เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
(จากมุมมองโลกในแง่ร้าย)
ถือว่าอ่านเล่น
ๆ สนุก ๆ ก็แล้วกัน
เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงที่หลายคนกำลังจะสำเร็จการศึกษา
และต้องออกไปหางานทำเลี้ยงตัวเอง
(คนที่จะเรียนต่อไม่เกี่ยวนะ)
และคงมีหลายคนต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่จังหวัดที่ไม่ใช่บ้านตนเอง
ทำให้ต้องไปเช่าบ้านอยู่
Memoir
ฉบับนี้จึงใคร่ขอแนะนำการเตรียมตัวก่อนที่จะหางาน/เริ่มทำงาน
ซึ่งคำแนะนำต่อไปนี้จะเป็นคำแนะนำเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานหรือเพื่อความสุขในการดำรงชีวิตผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เนื้อหาได้มาจากประสบการณ์ของตัวเอง
ฟังผู้อื่นเขาเล่ามา
จากการสังเกต และการต่อเติมเสริมแต่ง
จริงเท็จอย่างไรก็ขอให้ใช้วิจารณญานของแต่ละคนดูเอาเอง
หัวข้อที่เขียนนั้นไม่ได้เรียงตามลำดับ
นึกอะไรได้ก็เขียนลงไปแค่นั้นเอง
๑.
บ๊าย
บาย ดวงตะวัน
หลายบริษัทเข้างานแต่เช้า
แต่เลิกงานหลังดวงอาทิตย์ตกดิน
บางบริษัทเข้างานก่อน ๘
โมงเช้า เลิกงานหลังสองทุ่ม
ในขณะที่บางบริษัทเข้างานก่อน
๙ โมงเช้า แต่ก็เลิกงานหลังสองทุ่มเช่นเดียวกัน
ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าได้งานทำที่บริษัทที่เริ่มงานเช้า
ๆ อย่าคาดหวังว่าจะได้เลิกงานเร็ว
สุดท้ายก็เลิกงานพร้อมกับคนที่ทำงานที่บริษัทอื่นที่เข้างานสายกว่า
ถ้าได้งานทำงานบริษัทที่ทำงานเช้า
ๆ ก็ขอให้ "บ๊าย
บาย ดวงตะวัน"
ได้เลย
เพราะจากสภาพการจราจรในกรุงเทพ
ถ้าบ้านไม่ได้อยู่ใกล้ที่ทำงาน
ก็คงต้องตื่นแต่เช้ามืด
ออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
มานอนหลับในรถ (ถ้าขับรถมา)
หรือที่โต๊ะทำงาน
(ถ้ามารถเมล์)
เมื่อถึงที่ทำงาน
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าโอกาสที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกนั้นแทบเป็น
"ศูนย์"
แต่ถ้าคิดถึงดวงตะวันมาก
ๆ กลัวจะจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
ก็คงต้องขอให้เพื่อนฝูงหรือญาติมิตรที่มีโอกาสได้เห็น
ช่วยถ่ายรูปและโฟสลง facebook
วันละสองครั้ง
เช้ากับเย็น
ดังนั้นถ้ามีโอกาสเที่ยวก่อนเข้าทำงาน
ก็ขอแนะนำให้ไปเที่ยวตามจุดชมดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก
๒.
ฝึกดำรงชีวิตด้วย
7-11
อันนี้เป็นตอนต่อจากข้อ
๑.
ถ้าคุณได้มีโอกาสได้งานทำชนิดที่ทำให้คุณต้อง
บ๊าย บาย ดวงตะวัน แล้ว
คุณมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าทำงานก่อนเวลาที่ห้างโลตัสเปิด
และเลิกงานหลังห้างโลตัสปิด
(ขอยกเอาห้างนี้มาเป็นตัวอย่างเพราะเห็นแพร่หลายที่สุดและเปิดเช้าสุดปิดช้าสุด)
ดังนั้นร้านสะดวกซื้อชนิดเดียวที่คุณจะสามารถหาสิ่งของเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้คงมีแต่ร้าน
7-11
ถ้าอยู่ในสภาพนี้อาจต้องฝึกปรับตัวด้วยการซื้ออาหารจาก
7-11
มากินเป็นมื้อเช้าและมื้อดึกให้ชินซะ
แต่ถ้าพื้นที่ที่ไปทำงานไม่มี
7-11
ก็แนะนำให้ปลูกผักสวนครัวใส่กระถางเอาไว้ในห้องพัก
การดำรงชีวิตด้วย
7-11
นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องอาหาร
แต่รวมทั้งยารักษาโรคด้วย
เพราะอาจเป็นสถานที่เดียวที่คุณสามารถหายามารับประทานได้
(เว้นแต่จะเข้าโรงพยาบาล)
เวลาที่คุณเจ็บป่วยเล็ก
ๆ น้อย ๆ และต้องการยา
๓.
อาหาร
๓ มื้อที่โรงอาหารบริษัท
ถ้าหากไม่ประสงค์จะกินอาหารแช่เย็นจาก
7-11
ก็ต้องฝึกความเคยชินด้วยการกินอาหารที่โรงอาหารใดอาหารหนึ่งเป็นประจำ
เพราะถ้าคุณโชคดี
บริษัท/โรงงานในที่ทำงานของคุณนั้นอาจจะมีอาหารให้คุณกินทั้งเช้า
เที่ยง และเย็น
และนั่นอาจเป็นสถานที่ที่คุณต้องไปกินอาหารเป็นจำนวน
๑๕ มื้อต่อสัปดาห์ (วันละ
๓ มื้อ ๕ วันทำงาน)
ดังนั้นก่อนจบการศึกษาก็อาจทดลองฝึกหัดด้วยการมากินอาหารทั้งเช้า
เที่ยง เย็น
ที่โรงอาหารใดโรงอาหารหนึ่งในมหาวิทยาลัย
เป็นเวลา ๕ วันต่อสัปดาห์
ติดต่อกันหลายเดือนดู
ถ้าสามารถทำได้ก็แสดงว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานของบริษัทที่รับคุณเข้าทำงานแล้ว
นอกจากนี้อาจทำการฝึกเพิ่มเติมพิเศษด้วยการกินอาหารตามสั่งจำพวกเมนูสิ้นคิด
(ข้าวผัดไข่ดาว
ผัดกระเพราไข่ดาว ผัดซีอิ้ว
ลาดหน้า หรืออะไรทำนองนี้)
ทุก
ๆ มื้อด้วยก็ได้
ถ้างานเร่งรีบมากก็แนะนำให้ถือศีล
๘ ประเภทกินอาหารมื้อเดียวต่อวัน
ส่วนจะกินเวลาไหนก็เลือกเอาเอง
๔.
ชีวิตต้องอุทิศเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
ถ้าประสงค์ที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
คุณต้องปฏิบัติตามนโยบายที่ทุกบริษัทตั้งเอาไว้
"ในใจ"
(เขาไม่บอกออกมาเป็นตัวอักษรหรอก
แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไป)
นโยบายดังกล่าวคือ
"ชีวิตต้องอุทิศเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น"
ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีความรู้ในงานที่เขาต้องการ
โดยที่คุณไม่มีเพื่อนฝูง
ไม่คิดจะมีครอบครัว
ไม่รู้จักการสันทนาการ
ไม่เล่นกีฬา ไม่รู้จักไปเที่ยว
ไม่สนใจญาติพี่น้องหรือแม้แต่พ่อแม่ตัวเอง
ไม่สนใจในความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา
ไม่ออกงานสังคม ไม่ดูทีวี
ไม่ฟังวิทยุ สิ่งที่ชอบอ่านคือเอกสารการประชุม
สิ่งที่ชอบฟังคือการพูดคุยเรื่องงาน
สวรรค์คือโต๊ะทำงาน
นั่นแสดงว่าคุณพร้อมแล้วที่จะอุทิศชีวิตของคุณเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
(ซึ่งคุณก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
รู้แต่ว่าเขาได้ผลตอบแทนจากรายได้ของบริษัทมากกว่าคุณ
โดยที่เขาอาจนั่งเฉย ๆ
รอเงินปันผลโดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้)
ถ้าคุณทำปฏิบัติตัวตามย่อหน้าข้างบนได้
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของคุณคงไปได้สวย
(หวังว่านะ
ถ้าไม่ป่วยตายหรือเป็นบ้าไปซะก่อน)
คนประเภททำแต่งานจนได้ยศถาบรรดาศักดิ์
แต่สุดท้ายต้องมาเที่ยวเดินบอกใครต่อใครว่าถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ให้รีบ
ๆ ดูแลท่านนะ
เพราะตัวเขาเองทำแต่งานจนมีโอกาสมาดูแลพ่อตัวเองเพียงแค่
๗ วันก่อนพ่อจะเสียชีวิต
คนอย่างนี้ผมก็เคยเจอมาแล้ว
อีกอย่างที่ขอเตือนก็คือ
โรคที่เป็นตอนอายุมาก (ราว
ๆ ๔๐ ขึ้นไป)
ที่เกิดจากการที่ทำแต่งานโดยไม่ได้ดูแลสุขภาพของตนเองมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาต่อเนื่อง
และค่ารักษาโรคเหล่านี้ก็ไม่ถูกซะด้วย
บางครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นอะไร
แต่ลูกกลายเป็น "เด็กพิเศษ"
(หมายถึงเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ไม่ใช่เด็กที่มีความสามารถพิเศษนะ)
เดี๋ยวนี้ก็มีให้เห็นอยู่เยอะ
สูตรสำเร็จของเด็กพวกนี้คือมักจะมีพ่อแม่ที่
"ประสบความสำเร็จในการทำงานตั้งแต่อายุยังไม่มาก"
ความต้องการของผู้หญิงที่มีต่อสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมที่ตนอยู่อาศัย
แต่ความต้องการของลูกที่มีต่อแม่นั้นเป็นสัญชาติญาณที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นในสังคมไหน
๔
ข้อแรกที่กล่าวมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่คาดหวังความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ต่อไปนี้จะเป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการดำรงชีวิตบ้าง
๕.
เปิดอีเมล์ใหม่
เดี๋ยวนี้เวลาสมัครงานเขาจะให้กรอกอีเมล์ลงไปด้วย
ถ้าจะให้ดีคุณควรที่จะเปิดอีเมล์ใหม่ที่มันดูเป็นทางการหน่อย
เช่นใช้ ชื่อ.นามสกุล@anymail.com
เพื่อที่ทางเจ้าหน้าที่บริษัทจะจำได้ง่ายเวลาที่เขาอยากเรียกตัวคุณไปคุยด้วย
เพราะบ่อยครั้งที่พอเห็นอีเมล์แล้วพอจะเดาได้ว่าเจ้าของอีเมล์เป็นคนชอบอ่านการ์ตูนอะไร
เชียร์ฟุตบอลทีมไหน
คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เสน่ห์แค่ไหน
ฯลฯ แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าของอีเมล์เป็นใคร
อีกอย่างก็คือเดี๋ยวนี้สามารถใช้อีเมล์ค้นหาได้ว่าคุณเป็นใคร
ไปทำอะไรไว้ที่ไหนบ้าง
ดังนั้นกิจกรรมอะไรที่ใช้อีเมล์สมัครเพื่อเข้าร่วมแต่ไม่อยากให้คนที่ทำงานรู้
ก็ไม่ควรให้เขารู้อีเมล์อันนั้น
๖.
เปิด
facebook
ใหม่
เดี๋ยวนี้มีการใช้
facebook
เป็นที่ระบายอารมณ์จากการทำงานกันอย่างแพร่หลาย
(เช่นนินทาเพื่อนร่วมงาน
นินทานายจ้าง นินทาเจ้านาย)
ซึ่งเรื่องเหล่านี้มักต้องการระบายกับเพื่อนฝูงที่เรียนมาด้วยกัน
แต่ไม่ใช่กับคนในที่ทำงานเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อได้ทำการเปิดอีเมล์ใหม่ตามข้อ
๕.
แล้ว
ก็ขอแนะนำให้เปิด facebook
ใหม่ด้วยโดยใช้อีเมล์ใหม่ที่ให้กับทางบริษัท
ใส่รูปไว้นิดหน่อยพอเป็นพิธี
หรือเอาไว้โพสรูปกิจกรรมที่ทำกับบริษัทหรือคนที่บริษัทเดียวกัน
ส่วนรูปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณไปพักผ่อนที่ไหนกับใคร
ไปสังสรรที่ไหนกับเพื่อนฝูงที่ไม่ใช่คนในบริษัท
คบหาดูใจอยู่กับใคร
ไม่ต้องเอามาลง facebook
อันใหม่นี้
แต่ที่เห็นมานั้น
พอเริ่มเข้าทำงานแล้วแม้แต่
facebook
เดิมก็ยังหาโอกาสเข้าเล่นยาก
เห็นมาไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว
ก่อนเรียบจบก็โพสลง facebook
ได้เกือบทุกวัน
ครั้งละหลาย ๆ เรื่อง
สารพัดเกมส์ที่จะมีเวลาเล่น
แต่พอเรียนจบแล้วก็เห็นหายไปเป็นเดือนเลย
กว่าจะมีอะไรมาโพสสักที
และก็มักเป็นการโพสผ่านโทรศัพท์มือถือ
(คงหาเวลาต่อเน็ตเล่นคอมกันไม่ค่อยได้)
จะโผล่มาโพสเป็นชิ้นเป็นอันอีกทีก็โน่น
ตอนประกาศว่าจะแต่งงานนั่นแหละ
ผมเคยบอกบางคนว่า
ถ้ามีคู่บ่าว-สาวส่งคำเชิญไปงานแต่งงานทาง
facebook
ดังนั้นเงินช่วยงานก็ให้ด้วยการสแกนเป็นภาพส่งให้คู่บ่าว-สาวทาง
facebook
ก็แล้วกัน
๗.
เปิดเบอร์โทรมือถือเบอร์ใหม่
ตอนที่สมัครงานกับบริษัทคุณอาจให้เบอร์มือถือเบอร์ปัจจุบันที่ใช้อยู่
แต่เมื่อได้งานทำแล้วแนะนำให้เปิดเบอร์มือถือใหม่ด้วย
และแจ้งเบอร์มือถือเบอร์ใหม่ให้กับบริษัททราบว่าเป็นเบอร์ติดต่อคุณ
ส่วนเบอร์เดิมก็บอกเขาไปเลยว่าไม่ใช้แล้ว
เหตุผลที่แนะนำให้ทำดังกล่าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจิกหัวใช้งานตลอด
๒๔ ชั่วโมงเป็นเวลา ๗
วันต่อสัปดาห์
ถ้าคุณมีเบอร์โทรเบอร์เดียวที่ใช้ติดต่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง
และยังให้เบอร์ดังกล่าวกับบริษัทด้วย
ก็เตรียมทำใจไว้เลยว่าแม้แต่ในวันหยุดหรือเวลาที่คุณต้องการเป็นส่วนตัว
(โดยที่ไม่ต้องการขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง)
คุณโดนตามจิกเรื่องงานแน่
แต่ถ้าคุณปิดเบอร์มือถือดังกล่าว
คุณก็จะขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง
ดังนั้นคุณจึงควรเปิดเบอร์มือถือเบอร์ใหม่เพื่อให้บริษัทติดต่อคุณ
หลังเลิกงานหรืออยู่ในช่วงพักผ่อน
คุณก็สามารถปิดโทรศัพท์ที่ใช้เบอร์มือถือเบอร์ใหม่นั้นเพื่อตัดการติดต่อเรื่องงาน
โดยที่ยังคงการติดต่อเรื่องอื่นกับเพื่อนฝูงและญาติมิตรด้วยเบอร์เดิมที่มีอยู่ได้
ส่วนจะมีโทรศัพท์สองเครื่องหรือมีเครื่องสองซิมนั้นก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน
๘.
ใช้โทรศัพท์ที่
low
tech ที่สุด
ยิ่งคุณทำตัวให้
high
tech มากเท่าใด
คุณก็เปิดโอกาสให้ทางบริษัทเรียกใช้งานคุณตลอดเวลาเท่านั้น
บางบริษัทเขาใช้วิธีแสดงว่าฉันทำงานด้วยการขยันส่งอีเมล์ให้กับคนอื่น
และใช้อีเมล์นั้นเป็นบันทึกการสั่งงาน
(โดยเฉพาะหัวหน้างาน)
พวกนี้จะชอบส่งอีเมล์หลังเลิกงานหรือในช่วงวันหยุด
เพื่อที่จะแสดงว่าเขาได้ทุ่มเทการทำงานให้กับบริษัทแม้ว่าจะเลยเวลาเลิกงานหรือเป็นวันหยุดของเขา
(แต่เชื่อเถอะว่าคนที่ได้รับอีเมล์นั้นไม่สุขด้วยหรอก)
และเมื่อส่งไปแล้วก็มักจะมีการส่ง
message
หรือโทรแจ้งให้เปิดอ่านด้วย
ถ้าเจอหัวหน้างานแบบนี้ก็เตรียมรีบมืออีเมล์ประเภทส่งให้ตอนกลางคืน
(พอเห็นเราทำท่าจะกลับบ้านหรือไม่เขาก็กลับไปถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว)
และขอผลในตอนเช้า
หรือไม่ก็ส่งให้ในคืนวันศุกร์และขอทราบผลเช้าวันจันทร์
ยิ่งเป็นรุ่นที่มี
GPS
ด้วยก็ต้องยิ่งระวัง
เพราะถ้าเราไม่ปิดระบบดังกล่าวเขาก็จะตรวจได้ว่าเราอยู่ที่ไหน
งานนี้เคยมีคนโดนมาแล้ว
จะมาอ้างว่ากลับบ้านไปแล้วหรือมาไม่ทันก็ไม่ได้ซะด้วย
เพราะอีกฝ่ายใช้ระบบ GPS
ตรวจสอบก่อนว่าขณะนั้นอยู่ที่ไหน
ดังนั้นอย่าหลงดีใจถ้าพบว่าเมื่อเข้าทำงานแล้วทางบริษัทให้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่
high
tech มาให้ใช้
และก็อย่าพยามยามแสดงให้คนในบริษัทรู้ว่าโทรศัพท์ที่ใช้กับเบอร์ส่วนตัวนั้น
(ดูข้อ
๗.)
เป็นเครื่องที่
high
tech
๙.
เลือกที่พักที่ไม่อยู่ร่วมกับคนในบริษัท
(วันนี้ไม่สบาย)
โดยทั่วไปนั้นถ้าป่วยติดต่อกันไม่เกิน
๓ วันมักจะลาป่วยได้โดยไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ไม่อยากไปทำงาน
และเหตุผลที่มักใช้กันเป็นประจำก็คือ
"ป่วย"
แต่วิธีการดังกล่าวจะใช้ได้ผลดีก็ต่อเมื่อที่พักของเรานั้นไม่ได้อยู่ร่วมกับคนอื่นในบริษัทเดียวกัน
(ในกรุงเทพมักไม่มีปัญหานี้
แต่พวกอยู่ต่างจังหวัดที่ต้องไปเช่าหออยู่หรืออยู่หอพักของบริษัทนั้นจะเจอปัญหานี้)
และอยู่ในเส้นทางที่ไม่มีคนที่ทำงานบริษัทเดียวกันต้องเดินทางผ่าน
ดังนั้นถ้าต้องไปทำงานต่างถิ่นและต้องเช่าหอพักอยู่
แม้ว่าการอยู่ร่วมกันจะช่วยให้หายเหงาได้และอาจสะดวกในการเดินทางไปทำงาน-กลับจากที่ทำงาน
(พวกประเภทต้องใช้รถรับ-ส่งของบริษัทหรือติดรถเพื่อนร่วมงาน)
แต่เวลาที่เราอยากอู้งานโดยการโทรไปบอกว่าวันนี้ปวดหัว
ท้องเสีย ตัวร้อน ฯลฯ นั้นจะทำยาก
เพราะเพื่อนร่วมงานที่ทำงานที่เดียวกันอยู่จะจับผิดได้
(ประเภทโทรไปบอกว่าไม่สบายแต่ไม่เห็นนอนอยู่บ้าน)
มีอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าพอเลิกงานก็กลับบ้านพัก
(เช่าอยู่ต่างจังหวัด)
พอหัวหน้าถามว่ากลับบ้านไปทำอะไร
เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรทำ
หัวหน้างานก็เลยตอบกลับมาว่างั้นรีบกลับไปทำไม
ไม่อยู่ทำงานที่บริษัทต่อล่ะ
ดังนั้นถ้าใครถามว่าต้องรีบกลับไปทำอะไรที่บ้าน
ก็ควรตอบไปว่าต้องไปทำโน่นทำนี่และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด
ส่วนจะทำจริงหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
๑๐.
ถ่ายรูปที่พักทุกซอกทุกมุม
เป็นเรื่องแปลกที่ภาพที่บันทึกด้วยกล้องถ่ายรูปมักจะมีอะไรมากเกินกว่าที่ตามองเห็นตอนถ่ายรูป
ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในที่พักใหม่
(ถ้าจำเป็นต้องไปเช่าอยู่)
ก่อนนำสิ่งของเข้าไปก็ควรถ่ายรูปห้องพักทุกซอกทุกมุมก่อน
และตรวจสอบภาพที่ได้ว่าเหมือนกับที่ตามองเห็น
ไม่มีอะไรปรากฏเป็นส่วนเกิน
(โดยเฉพาะบริเวณใต้เตียง
ฝ้าเพดาน ระเบียง หรือตู้เสื้อผ้า
หรือมีเงาอะไรก็ไม่รู้มาปรากฏหลังผ้าม่านไหม)
ยิ่งไปเจอห้องพักที่พบว่าเจ้าของเก่าทิ้งธูปเทียนหรือพวงมาลัยดอกไม้เอาไว้
ก็ยิ่งต้องน่าตรวจสอบ
บ่อยครั้งที่ข่าวฆาตกรรมที่เกิดในต่างจังหวัดเป็นเพียงแค่ข่าวท้องถิ่น
ไม่ได้ออกสื่อกระจายไปทั่วประเทศ
เพราะถ้าไปถามเจ้าของห้องเช่า
เขาก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรอยู่แล้ว
ถ้าเจอคำถามประเภท
"ห้องที่พักอยู่นั้นนอนหลับสบายไหม"
จากเพื่อนร่วมหอก็ต้องพิจารณาคำถามของเขาให้ดี
เพราะเขาอาจหมายถึง
(ก)
ห้องแอร์เย็น
เงียบเชียบ ไม่มีแสงสว่างภายนอกเข้ามากวน
ที่นอนนุ่ม ฯลฯ ไหม หรือ
(ข)
กลางคืนมีอะไรมารบกวนการนอนไหม
แต่ถ้ามั่นใจในจิตใจของตนเองหรือเครื่องรางของขลังที่มีอยู่
การถ่ายรูปนี้ก็ไม่จำเป็น
๑๑.
จ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อห้องเดี่ยว
บางหน่วยงานนั้นมีการรับพนักงานใหม่เข้ามาเรื่อย
ๆ และเมื่อได้จำนวนมากพอก็มักจะจัดสัมมนาพนักงานใหม่นอกสถานที่กัน
โดยมักต้องไปค้างคืนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม
แน่นอนว่าเขามักจะจัดห้องพักที่เป็นห้องคู่ให้
ถ้าได้ห้องพักคู่กับพนักงานใหม่ด้วยกันก็คงไม่เท่าไร
แต่ถ้าได้ห้องพักร่วมกับคนที่เป็นหัวหน้างานนี่ซิ
อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้
แน่นอนว่าห้องพักที่เป็นห้องคู่ที่เขาจัดให้นั้นเขาให้พนักงานเพศเดียวกันค้างห้องเดียวกัน
เรื่องที่เกิดกับพนักงานหญิงที่พักห้องเดียวกันนั้นผมยังไม่เคยได้ยิน
เคยได้ยินแต่เรื่องที่เกิดที่ห้องที่หัวหน้างาน
(ผู้ชาย)
และลูกน้องใหม่
(ผู้ชาย)
พักด้วยกัน
ประเภทที่เรียกว่าถ้ายอมให้หัวหน้า
"หนุนหลัง"
โอกาสก้าวหน้าก็จะมี
แต่ถ้าไม่ยอมให้หัวหน้า
"หนุนหลัง"
โอกาสร่วงก็จะสูง
ดังนั้นถ้ามีโอกาสล่ะก็
และเพื่อความปลอดภัยจากการถูก
"แทง"
ข้างหลัง
พักห้องเดี่ยวแยกจากคนอื่นได้ก็ดี
แต่ถ้าชอบรสนิยมดังกล่าวหรืออยากลองด้วยแล้ว
ก็ไม่ต้องทำตามข้อนี้
๑๒.
เตรียมใจรับมือกับตัวเลือกใหม่
(น้องฝึกงาน
หัวหน้างาน)
สำหรับฝ่ายหญิง
การเข้าสู่ที่ทำงานใหม่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ได้พบคนใหม่
ๆ ทั้งหัวหน้างานและผู้บริหาร
(ที่ยังเป็นโสด)
กล่าวคือมีความพร้อมทั้งวัยวุฒิ
คุณวุฒิ ฐานะ และตำแหน่งหน้าที่การงาน
ถ้าฝ่ายหญิงยังไม่มีแฟนก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้ามีแฟนอยู่แล้วและจากหน้าที่การงานทำให้พบเจอกันลำบาก
ฝ่ายชายที่เป็นแฟนก็คงต้องเผื่อใจเอาไว้บ้าง
แต่ถ้าฝ่ายหญิงมีแฟนเป็นคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว
งานนี้ไม่แนะนำให้หาตัวเลือกใหม่
เว้นแต่ว่าตัวเลือกใหม่จะดีกว่า
สำหรับฝ่ายชาย
การเข้าสู่ที่ทำงานใหม่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ได้พบคนใหม่
ๆ ทั้งเพื่อนร่วมงานใหม่
และเผลอ ๆ ยังอาจต้องได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลน้อง
ๆ ที่มาฝึกงานด้วย
งานนี้แม้ว่าจะมาพบกันน้องเขาทีหลัง
แต่ก็มีสิทธิที่จะใช้วัยวุฒิ
คุณวุฒิ ฐานะ และตำแหน่งหน้าที่การงาน
ที่สูงกว่า ในการปาดหน้าคู่แข่ง
ด้วยเหตุนี้ผมถึงบอกว่าผู้หญิงน่ะ
ถ้าอายุ ๓๐
แล้วยังไม่แต่งสักทีก็เตรียมเข้าวัดได้แล้ว
ส่วนผู้ชายนั้นยังรอได้ถึงอายุ
๔๐ ตอนนี้พร้อมทั้งฐานะและหน้าที่การงาน
จะจีบน้องใหม่ในที่ทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
อันนี้เห็นมาจากเพื่อนของผมเอง
ฉบับนี้เขียนให้อ่านเล่น
ๆ นะ อย่าจริงจังมากเกิน