บ่ายวันพุธที่ ๑๙ มกราคมที่ผ่านมา เป็นวันที่ได้เห็นอะไรที่เคยแต่ได้ยิน หรือเคยประสบมานานแล้ว หลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอลัมน์อุดตัน (ที่เล่าไว้ในฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐) หรือ variac ที่เสีย (ที่เล่าไว้ในฉบับวันเสาร์ที่ ๒๑) แต่เรื่องที่เจอก่อนสองเรื่องนั้น (ที่เป็นสาเหตุให้สาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงต้องโทรไปตามผมว่าที่นัดไว้จะยกเลิกหรือเปล่า) เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อนว่าในที่สุดจะเกิดขึ้นกับภาควิชาเรา นั่นคือเรื่องการตั้ง "ศาสตราภิชาน"
ตำแหน่งศาสตราภิชานเป็นตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยมอบให้เพื่อเป็นเกียรติและยกย่องผู้มีความรู้เชี่ยวชาญและมีผลงานทางวิชาการดีเด่น และเป็นผู้ "ทรงคุณธรรม" ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย (พ.ศ. ๒๕๕๒) ข้อ ๕ ระบุไว้ว่า การแต่งตั้งศาสตราภิชาน ให้แต่งตั้งจาก "บุคคลภายนอก" ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้ .....
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งศาสตราภิชานนี้จะอยู่ได้ครั้งละ ๒ ปี โดยมีเงินทุนให้ปีละ ๒๔๐,๐๐๐ บาท (สองแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) รวม ๒ ปีก็เป็น ๔๘๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนแปดหมื่นบาทถ้วน)
เท่าที่ผมเคยมีส่วนร่วมในการเสนอแต่งตั้งศาสตราภิชานนั้น จะเริ่มจากการที่ถ้าทางภาควิชาคิดว่าใครมีความเหมาะสม ก็จะเป็นฝ่ายติดต่อทาบทาม และหาบริษัทที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนศาสตราภิชานดังกล่าว โดยผู้ได้รับแต่งตั้งจะมีสิทธิใช้คำว่า "ศาสตราภิชาน เงินทุน ......" แล้วตามด้วยชื่อเงินทุนศาสตราภิชานนั้น ๆ ตามประกาศแต่งตั้งของสภามหาวิทยาลัยต่อท้ายชื่อตนเองตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งศาสตราภิชาน
โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจะมีพันธะกิจที่จะปฏิบัติเพื่อประโยชน์ทางวิชาการแก่มหาวิทยาลัยตามที่ตกลง
ที่ผ่านมานั้นทางภาควิชาก็ไม่ได้เชิญผู้เป็นศาสตราภิชานมาสอนหนังสือ แต่จะใช้เป็นช่องทางการติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซะมากกว่า โดยอาศัยบารมีของท่านเหล่านั้น
เรื่องดังกล่าวถูกนำเข้าที่ประชุมในวันพุธที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งที่ประชุมก็มีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง (หรือเรียกว่าไม่มีมารยาทก็ได้) เพราะการเสนอใครนั้นต้องดูจากเหตุผลและความจำเป็นของทางภาควิชา ไม่ใช่ของทางบริษัท และถ้าต้องนำเรื่องที่บริษัทเป็นฝ่ายเสนอมาก่อนมาประชุมทุกครั้ง ต่อไปก็ไม่ต้องทำอะไรกันเลย ขืนยอมให้ต่อไปก็มีหวังบริษัทอยากส่งใครมาเป็น (ลูก คู่สมรส พนักงาน ฯลฯ) ก็ส่งจดหมายแจ้งมาพร้อมกับให้เงิน ๔๘๐,๐๐๐ บาท (สำหรับบริษัทแล้วเงินดังกล่าวน้อยมาก น้อยกว่าเงินเดือนพนักงานระดับบริหารของบริษัทเพียงเดือนเดียวอีก) หรือใครก็ตามอยากได้ตำแหน่งดังกล่าว ก็ใช้วิธีเอาเงินไปให้บริษัทที่มักคุ้นออกจดหมายให้ ซึ่งถ้าได้รับการแต่งตั้งก็จะได้เงินดังกล่าวกลับคืนกระเป๋าตัวเอง งานนี้เรียกว่ามีแต่กำไร เรื่องทำนองคล้าย ๆ กันนี้เคยได้ยินว่ามีเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่เท็จจริงยังไงก็ไม่รู้ ได้ยินแต่พูดกันปากต่อปาก คือบางคนอยากเป็นศาสตราจารย์ (ภิชานก็ยังดี) ก็ใช้วิธีบริจาคเงินให้กับภาควิชาเพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณ สนับสนุนการศึกษา จากนั้นภาควิชาก็จะทำเรื่องขอแต่งตั้งให้
แต่ข้อมูลที่ได้รับทราบกันดูเหมือนว่าเรื่องนั้นไม่ได้เริ่มต้นมาจากบริษัท ดูเหมือนว่ามีรายหนึ่งที่อยากเป็นจึงได้ติดต่อกับบริษัทดังกล่าวให้ออกจดหมายและออกเงินให้ ซึ่งทางกรรมการผู้จัดการใหญ่ก็คงเกรงใจ แต่เนื่องจากเกรงว่าถ้าขอให้ออกให้ตัวเองคนเดียวจะดูไม่ดี ก็เลยต้องให้ทางบริษัทเสนอชื่อบุคคลอีกคนหนึ่งร่วมด้วย (เราก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่เป็นเรื่องจริง)
นี่ก็ได้ข่าวมาว่าบุคคลรายได้นั้นติดต่อกับอีกบริษัทหนึ่ง เพื่อให้ออกจดหมาย (โดยทางเขาเป็นฝ่ายร่างและส่งไปให้) และออกเงินเรื่องขอให้แต่งตั้งบุคคลที่สามอีกบุคคลหนึ่งเป็นศาสตราภิชานด้วย ตอนนี้เท่าที่ทราบจดหมายดังกล่าวยังมาไม่ถึงภาควิชา ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบริษัทดังกล่าวจะยอมลงชื่อในจดหมายหรือเปล่า
โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า ผู้ใดที่กระทำการดังกล่าวก็จัดว่าเป็นผู้ไร้ซึ่ง "คุณธรรม" แล้ว ซึ่งก็จะไม่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นศาสตราภิชานได้
สิ่งที่ทำให้ที่ประชุมแปลกใจและรู้สึกผิดหวังมากก็คือ ความอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ทำให้คนเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ และเพียงเพื่อให้ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ถึงกับต้องลงทุนทำถึงอย่างนี้เชียวหรือ
ข้าอยากได้ ยศถา บรรดาศักดิ์
แม้ใช้อัฐ ซื้อมา ข้าไม่สน
ข้าอยากได้ เอาไว้ โอ้อวดตน
ว่าเหนือคน อื่นล้ำ ในปฐพี
ถ้าคิดว่า ยศถา บรรดาศักดิ์
แค่ใช้อัฐ ซื้อได้ โง่จริงหนอ
คุณความดี เท่านั้น จึงจะพอ
ไม่คิดก่อ ก็อย่าหวัง เอามันเลย
(แต่งเองเล่น ๆ นะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น