ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่ฝั่งธนมาตลอด
แม่เล่าให้ฟังว่าตอนผมแรกเกิดนั้นยังเช่าบ้านอยู่ที่บางพลัด
แต่ตอนผมจำความได้นั้นครอบครัวได้ย้ายมาเช่าบ้านอยู่ที่
ตรอกข้าวเม่า ตำบลบ้านช่างหล่อ
ซึ่งอยู่ด้านสุดถนนอิสรภาพติดทางรถไฟของสถานีรถไฟธนบุรี
เวลาไปเรียนโรงเรียนอนุบาลก็จะนั่งรถตุ๊ก
ๆ ไปลงเรือที่ท่าวังหลัง
เพื่อไปขึ้นที่ท่าช้าง
จากนั้นจึงจะนั่งรถเมล์จากท่าช้างไปโรงเรียน
ตอนนั้นยังไม่มีสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
บางทีก็จะกลับทางท่าพระจันทร์เพื่อข้ามเรือมายังท่ารถไฟ
ท่ารถไฟนี้อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟธนบุรีและอยู่ใกล้กับปากคลองบางกอกน้อย
ท่ารถไฟนี้เป็นท่าเรือที่เงียบสงบ
ผมชอบท่านี้มากเพราะมันดูร่มรื่นดี
ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
หน้าสถานีรถไฟธนบุรีจะมีสวนหย่อมเล็ก
ๆ เป็นต้นทางของรถเมล์สาย
๘๓ ที่วิ่งระหว่างตลิ่งชันกับสถานีรถไฟธนบุรี
ส่วนหนึ่งของชีวิตผมแถวนี้เคยเล่าไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๒๔๗ วันศุกร์ที่
๒ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง
"ทำอย่างไรไม่ให้รางโก่ง"
เจอน้ำท่วมกรุงเทพมาก็ตั้งแต่เด็ก
ได้เลื่อนเปิดเทอมเป็นประจำ
ดีใจที่ได้อยู่บ้านนานขึ้น
แต่สมัยนั้นไม่มีทีวีดูทั้งวันทั้งคืนเหมือนสมัยนี้
โทรทัศน์เริ่มออกอากาศก็ช่วงบ่ายไปจนดึก
ยกเว้นช่วงโรงเรียนปิดเทอมจะมีการออกอากาศรายการพิเศษตอนกลางวันเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ดูเหมือนจะชื่อ "โรงเรียนภาคฤดูร้อน"
ซึ่งเป็นรายการสำหรับเด็ก
ๆ ที่อยู่บ้านได้ดูกัน
ส่วนเวลาที่เหลือในแต่ละวันก็ใช้ในการเล่นกับเพื่อนฝูงข้างบ้าน
ทั้งที่โตกว่าและเด็กกว่า
ตอนปี
๒๕๒๑ ย้ายกลับมาอยู่ที่บางพลัดใหม่
คุณพ่อคุณแม่มาซื้อบ้านจัดสรรอยู่ใกล้ทางรถไฟสายใต้
เป็นบ้านชั้นเดียว
ยกพื้นชั้นล่างสูงจากพื้นถนนประมาณ
๕๐ เซนติเมตร
แต่ใต้พื้นชั้นล่างเป็นพื้นดินที่เป็นสวนเดิม
ถ้าตรงกับตำแหน่งที่เป็นคูดินก็จะอยู่ห่างจากพื้นดินไม่มาก
ถ้าเป็นตำแหน่งที่เป็นร่องสวนเดิมก็จะอยู่ห่างจากพื้นดินมา
หลังจากสร้างบ้านเสร็จเขาก็ถมทรายรอบ
ๆ บ้าน เพื่อให้บริเวณรอบ
ๆ บ้านราบเรียบ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากกับที่นี่คือหิ่งห้อย
ซึ่งเห็นกันตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่
ๆ จนถึงปัจจุบันก็กว่า ๓๐
ปีแล้วก็ยังมีให้เห็นอีก
ลูก ๆ ของผมก็โตมากับหิ่งห้อยที่บินวนเข้ามาในบ้าน
หรือไม่ก็บินมาเกาะที่หน้าต่างมุ้งลวดของห้องนอน
(มีอยู่ครั้งหนึ่งหิ่งห้อยตัวหนึ่งถูกจิ้งจกกินให้ดูต่อหน้าต่อตาผมและลูก
ก็เลยได้เห็นท้องจิ้งจกมีแสงกระพริบได้ด้วย)
เวลาที่ครูที่โรงเรียนถามเด็กนักเรียนว่ามีใครเคยเห็นหิ่งห้อยบ้าง
ลูกผมก็เป็นเด็กเพียงไม่กี่คนในห้องที่มีโอกาสได้เห็น
และก็เป็นการเห็นที่บ้าน
ไม่เหมือนคนอื่นที่ต้องถ่อรถไปหาดูไกล
ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง
ๆ
นอกจากหิ่งห้อยแล้วก็ยังมีพวกนกสวนต่าง
ๆ แต่ก่อนจะมีนกหัวขวาน
แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นนานแล้ว
ที่โผล่มาบ้างก็เป็นนกแซงแซว
และก็มีพวกตุ๊กแก งูดิน
งูทางมะพร้าว งูเขียวหางไหม้
และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีงูสามเหลี่ยมโผล่มาหน้าบ้าน
พวกกระรอก
พวกหนูนี่ก็วิ่งกันบนต้นไม้และหลังคาเป็นปรกติ
ตอนหลังเริ่มมีตัวเหี้ยโผล่มาให้เห็นบ้างแล้ว
ด้วยว่าเป็นบ้านอยู่สุดซอย
หลังบ้านเป็นที่สวนของคนอื่นเขา
ทำให้บริเวณบ้านตอนกลางคืนจะเงียบและมืดมาก
(ตอนนั้นยังไม่มีการติดไฟแสงสว่างตามเสาไฟฟ้าด้วย)
เสียงที่ดังจึงมีแต่เสียงแมลงและเสียงร้องของสัตว์ต่าง
ๆ ตามธรรมชาติ
และเสียงหวูดไฟที่แล่นผ่านมาตามเวลา
พอต้องไปนอนที่อื่นที่ใกล้กับถนนมีเสียงรถวิ่ง
หรือมีแสงสว่างเข้ามาในห้องนอนมาก
ผมจึงมักมีปัญหานอนไม่หลับหรือไม่ก็หลับไม่สนิท
ที่บ้านบางพลัดนี้เวลาที่น้ำท่วม
น้ำจะโผล่มาจากทางสวนหลังบ้าน
มุดรั้วที่ปิดกั้นระหว่างถนนกับสวนและท่อระบายน้ำออกมา
เวลาที่น้ำท่วมนั้นเป็นการท่วมตามจังหวะเวลาของน้ำขึ้นน้ำลง
ช่วงแรก ๆ
ที่น้ำท่วมนั้นน้ำที่ไหลล้นออกมานั้นจะเป็นน้ำใส
และมักมีปลาหมอว่ายตามน้ำออกมาด้วย
ผมกับพี่น้องก็จะออกมาไล่จับปลาหมอกัน
พอท่วมพื้นถนนจนมิดก็จะเล่นเตะฟุตบอลกัน
เตะบอลในน้ำมันก็สนุกไปอีกแบบไม่เหมือนกับการเตะบอลในสนามที่แห้ง
แต่พอน้ำท่วมหลายวันเข้าก็เริ่มเบื่อ
เพราะน้ำเริ่มมีกลิ่นเหม็นและไม่สะอาด
วัน ๆ ก็เลยได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน
ช่วงปี
๒๕๒๐-๒๕๓๐
กรุงเทพยังไม่มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำ
เวลาที่น้ำท่วมทีก็ท่วมไปทุกแห่ง
น้ำที่ท่วมที่บ้านผมนั้นก็ท่วมเฉพาะพื้นถนนหน้าบ้านที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินในบ้าน
มีบางครั้งที่อาจจะสูงจนเข้ามาในรั้วบ้านได้
แต่ก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะท่วมสูงถึงพื้นตัวบ้านที่ใช้เป็นอยู่อาศัย
เพราะถ้าสูงขนานนั้นก็คงไม่มีที่หลับนอนกัน
เพราะบ้านที่อยู่นั้นเป็นบ้านชั้นเดียว
ช่วงประมาณปี
๒๕๓๖-๒๕๓๗
ก็ได้มีการปรับปรุงถนนในซอย
คือมีการยกระดับถนนให้สูงในระดับเดียวกันกับถนนจรัญสนิทวงศ์
(อย่าแปลกใจนะว่าถ้าจะเห็นบางคนเขียนว่า
จรัลสนิทวงศ์ คือสะกดด้วย
"ล"
ไม่ใช่
"ญ"
เพราะแต่ก่อนมีการสะกดชื่อโดยใช้
"ล"
ก่อนที่จะมีการแก้ไขใหม่ว่าให้สะกดด้วย
"ญ")
ซึ่งการยกระดับถนนดังกล่าวเสร็จสิ้นก่อนน้ำท่วมใหญ่อีกครั้งในปี
๒๕๓๘
รูปที่
๑ แผนที่บริเวณที่เกิดเหตุกำแพงกั้นน้ำท่วม
และเส้นทางที่คิดว่าน้ำจากแม่น้ำใช้ในการเดินทางมาถึงหลังบ้าน
จะเห็นว่าน้ำที่ทะลักจากคันกั้นน้ำที่พังในซอยจรัญ
ฯ ๗๔/๑
นั้นสามารถไหลตรงมายังริมทางรถไฟและสวนบริเวณหลังบ้านผมได้อย่างรวดเร็ว
แนวทางรถไฟสายใต้นี้เป็นเส้นแบ่งระหว่าง
อ.บางกรวย
จ.นนทบุรี
ที่อยู่ทางฝั่งด้านทิศเหนือ
และเขตบางพลัด จ.กรุงเทพ
ที่อยู่ทางฝั่งด้านทิศใต้
บ้านผมอยู่ในบริเวณวงกลมแดงที่ด้านซ้ายของภาพ
ลูกศรสีเขียวคือเส้นทางที่คาดว่าเป็นเส้นทางการไหลของน้ำที่บ่าเข้ามา
หลังการยกระดับถนนในซอยก็ทำให้ตัวพื้นถนนนั้นสูงกว่าตัวพื้นบ้านที่ใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่เล็กน้อย
เรียกได้ว่าพื้นที่ที่เคยใช้เป็นที่หลับนอนจากเดิมที่เคยอยู่สูงกว่าถนนกลายเป็นอยู่ต่ำกว่าถนน
ยังดีที่เขาวางท่อระบายน้ำเอาไว้ลึก
จึงไม่ค่อยประสบปัญหาน้ำฝนไหลหลากจากถนนเข้าบ้านเวลาฝนตกหนัก
น้ำท่วมปี
๒๕๓๘ ก็ยังเป็นลักษณะขึ้น
ๆ ลง ๆ ตามจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง
ถ้าวันไหนน้ำขึ้นสูงสุดตอนเวลากลับบ้านผมก็จะขนเสื้อผ้ามานอนยังที่ทำงาน
(ก็มีห้องส่วนตัวนี่นา)
จะได้ไม่ต้องขับรถลุยน้ำกลับบ้าน
หรือต้องรอให้น้ำลงก่อนจึงจะกลับได้
เพราะเส้นทางกลับบ้านนั้นต้องผ่านสะพานกรุงธน
ซึ่งบริเวณเชิงสะพานทั้งสองฝั่งจะมีน้ำท่วมเสมอเวลาที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูง
เท่าที่จำได้ในปีนั้นน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทก็อยู่ในระดับกว่า
๔๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
รูปที่
๒ ภาพถ่ายบริเวณเดียวกับแผนที่ในรูปที่
๑
เป็นภาพซ้อนทับระหว่างภาพภูมิประเทศจริงของภาพถ่ายดาวเทียมกับแผนที่
จะเห็นว่าบริเวณระหว่างคลองบางพลัดและคลองมะนาวไปจนถึงแนวทางรถไฟและหลังบ้านผมยังมีสภาพเป็นสวนอยู่
เนื่องจากระดับถนนสูงกว่าตัวบ้านและพื้นที่สวนรอบ
ๆ ดังนั้นในปี ๒๕๓๘
เมื่อน้ำในสวนเริ่มเอ่อล้น
น้ำดังกล่าวจึงแทรกซึมผ่านรั้วบ้านซึ่งเป็นผนังอิฐบล็อกและซึมผ่านพื้นดินเข้ามาในบ้าน
ในช่วงแรกน้ำดังกล่าวยังพอไหลลงระบบท่อระบายน้ำของถนนไปได้
แต่พอหลายวันเข้าระบบท่อระบายน้ำของถนนซึ่งนำน้ำนั้นไปออกคลองบางบำหรุก็เริ่มมีระดับสูงขึ้น
เพราะคลองบางบำหรุซึ่งนำน้ำออกแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีระดับสูงขึ้น
ทำให้เกิดน้ำไหลย้อนเข้ามาทางท่อระบายน้ำเข้าบ้าน
จึงต้องใช้วิธีอุดท่อระบายน้ำระหว่างตัวบ้านกับถนน
และสูบน้ำในบ้านลงท่อระบายน้ำของถนน
ช่วงปี ๒๕๓๘ ก็รอดมาด้วยการสูบน้ำแบบนี้
ในส่วนของถนนจรัญสนิทวงศ์นั้นมีการสร้างคันกั้นน้ำที่บริเวณเกาะกลางถนน
ก็เลยได้เห็นว่าถนนฝั่งด้านแม่น้ำเจ้าพระยา
(ด้านขาเข้า)
มีเรือวิ่ง
ส่วนถนนอีกฝั่ง (ด้านขาออก)
นั้นยังแห้งอยู่
แต่การสร้างคันกั้นน้ำดังกล่าวก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจให้กับชุมชนฝั่งที่โดนน้ำท่วม
เพราะเป็นฝั่งที่ได้รับความเสียหาย
ในขณะที่มองว่าอีกฝั่งนั้นไม่ได้รับผลกระทบอะไร
ในประเทศไทยนั้นบุคคลสามารถมีที่ดินติดริมแม่น้ำลำคลอง
ทำให้มีที่ชายน้ำที่เป็นที่ส่วนตัวของตัวเองได้
แต่ไม่สามารถมีที่ชายหาดที่เป็นส่วนตัวของตัวเองได้
หาดส่วนตัวที่อ้างกันนั้นก็เกิดจากการที่ครอบครองที่ดินที่ปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าไปถึงได้
หรือทำให้ไม่มีถนนตัดผ่านระหว่างที่ของตัวเองกับชายหาดได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่หัวหิน
ที่ที่มีการจับจองที่ดินติดชายทะเลเอาไว้ตลอดทั้งแนว
แต่ชายหาดริมทะเลหลังที่เหล่านั้นใคร
ๆ ก็สามารถไปทำกิจกรรมหรือเดินทางผ่านไปมาได้ตลอดเวลา
เมื่อมีโครงการสร้างกำแพงกั้นกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นทางกรุงเทพมหานครก็ต้องประสบกับปัญหาเจ้าของที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปก่อสร้าง
เนื่องด้วยต้องการภูมิประเทศที่งดงาม
(ในมุมมองของเขา)
หรือด้วยเหตุผลใด
ๆ ก็ตามแต่ ทำให้แนวคันกั้นน้ำนั้นไม่สมบูรณ์
เป็นบริเวณที่เรียกว่า
"ฟันหลอ"
บริเวณเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาเป็นประจำเมื่อมีน้ำหลากมา
เพราะเจ้าของที่เหล่านั้นก็ไม่ต้องการให้น้ำท่วมที่ตนเอง
แต่ความแข็งแรงของกำแพงกั้นน้ำที่เขาสร้างขึ้นมานั้น
(เผลอ
ๆ อาจจะไม่ใช่กำแพงที่ออกแบบมากั้นน้ำ
เป็นเพียงแค่กำแพงบ้านเท่านั้นเอง)
ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของน้ำได้
จึงเกิดการพังทลายและทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมชุมชนอื่น
ๆ ที่อยู่หลังแนวกำแพงนั้น
สาย
ๆ ของวันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม
ผมขับรถไปสะพานพระราม ๗
โดยออกทางถนนสายบางกรวย-พระราม
๗
ก็ได้เริ่มเห็นน้ำทะลักจากฝั่งคลองสำโรงข้ามถนนมายังฝั่งทางด้านทางรถไฟ
และในวันถัดมาก็ทราบว่าบริเวณระหว่างถนนและทางรถไฟถูกน้ำท่วมเอาไว้หมดแล้ว
ช่วงนั้นทางรถไฟสายใต้ทำหน้าที่เป็นคันกั้นน้ำระหว่างเขตบางพลัดและอำเภอบางกรวย
แต่ระดับน้ำทางฝั่งบางกรวยที่สูงขึ้นทำให้น้ำล้นพ้นทางรถไฟ
แต่มาติดที่กำแพงถนนเลียบทางรถไฟที่กำลังก่อสร้างอยู่
ถนนยังสร้างไม่เสร็จแต่เขาวางกำแพงคอนกรีตเอาไว้ก่อน
น้ำที่ล้นมาจากทางฝั่งบางกรวยก็ถูกระบายลงคลองต่าง
ๆ ทางฝั่งบางพลัดและสูบออกไป
ช่วงประมาณตี
๓ ของวันเสาร์ที่ ๒๒
ตุลาคมถูกปลุกขึ้นมาเนื่องจากคันกั้นน้ำปลายคลองบางบำหรุพังลง
ทำให้น้ำจากฝั่งบางกรวยไหลเข้ามาได้รวดเร็ว
แต่โชคยังดีที่ทางเจ้าหน้าที่เขตกับทหารได้เข้ามาซ่อมแซมเอาไว้ได้ทัน
แต่ถึงกระนั้นระดับน้ำทางฝั่งบางกรวยก็ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ จนท่วมทางรถไฟสายใต้เป็นช่วง
ๆ
สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือความแข็งแรงของกำแพงคอนกรีตที่ผู้ก่อสร้างถนนเอามาวางไว้ว่ามันจะล้มลงมาเนื่องจากแรงดันน้ำ
ผมคิดว่ากำแพงดังกล่าวไม่ได้ถูกยึดเข้ากับพื้นถนนไว้อย่างแน่นหนา
มันถูกนำมาวางบนพื้นถนนเอาไว้เฉย
ๆ เพราะถนนดังกล่าวเป็นถนนลาดยางมะตอย
ไม่ใช่ถนนคอนกรีตที่จะมีเหล็กเส้นยึดกำแพงเข้ากับพื้นถนน
ในขณะเดียวกันน้ำก็ซึมผ่านชั้นราดยางมะตอยของผิวถนน
มาผุดอยู่กลางถนนโดยเห็นได้ชัดว่าพื้นถนนมีการบวมตัวสูงขึ้น
เหตุการณ์กำแพงคอนกรีตของถนนล้มลงแล้วทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็วนี้เคยเกิดที่อ.ศรีราชา
จ.ชลบุรี
บริเวณที่เกิดเหตุคือตำแหน่งที่ตั้งของห้างโรบินสันศรีราชาในปัจจุบัน
(ตอนนั้นห้างนั้นยังไม่ได้ก่อสร้าง)
น้ำที่ลงมาจากเนินเขามาสะสมอยู่อีกฟากของกำแพง
ไม่สามารถระบายลงทะเลได้ทัน
กำแพงคอนกรีตดังกล่าวพอรับแรงดันไม่ไหวก็ล้มพังลง
เกิดเป็นกระแสน้ำพัดไหลรุนแรงพัดพาเอาข้าวของและบ้านเรือนเสียหายไปหลายหลัง
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้เห็นทางเทศบาลทำการเปลี่ยนกำแพงบางช่วงให้กลายเป็นลูกกรงเหล็กแทน
เพื่อให้น้ำที่หลากมาอย่างรวดเร็วระบายได้เร็วขึ้นไม่เกิดการสะสมทางด้านหนึ่งของกำแพง
บ่ายวันจันทร์ที่
๒๔ ตุลาคมหลังจากจัดงานวันเกิดเล็ก
ๆ ให้กับลูกคนเล็ก ผมก็พาลูก
ๆ ไปอยู่ที่ชลบุรีเนื่องด้วยไม่ไว้ใจสถานการณ์น้ำท่วม
ตอนขับรถกลับตอนค่ำก็มีโทรศัพท์แจ้งว่ารั้วบ้านริมน้ำในซอยจรัญฯ
๗๔/๑
พังลง
ทำให้ต้องปิดถนนจรัญสนิทวงศ์ช่วงแยกบางพลัดถึงสะพานพระราม
๗ ตอนที่กลับถึงบ้านนั้นพบว่าเริ่มมีน้ำเอ่อเข้ามาทางสวนหลังบ้านแล้ว
แต่ยังไม่มากเท่าไรนัก
เพราะยังสามารถระบายลงท่อน้ำของถนนเพื่อไปออกทางคลองบางบำหรุได้
รอดูอยู่จนเที่ยงคืนจึงเข้านอน
มีโทรศัพท์ปลุกอีกครั้งตอนตี
๔ ของวันอังคารที่ ๒๕
ว่าน้ำไม่สามารถระบายออกทางคลองบางบำหรุได้แล้วและเริ่มสะสม
จึงได้เริ่มทำการสูบน้ำออกจากบริเวณบ้านหลังเก่า
และเริ่มขนย้ายสิ่งของจากบ้านเก่าขึ้นบ้านใหม่ที่เป็นบ้านสองชั้นและอยู่สูงกว่า
ตอนบ่ายผมนำรถไปฝากไว้ที่บ้านน้องชายและนั่งรถกลับมากับเขา
ตอนที่ผมขับรถออกไปและนั่งรถกลับเข้ามานั้นน้ำท่วมเฉพาะถนนบริเวณหน้าบ้านผม
ส่วนบริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลบางพลัดและวัดเพลงนั้นระดับน้ำยังอยู่ต่ำกว่าถนน
แต่จากระดับน้ำที่สูงขึ้นก็ทำให้เชื่อว่าน้ำที่ทะลักเข้ามานั้นมากกว่าน้ำที่สามารถระบายออกทางคลองบางบำหรุ
เย็นวันนั้นจึงได้ตัดสินใจทิ้งบ้านหลังเก่าให้จมน้ำเพื่อย้ายเครื่องสูบน้ำไปป้องกันบ้านของพี่ชายและของพ่อแม่ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวเหมือนกันและได้ให้คุณพ่อคุณแม่ย้ายไปอยู่บ้านน้องชายก่อน
ส่วนผมกับพี่ชายก็เฝ้าบ้านสี่หลังอยู่ด้วยกันสองคน
คืนนั้นแม่น้ำจะยังไม่เข้าท่วมในชั้นล่างของบ้านสองชั้น
แต่ระดับน้ำที่สูงรอบตัวบ้านทำให้ปั๊มน้ำลัดวงจร
ทำงานไม่ได้ และถังบำบัดมีน้ำเต็ม
ชักโครกกดไม่ลงทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
ต้องทำการเจาะท่อน้ำทิ้งส่วนที่อยู่เหนือกว่าผิวน้ำเพื่อให้อากาศในถังบำบัดระบายออกได้
ชักโครกชั้นบนจึงใช้งานได้อีกครั้ง
แต่ห้องน้ำชั้นล่างไม่สามารถใช้งานได้
ตลอดคืนวันอังคารต่อเช้าวันพุธน้ำยังมีทีท่าสูงขึ้นและเชื่อว่าบ้านสองชั้นที่อาศัยอยู่นั้นชั้นล่างคงไม่พ้นจากการโดนน้ำท่วมแน่
ๆ
จึงตัดสินใจย้ายของจากชั้นล่างขั้นชั้นบนอีกครั้งและตัดสินใจปล่อยให้บ้านชั้นล่างจมน้ำไปโดยจะย้ายออกไปอยู่กับลูก
ๆ แล้ว เพราะเขาเป็นห่วงมาก
โทรศัพท์มาถามตลอดเวลา
ข้าวของอะไรที่ยกขึ้นข้างบนไม่ได้ก็นำโต๊ะ
เก้าอี้ มาหนุนให้สูงขึ้น
หรือนำไปวางไว้บนชั้นที่สูงขึ้น
ผมชวนให้พี่ชายผมออกมาด้วยแต่เขาก็ยังไม่ยอมออกมา
คุณแม่ผมเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายผมในคืนนั้น
โดยให้ผมขนข้าวของบางส่วนที่ต้องใช้ออกไปไว้บ้านน้องชายก่อน
แล้วให้ผมเดินทางไปดูแลลูก
ๆ ที่ชลบุรี
ส่วนตัวคุณแม่เองนั้นบอกว่าขอเห็นกับตาตนเองดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น
จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลกับข่าวสารที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
พอเช้าวันพุธที่
๒๖ คุณแม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่าตัดสินใจที่จะอพยพแล้ว
เพราะน้ำมีแนวโน้มที่จะท่วมชั้นล่างของบ้านสองชั้นแล้ว
และรอน้องชายเข้าไปรับออกมา
ระหว่างที่นั่งเล่น
facebook
อยู่ที่ชลบุรีก็มีนิสิตถามเข้ามาเรื่องการออกแบบเครื่องกรองน้ำบริสุทธิ์สำหรับดื่มให้กับผู้ประสบอุทกภัย
ผมก็ได้ให้คำแนะนำและความเห็นกับเขาไป
ส่วนตัวผมคิดว่าเพื่อให้การช่วยเหลือดำเนินไปได้ดีนั้นผู้ประสบอุทกภัยควรที่จะอพยพมาอยู่รวมกัน
เจ้าหน้าที่จะได้จัดการความช่วยเหลือได้ง่าย
จะได้มีกำลังเหลือไปจัดการกู้ภัยในด้านอื่น
แทนที่จะเป็นการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปส่งเสบียง
ผมว่าในหลาย ๆ
พื้นที่ที่ทำได้น่าจะใช้วิธีการอพยพคนออกมาให้หมด
ประกาศเป็นพื้นที่ห้ามบุคคลไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป
แล้วใช้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินให้เอง
เห็นใครแปลกปลอมเข้าไปในบริเวณนั้นก็ให้สัณนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ
เจ้าของบ้านคนใดจะกลับไปยังบ้านตัวเองก็ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าวัน-เวลาและสถานที่
พอเหตุการณ์ดีขึ้นจึงค่อยอนุญาตให้อพยพกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านตนเองได้
ผมเห็นใจเจ้าหน้าที่เขตที่ถูกชาวบ้านที่ไม่ยอมอพยพออกมา
(เนื่องด้วยห่วงทรัพย์สิน)
ต่อว่าว่าไม่มีใครเข้าไปดูแลส่งถุงยังชีพให้กับผู้ที่อยู่ตามบ้านเรือน
แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เขตเหล่านั้นก็ต้องทำการซ่อมแซมคันกั้นน้ำที่เสียหาย
ณ บริเวณต่าง ๆ ตลอด ๒๔
ชั่วโมงร่วมกับทหารหน่วยต่าง
ๆ ที่ถูกส่งมาช่วย
แม้ว่าบ้านของพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เดือดร้อนจากการถูกน้ำท่วมเช่นเดียวกัน
และพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างอะไรเพิ่มเติมพิเศษ
เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น
ไม่ได้มีการออกข่าวสรรเสริญใด
ๆ ทางสื่อต่าง ๆ ทั้ง ๆ
ที่สิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นได้ช่วยเหลือชาวบ้านเป็นจำนวนมากกว่าสื่อบางสื่อที่โหมกระพือความช่วยเหลือของตัวเองเสียอีก
กำลังใจที่พวกเขาได้รับจากชาวบ้านก็คือเงินบริจาคเพียงเล็กน้อย
อาหารการกินส่วนหนึ่ง
การโบกไม้โบกมือให้กำลังใจ
รอยยิ้มของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ
และคำขอบคุณที่อาจมาพร้อมกับน้ำตา
ท้ายนี้ผมขอกล่าวคำขอบคุณจากใจไปยังเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง
ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
เจ้าหน้าที่ทหาร และอาสาสมัคร
ที่ได้เข้ามาร่วมกู้วิกฤตของประเทศโดยหวังเพียงแค่ขอคืนความสุขและการใช้ชีวิตตามปรกติให้กับประชาชนทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เกิดเหตุจริง
หรือผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลศูนย์ผู้อพยพ
หรือเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจต่าง
ๆ ที่พยายามรักษาให้ระบบสาธารณูปโภคต่าง
ๆ ยังคงใช้งานได้อย่างปลอดภัย
เขาเหล่านั้นทำงานโดยไม่ได้ฉวยโอกาสดังกล่าวในการประชาสัมพันธ์ตนเองเพื่อหวังลาภ
ยศ สรรเสริญ หรือผลประโยชน์ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไป
สิ่งที่พวกเขาได้ไปคือความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาในการที่ได้นำความสุขกลับคืนมายังผู้ได้รับความเดือดร้อนเท่านั้นเอง