Memoir
ฉบับนี้เป็นการ
"แก้ไขข้อผิดพลาด"
ที่กล่าวไว้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๑๒ วันเสาร์ที่
๓ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "GC-2014
ECD & PDD ตอนที่
๒๐ Helium
เข้า
PDD"
ในส่วนของท่อการไหลของแก๊สเข้า
PDD
เรื่องที่ทำการแก้ไขประกอบด้วย
๑.
แนวเส้นท่อแก๊สที่เข้า
PDD
๒.
การตั้งวาล์ว
APC5
ใน
Memoir
ฉบับที่
๔๑๒ นั้นได้กล่าวถึงการเปิด
APC5
เพื่อให้แก๊สไหลเข้า
PDD
โดยได้บอกไว้ว่าให้ลองตั้งความดันไว้ที่
40.0
kPa ก่อน
(ที่หน้า
Add
Flow ของคำสั่งควบคุม)
แต่ต่อมาพบว่าเมื่อสั่งเปิดวาล์ว
APC5
นั้น
เครื่องแจ้งความผิดพลาดว่า
APC5
Leak
ความหมายของคำว่า
"Leak"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า
"รั่ว"
แต่หมายความว่า
APC5
"ไม่สามารถควบคุมความดัน
ด้านขาออกให้สูงเท่าค่าที่กำหนดได้"
ทำให้ต้องมีการมุดเข้าไปตรวจสอบทางด้านหลังเครื่อง
สิ่งที่ค้นพบคือ
๑.
แก๊สฮีเลียมจากถังแก๊ส
จะต่อเข้า Helium
purifier ก่อน
๒.
แก๊สที่ออกจาก
Helium
purifier จะต่อเข้าข้อต่อสามทาง
ท่อแก๊สในช่วงนี้ไม่มีวาล์วควบคุมใด
ๆ
๓.
เส้นท่อที่ออกจากข้อต่อสามทาง
เส้นท่อหนึ่งจะเข้าไปยังช่อง
APC4
ที่อยู่ทางด้านหลังของเครื่อง
GC
เส้นนี้เป็นเส้นท่อแก๊สที่เข้าไปทำหน้าที่
carrier
gas
๔.
เส้นท่อที่ออกจากข้อต่อสามทางอีกเส้นท่อหนึ่งจะ
"ตรงไปยัง
PDD"
โดยที่
"ไม่มี"
วาล์วใด
ๆ อยู่ในเส้นท่อ
๕.
ช่องด้านหลังเครื่องที่ระบุว่าเป็นช่องต่อเข้า
APC5
นั้น
"ไม่มี"
ท่อแก๊สต่อเข้า
นั่นแสดงว่าระบบท่อของเรานั้นไม่มีวาล์วใด
ๆ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของฮีเลียมไปยัง
PDD
อัตราการไหลของแก๊สฮีเลียมไปยัง
PDD
จะขึ้นอยู่กับความดันด้านขาออกของ
pressure
regulator ที่หัวถังแก๊สฮีเลียม
ดังนั้นเพื่อให้ได้อัตราการไหลของฮีเลียมเข้า
PDD
ประมาณ
30
ml/min เราจึงต้องตั้งค่าความดันด้านขาออกของ
pressure
regulator ที่หัวถังแก๊สฮีเลียมเป็นประมาณ
75
psi (หรือ
5
bar) ประมาณว่าเมื่อผ่าน
helium
purifier แล้วความดันจะลดลงเหลือประมาณ
60
psi (หรือ
4
bar) ตามคู่มือที่นำมาแสดงไว้ในรูปที่
๖ ของ memoir
ฉบับที่
๔๑๒ (โดยจะเริ่มทดสอบกับการทดลองของบงกชที่จะเริ่มในค่ำวันนี้)
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องแก้รูปแผนผังการไหลของแก๊สในส่วนแก๊สฮีเลียมไหลเข้า
PDD
และ
GC
เป็นดังรูปที่
๑ ในหน้าถัดไป
รูปที่
๑ แผนผังการไหลของแก๊ส
จากการตรวจสอบพบว่าในขณะนี้แก๊สฮีเลียมจากถังจะต่อเข้า
Helium
purifier โดยตรง
(ตามเส้นสีเขียว)
แก๊สที่ออกจาก
Helium
purifier จะเข้าสู่ข้อต่อ
๓ ทาง โดยเส้นหนึ่งจะไปยัง
APC-4
เพื่อจ่ายเป็น
carrier
gas เข้าคอลัมน์
อีกเส้นหนึ่งจะแยกตรงไปยัง
PDD
โดย
"ไม่มี"
การต่อผ่าน
APC-5
ตำแหน่งจุดต่อเข้า
APC-5
นั้นอยู่ทางด้านหลังของเครื่อง
GC
และไม่มีการต่อท่อแก๊สใดเข้าไป
รูปที่
๒ แนวเส้นประสีเหลืองคือแนวท่อฮีเลียมเข้า
PDD
ที่ถูกต้อง
ส่วนแนวเส้นประสีเขียวเป็นเส้นท่อที่เข้าใจผิดที่แสดงไว้ใน
memoir
ฉบับที่
๔๑๒
รูปที่
๓ อีกมุมหนึ่งของจุดต่อเข้า
PDD
รูปที่
๔ PDD
มองจากด้านบน
เส้นท่อที่เราเคยเข้าใจผิดว่าเป็นท่อฮีเลียมเข้า
PDD
(แนวเส้นประสีเขียว)
อันที่จริงมันมุดลงไปข้างล่างข้าง
ๆ PDD
ตรงลูกศรชี้
ตอนนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นท่ออะไร
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการตอบสนองของ
PDD
ค่อนข้างจะคงที่เมื่อแต่ละคนทำการทดลอง
แต่จากการติดตามระดับเส้น
base
line พบว่าระดับเส้น
base
line มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า
ๆ
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าในแต่ละรอบสัปดาห์นั้นมีการใช้
GC
เครื่องนี้วิเคราะห์อะไรกันบ้าง
๑.
คนที่
๑ ทดสอบปฏิกิริยา DeNOx
ในภาวะที่มีทั้ง
SO2
และน้ำ
๒.
คนที่
๒ ทดสอบปฏิกิริยา DeNOx
ในภาวะที่มีทั้ง
SO2
และน้ำ
๓.
คนที่
๓ ทดสอบปฏิกิริยา DeNOx
ในภาวะที่ไม่มี
SO2
และน้ำ
๔.
คนที่
๔ ทดสอบปฏิกิริยา DeNOx
ในภาวะที่ไม่มี
SO2
และน้ำ
แต่ละคนจะใช้เวลาทดลอง
๑ วันเศษ โดยมีช่วงทิ้งว่างระหว่างการรับช่วงทำงาน
(GC
เปิดทิ้งไว้)
ซึ่งเมื่อครบ
๔ คนก็จะใช้เวลา ๑ สัปดาห์พอดี
เพื่อให้เห็นภาพดีขึ้นผมจะขอยกตัวเลขความแรงสัญญาณ
(ค่าสมมุติ)
มาแสดงประกอบ
เมื่อคนที่
๑ เริ่มทำการทดลองนั้นสมมุติให้
base
line อยู่ที่ระดับประมาณ
8,300,000
ในระหว่างการทดลองนั้น
base
line จะเคลื่อนตัวลงอย่างช้า
ๆ พอทำการทดลองเสร็จจะพบว่าระดับ
base
line ไปอยู่ที่ประมาณ
8,000,000
ซึ่งเป็นระดับ
base
line ที่คนที่
๒ มารับช่วงต่อ
เมื่อคนที่
๒ ทำการทดลองไปเรื่อย ๆ ระดับ
base
line ก็เคลื่อนต่ำลงอย่างช้า
ๆ เช่นเดียวกัน จนไปอยู่ที่ระดับประมาณ
7,800,000
ซึ่งเป็นระดับ
base
line ที่คนที่
๓ มารับช่วงต่อ
แต่เมื่อคนที่
๓ มารับช่วงนั้น ได้ทำการตัด
SO2
และน้ำออกจากระบบการทดลอง
ดังนั้นแก๊สตัวอย่างที่ฉีดเข้า
GC
จึงไม่มี
SO2
และน้ำ
และในระหว่างการวิเคราะห์นั้นพบว่าระดับ
base
line ค่อย
ๆ เคลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ
จนมาอยู่ที่ระดับประมาณ
8,000,000
ซึ่งเป็นระดับที่คนที่
๔ มารับช่วงต่อ
คนที่
๔ ที่มารับช่วงต่อก็ทำการทดลองในภาวะที่ไม่มีทั้ง
SO2
และน้ำเช่นเดียวกับคนที่
๓ ดังนั้นแก๊สตัวอย่างที่ฉีดเข้า
GC
จึงไม่มีทั้ง
SO2
และน้ำ
ในระหว่างการวิเคราะห์จะพบว่าระดับ
base
line ก็ยังคงค่อย
ๆ เคลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ
จนมาอยู่ที่ระดับประมาณ
8,300,000
ซึ่งเป็นระดับที่คนที่
๑ มารับช่วงต่อ
พฤติกรรมดังกล่าวบ่งชี้ว่าถ้าแก๊สตัวอย่างของปฏิกิริยา
DeNOx
นั้นมีทั้ง
SO2
และน้ำ
จะทำให้ระดับสัญญาณ base
line ของ
PDD
ลดลง
ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้น่าสงสัยว่าพฤติกรรมการตอบสนองของ
PDD
ยังคงเดิมหรือไม่
กล่าวคือที่ระดับเส้น
base
line ต่างกัน
ถ้าฉีดตัวอย่างเท่าเดิมแล้วจะได้พีคขนาดเท่าเดิมหรือไม่
ผมสงสัยว่าอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่าง
NH3
กับ
SO2
และน้ำ
ทำให้เกิดเป็นคราบสกปรกเกาะสะสมที่
PDD
ซึ่งในระหว่างที่ทำปฏิกิริยา
DeNOx
ในภาวะที่มีทั้ง
SO2
และน้ำนั้น
คราบดังกล่าวอาจค่อย ๆ
สะสมอย่างช้า ๆ
(เข้าไปพร้อมกับการฉีดแต่ละครั้ง)
ทำให้ระดับเส้น
base
line ค่อย
ๆ ลดลง แต่พอไม่มีการฉีด
SO2
และน้ำร่วมกับ
NH3
เข้า
GC
คราบดังกล่าวก็ค่อย
ๆ หลุดออกมา ทำให้ระดับเส้น
base
line ค่อย
ๆ ไต่สูงขึ้นเหมือนเดิม
วิธีการแก้ปัญหาผมมองไว้สองแนวทางคือ
(ก)
การเพิ่มอัตราการไหลของฮีเลียมเข้า
PDD
กับ
(ข)
การเพิ่มอุณหภูมิการทำงานของ
PDD
ช่วงบ่ายวันนี้ผมได้ให้สาวน้อยจากเมืองระยองทดลองเพิ่มอัตราการไหลของฮีเลียมเข้า
PDD
โดยเพิ่มความดันด้านขาออกจากถังฮีเลียมก่อน
ส่วนการเพิ่มอุณหภูมิการทำงานนั้นตอนนี้ผมคิดว่าอุณหภูมิการทำงานของ
PDD
ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
(200ºC)
จึงยังไม่อยากเพิ่มขึ้นอีก
เว้นแต่อาจจะเพิ่มเพื่อการทำความสะอาด
PDD
เท่านั้น
เมื่อสักครู่ได้คุยโทรศัพท์กับสาวน้อยจากเมืองระยอง
ทราบว่าเมื่อเพิ่มอัตราการไหลของฮีเลียมเข้า
PDD
(เพิ่มความดันหัวถังจาก
3.5
bar เป็น
5
bar) ทำให้ระดับสัญญาณ
base
line ของ
PDD
ลดลงจาก
8,100,000
เหลือประมาณ
5,900,000
แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าการตอบสนองต่อ
NH3
เป็นอย่างไรบ้าง
ผลสุดท้ายจะออกมาอย่างไรก็คงต้องคอยดูกันต่อไป