วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฝนชะช่อมะม่วง ฝนชะลาน MO Memoir : Friday 2 March 2555


ฝนชะช่อมะม่วง น. ฝนที่ตกเล็กน้อยประปรายในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระยะที่มะม่วงออกช่อพอดี, ฝนชะลาน ก็เรียก.

ฝนชะลาน น. ฝนชะช่อมะม่วง ชาวนาเรียก ฝนชะลาน เพราะมักตกในเวลาที่ยังนวดข้าวไม่เสร็จ.

นิยมของคำทั้งสองผมเอามาจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หน้า ๕๖๘
ตอนเด็ก ๆ เวลาเรียนวิชาภูมิศาสตร์นั้น คุณครูจะสอนว่าในหน้าหนาวประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีน ในหน้าฝนจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามัน

แต่เวลาที่มีพายุดีเปรสชั่นเข้าประเทศทีไร มันมาทางตะวันออกทุกที แล้วตำราก็ไม่เห็นกล่าวถึงเลย

เรื่องพายุมาทางตะวันออกนี้ขอพักเอาไว้ก่อน กลับมาเรื่องฝนที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้ก่อนดีกว่า

ในช่วงหน้าหนาว (เริ่มเดือนพฤศจิกายน) แกนของโลกด้านซีกโลกเหนือจะเอนออกจากดวงอาทิตย์ กลางวันจะสั้นกว่ากลางคืน แสงอาทิตย์จะตกเฉียงกับพื้นผิวโลกมากขึ้น ทำให้ซีกโลกด้านเหนือมีอากาศเย็นลง ในแถบบ้านเราจะมีการเกิดหย่อมความกดอากาศสูง (พวกที่มีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศปรกติ) ขึ้นในประเทศจีน ซึ่งถ้ามีกำลังแรงมากก็จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศที่อยู่ต่ำกว่า เช่นประเทศไทย ได้

หย่อมความกดอากาศสูงนี้เป็นอากาศที่แห้งและเย็น

ในช่วงหน้าร้อนแกนของโลกด้านซีกโลกเหนือจะเอาเข้าหาดวงอาทิตย์ กลางวันจะยาวกว่ากลางคืน แสงอาทิตย์ตกทำมุมใกล้กับมุมฉากมากขึ้น อากาศก็เลยร้อน

เวลาพื้นดินร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบ มันก็เพียงแค่ทำให้เกิดอากาศร้อนลอยตัวขึ้น แต่เวลาทะเลหรือมหาสมุทรได้รับความร้อนจากแสงแดด น้ำจะระเหยขึ้นเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศ
พอมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็รวมกันเป็นก้อนเมฆ พอได้ขนาดมากพอมันก็เลยตกกลายเป็นฝน ซึ่งกว่าจะสะสมได้มากพอก็ต้องรอจนถึงตอนเย็น

รูปที่ ๑ (ซ้าย) หน้าหนาวของซีกโลกด้านเหนือ ขั้วโลกด้านเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์ (ขาว) แต่พอถึงหน้าร้อนของซีกโลกด้านเหนือ โลกจะหันขั้วโลกด้านเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์

ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่ว่าในบางช่วงของปี ตอนเช้าจะดูอากาศดี แต่ตอนบ่ายหรือค่ำจะมีฝนตก เพราะต้องใช้เวลาทั้งกลางวันในการต้มน้ำทะเลให้กลายเป็นไอด้วยแสงอาทิตย์ ซึ่งกว่าจะได้ไอน้ำมากพอเป็นเมฆฝนได้ ก็ตกเย็นพอดี

ลมที่พัดจากทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นลมที่ร้อนชื้น ในขณะที่ลมที่พัดมาจากจีนเป็นลมที่แห้งและเย็น เมื่อลมทั้งสองมาปะทะกันก็จะเกิดเป็นพายุฝนฝ้าคะนองหรือมีลูกเห็บตก (ไอน้ำพอเจอความเย็นมันก็กลายเป็นหยดน้ำแค่นั้นเอง)

ในช่วงเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาวนั้น ช่วงแรก ๆ จะเกิดขึ้นทางตอนเหนือของประเทศไทยก่อน แต่พอหย่อมความกดอากาศสูงมีกำลังแรงขึ้นเรื่อย ๆ แนวปะทะระหว่างลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเคลื่อนลงใต้ จนไปทำให้เกิดเป็นแนวฝนตกหนักและคลื่นลมแรงในภาคใต้ของประเทศ

แต่พอเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังอ่อนลง แนวปะทะระหว่างลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเคลื่อนขึ้นเหนือ ทำให้เกิดเป็นพายุฤดูร้อนและพายุลูกเห็บ ซึ่งมักเกิดขึ้นประมาณช่วงนี้ของทุกปี

บังเอิญช่วงนี้มะม่วงกำลังออกดอกซะด้วย ที่หวาดเสียวคือกลัวว่ากิ่งมะม่วงจะหัก ทำให้อดกินมะม่วง
ดอกมะม่วงนั้น บางทีมันออกทั้งต้นและอาจไม่เป็นผลเลย กลายเป็นใบไปหมด

แต่ก่อนจะเห็นชาวสวน (หรือที่บ้านผมเอง) เวลาจะทำให้มะม่วงออกดอกเป็นผลเยอะ ๆ ก็จะใช้วิธี "รมควัน" ต้นมะม่วง โดยการเอาใบไม้มาสุมกองใต้โคนต้น และก่อไฟเผาให้เป็นควัน (อย่าให้เป็นเปลวไฟร้อนนะ แทนที่จะได้กินจะกลายเป็นว่ามะม่วงจะตายซะก่อน) เลือกทิศทางลมให้ควันลอยเข้าหาต้นมะม่วง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการให้ปุ๋ยทางใบหรือเปล่า เพราะคิดว่าในควันคงมีคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ และยังอาจมีแก๊สตัวอื่นที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ที่อาจมีผลต่อการติดผลของมะม่วงก็ได้ (ที่ผมรู้ก็คือเอทิลีนกับอะเซทิลีนเร่งการสุกของผลไม้) แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือมันใช้ได้ผล

ตอนเด็ก ๆ ก็เคยได้ผู้ใหญ่อธิบายว่าการรมควันเป็นการหลอกให้ต้นไม้รู้สึกว่ามันใกล้ตาย มันจะได้ออกผลเพื่อที่จะขยายพันธ์ต่อไป อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลเดียวกับการที่ห้ามรดน้ำต้นไม้หรือเปล่า เพราะว่ามีพืชบางชนิดเหมือนกันถ้าเราอยากให้มันออกดอกออกผลก็จำเป็นต้องหยุดการรดน้ำ เพราะถ้ารดน้ำมันทุกวันจะทำให้มันออกแต่ใบ

ใครที่รอบบ้านมีพื้นที่พอปลูกไม้ใหญ่ได้ ผมเชื่อว่าสำหรับบ้านส่วนใหญ่แล้วต้นมะม่วงมักจะต้องอยู่ในรายชื่อแรก ๆ ที่จะเอามาปลูก จนผมคิดว่าเราน่าจะเอาต้นมะม่วงเป็นต้นไม้ประจำชาตินะ

ทีนี้ก็ถึงเวลาของฝนที่มาทางตะวันออกบ้าง

พื้นน้ำที่กว้างใหญ่ทางด้านตะวันออกของคาบสมุทรอินโดจีนคือทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เนื่องจากมหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดกว้างใหญ่กว่า ดังนั้นจึงมีการเกิดการระเหยของน้ำที่มากกว่าและเกิดการรวมตัวเป็นก้อนเมฆได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้เวลาที่เกิดพายุจึงมักจะเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกก่อน โดยเกิดทางทิศตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์

ในทางอุตุนิยมวิทยานั้นจำแนกความรุนแรงของพายุโดยใช้ "ความเร็วลม" เป็นหลัก ซึ่งพายุที่มีความเร็วลมสูงมากไม่จำเป็นต้องทำให้ฝนตกหนักมาก และพายุที่ทำให้ฝนตกหนักมากก็ไม่จำเป็นต้องมีความเร็วลมสูงมาก ด้วยการใช้เกณฑ์ความเร็วลมดังกล่าว ทำให้จำแนกพายุออกเป็นประเภทได้เป็น ๓ ประเภทคือ

พายุดีเปรสชั่น (Depression) คือพายุที่มีความเร็วลมต่ำกว่า 63 km/hr (หรือ 34 knots)
พายุโซนร้อน (Tropical storm) คือพายุที่มีความเร็วลมระหว่าง 63 - 118 km/hr
พายุไต้ฝุ่น (Typhoon) คือพายุที่มีความเร็วลมสูงกว่า 118 km/hr (หรือ 64 knots)
พายุดีเปรสชั่นเมื่ออ่อนกำลังลงจะกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งก็ยังทำให้ฝนตกได้อยู่

เริ่มแรกนั้นจะเกิดเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำก่อน เมื่อมีกำลังแรงขึ้นก็จะกลายเป็นพายุดีเปรสชั่น และถ้ามีกำลังแรงขึ้นไปอีกก็จะกลายเป็นพายุโซนร้อน พอระดับความแรงถึงขั้นพายุโซนร้อนเมื่อใดก็จะมีการตั้งชื่อให้กับพายุนั้น

การตั้งชื่อพายุนั้นจะมีชื่อเป็นตัวเลขกำกับ และชื่อเรียก ชื่อที่เป็นตัวเลขจะนำหน้าด้วยเลขสี่ตัวแรกที่เป็นเลขปีค.ศ. และเลขสองตัวหลังที่บอกว่าเป็นพายุลูกที่เท่าใดของปีค.ศ.นั้น เช่นพายุ 200621 DURIAN คือพายุลูกที่ 21 ที่เกิดในปีค.ศ. 2006 มีชื่อว่า "ทุเรียน"

ความรุนแรงของพายุจะขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในทะเลนานเท่าใด และอยู่ในเขตร้อนนานเท่าใด ถ้าอยู่ในทะเลเป็นเวลานานและอยู่ในเขตร้อนเป็นเวลานาน พายุก็จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น (เพราะมีน้ำระเหยเข้าไปเติมได้เรื่อย ๆ) แต่ถ้าขึ้นบกเมื่อไรก็จะอ่อนกำลังลง

พายุที่เกิดทางด้านทิศตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์จะเคลื่อนตัวมาทางตะวันตก แต่เนื่องจากการที่โลกหมุนจึงทำให้เกิดแรงแรงโคริโอลิส (Coriolis force) ซึ่งทำให้พายุที่เกิดขึ้นใกล้เส้นศูนย์สูตรนั้นเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกพร้อม ๆ กับการเฉียงขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ จนเกิดการวกกลับเป็นการเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเคลื่อนไปทางประเทศญี่ปุ่น ถ้าพายุนั้นเกิดใกล้ประเทศฟิลิปปินส์ ก็มักจะเคลื่อนที่เข้าประเทศฟิลิปินส์เป็นประเทศแรก แต่ถ้าเกิดห่างออกไป พายุลูกนั้นก็มันจะเคลื่อนตัวโค้งออกไปจากประเทศฟิลิปปินส์และอาจไปเข้าประเทศญี่ปุ่นแทน แต่ถ้าเกิดที่เส้นรุ้งสูงขึ้นไปก็อาจจะไม่เข้าฝั่งเลยก็ได้

การเคลื่อนที่ของพายุที่เคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์เข้ามาทางคาบสมุทรอินโดจีนนั้นยังได้รับอิทธิพลจากหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ถ้าหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังแรง หย่อมความกดอากาศสูงนั้นก็จะกดไม่ให้พายุเคลื่อนที่ขึ้นเหนือไปได้ พายุลูกนั้นก็จะดูเหมือนกับเคลื่อนที่ไปทางตะวันออก โดยอาจค่อนไปทางทิศเหนือเล็กน้อย ซึ่งก็มักจะเข้าประเทศเวียดนาม และสลายตัวเป็นพายุดีเปรสชั่นและหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ พายุพวกนี้มักจะส่งผลกระทบต่อฝนตกในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

แต่ถ้าหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมีกำลังต่ำ พายุก็จะเคลื่อนที่ขึ้นเหนือได้มากขึ้น และอาจไปขึ้นฝั่งที่เกาะไหหลำหรือประเทศจีนตอนใต้แทน ซึ่งพวกนี้มักไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
พายุที่ขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทยได้นั้นมักจะเกิดในทะเลจีนใต้และเกิดใกล้เส้นศูนย์สูตร พายุเหล่านี้จึงสามารถอ้อมใต้แหลมญวนมาขึ้นฝั่งที่ภาคใต้ของประเทศไทยได้

รูปที่ ๒ เส้นทางเดินพายุที่เข้าภาคใต้ของประเทศไทย ๓ ลูกคือ ปีพ.ศ. ๒๕๐๕ พายุ 196225 HARRIET เข้าที่แหลมตะลุมพุก ปีพ.ศ. ๒๕๑๕ พายุ 197229 SALLY เข้าที่ชุมพรผ่านไปทางระนอง และปีพ.ศ. ๒๕๓๒ พายุ 198929 GAY เข้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๒ เป็นเส้นทางเดินของพายุที่เคยเข้าภาคใต้ประเทศไทย ๓ ลูกคือ HARRIET ที่ขึ้นฝั่งที่แหลมตะลุมพุกเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๕ พายุ SALLY ที่เข้าที่จังหวัดชุมพรในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ และพายุไต้ฝุ่น GAY ที่ขึ้นฝั่งที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปีพ.ศ. ๒๕๓๒ จะเห็นว่าพายุเหล่านี้เกิดในทะเลจีนใต้ทั้งสิ้น

ภาพเส้นทางเดินพายุในรูปที่ ๒ และรูปอื่น ๆ ใน Memoir นี้ผมเอามาจาก www.digital-typhoon.org ซึ่งต้องไปคลิกที่ฐานข้อมูลของเว็บดังกล่าว แล้วให้เขาวาดรูปขึ้นมา (ถ้าไปค้นหารูปในเว็บจะไม่เจอ ต้องใช้วิธีค้นฐานข้อมูลพายุที่เคยเกิดในบริเวณดังกล่าว) จุดสีน้ำเงินเป็นแนวทางเดินของหย่อมความกดอาศต่ำหรือพายุดีเปรสชั่น พอทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน (มีชื่อเรียกแล้ว) เขาก็จะเปลี่ยนเป็นจุดสีเขียว พอทวีกำลังขึ้นไปอีกเป็นภายุไต้ฝุ่นก็จะเปลี่ยนเป็นจุดสีเหลืองและจุดสีแดงตามลำดับ ในทางกลับกันพอพายุอ่อนกำลังลงก็จะถอยกลับจากสีแดง เป็นสีเหลือง เขียว และน้ำเงิน พวกนี้เขาจะมีฐานข้อมูลความกดอากาศที่ศูนย์กลางพายุ ณ ตำแหน่งต่าง ๆ ที่พายุเคลื่อนที่ไป แต่ถ้าเป็นฐานข้อมูลรุ่นเก่าเขาจะไม่มีข้อมูลการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ จะมีแต่เฉพาะข้อมูลความกดอากาศต่ำสุด ดังนั้นพอมันเริ่มเป็นพายุเขาก็จะแทนที่ด้วยจุดสีฟ้า

ปีพ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นอีกปีหนึ่งที่มีน้ำท่วมหนัก ว่ากันว่าปริมาณน้ำมากเหมือนปีพ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ระดับน้ำที่ท่วมนั้นต่ำกว่ากันเยอะมาก พื้นที่ที่โดนน้ำท่วมในกรุงเทพนั้นกินบริเวณกว้าง แต่รถเก๋งก็ยังวิ่งได้ ในปีนั้นมีพายุเกิดขึ้นทั้งหมดในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ๒๓ ลูก แต่มีเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้นที่เคลื่อนที่มาถึงตอนใต้ของจีนหรือตอนเหนืองของเวียดนาม

รูปที่ ๓ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ (๒๓ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org พายุจะเกิดทางด้านตะวันออก และเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกพร้อมกับค่อย ๆ เบนขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ (ทิศตามเข็มนาฬิกา)

พายุที่ก่อตัวทางด้านตะวันออกของเส้นแวงที่ 135 องศาตะวันออกมักจะมีความรุนแรงในระดับไต้ฝุ่น เนื่องจากมีเวลาอยู่ในทะเลนาน แต่พายุเหล่านี้มักจะไปขึ้นฝั่งทางประเทศจีนหรือประเทศญี่ปุ่น น้อยรายที่จะมาถึงเวียดนาม

ช่วงเดือนที่แล้วได้ยินข่าวคนพูดกันว่าปีนี้จะมีพายุเข้าประเทศไทยไทย ๒๐ ลูก ผมได้ยินแล้วก็งง เพราะสถิติที่ผ่านมานั้นบริเวณบ้านเรานั้นมีพายุเกิดขึ้นเฉลี่ยเพียง ๒๐ กว่าลูกต่อปีเท่านั้นเอง และบางปีก็เกิดน้อยมาก เช่นปีพ.ศ. ๒๕๕๓ ที่มีการเกิดพายุเพียง ๑๔ ลูกเท่านั้นเอง เรียกว่าน้อยเป็นประวัติการณ์เลย ในที่นี้ก็เลยถือโอกาสค้นข้อมูลย้อนหลังจากเว็บ www.digital-typhoon.org เอามาให้ดูว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (ที่มีน้ำท่วมเหมือนกัน) จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๕๔ นั้น บริเวณแถวบ้านเรามีพายุเกิดขึ้นกี่ลูก (รูปที่ ๔ ถึง ๙)

รูปที่ ๔ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (๒๓ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๕ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ (๒๔ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๖ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๑ (๒๒ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๗ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ (๒๒ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๘ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๓ (๑๔ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org

รูปที่ ๙ เส้นทางพายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๑ ลูก) ภาพจาก www.digital-typhoon.org


ถ้าดูรูปที่ ๗ เทียบกับรูปที่ ๙ จะเห็นว่าในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ มีพายุที่เข้ามาถึงฝั่งประเทศเวียดนามมากกว่าปีพ.ศ. ๒๕๕๔ เสียอีก ซึ่งพายุเหล่านี้จะส่งผลต่อฝนตกในภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน แต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๒ เราไม่มีปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าปัญหาเรื่องน้ำท่วมหนักในปีพ.ศ. ๒๕๕๔ ไม่ได้เกิดจากการที่มีฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว (เพราะที่ผ่านมามันเคยมีตกหนักมากกว่านั้น แต่มันก็ไม่ท่วมมากเหมือนปีพ.ศ. ๒๕๕๔) สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในปีที่แล้วน่าจะเกิดจากการจัดการน้ำที่ไม่เหมาะสมมากกว่า

ผมรู้สึกว่าบ้านเราผู้สื่อข่าวทำข่าวโดยใช้การ "ถาม" เพียงอย่างเดียว คือทำหน้าที่ไป "ถาม" คนอื่นแล้วก็เอามารายงานต่อว่าคนอื่นเขาพูดว่าอย่างไร ไม่มีการทำการบ้านก่อนด้วยการ "สืบค้นข้อมูล" เรื่องที่จะไปถาม ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันสามารถสืบค้นข้อมูลหลาย ๆ เรื่องได้ทางอินเทอร์เน็ต ถ้ามีการสืบค้นข้อมูลก่อนก็จะรู้ได้ว่าคนที่เขาไปถามนั้น "รู้เรื่อง" นั้นดีแค่ไหน ผลที่ตามมาก็คือปล่อยให้มีการเข้าใจกันแบบผิด ๆ ไปกันก่อน จากนั้นจึงค่อยมีคนมาชี้แจงแก้ไขความเข้าใจที่ผิดนั้น ซึ่งก็ทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้นเอง