เราเริ่มต้นด้วยการหาพีค
NO
แต่ดันได้พีค
N2O
แทน
ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวซะทีเดียว
ในสัปดาห์ที่แล้ว
สาว สาว สาว (สาวน้อยหน้าบาน
สาวน้อยร้อยแปดสิบเซนต์
และสาวน้อยผิวเข้ม)
ช่วยกันทดสอบเครื่อง
GC-2014
ECD & PDD เพื่อทดลองดูว่าคอลัมน์ที่ใช้หา
NH3
นั้นสามารถนำมาใช้หา
NO
ได้หรือไม่
โดยได้ตั้งภาวะการทำงานของเครื่องเป็นดังนี้
(ผมไปจดมาเมื่อเช้าวันเสาร์
ระหว่างที่เครื่องอยู่ในสถานะ
standby)
Injector
temperature 62ºC
(อุณหภูมินี้ไม่ใช่อุณหภูมิที่ตัววาล์วฉีดตัวอย่าง
เพราะที่ตัววาล์วฉีดตัวอย่างไม่มี
heating
block ให้ความร้อน
แต่เป็นอุณหภูมิที่ Injection
port ที่อยู่ทางด้านบนของเครื่อง
ซึ่งเครื่องของเราไม่ได้ต่อคอลัมน์เข้ากับ
injection
port นี้
และเราก็ไม่ได้ทำการตั้งค่าอุณหภูมิที่
injection
port นี้ด้วย
สาเหตุที่มันมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้องน่าจะเป็นเพราะรับความร้อนที่มาจาก
oven)
Column
temperature 120ºC
Detector
temperature 200ºC
Analysis
time 30.0 min
Equilibrium
time 2.0 min
Delay
time 0.0 min
Subtract
detector none
Sampling
rate 80 msec
ACP1
pressure 40.0 kPa
ACP2
pressure 40.0 kPa
ACP3
pressure 50.0 kPa
ACP4
pressure 140.0 kPa
ACP5
pressure 0.0 kPa
ACP6
pressure 0.0 kPa
Left
column flow 2.87 ml/min carrier gas type He
Right
column flow 0.75 ml/min carrier gas typye He
วาล์ว
4
อยู่ในตำแหน่งให้แก๊สจาก
วาล์ว 3
ไหลเข้า
PDD
ตลอดเวลา
วาล์ว
3
เปลี่ยนจากตำแหน่งเก็บตัวอย่างไปเป็นตำแหน่งฉีดตัวอย่างที่เวลา
0.01
นาที
และคงไว้ที่ตำแหน่งดังกล่าวจนถึงเวลา
29.50
นาที
จึงเปลี่ยนกลับคืนไปยังตำแหน่งเก็บตัวอย่าง
ขนาด
sampling
loop 0.5 m
การทดลองนั้นได้ทดลองวิเคราะห์แก๊ส
N2
100% O2 100% N2+O2 NO in N2
และ
N2O
in N2 ผลออกมาเป็นอย่างไรก็ลองดูตามรูปแต่ละรูปก็แล้วกัน
รูปที่
๑ Chromatogram
ที่ได้จากการวัด
N2
100% (สีน้ำเงิน)
และ
O2
100% (สีแดง)
ด้วย
PDD
รูปที่
๑ เป็นการเปรียบเทียบ
chromatogram
ที่ได้จากการวัด
N2
100% และ
O2
100% พีคแหลม
ๆ ที่ปรากฏที่เวลาประมาณ
1.50
นาทีนั้นเป็นพีคที่เกิดจากการขยับวาล์ว
3
จากตำแหน่งเก็บตัวอย่างไปยังตำแหน่งฉีดตัวอย่าง
ไนโตรเจนและออกซิเจนจะปรากฏหลังจากผ่านไปแล้วประมาณ
8
นาที
โดยปรากฏเป็นพีคขนาดใหญ่ลากหางยาวไปจนสิ้นสุดการเก็บข้อมูล
รูปที่
๒ ส่วนขยายของ Chromatogram
บริเวณกรอบสี่เหลี่ยมที่แสดงในรูปที่
๑
รูปที่
๒ เป็นภาพขยายบริเวณกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวในรูปที่
๑ สัญญาณที่ปรากฏในช่วงเวลา
1.25-1.75
นาทีเกิดจากการเปลี่ยนตำแหน่งของวาล์ว
3
พึงสังเกตว่าในช่วงเวลา
1.8-2.4
นาทีนั้นไม่มีสัญญาณใด
ๆ
รูปที่
๓ Chromatogram
ของแก๊สผสมระหว่าง
N2
และ
O2
(ไม่ทราบสัดส่วน)
รูปที่
๓ นี้เป็น chromatogram
ที่ได้จากการฉีดแก๊สผสมระหว่างไนโตรเจนและออกซิเจน
(ไม่ทราบสัดส่วน)
รูปนี้แสดงให้เห็นว่าคอลัมน์ที่เราใช้แยก
NH3
นั้นไม่สามารถแยก
N2
และ
O2
ออกจากกันได้
รูปที่
๔ Chromatogram
ของการฉีดแก๊สผสม
NO
10000 ppm ใน
N2
และ
N2O
1000 ppm ใน
N2
หลังจากที่ระบุตำแหน่งพีคไนโตรเจนและออกซิเจนได้แล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการระบุตำแหน่งพีค
NO
โดยได้ทดลองฉีดแก๊สผสม
NO
10000 ppm ใน
N2
เข้าไป
เมื่อนำ chromatogram
ที่ได้ไปขยายบริเวณ
0-5
นาทีก็พบว่ามีพีคเกิดขึ้นเพิ่มเติม
3
พีคดังแสดงในรูปที่
๕
ที่ผมสงสัยอยู่ก็คือทำไมพีค
N2
(ซึ่งมี
N2
99% กับ
NO
1%) ตรงเวลาประมาณ
9
นาทีในรูปที่
๔ มันสูงกว่าพีค N2
100% ในรูปที่
๑ ตรงนี้ไม่รู้เป็นเพราะว่าฝีมือคนฉีดหรือว่าพีค
NO
ออกมาเวลาเดียวกันกับ
N2
แต่ให้การตอบสนองที่แรงกว่า
รูปที่
๕ ภาพขยาย Chromatogram
ในช่วง
5
นาทีแรกของการฉีดแก๊สผสม
NO
10000 ppm ใน
N2
และ
N2O
1000 ppm ใน
N2
ในตอนแรกนั้นเราคิดว่าพีคที่ปรากฏตรงเวลาเกือบ
2
นาทีคือพีค
NO
แต่เมื่อทดสอบโดยการฉีด
N2O
กลับพบว่าพีคที่ตำแหน่งตรงเวลาเกือบ
2
นาทีนั้นคือพีค
N2O
และพีคขนาดเล็กทางด้านซ้ายและขวาของพีค
N2O
คงเป็น
impurity
ที่ปนเปื้อนอยู่ในถังแก๊ส
NO
ซึ่งเมื่อตรวจสอบกับใบ
certificate
ที่มากับถังแก๊ส
NO
ก็พบว่ามีออกไซด์ตัวอื่นของไนโตรเจนปนเปื้อนอยู่ในระดับไม่เกิน
0.05%
หรือไม่เกิน
500
ppm ซึ่งเมื่อเทียบพื้นที่พีคดังกล่าวกับพีค
N2O
ที่ได้จากการฉีด
N2O
1000 ppm ก็ทำให้สรุปได้ว่าพีคนั้นไม่ใช่พีค
NO
แต่เป็นพีค
N2O
ผมเกรงว่าเราจะมีปัญหาตรงที่
NO
อาจจะออกมาระหว่าง
N2
กับ
O2
ดังนั้นถ้าจะวัด
NO
ได้ก็ต้องใช้คอลัมน์ที่แยก
N2
กับ
O2
ออกจากกันได้
หรือไม่ก็ใช้ detector
ที่มองเห็น
NO
แต่มองไม่เห็น
N2
กับ
O2
งานนี้คงต้องดำเนินกันต่อไป
ช่วงนี้คงต้องหันไปทดลองหาพีค
NH3
ดูสักพัก