Memoir
ฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงเรื่องของหน่วยวัด
(measuring
unit) และได้เกริ่นถึงหน่วยวัดทางวิศวกรรมหรือ
Engineering
unit ที่ผมกล่าวไว้ว่าเป็นหน่วยที่ทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพได้ชัด
แต่สำหรับพวกวิศวกรอย่างเราแล้ว
เราไม่ได้มีหน่วยวัดเฉพาะสิ่งที่เป็น
"รูปธรรม"
เท่านั้น
แต่เรายังมีหน่วยวัดสำหรับสิ่งที่เป็น
"นามธรรม"
ด้วย
และสิ่งที่เป็น
"นามธรรม"
สิ่งหนึ่งที่วิศวกรรุ่นพี่ของพวกเราได้จัดตั้งหน่วยวัดขึ้นมาก็คือ
"ความสวย"
หมายเหตุ
:
ภาพประกอบนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด
ๆ กับบทความนี้ กรุณาอย่าพยายามเชื่อมโยง
:)
การวัด
"ความสวย"
เป็นความรู้ที่มีการถ่ายทอดกันมาในระหว่างการซ้อมเชียร์เย็น
(ตอนนี้ไม่มีแล้ว
แต่ก่อนมีทั้ง เชียร์เที่ยง
เชียร์เย็น และเชียร์ดึก
โดยเชียร์ดึกนั้นสงวนเฉพาะนิสิตชายเท่านั้น
และไม่บังคับด้วย)
ทั้งนี้เพื่อให้มีมาตราฐานในการให้คะแนน
"ความสวย"
ของสาว
ๆ คณะต่าง ๆ มีความจำเป็นต้องเดินผ่าน
"สามแยกสุภาพบุรุษ"
ที่รุ่นพี่จัดให้นิสิตปี
๑ ไปนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ทั้งชั้นปี
สามแยกนี้มักถูกสาว ๆ เรียกว่า
"สามแยกปากหมา"
(ไม่ขออ้อมค้อม
ก็เขาเรียกกันอย่างนี้)
แต่จะว่าแล้ว
ผมว่าสาว ๆ คงชอบที่จะโดน
"หมาเห่า"
มากกว่าที่โดน
"หมาเมิน"
หรือหมาไม่นองนะ
การวัด
"ความสวย"
นั้นตามหลักของวิศวกรนั้น
มีการวัดในมิติที่แตกต่างกัน
๓ มิติ
โดยแต่ละมิตินั้นจะให้คะแนนคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
มิติที่
๑ :
ระยะทาง
กติกาง่าย
ๆ คือความสวย "แปรผกผัน"
กับระยะทางที่มองเห็น
เช่นสาวคนหนึ่งมีความสวย
๑๕๐ เมตรนั่นหมายถึงสาวผู้นั้นจะดูสวยสำหรับเรา
ถ้านั่งอยู่คนละฟากความยาวของสนามฟุตบอล
แต่ถ้าคะแนนความสวยคือ ๖๐
เซนติเมตรหรือประมาณ ๒ ช่วงแขน
(คือต่างคนต่างยื่นมือถึงกันได้สบาย)
แสดงว่าเขาดูสวยเมื่อนั่งอยู่ตรงข้ามกับเรา
เช่นนั่งกินข้าวคนละฟากฝั่งโต๊ะ
มิติที่
๒ :
มุม
มุมมองที่ดูว่าสวยขึ้นอยู่กับโครงสร้างของใบหน้าและทรงผม
เกณฑ์การวัดคือมุมมองตรงหน้าคือ
๐ องศา มุมมองด้านหลังคือ
๑๘๐ องศา
ส่วนจะให้วัดตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะรุ่นพี่ไม่ได้สอนไว้
ความเห็นส่วนตัวแล้วถ้ามุมมองที่ดูว่าสวยนั้นอยู่ในช่วงเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวาไม่เกิน
๔๕ องศา ก็อยู่ในระดับคะแนนเดียวกัน
แต่ถ้าอยู่ในช่วงเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวาเกิน
๔๕ องศาแต่ยังไม่เกิน ๙๐
องศา แสดงว่าเหมาะแก่การชำเลืองดูด้านข้าง
แต่ถ้าอยู่ในช่วงเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวาเกิน
๙๐ องศาไปแล้ว
อาจแปลได้ว่าเส้นผมหรือทรงผมดูดี
ดังนั้นคนที่เป็นคู่รักกัน
เวลากินข้าวด้วยกันทีไรแล้วแฟนชอบนั่งที่นั่งข้าง
ๆ อาจไม่ได้แปลว่าเขาอยากอยู่ใกล้ชิดคุณ
หรอกนะ แต่อาจแปลว่าถ้าเห็นหน้าคุณแล้วจะกินข้าวไม่ลงก็ได้
มิติที่
๓ :
ความสว่าง
หน่วยวัดความสว่างที่น่าจะมองเห็นภาพได้ชัดที่สุดคือ
"แรงเทียน"
และความสวยที่ค่าแรงเทียนต่ำแสดงว่ามองในที่มืด
ๆ แล้วดูดี
ความสวยที่ค่าแรงเทียนสูงแสดงว่ามองในที่สว่างแล้วดูดี
สำหรับสาวที่มีความสวยเฉพาะที่ค่าแรงเทียนต่ำแสดงว่าดูดีในที่มืด
(หรือแสงน้อย
ๆ)
พาไปออกงานกลางคืนได้
แต่ไม่เหมาะสำหรับควงไปกินข้าวตอนเที่ยงวัน
สาวที่สวยจริงแล้วต้องมองดูสวยทั้งที่ค่าแรงเทียนสูงและแรงเทียนต่ำ
ที่กล่าวมาข้างต้นจัดว่าเป็น
๓ หน่วยหลักที่ทุกคนสามารถใช้ได้ในการให้คะแนนความสวย
แต่สำหรับบางรายแล้วความสวยบนใบหน้าอาจมีมิติอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกก็ได้
ตัวอย่างหนึ่งที่เคยประสบก็คือ
"แว่นตา"
ที่ทำให้ความสวยของใบหน้าของแต่ละคนเปลี่ยนไปได้เยอะ
เรื่องแว่นตานี้เคยมีคนมาถามความเห็นผมเหมือนกันว่า
"พอไม่ใส่แว่นแล้วดูสวยขึ้นไหม"
ซึ่งผมก็พบว่าเขาดูสวยขึ้นจริง
ๆ
แต่ผมต้องเป็นคนถอดแว่นตาที่ผมใส่อยู่ออกนะ
ก่อนดูเขา :)
ที่เขียนมาข้างต้นผมกล่าวถึงเฉพาะ
"ความสวย"
นะ
ไม่ได้กล่าวถึง "ความงาม"
ที่เป็นสิ่งที่วัดยากกว่า
และดูเหมือนว่ายังไม่มีหน่วยใด
ๆ สำหรับวัด "ความงาม"
ซะด้วย
ในขณะที่ "ความสวย"
เป็นการวัดความพึงพอใจของภาพที่ปรากฏด้วยการสายตา
แต่ "ความงาม"
เป็นการวัดด้วยความพึงพอใจของผู้อื่นจากการกระทำที่แสดงออก
(ไม่ว่าจะเป็นทาง
กาย วาจา และจิตใจ)
และสำหรับสาวใดที่คะแนนความสวยตามวิธีการวัดข้างต้นออกมาไม่ดีก็อย่างพึ่งเสียใจ
เพราะ "ความงาม"
นั้นสำคัญกว่าและสามารถทดแทน
"ความสวย"
ได้
ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า
"คนจะงาม
งานที่ใจ ใช่ใบหน้า คนจะสวย
สวยจรรยา ใช่ตาหวาน"
ต่อไปก็คงเป็นเรื่องของปากกับใจบ้าง
ในห้องทำงานห้องหนึ่งมีโต๊ะทำงานอยู่หลายโต๊ะ
แต่ไม่ค่อยมีคนนั่งประจำโต๊ะเท่าใดนัก
ที่เห็นมีนั่งประจำก็มีแค่ชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งทำงานที่โต๊ะติดกัน
และห้องนี้ผมเดินผ่านทีไรก็มักเจอว่ามีแค่สองคนนี้นั่งทำงานอยู่ในห้องนั้น
ถ้ามีเวลาว่างก็จะโผล่หน้าเข้าไปแซวเล่นว่าคุยอะไรกระหนุงกระหนิงกันอยู่สองคน
ซึ่งทั้งสองคนก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอว่าไม่ไดคุยเรื่องทำนองนั้น
เป็นว่าคุยกันแบบทะเลาะกันมากกว่า
ไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดหรอก
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนว่ามันเป็นอย่างที่เขาบอกจริง
เรื่องคำพูดของคนว่าเชื่อถือได้แค่ไหนนั้นเคยมีรุ่นพี่วิศวคนหนึ่งเล่าให้ฟังนานแล้ว
ตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนจบใหม่
ๆ
เขาบอกว่าคำพูดของใครจะเชื่อใจได้แค่ไหนนั้นให้ดูว่าผู้พูดนั้นหันหน้าไปทางไหน
ถ้าหันไปทางซ้ายก็เชื่อได้
เพราะปากกับใจตรงกัน
แต่ถ้าหันหน้าไปทางขวาก็เชื่อไม่ได้
เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน
ผมไม่เคยได้มีโอกาสทดสอบทฤษฎีที่พี่เขาเล่าให้ฟัง
เพิ่งจะมาเห็นโอกาสเมื่อไม่นานนี้
(คือเพิ่งจะนึกทฤษฎีดังกล่าวขึ้นมาได้)
กล่าวคือในกรณีที่ฝ่ายชายนั่งทำงานอยู่ทางด้านซ้ายมือของฝ่ายหญิง
ถ้าฝ่ายชายหันหน้า (ไปทางขวา)
ไปแซวฝ่ายหญิง
ทำให้ฝ่ายหญิงเบือนหน้าหนี
(ไปทางขวา)
ทำนองว่าไม่อยากคุยด้วย
ถ้าเอาทฤษฎีข้างต้นมาจับแสดงว่าทั้งสองฝ่ายนั้น
ปากพูดไปอย่าง แต่ใจคิดไปอีกอย่าง
ดังนั้นคำพูดที่พูดออกมาดูเหมือนว่าทะเลาะกันนั้น
แต่ในใจอาจไม่ใช่ก็ได้
ส่วนข้อสรุปจะได้เมื่อใดนั้นผมก็ไม่สามารถตอบได้
ทำได้แค่นั่งดูอยู่ห่าง ๆ
เท่านั้น แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบเรื่องที่มันจบแบบ
Happy
ending ดังนั้นก็คาดหวังว่าคู่นี้จะจบแบบ
Happy
ending เช่นกัน
:)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น