ๆ ทำการขันนอตให้พอแค่ตึงมือแล้วก็เปลี่ยนไปขันนอตตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ จนขับครบทุกตัวก่อน จากนั้นก็มาเริ่มขันแต่ละตัวให้ตึงมือเพิ่มขึ้นอีกทีละนิด (ต้องไม่ลืมขันตอนสลับกันระหว่างสองตัวที่อยู่ตรงข้ามกันด้วย) ถ้าจะให้ดีก็ควรมีประแจทอร์ค (torque wrench) ช่วยในการขันเพื่อจะได้มั่นใจว่านอตทุกตัวได้รับการขันตึงเท่ากัน 
  
ความเค้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัสดุ (ไม่ว่าจะเป็นโลหะหรือพอลิเมอร์) ทำปฏิกิริยากับสารเคมีตัวอื่นได้ง่ายขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "stress corrosion cracking" ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเหล็กเส้นที่ใช้ในงานก่อสร้างที่จะผลิตมาเป็นเส้นยาว (มาตรฐานก็อยู่ที่ ๑๐ หรือ ๑๒ เมตร) แต่เพื่อให้สะดวกในการขนส่งก็จะมีการงอครึ่ง ตรงบริเวณที่งอจะเกิดสนิมได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น การขันนอตหน้าแปลนที่ขันตึงไม่เท่ากันก็ส่งผลในตำแหน่งที่ขันตึงมากเกินไปมีความเค้นสูงเป็นพิเศษ ความเค้นนี้ยังอาจเกิดได้จากความดันที่อาจเกิดจากความดันแก๊สและ/หรือน้ำหนักของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในภาชนะบรรจุ การออกแบบถังพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุสารเคมีก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย โดยเฉพาะตรงบริเวณก้นถัง
 
การระเบิดที่ Flixborough ในปีค.ศ. ๑๙๗๔ ที่ประเทศอังกฤษ ก็เริ่มจากการที่ถังปฏิกรณ์ลูกหนึ่งเกิดการแตกร้าวอันเป็นผลจาก stress corrosion cracking รายละเอียดเรื่องนี้อ่านเพิ่มเติมได้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๓ วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง "Flixborough explosion"

เรื่องที่ ๖ ของแถมที่ติดมา

ในกรณีของ gate valve (หรือ globe valve) นั้น เวลาที่แผ่น gate ยกตัวขึ้น process fluid จะสามารถไหลเข้าไปในส่วนของ bonnet ได้ (ดูรูปที่ ๗) และถ้าเราทำการถอดวาล์วตัวนั้นออกจากระบบท่อโดยที่วาล์วอยู่ในตำแหน่งเปิด process fluid ที่ค้างอยู่ตัว bonnet ก็จะระบายออกมาได้
แต่ในกรณีของ ball valve นั้นแตกต่างออก
 
ตัว ball valve นั้นจะมีปะเก็นที่เป็นรูปวงแหวนทำหน้าที่ป้องกันการรั่วไหลผ่านช่องว่างระหว่างตัว valve body กับตัวลูกบอล (ที่ลูกศรสีแดงชึ้นในรูปที่ ๑๐) เมื่อวาล์วอยู่ในตำแหน่งปิด และเมื่อเปิดวาล์วนั้น process fluid จะไหลผ่านรูที่ตัวลูกบอลโดยไม่มีการไหลผ่านช่องว่างระหว่างตัว valve body กับตัวลูกบอล แต่เมื่อทำการปิดวาล์ว process fluid ที่ค้างอยู่ในรูของลูกบอลจะรั่วไหลเข้าไปค้างอยู่ในช่องว่างระหว่างตัว valve body กับตัวลูกบอลได้
 
ดังนั้นในกรณีที่มีการซ่อมบำรุง ball valve ที่ใช้กับ process fluid ที่สามารถสร้างความดันได้ด้วยตนเอง (เช่นเป็นของเหลวอันเป็นผลจากความดันที่สูงในระบบ หรือเป็นของเหลวอันเป็นผลจากอุณหภูมิทำงานที่ต่ำ แต่เมื่อมาอยู่ในสภาวะความดันบรรยากาศหรืออุณหภูมิห้อง ก็จะกลายเป็นแก๊ส) หรือเป็นสารที่อันตราย (เช่นคลอรีน) ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการถอดแยกชิ้นส่วน ball valve ดังกล่าว


รูปที่ ๑๐ ช่องว่างระหว่างตัว ball กับ valve body ตรงลูกศรสีแดงชี้คือบริเวณที่ proces fluid นั้นเข้ามาค้างอยู่ได้เมื่อทำการปิดวาล์ว โดยเมื่อปิดวาล์ว process fluid ที่อยู่ในรูเจาะทะลุผ่านตัว ball จะไหลเข้ามาค้างในช่องว่างเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะทำการถอดวาล์วออกจากระบบท่อแล้วก็ตาม (รูปจาก http://copelandvalve.com)

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อพึงคำนึงในการติดตั้ง ball valve MO Memoir : Friday 26 December 2557

gate valve และ globe valve นั้นใช้ hand wheel ในการปิด-เปิดวาล์ว เวลาซื้อวาล์วพวกนี้มาตัว hand wheel เองก็ติดมากับตัววาล์ว เวลาที่นำวาล์วพวกนี้ไปติดตั้ง ถ้ามันมีพื้นที่พอที่จะติดตั้งวาล์วได้ มันก็มักจะมีพื้นที่พอสำหรับการทำงานของวาล์วเสมอ (ส่วนจะมีพื้นที่พอสำหรับการใช้ wheel key ช่วยในการหมุน hand wheel หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) สำหรับวาล์วที่เป็นชนิด rising stem ที่ตัว stem จะเคลื่อนที่ขึ้นเวลาที่ทำการเปิดวาล์ว (stem คือตัวแกนที่ยึด gate (หรือ disc ในกรณีของ gate vavel) หรือ plug (ในกรณีของ globe valve แต่ถ้ารูปทรงของ plug ออกไปทางแนวแบน ๆ ก็อาจเรียกว่า disc) เข้ากับตัว hand wheel ของวาล์ว) ก็จำเป็นต้องมีที่ว่างทางด้านบนของ hand wheel สำหรับการเคลื่อนที่ขึ้นของตัว stem


รูปที่ ๑ วาล์วควบคุม (control valve) ตัวนี้ใช้ ball valve เป็น block valve ทั้งสามตัว ตัวที่อยู่ทางด้านขาเข้าและด้าน bypass นั้นไม่มีปัญหาอะไร ตัวที่มีปัญหาคือตัวที่อยู่ทางด้านขาออกที่ตอนประกอบนั้นช่างประกอบไม่ได้สังเกตทิศทางการหมุนของก้านวาล์ว พอติดตั้งเข้าไปแล้วพอจะหมุนเปิดวาล์วปรากฏว่าก้านวาล์วมาชนกับตัววาล์วควบคุม ทำให้ไม่สามารถเปิด ball valve ตัวดังกล่าวได้สุด (ลูกศร 1) ทีมทดสอบมาพบปัญหาดังกล่าวเมื่อมาทดสอบการเดินเครื่องก็เลยต้องทำการแก้ไข พอถอด bolt ยึดหน้าแปลนออก ด้วยน้ำหนักของวาล์วควบคุมก็เลยทำให้ท่อด้านวาล์วควบคุมเคลื่อนต่ำลงเล็กน้อย (ลูกศร 2) นอกจากนี้วาล์วควบคุมตัวนี้ยังมีการติดตั้งที่แตกต่างไปจาก Piping and Instrumental diagram (P&ID) คือติดตัวกรอง (strainer - ลูกศร 3) แทนที่จะติดตั้ง drain valve ตามแบบ P&ID
  
ball valve นั้นถ้าเป็นวาล์วตัวเล็กก็มักจะมีก้านวาล์ว (handle คือที่สำหรับให้มือจับเพื่อทำการหมุนเปิด-ปิดวาล์ว) ติดตั้งมากับตัววาล์ว แต่ถ้าเป็นวาล์วตัวใหญ่ก็จะแยกชิ้นส่วนมา เวลาจะใช้งานก็ค่อยสวมลงไป เหตุผลที่ต้องแยกชิ้นมาก็เพราะความยาวของก้านวาล์วนั้นมันจะยาวกว่าความยาวของตัววาล์ว และถ้ายิ่งวาล์วมีขนาดใหญ่มากขึ้นขึ้น ความยาวของก้านวาล์วก็จะยาวมากขึ้นไปด้วย (สำหรับวาล์วขนาด 6 นิ้วตัวก้านวาล์วก็ยาวร่วม 1 เมตรแล้ว) ดังนั้นในการติดตั้ง ball valve นั้นจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงพื้นที่ว่างรอบ ๆ ตัววาล์วด้วยเพื่อใช้ในการหมุนเปิด-ปิดวาล์ว
  
จากการไปตรวจเยี่ยมหน่วยกลั่นแอลกอฮอล์ที่เตรียมการทดสอบการเดินเครื่องมาเมื่อวาน ก็ได้ไปเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นที่พบโดยทีมที่มาทำการทดสอบการเดินเครื่อง หน่วยกลั่นนี้เป็นหน่วยกลั่นขนาดเล็ก สร้างสำเร็จจากต่างประเทศ ทำการสอบเสร็จก็ถอดแยกชิ้นส่งมาประกอบใหม่ที่เมืองไทย ทีมประกอบกับทีมเดินเครื่องเข้าใจว่าเป็นคนละชุดกัน (มาจากประเทศผู้ออกแบบทั้งคู่) ตอนมาประกอบคนประกอบก็รีบ ๆ ทำให้เสร็จจะได้กลับบ้าน พอทีมเดินเครื่องมาตรวจความเรียบร้อยก็พบว่าระบบมีความบกพร่องหลายตำแหน่ง (อันที่จริงทางผู้ควบคุมงานก่อสร้างก็ได้รับแจ้งไปก่อนหน้าแล้ว แต่ดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ) เลยต้องมาแก้ปัญหากันหน้างาน ที่ยกมาให้ดูนี้เป็นเพียงแค่ปัญหาหนึ่งที่พบเท่านั้น
  
ความเสียหายที่เกิดจากการประกอบผิดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เวลาที่ต้องเสียไป แต่ยังรวมไปถึง "ปะเก็น - gasket" ที่มักจะต้องเปลี่ยนเวลาที่ต้องถอดหน้าแปลนออกแล้วประกอบใหม่ ถ้าเป็นประเก็นที่ทำจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นและยังไม่เสียรูปร่างก็อาจนำมาใช้ใหม่ได้ แต่ถ้าเป็นชนิด spiral wound ที่เปลี่ยนรูปร่างถาวรหลังการอัดตัวก็ต้องเปลี่ยนใหม่เลย เรียกว่าใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ต้องทิ้ง ดังนั้นการประเมินความคืบหน้าในงานประกอบจึงไม่ควรพิจารณาแค่จำนวนชิ้นงานที่ถูกประกอบเข้าด้วยกัน แต่ควรครอบคลุมไปถึงความถูกต้องของงานประกอบด้วย

รูปที่ ๒ พอจะประกอบวาล์วกลับ ก็เลยต้องยกวาล์วควบคุมให้สูงขึ้นเพื่อที่จะร้อย bolt เข้ากับ ball valve ได้ ในกรณีนี้ทีมทดสอบใช้ประแจเป็นคานงัดให้ตัววาล์วควบคุมยกสูงขึ้นจนได้ระดับ ถ้ามีชะแลงอันยาว ๆ สักหน่อยก็คงจะผ่อนแรงได้มากขึ้นไปอีก และอันที่จริงในหลายงานชะแลงก็จำเป็นสำหรับการซ่อมบำรุง เพราะอาจต้องใช้ในการง้างหน้าแปลนหรืองัดเพื่อปรับระดับตัวท่อหรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนตัวท่อดังเช่นในรูป

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นานาสาระเรื่องการเปิดวาล์ว MO Memoir : Saturday 15 November 2557

เรื่องที่เขียนนี้เป็นสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้มาจากวิศวกรรุ่นพี่ท่านต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยฝึกงานที่โรงกลั่นน้ำมันเล็ก ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ (ขณะนั้นโรงกลั่นนั้นยังใช้ปั๊มขับเคลื่อนด้วยไอน้ำอยู่เลย) ไปจนถึงช่วงจบใหม่ ๆ ที่ไปทำงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแถวมาบตาพุด และได้ไปฝึกอบรมการเดินเครื่องโรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น (ไปใช้ขีวิตเข้ากะกับคนงานชาวญี่ปุ่นอยู่พักนึง) ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเรื่องที่ "บอกเล่ากันปากต่อปาก" ได้หรือไม่ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีการบันทึกเป็นภาษาไทยไว้ที่ไหนบ้างหรือเปล่า
  
สมัยนั้นยังไม่มีการอบรมเรื่องการทำงานหรือความปลอดภัยใด ๆ ในการทำงาน เรียกว่าเป็นการเรียนรู้กันเองหน้างานเลย เรียนรู้จากการเดินตามหลังวิศวกรรุ่นพี่ ช่วยงานวิศวกรรุ่นพี่ นั่งกินข้าวเที่ยงและกินข้าวเย็นด้วยกัน (บังเอิญหน่วยงานที่ผมไปทำงานนั้นเขาไม่นิยมกินเหล้ากัน อาจมีตอนเย็นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ประเภทเหล้าหนึ่งกลมวิศวกรสิบคนกินกันได้หลายเดือน แต่จะไปหนักกินนมกันก่อนนอนมากกว่า)
  
ในการรับการอบรมจากบุคคลากรต่างชาตินั้น เรามักจะใช้ภาษา "อังกฤษ" เป็นสื่อกลางในการติดต่อ ถ้าเป็นการติดต่อกับผู้ที่มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือทางยุโรปก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าใดนัก ที่ตัวผมเองเคยปัญหามาก็คือกับทางญี่ปุ่น เพราะเวลาที่เราต้องเรียนรู้เรื่องเทคนิคการปฏิบัตินั้น เขาจะส่งเจ้าหน้าที่ที่ทำงานทางด้านปฏิบัติการจริงมาเป็นผู้ฝึกสอน แต่ก็มีปัญหาเรื่องความรู้ภาษาอังกฤษของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น แม้ว่าจะมีการจัดล่ามแปลจากภาษาญี่ปุ่นมาเป็นภาษาอังกฤษให้ แต่ตัวล่ามเองก็มักจะไม่ได้มีความรู้ทางด้านศัพท์เทคนิคเฉพาะทาง ทำให้ข้อความที่แปลมานั้นไม่ครบถ้วนได้ และอาจก่อปัญหาขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้รับถ่ายทอดนำสิ่งที่รับรู้มานั้น (ซึ่งไม่ครบถ้วน) ไปใช้งาน

ตัวอย่างเรื่องที่ยกขึ้นมาใน Memoir ฉบับนี้คือเรื่องเกี่ยวกับศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการ "เปิดวาล์ว"

หน้าที่ของวาวล์ในโรงงานนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น
- ควบคุมการไหล โดยหน้าที่หลักคือปิดหรือเปิด
- ควบคุมอัตราการไหล โดยหน้าที่หลักคือปรับอัตราการไหลผ่านวาล์วให้มีค่าตามที่กำหนด
- ควบคุมทิศทางการไหล โดยทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนทาง
- ควบคุมความดัน โดยทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์

ส่วนวาล์วมีกี่ชนิดและมีหน้าตาอย่างไร ใช้ในการทำหน้าที่อะไรนั้น สามารถอ่านย้อนหลังได้จาก Memoir

ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓๒ วันจันทร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๒ เรื่อง "วาล์วและการเลือกใช้ (ตอนที่ 1)"
ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓๓ วันพุธที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๒ เรื่อง "วาล์วและการเลือกใช้(ตอนที่2)"
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๔๘ วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง "วาล์วและการเลือกใช้ตอนที่ ๓"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๕๕ วันเสาร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "Gatevalve กับGlobevalve"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๖๙ วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "Gatevalve, Ball valve และNeedlevalve"

ในที่นื้ผมขอจำกัดเฉพาะกับกรณีแรกคือวาล์วที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหล โดยในระหว่างการเดินเครื่องปรตินั้นวาล์วดังกล่าวอาจอยู่ในตำแหน่งที่เปิดเต็มที่หรือปิดสนิท แต่กรณีที่นำมาเล่านี้จะเป็นกรณีที่สมมุติว่าตัวโรงงานหรือเครื่องจักรหรือหน่วยผลิตนั้นไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินเครื่อง และวาล์วต่าง ๆ นั้นปิดอยู่ โดยเรากำลังจะเริ่มเปิดวาล์วให้ของไหลต่าง ๆ ไหลเข้าสู่ระบบ
  
การเปิดวาล์วขึ้นอยู่กับกลไกการเปิด วาล์วประเภท gate valve และ globe valve จะมีล้อ (wheel) อยู่ทางด้านบนที่ใช้ในการเลื่อนตัว gate (ในกรณีของ gate valve) หรือตัว plug (ในกรณีของ globe valve) ขึ้น (เพื่อเปิด) หรือลง (เพื่อปิด) วาล์วสองประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็จะต้องใช้เวลาในการปิด-เปิด เพราะต้องทำการหมุน wheel หลายรอบกว่าที่จะเปิดวาล์วได้สุดหรือปิดวาล์วได้สนิท
  
วาล์วพวก ball valve และ butterfly valve ใช้การหมุนตัวลูกบอล (ในกรณีของ ball valve) หรือ gate (ในกรณีของ butterfly valve) เพียงแค่ 90 องศาโดยใช้ก้านวาล์ว (handle) ก็สามารถทำการเปิดวาล์วได้สุดหรือปิดวาล์วได้สนิท แต่ในบางกรณีการเปิดหรือปิดวาล์วอย่างรวดเร็วเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหากับระบบท่อได้ เช่นในกรณีของการเปิดวาล์วจ่ายไอน้ำเข้าสู่ระบบท่อ downstream ที่ยังเย็นอยู่

ในคู่มือใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาวะการเดินเครื่องที่ steady state (สภาวะคงตัว) เวลาที่กล่าวว่าวาล์วตัวใดอยู่ในตำแหน่งเปิดหรือปิดนั้นมักจะหมายความว่า "เปิดเต็มที่ (fully open)" หรือ "ปิดสนิท (fully close)" เว้นแต่จะมีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น แต่ถ้าจะเขียนคู่มือเพื่อการ "เริ่มต้นเดินเครื่อง (start up)" หรือ "หยุดเดินเครื่อง (shut down)" นั้น การบอกแต่เพียงว่าให้ "เปิด (open)" หรือ "ปิด (close หรือ shut)" อาจไม่เพียงพอ บ่อยครั้งที่พบว่าต้องมี "กิริยาวิเศษณ์ (adverb)" หรือ "คำขยาย" กิริยาเปิดหรือปิดนั้นด้วย กล่าวคือ "เปิดมาก-น้อยเท่าใด" และ "เปิดช้า-หรือเร็ว" เท่าใด
  
ปัญหาที่เคยพบก็คือเวลาที่รับการถ่ายทอดวิธีการมาจากชาวต่างชาติผ่านทางภาษาอังกฤษนั้น ข้อความที่เกี่ยวข้องกับการ "เปิดมาก-น้อยเท่าใด" และ "เปิดช้า-หรือเร็ว" นั้นมีโอกาสสูงที่จะขาดหายไปเมื่อผู้รับนั้นแปลข้อความภาษาอังกฤษที่รับมานั้นเป็นภาษาไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้พูดเอง (ที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ) ไม่สามารถแปลความหมายในภาษาของเขาออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่ถูกต้องได้ (ความหมายผิดเพี้ยน) หรือไม่ได้แปลออกมา (ความหมายหายไป) หรือเป็นเพราะตัวล่ามเองไม่เข้าใจคำศัพท์ทางเทคนิค ก็เลยไม่ได้แปลคำนั้นออกมาหรือไม่ก็แปลเพี้ยนไป หรือไม่ก็ตัวผู้รับเองไม่เข้าใจความแตกต่างของคำขยายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เมื่อเขียนคู่มือฉบับภาษาไทยออกมาจึงมีใจความสำคัญขาดหายไป

ในที่นี้จะขอเริ่มจากศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ "ขนาดของการเปิด" หรือ "เปิดมาก-น้อยเท่าใด" ก่อน และเป็นการเปิด-ปิดด้วยมือ (manual operate)

"Crack open" เป็นการเปิดที่น้อยมาก คือค่อย ๆ หมุนล้อ (หรือก้านวาล์ว) อย่างช้า ๆ พอรู้สึกว่าเริ่มมีของไหลไหลผ่านวาล์วเท่านั้นก็หยุดเปิด (อาจต้องใช้การฟังเสียงหรือความรู้สึกของผู้เปิด) การเปิดวาล์วแบบนี้บางทีเขาก็พูดสั้น ๆ ว่า crack valve
  
ตัวอย่างหนึ่งของการเปิดวาล์วในรูปแบบนี้คือวาล์วระบบจ่ายไอน้ำ เมื่อจะเริ่มจ่ายไอน้ำเข้าสู่ระบบท่อที่ยังเย็นอยู่ เช่นเมื่อด้าน upstream ของวาวล์วมีไอน้ำจ่ายเข้ามาแล้ว แต่ท่อด้าน downstream (หรือด้าน process) ยังเย็นอยู่ (หรืออยู่ที่อุณหภูมิห้อง) ถ้าเปิดวาล์วให้ไอน้ำไหลเข้าสู่ระบบท่อที่เย็นนั้นรวดเร็วเกินไป จะเกิดไอน้ำควบแน่นเป็นของเหลวในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาค้อนน้ำหรือที่เรียกว่า "water hammer" อย่างรุนแรงจนอาจทำให้ระบบท่อเสียหายได้ และยังอาจก่อปัญหาให้กับระบบ steam trap (กับดักไอน้ำ) ที่ใช้ในการระบายไอน้ำที่ควบแน่น (steam condensate หรือบางทีก็เรียกย่อว่า condensate) เพราะจะทำให้ steam trap ระบายไอน้ำที่ควบแน่นเป็นของเหลวได้ไม่ทัน
  
ในกรณีเช่นนี้เราต้องเริ่มเปิดวาล์วแบบ crack open ก่อน โดยในช่วงแรกอาจจะได้ยินเสียงดังที่เกิดจาก water hammer บ้าง แต่จะไม่รุนแรง พอระบบท่อเริ่มร้อนขึ้น (ฟังจากเสียงดังที่เกิดจาก water hammer หายไปหรือเริ่มไม่มี steam condensate ระบายออกทาง steam trap ส่วนจะใช้เวลานานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับระบบ downstream ว่าใหญ่แค่ไหน ถ้าใหญ่มากก็คงต้องรอนานหน่อย) ก็ค่อย ๆ เปิดวาล์วจ่ายไอน้ำให้เปิดมากขึ้นเล็กน้อย แล้วคอยสังเกตว่าเกิด water hammer หรือไม่ ถ้ารู้สึกว่ามี water hammer เกิดขึ้นก็ให้หยุดเปิด และรอจนกว่า water hammer จะหายไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเปิดวาล์วจ่ายไอน้ำได้สุด
  
แต่ถ้าเป็นท่อไอน้ำขนาดใหญ่ บางทีจะมีการติดตั้งวาล์วตัวเล็ก (แทนที่จะต้องทำการ crack open วาล์วตัวใหญ่) bypass วาล์วตัวใหญ่เพื่อช่วยในการอุ่นระบบท่อ downstream ซึ่งเรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๐๓ วันจันทร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง "วาล์วตัวเล็กbypassวาล์วตัวใหญ่"
  
การเปิดวาล์วเมื่อไม่แน่ใจว่าด้าน upstream นั้นมีความดันคงค้างอยู่หรือเปล่า หรือการเปิดเพื่อระบายความดันและ/หรือแก๊สออกจากระบบ ก็อาจเปิดวาล์วแบบ crack open นี้ก่อนเพื่อความปลอดภัย อย่างเช่นในกรณีที่เราจะเปิดวาล์วที่ปลายท่อระบายออกสู่บรรยากาศนั้น (เช่นพวก drain valve ที่ใช้ระบายของเหลว หรือ vent valve ที่ใช้ระบายแก๊ส ที่ติดตั้งตามระบบท่อหรือ pressure vessel ต่าง ๆ) ถ้าในระบบมีความดันที่สูงอยู่ การเปิดวาล์วรวดเร็วเกินไปจะทำให้ของไหลในระบบฉีดพุ่งออกมาภายนอกอย่างรุนแรงจนอาจเกิดอันตรายได้ เช่นในกรณีของ drain valve ที่ระบายลงสู่พื้น ของเหลวที่พุ่งลงกระทบพื้นอย่างแรงจะกระเด็นเข้าหาตัวผู้เปิดวาล์วได้
  
"Slightly open" หรือการเปิดเพียงเล็กน้อยเป็นการเปิดวาล์วที่มากกว่า crack open แต่เปิดไม่ถึงครึ่งหรือที่เรียกว่า "Half open" อีกคำหนึ่งที่มีความหมายว่าเปิดเพียงบางส่วนคือ "Partially open" ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าเปิดมากหรือเปิดน้อย บอกแต่เพียงว่าไม่ได้เปิดเต็มที่หรือ "Fully open" วาล์วพวก gate valve นั้นในระหว่างการ start up หรือ shut down ระบบอาจต้องมีการเปิดวาล์วค้างในแบบ slightly open หรือ partially open หรือ half open ได้ แต่จะไม่ทำการเปิดในรูปแบบดังกล่าวในระหว่างการเดินเครื่องปรกติ เพราะ gate valve ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ทำงานอย่างต่อเนื่องในสภาพที่เปิดวาล์วแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนั้น แต่ถ้าเป็นพวก globe valve หรือ ball valve หรือ butterfly valve ก็อาจเปิดค้างในตำแหน่งslightly open หรือ partially open หรือ half open ในระหว่างการเดินเครื่องปรกติได้

ถัดไปจะเป็นเรื่องของอัตราเร็วในการเปิด

คำขยายที่ใช้บอกความเร็วในการเปิด (หรือปิด) วาล์วนั้นมีทั้งแบบ "ช้า ๆ" หรือ slowly open "ค่อย ๆ เปิด" หรือgradually open และ "เปิดอย่างรวดเร็ว" หรือ quickly open พวก gate valve และ globe valve ที่เปิดปิดด้วยมือนั้นมันจะเปิดหรือปิดอย่างรวดเร็วไม่ได้อยู่แล้ว เพราะต้องใช้มือหมุนล้อ แต่ถ้าเป็นแบบใช้แรงดันลมก็อาจปิดเปิดได้เร็ว พวก ball valve และ butterfly valve นั้นอาจจะค่อย ๆ เปิดหรือเปิดอย่างรวดเร็วก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละเหตุการณ์
  
ตัวอย่างของงานที่อาจต้องมีการเปิด/ปิดวาล์วอย่างช้า ๆ เคยเล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๖๗ วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "การปิด controlvalve"

เรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติงาน (หรือ operator) ต้องคำนึงคือ เมื่อวาล์วต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่มันควรเป็นแล้ว (เช่นเปิดหรือปิด) ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้มันเปลี่ยนตำแหน่ง (เช่นจากเปิดเป็นปิด หรือจากปิดเป็นเปิด) ในช่วงเวลาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือโดยไม่ตั้งใจ
  
การเปลี่ยนตำแหน่งแบบโดย "ตั้งใจ" อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากตัวผู้ปฏิบัติงานเองต้องการไปเปิดหรือปิดวาล์วตัวนั้น แต่วาล์วตัวนั้น "ไม่ใช่" วาล์วที่ควรจะถูกเปลี่ยนตำแหน่ง การเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้เกิดได้กับวาล์วทุกชนิด
  
รูปที่ ๑ ในกรอบสี่เหลี่ยมคือ ball valve ของระบบ control valve ในที่นี้มีก้านวาล์วสำหรับหมุนปิด-เปิดวาล์วติดตั้งคาอยู่ ตำแหน่งที่แสดงในรูปคือตำแหน่งที่วาล์วอยู่ในตำแหน่งเปิด แต่ในระหว่างการใช้งานจริงนั้นวาล์วตัวในกรอบล่างจะต้องเปิด ส่วนวาล์วในตัวกรอบบนจะอยู่ในตำแหน่งปิด ในกรณีเช่นนี้สำหรับวาล์วตัวบนควรต้องมีการตรวจสอบดูว่าพื้นที่บริเวณรอบข้างนั้นกว้างเพียงพอที่จะหมุนก้านวาล์วได้ครบ ๙๐ องศาหรือไม่ ส่วนในวงรีมุมขวาบนนั้นเป็น ball valve ขนาดเล็กของท่อลมที่ใช้ขับเคลื่อนวาล์วควบคุมให้เปิดหรือปิด ที่แสดงในภาพนั้นวาล์วอยู่ในตำแหน่งปิด

การเปลี่ยนตำแหน่งแบบโดย "ไม่ตั้งใจ" นั้นเกิดได้ง่ายกับพวก ball valve ขนาดเล็กหรือขนาดไม่ใหญ่มาก ที่ปรกติแล้วมักจะมีก้านวาล์วคาติดอยู่ที่ตัววาล์ว (ดูรูปที่ ๑ ประกอบ) สิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ก็คือการที่ผู้ปฏิบัติงานไปเดินชนก้านวาล์วหรือมีสิ่งใดก็ตามไปชนให้ก้านวาล์วเปลี่ยนตำแหน่ง หรืออาจเกิดการลื่นล้มเสียหลัก มือก็เลยไปคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวโดยอัตโนมัติแล้วไปคว้าเอาก้านวาล์วเข้า หรือใช้เป็นที่แขวนสิ่งของ

การป้องกันการเกิดเหตุการณ์การเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วโดยไม่ตั้งใจอาจทำได้โดย
  
- การทำเครื่องหมาย (tag) ไว้ที่ต้ววาล์วหรือการตั้งชื่อวาล์วหรือระบบท่ออย่างเด่นชัดว่า วาล์วตัวนี้เป็นวาล์วของระบบท่ออะไร และใส่รายละเอียดในขั้นตอนการปฏิบัติงาน (หรือการฝึกหัด) ให้ชัดเจนว่าเวลาลงไปปฏิบัติงาน xxxx นั้นให้ไปจัดการกับวาล์วชื่อ yyyy อย่างไรบ้าง
  
- การนำเอาก้านวาล์วที่ใช้หมุนลูกบอลออก แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เอาไปเก็บ แต่อาจใช้โซ่คล้องแขวนเอาไว้กับตัววาล์ว เวลาจะใช้งานแต่ละครั้งก็สวมก้านวาล์วลงไป ใช้งานเสร็จก็ถอดออกแล้วปล่อยให้มันแขวนห้อยอยู่ข้าง ๆ ตัววาล์ว แต่วิธีนี้ต้องคำนึงด้วยว่าปรกติพวก ball valve จะใช้ตำแหน่งของตัวก้านวาล์วเองนั้นเป็นจุดสังเกตว่าวาล์วเปิดหรือปิดอยู่ ดังนั้น ball valve ที่จะทำแบบนี้ได้จึงควรที่จะต้องมีเครื่องหมายบนแกนที่ใช้หมุนลูกบอลที่ระบุว่าวาล์วอยู่ในตำแหน่งเปิดหรือปิด การทำแบบนี้เหมาะจะใช้กับวาล์วที่มีการเปิด-ปิดบ่อยครั้งในระหว่างการทำงาน
  
- ถอดเอาก้านวาล์วไปเก็บหรือใช้โซ่คล้องกุญแจ (ในกรณีของ gate valve และ globe valve ที่ใช้ล้อหมุนเปิด-ปิดวาล์ว) วิธีการนี้มักจะใช้กับวาล์วตัวสำคัญที่ไม่ได้มีการเปิด-ปิดบ่อยครั้ง แต่การเปิด-ปิดวาล์วเหล่านี้มักจะเป็นกรณีที่พิเศษที่ต้องมีการขออนุมัติขอใบอนุญาต ต้องมีระบบเอกสารที่เรียกว่า work permit ที่มีผู้อนุญาตให้เปิด (หรือปิด) วาล์ว (ถ้ามีการคล้องกุญแจก็ต้องมีการเบิกกุญแจ) มีผู้รับหน้าที่ไปทำการเปิด (หรือปิด) วาล์วตัวนั้น และเมื่อดำเนินการเสร็จแล้วก็ต้องมีเอกสารยืนยันว่าได้ทำการปิด (หรือเปิด) วาล์วตัวนั้นกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมและคล้องโซ๋และล็อคกุญแจเอาไว้ตามเดิมเรียบร้อยแล้ว (มีการคืนกุญแจและการตรวจสอบตำแหน่ง) ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละที่ว่าจะกำหนดขั้นตอนการทำงานกันอย่างไร

วาล์วตัวเล็กในวงกลมมุมซ้ายบนของรูปที่ ๑ เป็นวาล์วท่ออากาศอัดความดันที่ใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดอากาศอัดความดันที่ส่งไปควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วควบคุม (ตัวสีดำข้างซ้าย) ในระหว่างการเดินเครื่องนั้นวาล์วตัวนี้ควรต้องอยู่ในตำแหน่งเปิด แต่ด้วยขนาดของวาล์วและตำแหน่งที่ติดตั้ง จะเห็นได้ว่ามีโอกาสสูงที่วาล์วตัวนี้จะถูกเปลี่ยนตำแหน่ง (เช่นจากเปิดเป็นปิด) ได้โดยไม่ตั้งใจ ไม่ว่าจากเหตุการณ์ใดก็ตาม ดังนั้นอาจจะเป็นการดีกว่าที่จะทำการถอดก้านวาล์วของวาล์วตัวนี้ออก หรือหาทางล็อกมันเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันถูกหมุนโดยไม่ตั้งใจ

สิ่งสำคัญเวลาเขียนคู่มือปฏิบัติงานคือควรต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน ต้องไม่ให้ผู้อ่านนั้นเกิดความสงสัยหรือตีความเป็นอย่างอื่นได้ (ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย) เพราะคนที่รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้ฝึกสอนนั้นอาจไม่ได้ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวตลอดไป แต่คู่มือปฏิบัติงานนั้นจะยังคงอยู่ ดังนั้นจึงควรที่คู่มือจะมีความชัดเจนชนิดที่เรียกว่าคนใหม่ที่มาอ่านเอกสารดังกล่าวก็สามารถทำงานได้เหมือนคนเก่าโดยไม่ต้องไปถามคนเก่าว่าต้องทำอย่างไร
  
นอกจากนี้ตัวคู่มือเองไม่ควรจะบอกเพียแค่ว่าให้ทำอะไร ทำอย่างไร แต่ควรจะบอกให้สังเกตพารามิเตอร์ต่าง ๆ ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องด้วยในระหว่างการทำงานดังกล่าว (เช่น เสียง การสั่นสะเทือน การเปลี่ยนแปลงความดัน ฯลฯ) ว่ามีความผิดปรกติหรือไม่อย่างไร ที่มีปัญหามากเห็นจะเป็นเรื่องเสียง เพราะในหน่วยการผลิตมันมักจะมีเสียงจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมาก เสียงที่เกิดจากความผิดปรกตินั้นก็ยากที่จะระบุเว้นแต่จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานในบริเวณนั้นมาก่อนจึงจะรู้ว่ามันมีเสียงดังผิดปรกติไปจากที่เคยมี เสียงผิดปรกติตรงนี้มันมีทั้งเสียงประหลาดที่มีเพิ่เติมเข้ามาและเสียงเดิมที่หายไป ตรงนี้ผมก็เคยเจอปัญหาเช่นกันตอนที่เขาให้ไปลองฟังเสียงตลับลูกปืน (bearing) ที่เริ่มเกิดความเสียหายว่ามันมีเสียงแหลมเหมือนเสียงโลหะกระทบกันแทรกเข้ามาเป็นช่วง ๆ ในระหว่างที่มอเตอร์หมุน ตัวอย่างปัญหาเรื่องเสียงที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ในแลปเรานั้นเคยเล่าไว้บ้างแล้วใน Memoir
  
ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๗ วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "เสียงอะไรดัง"
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๓๕ วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เรื่อง "การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติตอนที่ ๓๐ เมื่อพีค GCออกมาผิดเวลา(อีกแล้ว)" และ
ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๑๘ วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติตอนที่ ๓๖ อย่าด่วนโทษ variac"