แก๊ส
NO
(Nitric oxide หรือ
Nitrogenmonoixde)
มักถูกมองว่าเป็นแก๊สพิษตัวหนึ่งที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างออกซิเจนกับไนโตรเจนที่อุณหภูมิสูง
หรือจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ
ในเขตชุมชนนั้นแหล่งกำเนิดสำคัญของ
NO
คือไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล
สำหรับอุตสาหกรรมนั้นแหล่งกำเนิดที่สำคัญคือเตาเผาเชื้อเพลิงต่าง
ๆ และเครื่องยนต์กังหันแก๊ส
รูปที่
๑ ระบบอุปกรณ์ SCR
ของกลุ่มเรา
ถึงจะดูรก ไม่ high
tech แต่ก็ให้ผลการทดลองที่เชื่อถือได้
บทความทางด้านสิ่งแวดล้อมและวิศวกรรมศาสตร์เวลากล่าวถึงแก๊สตัวนี้มักจะกล่าวถึงแต่อันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
แต่ในความเป็นจริงนั้นการปรากฏของ
NO
ในกระแสเลือดก็เป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของร่างกาย
โดย NO
ส่งผลทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด
(vasodilation)
ไนโตรกลีเซอริน
(Nitroglycerin
CH2(NO3)-CH(NO3)-CH2(NO3))
เตรียมได้จากปฏิกิริยา
nitration
กลีเซอรินด้วยกรดไนตริก
(Nitric
acid HNO3)
คนส่วนใหญ่รู้จักสารนี้ในรูปของวัตถุระเบิดที่ใช้ในการผลิตไดนาไมท์
(dynamite)
และดินปืนไร้ควัน
(smokeless
gunpower) บางชนิด
แต่ในทางการแพทย์นั้นมีการนำสารตัวนี้ไปใช้เป็นยาขยายหลอดเลือด
(vasodilator)
เพื่อรักษาอาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจบางชนิด
การที่หลอดเลือดขยายตัวได้นั้นเป็นเพราะกระบวนการเมแทโบลิซึม
(metabolism)
ไนโตรกลีเซอรินของร่างกายจะทำให้เกิด
NO
ขึ้น
และ NO
ตัวนี้คือตัวที่ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว
การที่หลอดเลือดขยายตัวทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้ง่ายขึ้น
ความดันโลหิตจึงลดต่ำลง(๑)
และในบางกรณียังนำไปใช้ในการบรรเทาอาการภาวะการขาดออกซิเจน
(hyrpoxiemia)
เพราะ
NO
ไปทำให้เส้นเลือดที่ปอดขยายตัว
ทำให้เลือดไหลเวียนมารับออกซิเจนที่ปอดได้ดีขึ้น(๒)
และยังมีการศึกษาการนำไปใช้กับเด็กทารกที่มีปัญหาขาดออกซิเจนเนื่องจากการหายใจล้มเหลว
(hypoxic
respiratory failure)(๓)
การเพิ่มปริมาณ
NO
ในร่างกายนั้นสามารถทำได้โดยการรับประทานยาที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเกิด
NO
ในระหว่างกระบวนการเมแทบอลิซึม
(เช่นไนโตรกลีเซอริน)
หรือด้วยการให้หายใจเอาแก๊ส
NO
เข้าไป
ซึ่งตรงนี้ก็มีบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับให้การรักษาด้วยการหายใจเอาแก๊ส
NO
เข้าสู่ร่างกาย
ตรงนี้ถ้าอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ลงค้นหาด้วย
google
โดยใช้คำค้นหาว่า
"Nitric
oxide for medical use" ดูเอาเองก็แล้วกัน
การที่ระดับ
NO
ในเลือดนั้นส่งผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว
และทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
ทำให้มีการหาทางเพิ่มปริมาณ
NO
ในโลหิตเพื่อใช้รักษาโรคหรืออาการที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนโลหิต
หนึ่งในอาการดังกล่าวที่ทางการแพทย์มีการนำไปใช้คือการรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
(sexual
dysfunction) ทั้งในเพศชายและเพศหญิง(๔-๕)
ในกรณีของเพศชายนั้นการแข็งตัวของอวัยวะเพศจะเกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของโลหิตไปยังอวัยวะเพศและเกิดการสะสมที่อวัยวะดังกล่าว ยาบางชนิดเช่นซิลดีนาฟิล (Sildenafil) ที่ขายในชื่อไวอะกร้า (Viagra) แก้ปัญหาด้วยการไปยับยั้งการผลิตเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ทำลายสารที่กระตุ้นให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น แต่ยาดังกล่าวไม่ได้ไปเพิ่มปริมาณการไหลของโลหิตไปยังอวัยวะดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกับเพศหญิง
ยาบางกลุ่มและอาหารบางชนิดนั้นแก้ปัญหาด้วยการให้สารตั้งต้นที่เมื่อเข้าสู่กระบวนการเมแทบอลิซึมแล้วจะทำให้เกิด
NO
ขึ้นในกระแสเลือด
NO
ที่เกิดขึ้นนั้นจะไปกระตุ้นการปลดปล่อย
cGMP
(cyclic guanosine monophosphate)
ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กล้ามเนื้อเรียบผ่อนคลายตัว
และในกรณีของหลอดเลือดนั้นจะไปทำให้หลอดเลือดขยายตัว
การขยายตัวของหลอดเลือดดังกล่างทำให้การไหลเวียนของโลหิตที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลต่อการตอบสนองทางเพศของอวัยวะเพศหญิงด้วย
ถ้าต้องการทราบรายละเอียดมากกว่านี้ก็ลองอ่านบทความที่แนบมาให้ดูเอาเองก็แล้วกัน
สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์แล้วคงอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง
เพราะเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ทั้งนั้น
หมายเหตุ
(๑)
ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Nitroglycerin
(๒)
Baysal, A., "Nitric oxide II : Theraputic uses and clinical
applications", Turk J. Med Sci., 32 (2002), p 1-6.
(๓)
Committee on fetus and newborn, "Use of inhaled nitric oxide",
Pediatrics, vol 106, no. 2, Aug (2002),
p
344-345.
(๔)
Aung, H.H., Dey, L., Rand, V., and Yuan, C., "Alternative
therapies for male and female sexual dysfunction", The American
journal of chinese medicine, vol. 32 no. 2 (2004), 161-173.
(๕)
Brixius,K., Middeke, M., Lichtenthal, A., Jahn, E., and Schwinger,
R.H.G., "Nitric oxide, erectile dysfunction and beta-blocker
treatment (MR NOED study): Benefit of nebivolol versus metroprolol in
hypertensive men", Clinical and experimental pharmacology and
physicology vol. 34 (2007), pp 327-331.