โปสเตอร์ภาพยนต์เรื่อง The Last Samurai นำแสดงโดย Tom Cruise และ Ken Watanabe เข้าฉายเดือนธันวาคม ๒๕๔๖
ยุคนี้เป็นยุคที่ดูเหมือนว่าเราถูกปั่นหัวให้เชื่อว่าต้องทำทุกอย่างให้เหมือนต่างชาติ
แม้กระทั่งเวลาเปิด-ปิดภาคการศึกษา
ตอนที่เรียนอยู่ที่อังกฤษนั้น
เขาเริ่มต้นปีการศึกษาตอนต้นเดือนตุลาคม
ซึ่งก็ตรงกับฤดูใบไม้ร่วง
(autumn
ในภาษาอังกฤษ
หรือ fall
ในภาษาอเมริกัน)
ไปหยุดเทอมเอาช่วงคริสต์มาสต่อปีใหม่
ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว
โผล่มาอีกทีหลังปีใหม่ก็เรียนกันต่อไปอีกจนถึงราว
ๆ เดือนมีนาคม
พักเรียนกันสักครู่ก็เปิดเทอมภาคฤดูใบไม้ผลิต
และก็ไปปิดเทอมตอนช่วงฤดูร้อน
ซึ่งก็เป็นช่วงประมาณเดือนมิถุนายน-สิงหาคม
ที่เล่ามาก็เพื่อต้องการให้เห็นภาพว่า
เขาหยุดปีการศึกษา
(หรือที่เราเรียกว่า
"ปิดเทอมใหญ่")
ใน
"ฤดูร้อน"
บ้านเรานั้นตั้งแต่จำความได้เราก็ปิดเทอมใหญ่ใน
"ฤดูร้อน"
มาตลอด
คือช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
และเปิดเทอมใหม่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายน
ซึ่งก็เป็นการกำหนดเวลาการศึกษาตามฤดูกาลเหมือนกับประเทศในซีกโลกเหนือ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ไม่รู้เขาคิดกันยังไง
กะจะให้ไปเปิดเทอมเอาในเดือนกันยายน
แล้วเดือนมีนาคม-เมษายนต้องมีเรียนกันไหมล่ะ
ปีที่แล้วอาจเรียกว่าโชคดีก็ได้ที่เรามีน้ำท่วมใหญ่
หยุดเรียนกันนาน
เราคงเห็นได้ข้อพิสูจน์แล้วนะว่าเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนมันเหมาะแก่การเรียนหนังสือแค่ไหน
ในวันที่
๓๑ มีนาคม (คิดว่าน่าจะเป็นวันเสาร์)
ปีค.ศ.
๑๘๕๔
(พ.ศ.
๒๓๙๖)
กองเรือรบสหรัฐนำโดย
Matthew
Perry ได้เข้ามาปิดอ่าวโตเกียวเพื่อบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดประเทศ
ในขณะนั้นประเทศญี่ปุ่นยังปกครองด้วยระบบโชกุน
สิ่งที่ตามมาคือญี่ปุ่นถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาต่าง
ๆ ที่ทางญี่ปุ่นเรียกว่า
"Unequal
treaty" หรือถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะเป็น
"สนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค"
หรือ
"สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"
พูดง่าย
ๆ ก็คือฝ่ายญี่ปุ่นเสียเปรียบ
(ไทยเราก็โดนแบบนี้ในสมัยรัชการที่
๔ และรัชการที่ ๕)
จักรพรรดิ์
Mutsushito
ครองราชย์ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปีค.ศ.
๑๘๖๗-๑๙๑๒
(พ.ศ.
๒๔๑๐-๒๔๕๕
ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่
๕ ของไทย)
ยุคนี้เรียกว่ายุค
Meiji
เป็นยุคที่ประเทศญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนาดใหญ่ที่ทางประวัติศาสตร์เรียกว่า
"Meiji
restoration"
กลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งที่ทางตะวันตกยอมรับให้เทียบเท่า
โดยเฉพาะเมื่อกองเรือรบญี่ปุ่นนำโดยนายพล
Togo
ทำการรบชนะกองเรือรบรัสเซียที่ช่องแคบ
Tsushima
ในเดือนพฤษภาคมปีค.ศ.
๑๙๐๕
(พ.ศ.
๒๔๔๘)
ด้วยยุทธวิธีที่เรียกว่า
"Cross
the T"
ที่วันนี้อยากเล่าเรื่องนี้ก็เพราะว่าเมื่อเช้าตื่นมาตอนตีสี่เพื่อมานั่งทำงาน
พอเปิดทีวีก็เจอหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบฉากตอนจบของเรื่อง
หนังดังกล่าวคือเรื่อง "The
Last Samurai" ซึ่งใช้เหตุการณ์ช่วงต้นยุค
Meiji
เป็นฉาก
ฉากจบของเรื่องที่ผมชอบเป็นฉากก่อนที่องค์จักรพรรดิจะลงนามในสนธิสัญญากับเอกอัครราชฑูตสหรัฐ
แต่ถูกขัดจังหวะโดยการปรากฏตัวของ
Captain
Nathan Algren (นำแสดงโดย
Tom
Cruise) ที่นำดาบซามูไรของ
Moritsugu
Katsumoto (นำแสดงโดย
Ken
Watanabe) ผู้เป็นอาจารย์ที่องค์จักรพรรดิไว้วางใจมากที่สุดมามอบให้
ประโยคที่ผมชอบก็คือประโยคที่องค์จักรพรรดิกล่าวต่อที่ประชุมนั้นหลังจากที่รับมอบดาบซามูไรไปแล้ว
Emperor
Meiji: I dreamed of a unified Japan. Of a country strong and
independent and modern... And now we are awake. We have railroads
and cannon, Western clothing. But we cannot
forget who we are. Or where we come from.
ตรงที่เน้นสีแดงผมขอแปลว่า
"แต่เราไม่สามารถลืมได้ว่าเราเป็นใคร
หรือว่าเรามาจากไหน"
การพัฒนาประเทศให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาตินั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำตัวทุกอย่างให้เหมือนเขา
เรายังสามารถที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองได้
ผมคิดว่านี่เป็นบทเรียนที่เราควรจะศึกษาจากประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น
ในขณะที่เขาพัฒนาการทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีจนประเทศทางตะวันตกยอมรับ
แต่เขาก็ยังสามารถรักษาความขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของชาติเอาไว้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาไม่ได้ "ลืมตัวตนของตนเอง"
ในตอนจบของเรื่องนั้นองค์จักรพรรดิถาม
Captain
Nathan Algren เกี่ยวกับอาจารย์ของพระองค์และได้คำตอบดังนี้
Emperor
Meiji: Tell me how he died.
Algren:
I will tell you how he lived.