วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำแนะนำก่อนเริ่มทำงาน (สำหรับผู้พึ่งจะสำเร็จการศึกษา) MO Memoir : Wednesday 28 March 2555


เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว (จากมุมมองโลกในแง่ร้าย) ถือว่าอ่านเล่น ๆ สนุก ๆ ก็แล้วกัน

เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงที่หลายคนกำลังจะสำเร็จการศึกษา และต้องออกไปหางานทำเลี้ยงตัวเอง (คนที่จะเรียนต่อไม่เกี่ยวนะ) และคงมีหลายคนต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่จังหวัดที่ไม่ใช่บ้านตนเอง ทำให้ต้องไปเช่าบ้านอยู่ Memoir ฉบับนี้จึงใคร่ขอแนะนำการเตรียมตัวก่อนที่จะหางาน/เริ่มทำงาน ซึ่งคำแนะนำต่อไปนี้จะเป็นคำแนะนำเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานหรือเพื่อความสุขในการดำรงชีวิตผมก็ไม่รู้เหมือนกัน 
 
เนื้อหาได้มาจากประสบการณ์ของตัวเอง ฟังผู้อื่นเขาเล่ามา จากการสังเกต และการต่อเติมเสริมแต่ง จริงเท็จอย่างไรก็ขอให้ใช้วิจารณญานของแต่ละคนดูเอาเอง

หัวข้อที่เขียนนั้นไม่ได้เรียงตามลำดับ นึกอะไรได้ก็เขียนลงไปแค่นั้นเอง


. บ๊าย บาย ดวงตะวัน

หลายบริษัทเข้างานแต่เช้า แต่เลิกงานหลังดวงอาทิตย์ตกดิน บางบริษัทเข้างานก่อน ๘ โมงเช้า เลิกงานหลังสองทุ่ม ในขณะที่บางบริษัทเข้างานก่อน ๙ โมงเช้า แต่ก็เลิกงานหลังสองทุ่มเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าได้งานทำที่บริษัทที่เริ่มงานเช้า ๆ อย่าคาดหวังว่าจะได้เลิกงานเร็ว สุดท้ายก็เลิกงานพร้อมกับคนที่ทำงานที่บริษัทอื่นที่เข้างานสายกว่า

ถ้าได้งานทำงานบริษัทที่ทำงานเช้า ๆ ก็ขอให้ "บ๊าย บาย ดวงตะวัน" ได้เลย เพราะจากสภาพการจราจรในกรุงเทพ ถ้าบ้านไม่ได้อยู่ใกล้ที่ทำงาน ก็คงต้องตื่นแต่เช้ามืด ออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มานอนหลับในรถ (ถ้าขับรถมา) หรือที่โต๊ะทำงาน (ถ้ามารถเมล์) เมื่อถึงที่ทำงาน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าโอกาสที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกนั้นแทบเป็น "ศูนย์"

แต่ถ้าคิดถึงดวงตะวันมาก ๆ กลัวจะจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็คงต้องขอให้เพื่อนฝูงหรือญาติมิตรที่มีโอกาสได้เห็น ช่วยถ่ายรูปและโฟสลง facebook วันละสองครั้ง เช้ากับเย็น
ดังนั้นถ้ามีโอกาสเที่ยวก่อนเข้าทำงาน ก็ขอแนะนำให้ไปเที่ยวตามจุดชมดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก


. ฝึกดำรงชีวิตด้วย 7-11

อันนี้เป็นตอนต่อจากข้อ ๑. ถ้าคุณได้มีโอกาสได้งานทำชนิดที่ทำให้คุณต้อง บ๊าย บาย ดวงตะวัน แล้ว คุณมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าทำงานก่อนเวลาที่ห้างโลตัสเปิด และเลิกงานหลังห้างโลตัสปิด (ขอยกเอาห้างนี้มาเป็นตัวอย่างเพราะเห็นแพร่หลายที่สุดและเปิดเช้าสุดปิดช้าสุด) ดังนั้นร้านสะดวกซื้อชนิดเดียวที่คุณจะสามารถหาสิ่งของเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้คงมีแต่ร้าน 7-11

ถ้าอยู่ในสภาพนี้อาจต้องฝึกปรับตัวด้วยการซื้ออาหารจาก 7-11 มากินเป็นมื้อเช้าและมื้อดึกให้ชินซะ
แต่ถ้าพื้นที่ที่ไปทำงานไม่มี 7-11 ก็แนะนำให้ปลูกผักสวนครัวใส่กระถางเอาไว้ในห้องพัก

การดำรงชีวิตด้วย 7-11 นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องอาหาร แต่รวมทั้งยารักษาโรคด้วย เพราะอาจเป็นสถานที่เดียวที่คุณสามารถหายามารับประทานได้ (เว้นแต่จะเข้าโรงพยาบาล) เวลาที่คุณเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ และต้องการยา


. อาหาร ๓ มื้อที่โรงอาหารบริษัท

ถ้าหากไม่ประสงค์จะกินอาหารแช่เย็นจาก 7-11 ก็ต้องฝึกความเคยชินด้วยการกินอาหารที่โรงอาหารใดอาหารหนึ่งเป็นประจำ เพราะถ้าคุณโชคดี บริษัท/โรงงานในที่ทำงานของคุณนั้นอาจจะมีอาหารให้คุณกินทั้งเช้า เที่ยง และเย็น และนั่นอาจเป็นสถานที่ที่คุณต้องไปกินอาหารเป็นจำนวน ๑๕ มื้อต่อสัปดาห์ (วันละ ๓ มื้อ ๕ วันทำงาน)

ดังนั้นก่อนจบการศึกษาก็อาจทดลองฝึกหัดด้วยการมากินอาหารทั้งเช้า เที่ยง เย็น ที่โรงอาหารใดโรงอาหารหนึ่งในมหาวิทยาลัย เป็นเวลา ๕ วันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันหลายเดือนดู ถ้าสามารถทำได้ก็แสดงว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานของบริษัทที่รับคุณเข้าทำงานแล้ว

นอกจากนี้อาจทำการฝึกเพิ่มเติมพิเศษด้วยการกินอาหารตามสั่งจำพวกเมนูสิ้นคิด (ข้าวผัดไข่ดาว ผัดกระเพราไข่ดาว ผัดซีอิ้ว ลาดหน้า หรืออะไรทำนองนี้) ทุก ๆ มื้อด้วยก็ได้

ถ้างานเร่งรีบมากก็แนะนำให้ถือศีล ๘ ประเภทกินอาหารมื้อเดียวต่อวัน ส่วนจะกินเวลาไหนก็เลือกเอาเอง


. ชีวิตต้องอุทิศเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น

ถ้าประสงค์ที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คุณต้องปฏิบัติตามนโยบายที่ทุกบริษัทตั้งเอาไว้ "ในใจ" (เขาไม่บอกออกมาเป็นตัวอักษรหรอก แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไป) นโยบายดังกล่าวคือ "ชีวิตต้องอุทิศเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น"

ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีความรู้ในงานที่เขาต้องการ โดยที่คุณไม่มีเพื่อนฝูง ไม่คิดจะมีครอบครัว ไม่รู้จักการสันทนาการ ไม่เล่นกีฬา ไม่รู้จักไปเที่ยว ไม่สนใจญาติพี่น้องหรือแม้แต่พ่อแม่ตัวเอง ไม่สนใจในความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ออกงานสังคม ไม่ดูทีวี ไม่ฟังวิทยุ สิ่งที่ชอบอ่านคือเอกสารการประชุม สิ่งที่ชอบฟังคือการพูดคุยเรื่องงาน สวรรค์คือโต๊ะทำงาน นั่นแสดงว่าคุณพร้อมแล้วที่จะอุทิศชีวิตของคุณเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น (ซึ่งคุณก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แต่ว่าเขาได้ผลตอบแทนจากรายได้ของบริษัทมากกว่าคุณ โดยที่เขาอาจนั่งเฉย ๆ รอเงินปันผลโดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้)

ถ้าคุณทำปฏิบัติตัวตามย่อหน้าข้างบนได้ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของคุณคงไปได้สวย (หวังว่านะ ถ้าไม่ป่วยตายหรือเป็นบ้าไปซะก่อน)


คนประเภททำแต่งานจนได้ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่สุดท้ายต้องมาเที่ยวเดินบอกใครต่อใครว่าถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ให้รีบ ๆ ดูแลท่านนะ เพราะตัวเขาเองทำแต่งานจนมีโอกาสมาดูแลพ่อตัวเองเพียงแค่ ๗ วันก่อนพ่อจะเสียชีวิต คนอย่างนี้ผมก็เคยเจอมาแล้ว

อีกอย่างที่ขอเตือนก็คือ โรคที่เป็นตอนอายุมาก (ราว ๆ ๔๐ ขึ้นไป) ที่เกิดจากการที่ทำแต่งานโดยไม่ได้ดูแลสุขภาพของตนเองมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาต่อเนื่อง และค่ารักษาโรคเหล่านี้ก็ไม่ถูกซะด้วย

บางครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ลูกกลายเป็น "เด็กพิเศษ" (หมายถึงเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ใช่เด็กที่มีความสามารถพิเศษนะ) เดี๋ยวนี้ก็มีให้เห็นอยู่เยอะ สูตรสำเร็จของเด็กพวกนี้คือมักจะมีพ่อแม่ที่ "ประสบความสำเร็จในการทำงานตั้งแต่อายุยังไม่มาก"

ความต้องการของผู้หญิงที่มีต่อสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมที่ตนอยู่อาศัย แต่ความต้องการของลูกที่มีต่อแม่นั้นเป็นสัญชาติญาณที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นในสังคมไหน


๔ ข้อแรกที่กล่าวมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่คาดหวังความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต่อไปนี้จะเป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการดำรงชีวิตบ้าง


. เปิดอีเมล์ใหม่

เดี๋ยวนี้เวลาสมัครงานเขาจะให้กรอกอีเมล์ลงไปด้วย ถ้าจะให้ดีคุณควรที่จะเปิดอีเมล์ใหม่ที่มันดูเป็นทางการหน่อย เช่นใช้ ชื่อ.นามสกุล@anymail.com เพื่อที่ทางเจ้าหน้าที่บริษัทจะจำได้ง่ายเวลาที่เขาอยากเรียกตัวคุณไปคุยด้วย เพราะบ่อยครั้งที่พอเห็นอีเมล์แล้วพอจะเดาได้ว่าเจ้าของอีเมล์เป็นคนชอบอ่านการ์ตูนอะไร เชียร์ฟุตบอลทีมไหน คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เสน่ห์แค่ไหน ฯลฯ แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าของอีเมล์เป็นใคร

อีกอย่างก็คือเดี๋ยวนี้สามารถใช้อีเมล์ค้นหาได้ว่าคุณเป็นใคร ไปทำอะไรไว้ที่ไหนบ้าง ดังนั้นกิจกรรมอะไรที่ใช้อีเมล์สมัครเพื่อเข้าร่วมแต่ไม่อยากให้คนที่ทำงานรู้ ก็ไม่ควรให้เขารู้อีเมล์อันนั้น


. เปิด facebook ใหม่

เดี๋ยวนี้มีการใช้ facebook เป็นที่ระบายอารมณ์จากการทำงานกันอย่างแพร่หลาย (เช่นนินทาเพื่อนร่วมงาน นินทานายจ้าง นินทาเจ้านาย) ซึ่งเรื่องเหล่านี้มักต้องการระบายกับเพื่อนฝูงที่เรียนมาด้วยกัน แต่ไม่ใช่กับคนในที่ทำงานเดียวกัน ดังนั้นเมื่อได้ทำการเปิดอีเมล์ใหม่ตามข้อ ๕. แล้ว ก็ขอแนะนำให้เปิด facebook ใหม่ด้วยโดยใช้อีเมล์ใหม่ที่ให้กับทางบริษัท ใส่รูปไว้นิดหน่อยพอเป็นพิธี หรือเอาไว้โพสรูปกิจกรรมที่ทำกับบริษัทหรือคนที่บริษัทเดียวกัน

ส่วนรูปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณไปพักผ่อนที่ไหนกับใคร ไปสังสรรที่ไหนกับเพื่อนฝูงที่ไม่ใช่คนในบริษัท คบหาดูใจอยู่กับใคร ไม่ต้องเอามาลง facebook อันใหม่นี้ 
 
แต่ที่เห็นมานั้น พอเริ่มเข้าทำงานแล้วแม้แต่ facebook เดิมก็ยังหาโอกาสเข้าเล่นยาก เห็นมาไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว ก่อนเรียบจบก็โพสลง facebook ได้เกือบทุกวัน ครั้งละหลาย ๆ เรื่อง สารพัดเกมส์ที่จะมีเวลาเล่น แต่พอเรียนจบแล้วก็เห็นหายไปเป็นเดือนเลย กว่าจะมีอะไรมาโพสสักที และก็มักเป็นการโพสผ่านโทรศัพท์มือถือ (คงหาเวลาต่อเน็ตเล่นคอมกันไม่ค่อยได้) จะโผล่มาโพสเป็นชิ้นเป็นอันอีกทีก็โน่น ตอนประกาศว่าจะแต่งงานนั่นแหละ

ผมเคยบอกบางคนว่า ถ้ามีคู่บ่าว-สาวส่งคำเชิญไปงานแต่งงานทาง facebook ดังนั้นเงินช่วยงานก็ให้ด้วยการสแกนเป็นภาพส่งให้คู่บ่าว-สาวทาง facebook ก็แล้วกัน


. เปิดเบอร์โทรมือถือเบอร์ใหม่

ตอนที่สมัครงานกับบริษัทคุณอาจให้เบอร์มือถือเบอร์ปัจจุบันที่ใช้อยู่ แต่เมื่อได้งานทำแล้วแนะนำให้เปิดเบอร์มือถือใหม่ด้วย และแจ้งเบอร์มือถือเบอร์ใหม่ให้กับบริษัททราบว่าเป็นเบอร์ติดต่อคุณ ส่วนเบอร์เดิมก็บอกเขาไปเลยว่าไม่ใช้แล้ว

เหตุผลที่แนะนำให้ทำดังกล่าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจิกหัวใช้งานตลอด ๒๔ ชั่วโมงเป็นเวลา ๗ วันต่อสัปดาห์ ถ้าคุณมีเบอร์โทรเบอร์เดียวที่ใช้ติดต่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และยังให้เบอร์ดังกล่าวกับบริษัทด้วย ก็เตรียมทำใจไว้เลยว่าแม้แต่ในวันหยุดหรือเวลาที่คุณต้องการเป็นส่วนตัว (โดยที่ไม่ต้องการขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง) คุณโดนตามจิกเรื่องงานแน่ แต่ถ้าคุณปิดเบอร์มือถือดังกล่าว คุณก็จะขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง

ดังนั้นคุณจึงควรเปิดเบอร์มือถือเบอร์ใหม่เพื่อให้บริษัทติดต่อคุณ หลังเลิกงานหรืออยู่ในช่วงพักผ่อน คุณก็สามารถปิดโทรศัพท์ที่ใช้เบอร์มือถือเบอร์ใหม่นั้นเพื่อตัดการติดต่อเรื่องงาน โดยที่ยังคงการติดต่อเรื่องอื่นกับเพื่อนฝูงและญาติมิตรด้วยเบอร์เดิมที่มีอยู่ได้

ส่วนจะมีโทรศัพท์สองเครื่องหรือมีเครื่องสองซิมนั้นก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน


. ใช้โทรศัพท์ที่ low tech ที่สุด

ยิ่งคุณทำตัวให้ high tech มากเท่าใด คุณก็เปิดโอกาสให้ทางบริษัทเรียกใช้งานคุณตลอดเวลาเท่านั้น
บางบริษัทเขาใช้วิธีแสดงว่าฉันทำงานด้วยการขยันส่งอีเมล์ให้กับคนอื่น และใช้อีเมล์นั้นเป็นบันทึกการสั่งงาน (โดยเฉพาะหัวหน้างาน) พวกนี้จะชอบส่งอีเมล์หลังเลิกงานหรือในช่วงวันหยุด เพื่อที่จะแสดงว่าเขาได้ทุ่มเทการทำงานให้กับบริษัทแม้ว่าจะเลยเวลาเลิกงานหรือเป็นวันหยุดของเขา (แต่เชื่อเถอะว่าคนที่ได้รับอีเมล์นั้นไม่สุขด้วยหรอก) และเมื่อส่งไปแล้วก็มักจะมีการส่ง message หรือโทรแจ้งให้เปิดอ่านด้วย ถ้าเจอหัวหน้างานแบบนี้ก็เตรียมรีบมืออีเมล์ประเภทส่งให้ตอนกลางคืน (พอเห็นเราทำท่าจะกลับบ้านหรือไม่เขาก็กลับไปถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว) และขอผลในตอนเช้า หรือไม่ก็ส่งให้ในคืนวันศุกร์และขอทราบผลเช้าวันจันทร์

ยิ่งเป็นรุ่นที่มี GPS ด้วยก็ต้องยิ่งระวัง เพราะถ้าเราไม่ปิดระบบดังกล่าวเขาก็จะตรวจได้ว่าเราอยู่ที่ไหน งานนี้เคยมีคนโดนมาแล้ว จะมาอ้างว่ากลับบ้านไปแล้วหรือมาไม่ทันก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะอีกฝ่ายใช้ระบบ GPS ตรวจสอบก่อนว่าขณะนั้นอยู่ที่ไหน

ดังนั้นอย่าหลงดีใจถ้าพบว่าเมื่อเข้าทำงานแล้วทางบริษัทให้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ high tech มาให้ใช้ และก็อย่าพยามยามแสดงให้คนในบริษัทรู้ว่าโทรศัพท์ที่ใช้กับเบอร์ส่วนตัวนั้น (ดูข้อ ๗.) เป็นเครื่องที่ high tech


. เลือกที่พักที่ไม่อยู่ร่วมกับคนในบริษัท (วันนี้ไม่สบาย)

โดยทั่วไปนั้นถ้าป่วยติดต่อกันไม่เกิน ๓ วันมักจะลาป่วยได้โดยไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ไม่อยากไปทำงาน และเหตุผลที่มักใช้กันเป็นประจำก็คือ "ป่วย"

แต่วิธีการดังกล่าวจะใช้ได้ผลดีก็ต่อเมื่อที่พักของเรานั้นไม่ได้อยู่ร่วมกับคนอื่นในบริษัทเดียวกัน (ในกรุงเทพมักไม่มีปัญหานี้ แต่พวกอยู่ต่างจังหวัดที่ต้องไปเช่าหออยู่หรืออยู่หอพักของบริษัทนั้นจะเจอปัญหานี้) และอยู่ในเส้นทางที่ไม่มีคนที่ทำงานบริษัทเดียวกันต้องเดินทางผ่าน

ดังนั้นถ้าต้องไปทำงานต่างถิ่นและต้องเช่าหอพักอยู่ แม้ว่าการอยู่ร่วมกันจะช่วยให้หายเหงาได้และอาจสะดวกในการเดินทางไปทำงาน-กลับจากที่ทำงาน (พวกประเภทต้องใช้รถรับ-ส่งของบริษัทหรือติดรถเพื่อนร่วมงาน) แต่เวลาที่เราอยากอู้งานโดยการโทรไปบอกว่าวันนี้ปวดหัว ท้องเสีย ตัวร้อน ฯลฯ นั้นจะทำยาก เพราะเพื่อนร่วมงานที่ทำงานที่เดียวกันอยู่จะจับผิดได้ (ประเภทโทรไปบอกว่าไม่สบายแต่ไม่เห็นนอนอยู่บ้าน)

มีอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าพอเลิกงานก็กลับบ้านพัก (เช่าอยู่ต่างจังหวัด) พอหัวหน้าถามว่ากลับบ้านไปทำอะไร เขาก็บอกว่าไม่มีอะไรทำ หัวหน้างานก็เลยตอบกลับมาว่างั้นรีบกลับไปทำไม ไม่อยู่ทำงานที่บริษัทต่อล่ะ

ดังนั้นถ้าใครถามว่าต้องรีบกลับไปทำอะไรที่บ้าน ก็ควรตอบไปว่าต้องไปทำโน่นทำนี่และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ส่วนจะทำจริงหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


๑๐. ถ่ายรูปที่พักทุกซอกทุกมุม

เป็นเรื่องแปลกที่ภาพที่บันทึกด้วยกล้องถ่ายรูปมักจะมีอะไรมากเกินกว่าที่ตามองเห็นตอนถ่ายรูป ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในที่พักใหม่ (ถ้าจำเป็นต้องไปเช่าอยู่) ก่อนนำสิ่งของเข้าไปก็ควรถ่ายรูปห้องพักทุกซอกทุกมุมก่อน และตรวจสอบภาพที่ได้ว่าเหมือนกับที่ตามองเห็น ไม่มีอะไรปรากฏเป็นส่วนเกิน (โดยเฉพาะบริเวณใต้เตียง ฝ้าเพดาน ระเบียง หรือตู้เสื้อผ้า หรือมีเงาอะไรก็ไม่รู้มาปรากฏหลังผ้าม่านไหม) ยิ่งไปเจอห้องพักที่พบว่าเจ้าของเก่าทิ้งธูปเทียนหรือพวงมาลัยดอกไม้เอาไว้ ก็ยิ่งต้องน่าตรวจสอบ

บ่อยครั้งที่ข่าวฆาตกรรมที่เกิดในต่างจังหวัดเป็นเพียงแค่ข่าวท้องถิ่น ไม่ได้ออกสื่อกระจายไปทั่วประเทศ เพราะถ้าไปถามเจ้าของห้องเช่า เขาก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรอยู่แล้ว

ถ้าเจอคำถามประเภท "ห้องที่พักอยู่นั้นนอนหลับสบายไหม" จากเพื่อนร่วมหอก็ต้องพิจารณาคำถามของเขาให้ดี เพราะเขาอาจหมายถึง

(ก) ห้องแอร์เย็น เงียบเชียบ ไม่มีแสงสว่างภายนอกเข้ามากวน ที่นอนนุ่ม ฯลฯ ไหม หรือ
(ข) กลางคืนมีอะไรมารบกวนการนอนไหม

แต่ถ้ามั่นใจในจิตใจของตนเองหรือเครื่องรางของขลังที่มีอยู่ การถ่ายรูปนี้ก็ไม่จำเป็น


๑๑. จ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อห้องเดี่ยว

บางหน่วยงานนั้นมีการรับพนักงานใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ และเมื่อได้จำนวนมากพอก็มักจะจัดสัมมนาพนักงานใหม่นอกสถานที่กัน โดยมักต้องไปค้างคืนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม แน่นอนว่าเขามักจะจัดห้องพักที่เป็นห้องคู่ให้ ถ้าได้ห้องพักคู่กับพนักงานใหม่ด้วยกันก็คงไม่เท่าไร แต่ถ้าได้ห้องพักร่วมกับคนที่เป็นหัวหน้างานนี่ซิ อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้

แน่นอนว่าห้องพักที่เป็นห้องคู่ที่เขาจัดให้นั้นเขาให้พนักงานเพศเดียวกันค้างห้องเดียวกัน เรื่องที่เกิดกับพนักงานหญิงที่พักห้องเดียวกันนั้นผมยังไม่เคยได้ยิน เคยได้ยินแต่เรื่องที่เกิดที่ห้องที่หัวหน้างาน (ผู้ชาย) และลูกน้องใหม่ (ผู้ชาย) พักด้วยกัน ประเภทที่เรียกว่าถ้ายอมให้หัวหน้า "หนุนหลัง" โอกาสก้าวหน้าก็จะมี แต่ถ้าไม่ยอมให้หัวหน้า "หนุนหลัง" โอกาสร่วงก็จะสูง

ดังนั้นถ้ามีโอกาสล่ะก็ และเพื่อความปลอดภัยจากการถูก "แทง" ข้างหลัง พักห้องเดี่ยวแยกจากคนอื่นได้ก็ดี แต่ถ้าชอบรสนิยมดังกล่าวหรืออยากลองด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องทำตามข้อนี้


๑๒. เตรียมใจรับมือกับตัวเลือกใหม่ (น้องฝึกงาน หัวหน้างาน)

สำหรับฝ่ายหญิง การเข้าสู่ที่ทำงานใหม่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ได้พบคนใหม่ ๆ ทั้งหัวหน้างานและผู้บริหาร (ที่ยังเป็นโสด) กล่าวคือมีความพร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ฐานะ และตำแหน่งหน้าที่การงาน ถ้าฝ่ายหญิงยังไม่มีแฟนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามีแฟนอยู่แล้วและจากหน้าที่การงานทำให้พบเจอกันลำบาก ฝ่ายชายที่เป็นแฟนก็คงต้องเผื่อใจเอาไว้บ้าง แต่ถ้าฝ่ายหญิงมีแฟนเป็นคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว งานนี้ไม่แนะนำให้หาตัวเลือกใหม่ เว้นแต่ว่าตัวเลือกใหม่จะดีกว่า

สำหรับฝ่ายชาย การเข้าสู่ที่ทำงานใหม่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ได้พบคนใหม่ ๆ ทั้งเพื่อนร่วมงานใหม่ และเผลอ ๆ ยังอาจต้องได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลน้อง ๆ ที่มาฝึกงานด้วย งานนี้แม้ว่าจะมาพบกันน้องเขาทีหลัง แต่ก็มีสิทธิที่จะใช้วัยวุฒิ คุณวุฒิ ฐานะ และตำแหน่งหน้าที่การงาน ที่สูงกว่า ในการปาดหน้าคู่แข่ง

ด้วยเหตุนี้ผมถึงบอกว่าผู้หญิงน่ะ ถ้าอายุ ๓๐ แล้วยังไม่แต่งสักทีก็เตรียมเข้าวัดได้แล้ว ส่วนผู้ชายนั้นยังรอได้ถึงอายุ ๔๐ ตอนนี้พร้อมทั้งฐานะและหน้าที่การงาน จะจีบน้องใหม่ในที่ทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก อันนี้เห็นมาจากเพื่อนของผมเอง

ฉบับนี้เขียนให้อ่านเล่น ๆ นะ อย่าจริงจังมากเกิน